ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Freedom Unite Story

    ลำดับตอนที่ #3 : EP 002 โบราณสถานกลางทะเลทราย (tumgoqwe

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 54


    เขตทะเลทราย สุสานเบรนเนส ตะวันออกเฉียงเหนือ 3000กม.จากมิดแลนด์

                    ฟิ้ว
    ลูกดอกพุ่งผ่านด้านหน้าเฉียดเสื้อผ้าแพรสีน้ำตาลจนขาดเป็นรูโหว่ ร่างของเธรสชายหนุ่มผมดำงองุ้มด้วยอาการหวาดเสียว ก่อนที่ขายาวๆจะก้าวเดินออกไปอีกครั้ง เสียงบู๊ตสีดำกระทบกับพื้นหินจนเกิดเสียงดัง ตึกตัก ตอนนี้เขาอยู่ที่ชั้น 3 ไม่ใช่จากข้างบน แต่ลึกลงมาใต้ดิน 3ชั้นต่างหาก  กำแพงหินทั้งสองด้านยังคงทอดยาวออกไป ความมืดทำให้เขาไม่รู้ว่าด้านหน้ามีอะไร ในมือของนักล่าสมบัติถือน้ำศักดิ์สิทธิ์ สมบัติที่เขาได้มาจากซากโบราณสถานแอลเลียด ที่ซึ่งในสมัยก่อนเคยเป็นเมืองที่มีอารยธรรมชั้นสูงแต่ถูกทำลายไปโดยผู้บุกรุกจากฟากฟ้า น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้จะเรืองแสงได้ในความมืดแต่ก็เป็นเพียงแค่แสงรางๆเท่านั้น
                    เธรสเดินมาตามทางเรื่อยๆจนออกมาสู่ห้องแห่งหนึ่ง เพดานยกสูงขึ้นไปจนมองไม่เห็นด้านบน ความมืดรอบๆตัวบดบังทัศนียภาพจนหมดสิ้น กรึก... ดูเหมือนว่าเขาจะไปเหยียบอะไรเข้าแล้ว หินแปดเหลี่ยมตรงกลางฝ่าเท้าของเขายุบตัวลงไป พร้อมกับเสียงครางโหยหวนดังขึ้นมาจากด้านซ้าย เธรสมั่นใจมากว่าปุ่มนี้คงจะเป็นปุ่มอะไรสักอย่าง ที่ปลุกให้เจ้าของเสียงนั้นตื่นขึ้นจากนิทราอันยาวนาน และมันคงจะไม่ค่อยชอบใจนักที่มีคนมาทำลายความสุขจากการหลับใหลอันยาวนานของมัน เขาออกวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดว่าควรจะไปขอโทษเจ้าของเสียงนั้นดีไหม หวังว่ามันคงจะเป็นแค่หนูตัวเล็กๆที่สามารถทำให้พื้นสะเทือนได้ทุกครั้งที่มันเท้ากระแทกพื้น บู๊ตสีดำยังคงย่ำต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต และ กรึก กรึก  
    โฮกกกกกก..... คราวนี้มีอีกสองเสียงดังขึ้นจากด้านหลังและด้านขวา โอ้พระเจ้า.... 
                    ขวานยักษ์กระแทกลงกับพื้นข้างๆตัวของเขา แรงกระแทกทำให้ร่างของเธรสกระเด็นไปทางขวา และกระแทกกับเสาหินต้นหนึ่งที่ถูกสลักลวดลายเอาไว้อย่างบรรจง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้จิบไวน์ชื่นชมผลงานก่าแก่ล้ำค่านี้ด้วยอารมณ์อันสุนทรีย์ เสาต้นนั้นก็ถูกตัดเป็นสองท่อนด้วยดาบยักษ์   ขนาดของมันใกล้เคียงกับขวานเมื่อครู่ ถ้าคุณนึกไม่ออกว่ามันใหญ่ขนาดไหนลองคิดถึงต้นไม้ที่มีคนสองคนโอบ มันน่าจะใหญ่ประมาณนั้นแหละ
                    เพล้ง.... วัตถุบางอย่างบนเสาต้นที่ถูกตัดไปร่วงลงมาและก่อให้เกิดเปลวเพลิงเล็กๆลุกโชติช่วงอยู่ด้านหลังเสาหินที่เธรสพิงอยู่ แสงจากน้ำศักดิ์สิทธิ์และเปลวไฟไม่ได้ทำให้ห้องนี้ดูสว่างขึ้นมาเลย เธรสคว้าสัมภาระทั้งหมดออกวิ่งอีกครั้ง เขารู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่ตามมาทางด้านหลัง เสียงลูกดอกหวีดอากาศพุ่งเข้ามาพอดีกับที่เขาสะดุดพื้นหินล้มลงไปทำให้มันพลาดเป้า
                    กรึก 
                    ครั้งนี้เปลวไฟบนเสากว่าพันต้นภายในห้องลุกพรึ่บขึ้นมาทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างไสวขึ้น ภายในห้องนี้กว้างกว่าที่เขาคิด ระยะทางจากทางเดินที่เขาเข้ามากับประตูริมสุดอีกฝั่งราวหนึ่งกิโลเมตร เสาหินจำนวนมากเป็นฐานตั้งแท่นคบเพลิงถูกสร้างไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ รูปปั้นทหารสวมเกราะขนาดใหญ่ 7ตัวยืนนิ่ง อีก 3 ตัวกำลังรุกไล่เขาอย่างบ้าคลั่ง    เจ้ารูปปั้นตัวที่หนึ่งเหวี่ยงขวานของมันลอยละลิ่วขึ้นไป ใบขวานหมุนคว้างกลางอากาศก่อนจะลอยลงมากระแทกเข้ากับพื้นด้านหน้าของผู้บุกรุก เนื่องจากเธรสกำลังวิ่งอยู่ทำให้เขากระแทกเข้ากับใบขวานอย่างจัง   ใบหน้าแดงก่ำปูดโปนไปด้วยรอยฟกช้ำและอาการชาแยกเขี้ยวด้วยความแค้น เขาพุ่งตัวไปด้านขวาหวังว่าจะอ้อมผ่านใบขวานยักษ์ที่ขวางทางแต่ก็ต้องล้มลงไปอีก ขาข้างซ้ายของเขาก้าวไม่ได้เพราะขวานทับขากางเกงสีน้ำตาลของเขาอยู่   บ้าจริง เขาพยายามออกแรงที่ขาซ้ายกระชากให้กางเกงขาด แต่สงสัยว่ากางเกงผ้าแพรอย่างดีจากพ่อค้าหน้าเลือดมัททิว ที่เขาซื้อมาด้วยเงินจำนวนมากจะทนทานสมกับที่เจ้าของโม้เอาไว้ โดยไม่ทันจะตั้งตัวลูกดอกก็พุ่งออกมาจากหน้าไม้ของรูปปั้นทหารตัวที่สาม  ปักเข้าที่หัวไหล่ขวาของเขาตรึงไว้กับใบขวาน เธรสเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาเอื้อมมือไปดึงลูกดอกออกจากไหล่ขวาตอนนั้นเองที่ห้องดูเหมือนจะมืดลงอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าไฟดับลงไปแต่เงาของรูปปั้นยักษ์สูงกว่า 5 เมตร ทั้งสามกำลังยืนล้อมเขาไว้ อันที่จริงมันก็ยืนห่างจากเขาประมาณ 10เมตรได้แต่ความสูงของพวกมันบดบังทุกอย่างดาบยักษ์ของทหารตัวที่สองถูกง้างออกแล้วเหวี่ยงลงมาอย่างแรง
                    แต่ตอนนั้นเองที่สายตาของเธรสเปลี่ยนไป ดวงตาสีน้ำตาลจางลงจนกลายเป็นสีเหลือง ในขณะที่ดาบยักษ์ตวัดลงมาก็ลากผ่านเสาต้นหนึ่งซึ่งคบเพลิงด้านบนก็ร่วงลงมาโดนหน้าไม้ของรูปปั้นทหารตัวที่สามจนลูกดอกพุ่งออกมาโดนขาของรูปปั้นตัวที่สองทำให้องศาของดาบเปลี่ยนไป เธรสก้มตัวลงปลายดาบกระแทกเข้ากับใบขวานอย่างแรงจนมันลอยโด่งขึ้นไปด้านหน้า ด้วยแรงดีดทำให้ร่างของเธรสลอยไปด้านหน้าด้วยเช่นกัน  จุดตกของเขาอยู่ใกล้ๆกับประตูพอดี ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 
                    รูปปั้นทหารตัวที่หนึ่งแสดงอาการโกรธออกมามันเตะไปที่พื้นทำให้ถุงย่ามและขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์ลอยกระเด็นมาตกใกล้ๆกับร่างของเธรสพอดิบพอดี ตอนนี้เขาปวดที่หัวไหล่ขวามาก แต่เขาต้องมีชีวิตรอดต่อไป เขาใช้มือซ้ายเก็บน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไปในถุงสัมภาระก่อนที่จะลุกขึ้นสะพายย่ามไว้ที่ไหล่ซ้าย ประตูอยู่ห่างจากเขาอีกแค่ ไม่กี่ก้าว พอดีกับที่ดวงตาของเขากลับมาเป็นสีน้ำตาลอีกครั้ง เขาเหยียบปลายขากางเกงที่ขาดวิ่นออกมาทำให้ล้มหัวโขกกับบานประตูเหล็กเข้าไปเต็มๆ
                    ชายหนุ่มเจ็บใจในความงี่เง่าของตัวเองเขาผลักบานประตูออกแต่ทว่า ประตูถูกล๊อคเอาไว้ ดันเท่าไหร่มันก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย เธรสทุบประตูอย่างบ้าคลั่งขณะที่รูปปั้นทหารตัวที่สามเล็งหน้าไม้มาทางเขาโดยที่เขาไม่ทันเห็น พริบตาที่ลูกดอกพุ่งเข้ามา ดวงตาสีเหลืองก็กลับมาอีกครั้งเธรสสังเกตเห็นเหรียญทองเล็กๆหนึ่งเหรียญเขาก้มลงไปเก็บทำให้ลูกดอกปักเข้าในรูเล็กๆของบานประตูพอดิบพอดีและมีเสียงดัง กริ๊ก !! เขารีบผลักบานประตูสอดร่างเล็กๆผ่านช่องแล้วดันประตูกลับเข้าที่และมันก็ล๊อคตัวมันเอง    เสียงรูปปั้นทหารทุบประตูอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับเขาเมื่อครู่ทำให้เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่วัตถุชิ้นหนึ่ง จริงๆแล้วมันก็เป็นวัตถุชิ้นเดียวภายในห้องเล็กๆแห่งนี้ มันคือแท่นบูชาที่ทำจากหินอ่อนสีขาว แสงสว่างระเรื่อทำให้มันดูขลังยิ่งขึ้น เธรสเดินไปตรงกลางของแท่นนั้นกลางแท่นมี กุญแจเล็กแหลมหนึ่งดอก และ รูสามรูเป็นรูป ดาว จัทร์เสี้ยวและจันทร์เต็มดวง เขาใส่ดาวและจันทร์เสี้ยวลงไปแต่มันขาดอีกหนึ่งอัน
                    บัดซบ !! โดนไอ้พ่อค้าหน้าเลือดมัททิวมันหลอกเอาแล้วหรอเนี่ยเขานั่งลงหลังพิงกับแท่นบูชา มือกุมที่หัวไหล่ด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้ดวงตาของเขากลับมาเป็นสีน้ำตาลเหมือนเดิมแล้ว เขาหยิบยาสมานแผลออกมาจากถุงย่ามสัมภาระ เธรสนึกถึงจำนวนครั้งที่เขาได้ใช้พลังดวงดีไป ถ้านับตอนที่เขารอดตายจากดาบมหึมานั่นก็สองนาทีแล้วตอนที่เขา...เก็บ...ใช่   ใช่แล้วเหรียญนั่น เขาเอาไปไว้ที่ไหนแล้วนะตอนนั้นเขาก้มหยิบมันแต่ก็ได้ยินเสียงประตูปลดล๊อค แล้ว บ้าชิบ เขาทิ้งเหรียญลงแล้วรีบเปิดประตูเข้ามา เธรสเด้งตัวขึ้น เขาตรงรี่เข้าไปสำรวจประตู มันล๊อคเหมือนเดิม มันต้องมีกลไกอะไรสักอย่าง ตอนนั้นที่ประตูเปิดเพราะลูกดอกของไอ้รูปปั้นกิ๊กก๊อกนั่น เขาสังเกตเห็นรูเล็กๆตรงบานประตูแต่มันตันเพราะลูกดอกยังคาอยู่ ปกติประตูโบราณแบบนี้มันต้องมีกลไกไว้เปิดตรงไหนสักแห่ง หรือกุญแจสักดอก....
     เขากลับมาคว้าเอากุญแจที่แท่นบูชา เสียบเข้าไปในรู ใช้แรงทั้งหมดดันลูกดอกอีกฝั่งให้หลุดออกไป จนมีเสียงดังกริ๊ก ชายหนุ่มดึงประตูเหล็กเข้ามาเล็กน้อยเพื่อดูลาดเลาว่าพวกรูปปั้นกลับไปทำหน้าที่ของตนแล้วหรือยัง เหรียญรูปวงกลมยังคงอยู่ที่พื้น เขาเอื้อมมือไปหยิบมัน ทว่าบาทายักษ์ก็ทับลงมาอย่างรวดเร็วแต่เขากระชากมือกลับมาทันก่อนที่จะใช้ไหล่ขวาดันบานประตูกลับที่เดิม ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ให้เอาร้องออกมาอีกครั้ง ในที่สุดบานประตูก็ปิดลง เขาสงสัยว่าคนก่อนหน้าที่เข้ามาที่นี่จะออกไปได้อย่างไรโดยทิ้งกุญแจเอาไว้ แต่นั่นเอาไว้คิดทีหลัง เขาเอาเหรียญพระจันทร์ใส่ลงไปในช่องสุดท้าย แท่นบูชาเปล่งแสงออกมาเป็นอักขระโบราณ แต่เขาอ่านมันออก
                   
    บูชาสิ่งที่เราบูชาแล้วเจ้าจะได้ในสิ่งที่ท่านต้องการ จงตามเสียงไปในยามที่เศษเสี้ยวได้รับการเติมเติม เมื่อแสงได้บดบังเทพเจ้า เมื่อนั้นเจ้าจักพบกับความปิติยินดี  ” เธรสรู้สึกว่าเพดานค่อยๆลดต่ำลงมาแต่เมื่อเขามองดูรอบๆจึงเข้าใจได้ว่าแท่นบูชานี้กำลังยกตัวขึ้นไปต่างหาก เพดานเริ่มเปิดออกฝุ่นทรายตรงลงมาใส่หัวเขาเป็นการแสดงความยินดี แสงจันทร์แยงเข้ามาก่อนที่เขาจะมายืนอยู่กลางทะเลทรายอีกครั้งด้านหน้าคือสถาปัตยกรรมที่เขาเข้าไปผจญภัย เขาไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่เขาไม่ได้อะไรจากมันเลย เขาไม่ได้ยินเสียงใดๆเลยณที่แห่งนี้ คำใบ้บอกว่าให้บูชาพระเจ้าของเขาหรือก็คือพระจันทร์ ซึ่งใครๆก็รู้ว่าสิ่งพวกนี้เป็นแค่เพียงความเชื่อ และเป็นกลให้ผู้ที่เข้ามาพบเจอเริ่มนับถือตามเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะเพิ่มจำนวนสาวกอะไรเทือกนี้
    คว้าน้ำเหลวซะแล้ว นักล่าสมบัติถอนหายใจเขาคว้ากุญแจใส่ลงไปในย่ามและเริ่มออกเดินทาง แท่นหินค่อยๆกลับลงไปในทรายอีกครั้ง ในราตรีที่มีพระจันทร์เสี้ยว ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินทางข้ามทะเลทรายผืนนี้ เป้าหมายของเขาคือ เมือง ดีเซกเกอร์ เมืองแห่งทะเลทราย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×