คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : EP 006.5 another story (goodknife)
เหมือนเดิมทุกวัน ในเวลาหัวค่ำเช่นนี้ พวกเรามักจะไม่มีอะไรทำ งานบ้านก็เสร็จหมดแล้ว การบ้านที่ได้มายิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกหัวดีๆมักจะทำเสร็จก่อนเสมอ ส่วนคนที่เหลือก็แน่นอนว่า ลอกจากพวกหัวดีๆนั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ยังคงเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดของวัน อย่างน้อยก็ในความคิดของมิ้น เด็กสาวอายุ 17 ปี จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในอาณาเขตของจักรวรรดิ เธอมักจะใช้เวลาในช่วงนี้ ไปกับการนั่งชมจันทร์ เพราะนอกจากจะเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบายแล้ว แสงจันทร์ยังสาดส่องไปทั่วทั้งผืนฟ้า ทำให้มองเห็นดวงดาวที่เรียงรายอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน ผิดกับช่วงเวลาเย็น ที่บนท้องฟ้าไม่มีดาวเลยแม้สักดวงเดียว
วันนี้ มิ้นมีเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน มานั่งชมจันทร์ด้วย น่าแปลกตรงที่ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่มิ้นกลับมีความรู้สึกเหมือนเคยรู้จักกันมานานแสนนานมาแล้ว และสบายใจอย่างที่สุด ที่ได้ชมจันทร์ด้วยกันเพียงสองคนกับเพื่อนคนนี้
มิล คือชื่อของเธอ เมื่อวานนี้ มิ้นไปเจอเธอขณะกำลังสำรวจเมืองอยู่ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เธอมักจะทำในตอนกลางวันเมื่อไม่รู้จะทำอะไรดี มิ้นมักจะออกสำรวจเมือง เพื่อฝึกใช้ 'พรสวรรค์' ที่เธอได้รับจากพระเจ้า (ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร แต่อย่างน้อย ตามที่มิ้นได้ยินมาก็เป็นเช่นนั้น มิ้นเคยคิดว่า บางที การที่คนส่วนใหญ่มีพรสวรรค์ อาจไม่เกี่ยวอะไรกับพระเจ้าเลยก็ได้..)
พรสวรรค์ของมิ้น เพิ่งตื่นขึ้นมาตอนที่เธออายุได้สิบห้าปี ในขณะที่เด็กจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าส่วนใหญ่ มักจะค้นพบพรสวรรค์ของตนเองตั้งแต่ช่วงอายุ 6-10 ปี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะมีบางคน ที่แม้จะอายุเกิน 18 ปี (ว่ากันว่าเป็นช่วงอายุที่ 'หากเลยไปแล้ว จะถือว่าคนๆนั้นไร้ซึ่งพรสวรรค์จากพระเจ้า') แต่ก็ยังค้นพบพรสวรรค์อยู่ ซึ่งเท่าที่มิ้นรู้จัก มีเพียงสองคนเท่านั้น คือ ไนล์ กับ วิล ที่เป็นรุ่นพี่ของพวกเรา และตอนนี้ ได้ไปเป็นทหารของจักวรรดิแล้ว เนื่องจากต้องการเงินมาช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้
มิ้นไปเจอมิล ขณะที่มิ้นกำลังจะใช้ 'พรสวรรค์' ของเธอ ให้ได้ส่วนลดเล็กๆน้อยๆ จากร้านขายผลไม้ ที่นั่น มิลกำลังเลือกซื้อกล้วยหอมและองุ่นสีส้มอยู่ มิ้นสะดุดตาทันที กับภาพเด็กสาวผิวขาว ดวงตากลมโต ใส่ชุดวันพีซสีขาว น่าแปลกที่มิ้นไม่เคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน ทั้งๆที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ และมาเดินตลาดแทบทุกวัน
เหมือนมีอะไรมาสะกิดใจ เธอจึงเดินเข้าไปหาเด็กสาวคนนั้น หลังจากสอบถามเรื่องทั่วๆไป เช่น เธอไม่ใช่คนเมืองนี้ใช่มั้ย หรือ เธอรู้หรือเปล่าว่า คนเราทุกคน จะมีพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้คนละหนึ่งอย่าง เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้รู้ข้อมูลของเด็กสาวคนนี้ว่า เธอชื่อว่ามิล (ชื่อคล้ายๆเราเลย เราชื่อมิ้นนะ) อายุ 16 ปี (อ๊ะ อ่อนกว่าเราปีนึง) เธอเป็นคนของจักรวรรดิเหมือนกัน (เสียมารยาทไปซะแล้ว ขอโทษนะ..) แต่อยู่ฝั่งตะวันออก (ในขณะที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของมิ้น อยู่ฝั่งทิศใต้) ในวันนี้ ที่มาตลาดทางฝั่งทิศใต้ ก็เพราะคุณพ่อเข้ามาทำธุระ จึงขอออกมาเปิดหูเปิดตาด้วย และจะอยู่แถวนี้อีกอย่างน้อยประมาณเดือนนึง (อืม งั้นเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ) โอเคจ๊ะ เธอตอบ
มิ้นเข้ากับมิลได้อย่างรวดเร็ว (หรืออย่างน้อยเธอก็คิดเช่นนั้น) หลังจากที่คุยกันประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว มิ้นก็ขอตัวกลับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พร้อมบอกที่อยู่ (แน่นอนว่า มิ้นไม่ลืมถามถึงที่พัก ของมิลเช่นกัน) รวมถึงสัญญาว่าพรุ่งนี้จะเจอกันอีก ในช่วงเวลาหัวค่ำ หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ พร้อมกำชับว่าห้ามลืมเด็ดขาดนะ
จากการคุยกันวันนี้ ทำให้รู้ว่าพรสวรรค์ของมิล ยังไม่ตื่นขึ้น (หรือบางที อาจตื่นขึ้นแล้ว แต่เธอยังไม่รู้ตัวเองก็ได้) ต่างจากพี่ชายของเธอ ที่มีพรสวรรค์ในการควบคุมยุงได้ (น่ากลัวจัง.. เวลาทะเลาะกันนี่ มิลคงคันน่าดู) พอเธอได้ยินก็หัวเราะ แล้วบอกว่า ”ไม่หรอก พี่ชายเป็นคนที่ใจดีมาก เรายังไม่เคยทะเลาะกันเลย ถ้ามีโอกาสจะแนะนำให้รู้จักนะคะ” เราก็ได้แต่พยักหน้า พลางนึกสงสัยว่า พี่ชายเธอเคยควบคุมยุงไปกัดใครบ้างรึเปล่าน้า...
หลังจากชมจันทร์เสร็จ มิ้นก็พามิลไปให้คนที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ารู้จัก คุณแม่ออกมาต้อนรับมิลด้วยกาแฟสูตรพิเศษของคุณแม่ (ในความคิดของมิ้น มันหวานอร่อยมากๆ แต่ทำไมพวกพี่ๆถึงบอกว่า ไม่ค่อยมีรสกาแฟก็ไม่รู้) มิลแนะนำตัวอย่างสุภาพ และดื่มกาแฟจนหมดแก้ว แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ขออีกถ้วยได้ไหมคะ คุณแม่ดีใจใหญ่ รีบชงให้อีกถ้วยทันทีเลย
เราพยายามหาหัวข้อสนทนา จึงพูดกับมิลว่า.. มิลรู้มั้ย เมื่อก่อนอาจารย์เคยบอกกับเราว่า พรสวรรค์ของแต่ละคน เป็นความสามารถที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนๆนั้น นั่นหมายความว่า ถึงเราจะอิจฉาพรสวรรค์ของคนอื่นไป ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะถึงเราจะมีพรสวรรค์แบบนั้นจริง เราก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้เต็มที่ ดังนั้นจงภูมิใจในพรสวรรค์ของตนเอง และฝึกใช้มันให้สม่ำเสมอ แล้วพรสวรรค์นั้น จะทำให้เรามีความสุข ในตอนนั้น เราคิดแย้งอยู่ในใจนะ ว่าถ้าเรามีพรสวรรค์แบบนี้ๆๆ คงจะสะดวกกว่าตอนนี้เยอะ แต่พอลองคิดย้อนกลับไป ถึงเราจะมีพรสวรรค์อย่างที่คิดตอนนั้นจริง มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย สู้มีพรสวรรค์แบบตอนนี้ดีกว่าตั้งเยอะ
มิลรอจนเราพูดจบ แล้วถามขึ้นว่า แล้วคนที่ไม่มีพรสวรรค์อย่างมิลล่ะ ควรจะทำยังไงดี -
ถ้าเป็นอาจารย์ ก็คงจะตอบว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด หรืออะไรทำนองนั้นละมั้ง .. แต่มิ้น ไม่สามารถตอบเช่นนั้นได้ จึงได้แต่ปล่อยให้ความเงียบ เป็นคำตอบของคำถามนั้น
- มิล - เราเอ่ยขึ้นหลังจากความเงียบดำเนินไปได้สักพักหนึ่ง “มิล พรุ่งนี้เธอจะมาอีกมั้ย” - พรุ่งนี้.. คงจะมาไม่ได้ค่ะ ต้องขอโทษด้วย พอดีพรุ่งนี้พี่ชายกับคุณพ่อจะพาไปทำธุระน่ะค่ะ มิลตอบพร้อมทำหน้าเศร้าเล็กน้อย
อืม ไม่เป็นไร แล้วเจอกันนะ เราพูดเช่นนั้น แล้วปล่อยให้เธอกลับไป
วันพรุ่งนี้ เราจะทำอะไรดีนะ .. ว่างชะมัดเลย เราพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะเข้านอน เพื่อให้ 'วันนี้' เปลี่ยนเป็น 'วันพรุ่งนี้'
แต่ในระหว่างที่เรากำลังจะหลับนั้นเอง “ทุกคน แย่แล้ว ทหารของไครอส กำลังตรงมาทางนี้ ไม่แน่ใจว่าจะมาที่นี่รึเปล่า” ใครบางคนได้ส่งเสียงทำลายความเงียบขึ้น และกล่าวถึงทหารของกษัตริย์คนหนึ่งที่เท่าที่มิ้นรู้มานั้น ได้สร้างแต่เพียงความทุกข์ให้กับประชาชนเท่านั้น
ความคิดเห็น