ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ลำดับตอนที่ 7
ผ่านไปหลายวันไอ้อาการมึน...มึนมันก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นบ้าง....ก็แหมโดนไม้หน้าสามเข้าไปเต็ม...เต็มขนาดนั้น( ไม่ตายก็บุญโขแล้ว)
              แล้วผมก็คิดว่าการเข้ามาเสพความสุขบนเว็บเด็กดีนี่ก็อาจ ( ผมคิดว่ามันคง ) พอจะทำให้ไอ้อาการมึน...มึนในหัวของผมมันเบาเทาเบาบางลงไปได้บ้าง....
                แต่ขอโทษทีเถอะ...เปล่าเลยสักนิด...
                                  “ ให้มันได้อย่างงี้ซิน่า ” ผมเปรย ( รึบ่นก็ไม่แน่ใจนัก) ออกมาเบาๆอย่างหัวเสีย....
                ทำไมน่ะหรือครับ....ก็แทนที่ผมจะรู้สึกเป็นสุข...แบบอิ่มใจสุดๆที่( คาดว่า) เรื่องของผม( มันจะ)มีคนเข้าไปอ่านแบบถล่มทลาย...กลับกลายเป็นว่าไอ้เรื่องเจ้ากรรมที่ผมหวังไว้แบบสุดๆ( แบบเต็มเปี่ยมว่ามันน่าจะพัฒนาระดับความนิยมสูงขึ้นน่ะซิ )    ไหงคะแนนมันหยุดนิ่งอย่างกับใครไปเอาผ้ายันต์ของหลวงพ่อคูณวัดบ้านไร่มาติดไว้ก็ไม่ปาน....( หรือไม่ก็อาจจะมีใครเอาตะปูโรงผีที่ไหนสักแห่งมาตอกปิดไว้เสียก็ไม่รู้)
                นี่ถ้าเทียบกับอ้ายอาการมึนหัว ( จากไม้หน้าสาม)กับอ้ายอาการอึ้งกึ่งและมึนจากความผิดหวัง( ที่ดิ้นรนเข้ามาดูเรื่องของตัวเอง )โอ้โหผมว่าน้ำหนักความทุรนทุรายมันพอๆกันเลยทีเดียวล่ะ... ...( ผมว่าผมนอนเฉยๆน่าจะเวิร์คกว่าไหมเนี๊ย)
                                  “ เอ๊ะหรือว่าเราจะโดนของ ” เหมือนมีพลายกระซิบเข้ามาบอกข้างๆหู ( ไม่เชื่ออย่าลบหลู่)ทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งว่าอาจจะไม่ได้จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทางแหง๋เลย...เรื่องของผมมันถึงเดี๊ยงสนิทได้ขนาดนี้...( เกี่ยวกันไม๊เนี๊ย...ว่าไปนั่น )
             
    ด้วยความคิด( บ้าๆ)ที่ว่า...ทุกสิ่งในโลกนี้สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ (  ต้องรู้จักสังเกต...ตั้งสมมติฐานแล้วก็พิสูจน์) ผมจึงลุกขึ้นไปหน้ากระจกเพื่อส่องดูว่าราศีราสันบนใบหน้าของผมมันเป็นยังไงบ้าง( ยังขาวผ่องเหมือนเดิมไหมนะ)...พลางตั้งคำถามไปด้วยว่าไหงเรื่องเรามัน...ถึงได้ตกต่ำอย่างนี้นะ...ทั้งที่เรื่องก็ออกจะดี( รึเปล่า)
              ปรากฎว่า “ ดำ ”  ครับ.. “ ดำสนิท ” เชียว( ทั้งหน้าและตัวเลย) แถมหมองคล้ำอย่างอ้ายพลายกระซิบมันบอกจริงด้วย                                 
                      “ นั่นว่าแล้วเชียวเรื่องของเราเลยไม่ค่อยมีใครเข้าไปอ่านเลย...อย่างนี้ต้องแก้เคล็ด ” ว่าไปน่าน...
              ว่าแล้วผมก็เลยลงมือจุดธูปกำใหญ่พลางอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเท่าทีมีและเท่าทีผมพอจะนึกออกจากสมอง( บื้อๆของผม)  ..แบบว่าเผื่อจะช่วยอะไรๆให้มันดีขึ้นบ้าง...( คนหมดกำลังใจกับคุณไสนี่ของคู่กันเชียวล่ะคุณเอ้ย )
                              “ เจ้าประคูณ...ตอนนี้ลูกช้างเริ่มลงเรื่องที่เว็บเด็กดีแล้วนะขอรับ...สิ่งใดที่ลูกล่วงเกินโดยการลงเรื่องโดยไม่ได้บอกไม่กล่าว...ขอเทพเจ้าแห่งเว็บเด็กดีและเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย( ในเว็บใกล้เคียง)อย่าได้โกรธเคืองความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวลูกเลย ”    ผมยังคงบอกขอขมาลาโทษอีกยืดยาวทีเดียวล่ะกว่าจะจบ...ก่อนจะตบท้ายแบบหยอดลูกอ้อนต่อไปว่า “...ช่วยกันดลจิตดลใจให้คนมาอ่านเรื่องของลูกมากขึ้น...มากขึ้น..ภายในสามวัน เจ็ดวันด้วย  เทอด...สาธุ ” ( แหมทำไปได้) 
                     
    แล้วก็จัดแจงเอาธูปเกือบหมดทั้งกำมือไปปักกลางแจ้งหน้าบ้าน...แล้วกลับมานั่งหน้าคอมอย่างเดิม...แหม
                ช่วยได้เยอะเลยครับ...อย่างน้อยก็ทางความรู้สึกอย่างนึงล่ะ... ( ผมคิดนะ)
                  เมื่อใจมันเริ่มสบาย...( แต่ไม่ค่อยสงบ) ผมก็เริ่มเข้าไปที่เรื่องของผมเช่นเคย(กลายเป็นสิ่งแรกที่ผมต้องทำเมื่อเรียกเน็ตเลยก็ว่าได้)...ด้วยใจที่ซังกะตายเต็มที....
                คะแนน...อันน้อยนิดมองแล้วชวนหดหู่ชอบกล...( เศร้าจัง) ความไม่แน่ใจในหนทางมืดๆของถนนสายนักเขียนสายนี้ผุดขึ้นมาในสมองของผมอย่างช่วยไม่ได้....แต่จะให้ทำไงได้ล่ะครับ....
              บนบานสานกล่าวก็ทำแล้วนี่
                                                        \"  ยังไงเสียหอไอเฟลก็ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด...เรื่องของเรามันจะป๊อปขึ้นมาในชั่วข้ามคืนนี่ก็เห็นทีจะกระไรอยู่แฮ่ะ \"  ผมเริ่มสันหาคำปลอบใจต่างๆนานาที่เคยได้ยินมาจากคนอื่นบ้าง...ข้างห้องน้ำบ้าง...มาบอกกับตัวเอง....แม้มันจะช่วยได้ไม่มากนักก็เหอะ...แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ใจมันหดหู่อยู่แบบนี้...
                       
    แล้วผมจึงเข้าไปอ่านความคิดเห็น( อันน้อยนิดอีกเช่นกัน) ทางด้านล่างของเรื่องด้วยความชื้นในใจขึ้นมานิดนึงว่า...อย่างน้อยก็มีคนที่เค้าอ่านงานของเราเหมือนกันล่ะน่า...ถึงคนอื่น( ส่วนใหญ่)จะไม่ชอบใจก็ตามทีเถอะ...แต่
              “คนอ่านน้อยนิดเหล่านี้ก็เป็นกำลังใจและยาชั้นดีสำหรับนักเขียนที่ท้อแท้..(วันละสิบรอบ) อย่างผม ”
            หนทางแห่งนักเขียนอาชีพ...ที่ดูสลัวลาง...พลันได้แสงสว่างจากประทีปไฟของกำลังใจจากข้อความเหล่านั้น...ทำให้ผมเริ่มงานของตนเองขึ้นอีกครั้ง..
            ผมเริ่มอ่านข้อคิดเห็นที่ฝากไว้ไปเรื่อยๆ....แต่แล้วผมก็ไปสะดุดใจกับข้อความ....ข้อความหนึ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า...
            ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คล้ายๆกับข้อความอื่นๆที่เค้าทิ้งไว้...แต่สำคัญและพิเศษอยู่ตรงที่...ชื่อของคนที่ฝากชื่อเอาไว้นี่ซิ...หน้าใหม่สุดๆ..
                                            “  นันทวุฒฺหรือ ”  ผมครางออกมาเบาๆแล้วทำท่าทางจะระลึกชาติ...ได้ว่าเมื่อสองสามวันก่อนผมน่าจะเคยอ่านงานของเค้ามาก่อนอย่างแน่นอน...
                                            “ เอ...ใช่คนเดียวกับฝันร้ายอะปล่าวหว่า”  ผมพยามทวนความจำอย่างหนักว่าน่าจะเป็นของคนที่ผมเคยอ่านหรือเปล่า
                           
                              “ ฝันร้าย ” เป็นงานที่ผมเคยอ่านเมื่อสองสามวันก่อน...ด้วยเหตุที่ผมมีความชอบส่วนตัวในการอ่านเรื่องหักมุมอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว...และเรื่องนี้ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างพอเหมาะพอเจาะ( อย่ากะใครเอามาวางอยู่ตรงหน้า)...ผมก็เลยมีโอกาสได้อ่านเรื่องดังกล่าวโดยไม่ตั้งใจนัก
            เริ่มต้นบรรยากาศของเรื่องก็แทบจะไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าพิเศษตรงไหนเลย...งานเขียนเริ่มที่การบรรยายเรื่องด้วยคำสนทนาของคนคู่หนึ่งที่กำลังตึงเครียดด้วยปัญหาอะไรซักอย่างที่นำมาซึ่งการฆ่ากันตายในเวลาต่อมา
                ผมก็เริ่มแบบว่า...อะนะมาถึงก็ฆ่ากันเลยหรอ...อะไรทำนองนี้...แต่มันก็กระตุ้นความรู้สึกอยากรู้ให้มีมากขึ้น...แบบว่ามันเป็นแนวหักมุมก็น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้การสังเกตเป็นพิเศษ( เพื่อจับแนวของเรื่อง)...แต่กลายเป็นว่าอ้ายที่ใช้ความสังเกตกับความตั้งใจที่มีทั้งหมดในหัวเพื่อหาแกนของเรื่องเนี๊ย...เหนื่อยเปล่าทั้งเพ...
                     
    ก็อ้ายที่เกริ่นมานั้น...มันก็แค่...ฝันร้ายเท่านั้นเอง
                         
                                                    “ โถ่เอ้ย ” ผมพึงพำออกมาอย่างหัวเสียเล็กน้อย...ก็แหมอุตส่าห์ตั้งใจอ่านเสียดิบดีเชียว ( แบบว่าตั้งใจจะจับผิดคนเขียนเต็มที่ )
                นั้นคือความรู้สึกที่สองเมื่ออ่านมาได้สักระยะหนี่งของเรื่อง...แต่พออ่านมาได้อีกซักระยะ....ผมก็เพิ่งประจักษ์แก่สมอง ( โง่ๆ) ของผมว่า...สิ่งที่ผมคิดมันผิดสิ้นดี...
                           
    ผมว่าเรื่องหักมุมนี่มันมีเสน่ห์ในตัวของมันอย่างหนึ่งนั้นคือ...การยากจะคาดเดาได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้เขียนตั้งใจจะสื่อ...ทำให้คนอ่านงงและสงสัยอยู่ตลอดเวลา....และเมื่อปมมันเผิยออกมาเราอาจจะกรีดร้องอย่างหัวเสียในตอนจบที่คาดไม่ถึงก้ได้...นี่แหละที่เค้าเรียกว่า หักมุม
    และผู้เขียนท่านนี้ก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว
                         
    การหลอกล่อให้คนอ่านไขว้เขวเป็นศาสตร์อย่างนึ่งที่ผมคิดว่ายากและน่าสนใจทีเดียว...ด้วยปกติเมื่อเราอ่านอะไรสักชิ้นเราก็จะแบบว่าอ่านไป...และก็คาดเดาไปด้วย...
                  และเมื่อเรื่องมาถึงตอนจบ...เราก็จะแบบว่า..เห็นไหม..กรูว่าแล้วเชียวอะไรทำนองนี้..แต่ถ้ามันตรงข้ามกับที่เราคิดล่ะ...นี่แหล่ะเสน่ห์ของเรื่องหักมุม
                  และสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่สามารถวัดหรือบอกความสามารถของผู้เขียนออกมาได้ดีทีเดียวว่า...คนเขียนคนนั้นเก่งในการดำเนินเรื่องมากน้อยแค่ไหน...อีกทั้งเป็นคนที่คิดหรือมองสิ่งต่างๆได้แปลกแยกกว่าเราๆท่านๆแค่หรือเปล่า...
          ซึ่งงานเขียนชิ้นนี้บอกได้ดีทีเดียวว่า...ผู้เขียนเป็นคนที่เก่งในการหลอกล่อ...( อย่างน้อยก็หลอกผมติดกับได้อะ) เพราะท่านสามารถทำให้ผู้อ่านมีความรู้สึกไขว้เขวในสิ่งที่ตนกำลังอ่านและคิดว่าเรื่องนี้...แบบนี้มันน่าจะมีจุดจบอย่างไร ได้ดีทีเดียว และเชื่อย่างที่สุดว่าคนที่ออบก็ทำท่าฉลาด(เดา)ไปจนถึงจุดจบของเรื่อง..ซึ่งเรื่องหักมุมบางเรื่อง....ยากที่จะคาดเดาได้ถูกทีเดียวล่ะ...และสำหรับ..\" ฝันร้าย\" ผมว่าคงมีใครเอาหัวไปโขกเสาแบบอยากจะบ้าตายบ้างล่ะ...
                         
                            ผมจำได้ว่าหลังจากอ่านเรื่องนั้นจบ...ไอ้ความรู้สึกแบบว่า...อยากอ่านมันยังไม่หมดไปทีเดีว...ผมก็เลยลองเข้าไปอ่านอีกเรื่องของคุณนันทวุฒิด้วยใจที่ยังกระหายที่จะทราบเรื่องและแนวคิดของนักเขียนคนนี้เสียจริง...แบบว่าอยากอ่านให้ลึกมองให้ทะลุทอะไรแบบนั้น
                          ดังนั้นมานจึงเป็นที่มาของเรื่องหักมุมอีกเรื่องที่ผม ( ยอม) เข้าไปอ่าน...
                         
                          ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร( ขอโทษที)...แต่แบบว่าเนื้อเรื่องนี่...พออ่านปุ๊ปก็สามารถเดาได้ทีเดียวว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป...และจุดจบมันก็เป็นอย่างที่เราอ่านจริงๆด้วย...ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะชื่อ...ลักพาตัวหรืออะไรสักอย่าง...
                            ด้วยกลในการหลอกล่อนั้น...ผู้เขียนยังทำได้ไม่ดีนัก...ตลอดจนมีคำบรรยายเนื้อเรื่องน้อยจนสามารถจับความเป็นไปได้( ของสิ่งที่ผู้เขียนต้องกาจะสื่อออก)...จนนำไปสู่ความคาดเดาที่ถูทางในที่สุด...ทำให้สเน่ห์ของเรื่องหักมุมเรื่องนี้( ลักพา)หายไปเลยทีเดียว...พร้อมกับความชื่นชมที่มีให้กับตัวนักเขียนคนนี้ของผมด้วย...
                          และเกิดคำถามว่า...ตกลงว่าเขาเก่งจริงอะปล่าวหว่า...(ต้องขอบอกว่าเรื่องนี้ต่างจาก \"ฝันร้าย ลิบลับเลยทีเดียว...
                         
                          ผมจึงไม่รอช้าที่จะพิมพ์ความรู้สึกที่มีทั้งหมดของผมไว้ที่เรื่องดังกล่าว...พร้อมกับเอ่ยเชิญชวนให้เขาเข้ามาอ่านเรื่องของผมบ้าง ( แอบโฆษณาเล็กๆ)
                         
                            นั้นคือสิ่งที่ผมพอจะจำได้...เกี่ยวกับนักเขียนคนนี้....
                          \"  บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก...ข้าน้อยจะขอทดแทนทุกชาติไป \"  ( เริ่มเพี้ยนอีกแล้ว)
                            ดังนั้นผมจึงเข้าไปค้นหาโดยใช้ชื่อของคนเขียน...ในการค้นหาแล้วก็พบว่า...เรื่องที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้นมีเรื่องใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งนั้นคือ...มัน( IT)
                            ผมมองอย่างพิจารณาก็พบว่าควรเข้าไปในเรื่องใหม่นี้อย่างยิ่งเพราะ...ความสารถในการเขียนเรื่องสั้นกับเรื่องยาวนั้นต่างกัน...คนบางคนเขียนเรื่องสั้นได้ดี...แต่กับเรื่องยาวนั้น...( มานไม่สุภาพ..ม่ายพูดดีกว่านะ)
                            มัน(IT) นี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความลึกลับน่าสยดสยองแบบที่คนที่( แฝง) ชอบความรุนแรงหลายคนคงชอบอ่าน...ด้วยการเปิดเรื่องที่ชวนให้ขนพอง...และการบรรยายภาพของสถานที่และอากับกริยาของตัวละคร...มันชวนขนลุกอย่างช่วยไม่ได้....
                          เมื่ออ่านตอนแรกจบ...ผมเริ่มถามตัวเองว่าผมคิดยังไงกับเรื่องนี้....คำตอบที่ผมมีก็คือ...
                          \" เข้าไปอ่านต่อซิอ้ายบื้อ\"  ( แป๋ว)
                            ตอนที่สองการปูเรื่องค่อนข้างสับสนนิดหน่อยในตอนต้นๆของบท...และความสามารถในการบรรยายฉากที่ใช้ในเรื่องยังไม่ดีนัก..จึงทำเนื้อเรื่องที่อ่านได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร....จากความผิดพลาดนี้อาจเกิดจากความเคยชินของผู้เขียนที่แต่งเรื่องสั้นเสียเป็นส่วนใหญ่....แต่การทิ้งปม...และการหลอกล่อ...เล่นกับความรู้สึกอยากรู้นั้น...คนเขียนทำได้ยอดเยี่ยมทีเดียว...
                            \"  เฮ่อ...ไงมันชวนขนลุกอย่างนี้ว่ะ \"  ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้น...ด้วยกลัวว่าต้องนอนฝันร้ายแหงเลยคืนนี้...แต่ก็เอาก็เอา...ความอยากรู้( บวกซาดิส) มีมากกว่าความกลัวที่เกิดขึ้น...
                            ตอนที่สามนี่...โอ้โหยิ่งแย่ใหญ่....แย่มากๆๆๆๆ.
                          แบบว่ายิ่งอ่านยิ่งน่ากลัว...แล้วก็สงสัย....แล้วก็กลับมาน่ากลัวอีก....วกวนอยู่กับสองประโยคนี้...จนรู้สึกว่า...โอ้โหคนเขียนเก่งแฮ่ะที่สามรถทำให้เรารู้สึกแบบนี้ตลอดเวลาที่อ่านงานชิ้นนี้ได้.....ไม่ธรรมดาเลย
                            ในความรู้สึก( ส่วนตัว) ผมว่าคนเขียนเป็นคนที่เขียนเรื่องแนวหักมุมและสยองขวัญได้ดีจริงๆ....ด้วยแนวคิดที่ไม่เคยราบเรียบ...และเกินคาดเดาอยู่ตลอดเวลาทำให้คิดต่างมุมมองกับคนอื่นได้อย่างน่าชื่นชม...อีกทั้งผู้เขียนเก่งในการทิ้งปมให้อ่านตลอดเรื่อง...แบบว่ากลัวคนอ่านจะไม่งง...เดี๋ยวก็ปล่อย...เดี๋ยวก็ปล่อย...ปมจนบางทีก็ลืม...และก็พาให้สับสนในสิ่งที่กำลังค้นหาอยู่เหมือนกัน....
                            แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไปอย่างน่าเสียดาย...นั้นคือการดำเนินเรื่องและการลำดับเรื่องที่บางครั้งดูสับสน....และกระโดดไปบ้าง...
อีกทั้งการบรรยายในบ้างช่วงสั้นจนก่อความรู้สึกไม่เต็มที่...
                            หากแต่ความรู้สึกดังกล่าก็ไม่ได้ทำให้ความน่าอ่านของเรื่องนี้ลดลงไปเลย...ด้วยกว่าสิ่งตื่นเต้นและลี้ลับ...มักรอเราเข้าอ่านอยู่เสมอ...
                            ก็ขนาดคนหน้าดำๆ( อย่างผม) ยังขาวขึ้นมาได้ด้วยแป้งทั้งกระป๋องเลย...
                                \" ก๊อกๆๆๆ\" เสียงใครคนหนึ่งเคาะอยู่ที่หน้าห้องผม...ด้วยความกลัวก็แบบว่าใครหว่าดึกป่านนี้ยังจะมาเรียกอีก...
เดี๋ยวเถอะพ่อจะ...ด่าซะให้ลืมชื่อไปเลย( ทำหน้าแบบโหดๆ)
                            แต่ปรากฎว่าพอผมเปิดประตูออกไป...ชายสองคนใส่เครื่องแบบคล้ายว่าจะเป็นตำรวจ...กับหญิงสาวและชายหนุ่มที่ผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดีว่าอยู่ข้างบ้านผมยืนทำหน้าถมึงทึงน่ากลัวอยู่....
                                  \" จับมันเลยคะ\" เสียงนั้นดังแหวมาทันทีที่ผมเปิดประตูออกไป...
                                  \" เรื่องอะไรครับ...ผมไปทำอะไรให้...อยู่ๆก้มาเรียกผมดึกๆดื่นๆแบบนี้...แล้วยังจะมาเอาตำรวจมาจับผมอีก...ระวังผมจะฟ้องเอานะคุณ\" ผมว่าอย่างไม่พอใจ...พลางขู่สำทับ...
                                  ก็อ้ายตัวผมก็หนึ่งในแผ่นดินเหมือนกัน...แค่นี้มีหรือจะยอม...
                                  แต่ผมก็ต้องพยองอยู่ได้ไม่นาน...เมื่อเพื่อนแหวกลับมาดังกว่าเดิมเสียอีก...ผมเริ่มหน้าซีด...และก็ซีด...พลางขอตัวเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าสิบห้านาที...เพื่อไปโรงพัก...
                                  ทำไมนะหรือครับ....
                                  ก็ผมถูกจับข้อหา...ตั้งใจวางเพลิงและก่อความไม่สงบให้เพื่อนบ้านหน่ะซิครับ...
                                งง....งงล่ะซิ....
                                ก็ไอ้ธูปที่ผมปักไว้หน้าบ้านไง...ปลิวไปติดไฟกับเสื้อผ้าข้างบ้านเข้าโดยที่ผมก็ไม่รู้....
                                \" ซวยชิบ...เป้งเลย\" ขอตัวไปเสียค่าปรับก่อนนะครับ
                                                                                                                                  วานิช นิ่มสกุล
ปล. เรื่อง มัน( it ) ขณะนี้ยังไม่ปิดเรื่อง....( 14 ตุลาคม 2546) ซึ่งลงเรื่องล่าสุดจำนวน 5 ตอน...สำหรับผู้ที่สนใจเรียนเชิญที่http://www.dekdee.com/entertain/viewlong.php?id=3893(พิสูจน์ดูครับ)
ปล 2 หากคำพูดคำหนึ่งคำใดที่ข้าพดจ้าใช้ในการวิจารณ์ไม่ตรงใจผู้เขียนไปบ้าง...ข้าพเจ้ายินดีน้อมรับความผิดไว้แต่ผู้เดียว...
ขณะนี้เรื่อง มัน ของคุณนัทวุฒิ ปิดปรับปรุงเป็นการชั่วคราวครับคาดว่าคงอีกนานพอดูกว่าจะกลับมา...อาระวาดความสยองให้เราๆท่านได้ลิ้มลองความขนพองสยองเกล้าเล่นๆแน่นอน...
แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของราชาแห่งความสยองคนนี้แนะนำที่
รวมเรื่องระทึกขวัญ ของคุณนัทวุฒิครับ ปัจจุบันมีด้วยกัน 9ตอน(4/1/4) และวคุณจะทราบว่า...\" นรกนั้นไม่ได้มีแต่ในจิตนาการณ์ครับที่
http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=6022 ครับผม
   
   
   
              แล้วผมก็คิดว่าการเข้ามาเสพความสุขบนเว็บเด็กดีนี่ก็อาจ ( ผมคิดว่ามันคง ) พอจะทำให้ไอ้อาการมึน...มึนในหัวของผมมันเบาเทาเบาบางลงไปได้บ้าง....
                แต่ขอโทษทีเถอะ...เปล่าเลยสักนิด...
                                  “ ให้มันได้อย่างงี้ซิน่า ” ผมเปรย ( รึบ่นก็ไม่แน่ใจนัก) ออกมาเบาๆอย่างหัวเสีย....
                ทำไมน่ะหรือครับ....ก็แทนที่ผมจะรู้สึกเป็นสุข...แบบอิ่มใจสุดๆที่( คาดว่า) เรื่องของผม( มันจะ)มีคนเข้าไปอ่านแบบถล่มทลาย...กลับกลายเป็นว่าไอ้เรื่องเจ้ากรรมที่ผมหวังไว้แบบสุดๆ( แบบเต็มเปี่ยมว่ามันน่าจะพัฒนาระดับความนิยมสูงขึ้นน่ะซิ )    ไหงคะแนนมันหยุดนิ่งอย่างกับใครไปเอาผ้ายันต์ของหลวงพ่อคูณวัดบ้านไร่มาติดไว้ก็ไม่ปาน....( หรือไม่ก็อาจจะมีใครเอาตะปูโรงผีที่ไหนสักแห่งมาตอกปิดไว้เสียก็ไม่รู้)
                นี่ถ้าเทียบกับอ้ายอาการมึนหัว ( จากไม้หน้าสาม)กับอ้ายอาการอึ้งกึ่งและมึนจากความผิดหวัง( ที่ดิ้นรนเข้ามาดูเรื่องของตัวเอง )โอ้โหผมว่าน้ำหนักความทุรนทุรายมันพอๆกันเลยทีเดียวล่ะ... ...( ผมว่าผมนอนเฉยๆน่าจะเวิร์คกว่าไหมเนี๊ย)
                                  “ เอ๊ะหรือว่าเราจะโดนของ ” เหมือนมีพลายกระซิบเข้ามาบอกข้างๆหู ( ไม่เชื่ออย่าลบหลู่)ทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งว่าอาจจะไม่ได้จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทางแหง๋เลย...เรื่องของผมมันถึงเดี๊ยงสนิทได้ขนาดนี้...( เกี่ยวกันไม๊เนี๊ย...ว่าไปนั่น )
             
    ด้วยความคิด( บ้าๆ)ที่ว่า...ทุกสิ่งในโลกนี้สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ (  ต้องรู้จักสังเกต...ตั้งสมมติฐานแล้วก็พิสูจน์) ผมจึงลุกขึ้นไปหน้ากระจกเพื่อส่องดูว่าราศีราสันบนใบหน้าของผมมันเป็นยังไงบ้าง( ยังขาวผ่องเหมือนเดิมไหมนะ)...พลางตั้งคำถามไปด้วยว่าไหงเรื่องเรามัน...ถึงได้ตกต่ำอย่างนี้นะ...ทั้งที่เรื่องก็ออกจะดี( รึเปล่า)
              ปรากฎว่า “ ดำ ”  ครับ.. “ ดำสนิท ” เชียว( ทั้งหน้าและตัวเลย) แถมหมองคล้ำอย่างอ้ายพลายกระซิบมันบอกจริงด้วย                                 
                      “ นั่นว่าแล้วเชียวเรื่องของเราเลยไม่ค่อยมีใครเข้าไปอ่านเลย...อย่างนี้ต้องแก้เคล็ด ” ว่าไปน่าน...
              ว่าแล้วผมก็เลยลงมือจุดธูปกำใหญ่พลางอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเท่าทีมีและเท่าทีผมพอจะนึกออกจากสมอง( บื้อๆของผม)  ..แบบว่าเผื่อจะช่วยอะไรๆให้มันดีขึ้นบ้าง...( คนหมดกำลังใจกับคุณไสนี่ของคู่กันเชียวล่ะคุณเอ้ย )
                              “ เจ้าประคูณ...ตอนนี้ลูกช้างเริ่มลงเรื่องที่เว็บเด็กดีแล้วนะขอรับ...สิ่งใดที่ลูกล่วงเกินโดยการลงเรื่องโดยไม่ได้บอกไม่กล่าว...ขอเทพเจ้าแห่งเว็บเด็กดีและเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย( ในเว็บใกล้เคียง)อย่าได้โกรธเคืองความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวลูกเลย ”    ผมยังคงบอกขอขมาลาโทษอีกยืดยาวทีเดียวล่ะกว่าจะจบ...ก่อนจะตบท้ายแบบหยอดลูกอ้อนต่อไปว่า “...ช่วยกันดลจิตดลใจให้คนมาอ่านเรื่องของลูกมากขึ้น...มากขึ้น..ภายในสามวัน เจ็ดวันด้วย  เทอด...สาธุ ” ( แหมทำไปได้) 
                     
    แล้วก็จัดแจงเอาธูปเกือบหมดทั้งกำมือไปปักกลางแจ้งหน้าบ้าน...แล้วกลับมานั่งหน้าคอมอย่างเดิม...แหม
                ช่วยได้เยอะเลยครับ...อย่างน้อยก็ทางความรู้สึกอย่างนึงล่ะ... ( ผมคิดนะ)
                  เมื่อใจมันเริ่มสบาย...( แต่ไม่ค่อยสงบ) ผมก็เริ่มเข้าไปที่เรื่องของผมเช่นเคย(กลายเป็นสิ่งแรกที่ผมต้องทำเมื่อเรียกเน็ตเลยก็ว่าได้)...ด้วยใจที่ซังกะตายเต็มที....
                คะแนน...อันน้อยนิดมองแล้วชวนหดหู่ชอบกล...( เศร้าจัง) ความไม่แน่ใจในหนทางมืดๆของถนนสายนักเขียนสายนี้ผุดขึ้นมาในสมองของผมอย่างช่วยไม่ได้....แต่จะให้ทำไงได้ล่ะครับ....
              บนบานสานกล่าวก็ทำแล้วนี่
                                                        \"  ยังไงเสียหอไอเฟลก็ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด...เรื่องของเรามันจะป๊อปขึ้นมาในชั่วข้ามคืนนี่ก็เห็นทีจะกระไรอยู่แฮ่ะ \"  ผมเริ่มสันหาคำปลอบใจต่างๆนานาที่เคยได้ยินมาจากคนอื่นบ้าง...ข้างห้องน้ำบ้าง...มาบอกกับตัวเอง....แม้มันจะช่วยได้ไม่มากนักก็เหอะ...แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ใจมันหดหู่อยู่แบบนี้...
                       
    แล้วผมจึงเข้าไปอ่านความคิดเห็น( อันน้อยนิดอีกเช่นกัน) ทางด้านล่างของเรื่องด้วยความชื้นในใจขึ้นมานิดนึงว่า...อย่างน้อยก็มีคนที่เค้าอ่านงานของเราเหมือนกันล่ะน่า...ถึงคนอื่น( ส่วนใหญ่)จะไม่ชอบใจก็ตามทีเถอะ...แต่
              “คนอ่านน้อยนิดเหล่านี้ก็เป็นกำลังใจและยาชั้นดีสำหรับนักเขียนที่ท้อแท้..(วันละสิบรอบ) อย่างผม ”
            หนทางแห่งนักเขียนอาชีพ...ที่ดูสลัวลาง...พลันได้แสงสว่างจากประทีปไฟของกำลังใจจากข้อความเหล่านั้น...ทำให้ผมเริ่มงานของตนเองขึ้นอีกครั้ง..
            ผมเริ่มอ่านข้อคิดเห็นที่ฝากไว้ไปเรื่อยๆ....แต่แล้วผมก็ไปสะดุดใจกับข้อความ....ข้อความหนึ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า...
            ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คล้ายๆกับข้อความอื่นๆที่เค้าทิ้งไว้...แต่สำคัญและพิเศษอยู่ตรงที่...ชื่อของคนที่ฝากชื่อเอาไว้นี่ซิ...หน้าใหม่สุดๆ..
                                            “  นันทวุฒฺหรือ ”  ผมครางออกมาเบาๆแล้วทำท่าทางจะระลึกชาติ...ได้ว่าเมื่อสองสามวันก่อนผมน่าจะเคยอ่านงานของเค้ามาก่อนอย่างแน่นอน...
                                            “ เอ...ใช่คนเดียวกับฝันร้ายอะปล่าวหว่า”  ผมพยามทวนความจำอย่างหนักว่าน่าจะเป็นของคนที่ผมเคยอ่านหรือเปล่า
                           
                              “ ฝันร้าย ” เป็นงานที่ผมเคยอ่านเมื่อสองสามวันก่อน...ด้วยเหตุที่ผมมีความชอบส่วนตัวในการอ่านเรื่องหักมุมอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว...และเรื่องนี้ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างพอเหมาะพอเจาะ( อย่ากะใครเอามาวางอยู่ตรงหน้า)...ผมก็เลยมีโอกาสได้อ่านเรื่องดังกล่าวโดยไม่ตั้งใจนัก
            เริ่มต้นบรรยากาศของเรื่องก็แทบจะไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าพิเศษตรงไหนเลย...งานเขียนเริ่มที่การบรรยายเรื่องด้วยคำสนทนาของคนคู่หนึ่งที่กำลังตึงเครียดด้วยปัญหาอะไรซักอย่างที่นำมาซึ่งการฆ่ากันตายในเวลาต่อมา
                ผมก็เริ่มแบบว่า...อะนะมาถึงก็ฆ่ากันเลยหรอ...อะไรทำนองนี้...แต่มันก็กระตุ้นความรู้สึกอยากรู้ให้มีมากขึ้น...แบบว่ามันเป็นแนวหักมุมก็น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้การสังเกตเป็นพิเศษ( เพื่อจับแนวของเรื่อง)...แต่กลายเป็นว่าอ้ายที่ใช้ความสังเกตกับความตั้งใจที่มีทั้งหมดในหัวเพื่อหาแกนของเรื่องเนี๊ย...เหนื่อยเปล่าทั้งเพ...
                     
    ก็อ้ายที่เกริ่นมานั้น...มันก็แค่...ฝันร้ายเท่านั้นเอง
                         
                                                    “ โถ่เอ้ย ” ผมพึงพำออกมาอย่างหัวเสียเล็กน้อย...ก็แหมอุตส่าห์ตั้งใจอ่านเสียดิบดีเชียว ( แบบว่าตั้งใจจะจับผิดคนเขียนเต็มที่ )
                นั้นคือความรู้สึกที่สองเมื่ออ่านมาได้สักระยะหนี่งของเรื่อง...แต่พออ่านมาได้อีกซักระยะ....ผมก็เพิ่งประจักษ์แก่สมอง ( โง่ๆ) ของผมว่า...สิ่งที่ผมคิดมันผิดสิ้นดี...
                           
    ผมว่าเรื่องหักมุมนี่มันมีเสน่ห์ในตัวของมันอย่างหนึ่งนั้นคือ...การยากจะคาดเดาได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้เขียนตั้งใจจะสื่อ...ทำให้คนอ่านงงและสงสัยอยู่ตลอดเวลา....และเมื่อปมมันเผิยออกมาเราอาจจะกรีดร้องอย่างหัวเสียในตอนจบที่คาดไม่ถึงก้ได้...นี่แหละที่เค้าเรียกว่า หักมุม
    และผู้เขียนท่านนี้ก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว
                         
    การหลอกล่อให้คนอ่านไขว้เขวเป็นศาสตร์อย่างนึ่งที่ผมคิดว่ายากและน่าสนใจทีเดียว...ด้วยปกติเมื่อเราอ่านอะไรสักชิ้นเราก็จะแบบว่าอ่านไป...และก็คาดเดาไปด้วย...
                  และเมื่อเรื่องมาถึงตอนจบ...เราก็จะแบบว่า..เห็นไหม..กรูว่าแล้วเชียวอะไรทำนองนี้..แต่ถ้ามันตรงข้ามกับที่เราคิดล่ะ...นี่แหล่ะเสน่ห์ของเรื่องหักมุม
                  และสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่สามารถวัดหรือบอกความสามารถของผู้เขียนออกมาได้ดีทีเดียวว่า...คนเขียนคนนั้นเก่งในการดำเนินเรื่องมากน้อยแค่ไหน...อีกทั้งเป็นคนที่คิดหรือมองสิ่งต่างๆได้แปลกแยกกว่าเราๆท่านๆแค่หรือเปล่า...
          ซึ่งงานเขียนชิ้นนี้บอกได้ดีทีเดียวว่า...ผู้เขียนเป็นคนที่เก่งในการหลอกล่อ...( อย่างน้อยก็หลอกผมติดกับได้อะ) เพราะท่านสามารถทำให้ผู้อ่านมีความรู้สึกไขว้เขวในสิ่งที่ตนกำลังอ่านและคิดว่าเรื่องนี้...แบบนี้มันน่าจะมีจุดจบอย่างไร ได้ดีทีเดียว และเชื่อย่างที่สุดว่าคนที่ออบก็ทำท่าฉลาด(เดา)ไปจนถึงจุดจบของเรื่อง..ซึ่งเรื่องหักมุมบางเรื่อง....ยากที่จะคาดเดาได้ถูกทีเดียวล่ะ...และสำหรับ..\" ฝันร้าย\" ผมว่าคงมีใครเอาหัวไปโขกเสาแบบอยากจะบ้าตายบ้างล่ะ...
                         
                            ผมจำได้ว่าหลังจากอ่านเรื่องนั้นจบ...ไอ้ความรู้สึกแบบว่า...อยากอ่านมันยังไม่หมดไปทีเดีว...ผมก็เลยลองเข้าไปอ่านอีกเรื่องของคุณนันทวุฒิด้วยใจที่ยังกระหายที่จะทราบเรื่องและแนวคิดของนักเขียนคนนี้เสียจริง...แบบว่าอยากอ่านให้ลึกมองให้ทะลุทอะไรแบบนั้น
                          ดังนั้นมานจึงเป็นที่มาของเรื่องหักมุมอีกเรื่องที่ผม ( ยอม) เข้าไปอ่าน...
                         
                          ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร( ขอโทษที)...แต่แบบว่าเนื้อเรื่องนี่...พออ่านปุ๊ปก็สามารถเดาได้ทีเดียวว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป...และจุดจบมันก็เป็นอย่างที่เราอ่านจริงๆด้วย...ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะชื่อ...ลักพาตัวหรืออะไรสักอย่าง...
                            ด้วยกลในการหลอกล่อนั้น...ผู้เขียนยังทำได้ไม่ดีนัก...ตลอดจนมีคำบรรยายเนื้อเรื่องน้อยจนสามารถจับความเป็นไปได้( ของสิ่งที่ผู้เขียนต้องกาจะสื่อออก)...จนนำไปสู่ความคาดเดาที่ถูทางในที่สุด...ทำให้สเน่ห์ของเรื่องหักมุมเรื่องนี้( ลักพา)หายไปเลยทีเดียว...พร้อมกับความชื่นชมที่มีให้กับตัวนักเขียนคนนี้ของผมด้วย...
                          และเกิดคำถามว่า...ตกลงว่าเขาเก่งจริงอะปล่าวหว่า...(ต้องขอบอกว่าเรื่องนี้ต่างจาก \"ฝันร้าย ลิบลับเลยทีเดียว...
                         
                          ผมจึงไม่รอช้าที่จะพิมพ์ความรู้สึกที่มีทั้งหมดของผมไว้ที่เรื่องดังกล่าว...พร้อมกับเอ่ยเชิญชวนให้เขาเข้ามาอ่านเรื่องของผมบ้าง ( แอบโฆษณาเล็กๆ)
                         
                            นั้นคือสิ่งที่ผมพอจะจำได้...เกี่ยวกับนักเขียนคนนี้....
                          \"  บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก...ข้าน้อยจะขอทดแทนทุกชาติไป \"  ( เริ่มเพี้ยนอีกแล้ว)
                            ดังนั้นผมจึงเข้าไปค้นหาโดยใช้ชื่อของคนเขียน...ในการค้นหาแล้วก็พบว่า...เรื่องที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้นมีเรื่องใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งนั้นคือ...มัน( IT)
                            ผมมองอย่างพิจารณาก็พบว่าควรเข้าไปในเรื่องใหม่นี้อย่างยิ่งเพราะ...ความสารถในการเขียนเรื่องสั้นกับเรื่องยาวนั้นต่างกัน...คนบางคนเขียนเรื่องสั้นได้ดี...แต่กับเรื่องยาวนั้น...( มานไม่สุภาพ..ม่ายพูดดีกว่านะ)
                            มัน(IT) นี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความลึกลับน่าสยดสยองแบบที่คนที่( แฝง) ชอบความรุนแรงหลายคนคงชอบอ่าน...ด้วยการเปิดเรื่องที่ชวนให้ขนพอง...และการบรรยายภาพของสถานที่และอากับกริยาของตัวละคร...มันชวนขนลุกอย่างช่วยไม่ได้....
                          เมื่ออ่านตอนแรกจบ...ผมเริ่มถามตัวเองว่าผมคิดยังไงกับเรื่องนี้....คำตอบที่ผมมีก็คือ...
                          \" เข้าไปอ่านต่อซิอ้ายบื้อ\"  ( แป๋ว)
                            ตอนที่สองการปูเรื่องค่อนข้างสับสนนิดหน่อยในตอนต้นๆของบท...และความสามารถในการบรรยายฉากที่ใช้ในเรื่องยังไม่ดีนัก..จึงทำเนื้อเรื่องที่อ่านได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร....จากความผิดพลาดนี้อาจเกิดจากความเคยชินของผู้เขียนที่แต่งเรื่องสั้นเสียเป็นส่วนใหญ่....แต่การทิ้งปม...และการหลอกล่อ...เล่นกับความรู้สึกอยากรู้นั้น...คนเขียนทำได้ยอดเยี่ยมทีเดียว...
                            \"  เฮ่อ...ไงมันชวนขนลุกอย่างนี้ว่ะ \"  ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้น...ด้วยกลัวว่าต้องนอนฝันร้ายแหงเลยคืนนี้...แต่ก็เอาก็เอา...ความอยากรู้( บวกซาดิส) มีมากกว่าความกลัวที่เกิดขึ้น...
                            ตอนที่สามนี่...โอ้โหยิ่งแย่ใหญ่....แย่มากๆๆๆๆ.
                          แบบว่ายิ่งอ่านยิ่งน่ากลัว...แล้วก็สงสัย....แล้วก็กลับมาน่ากลัวอีก....วกวนอยู่กับสองประโยคนี้...จนรู้สึกว่า...โอ้โหคนเขียนเก่งแฮ่ะที่สามรถทำให้เรารู้สึกแบบนี้ตลอดเวลาที่อ่านงานชิ้นนี้ได้.....ไม่ธรรมดาเลย
                            ในความรู้สึก( ส่วนตัว) ผมว่าคนเขียนเป็นคนที่เขียนเรื่องแนวหักมุมและสยองขวัญได้ดีจริงๆ....ด้วยแนวคิดที่ไม่เคยราบเรียบ...และเกินคาดเดาอยู่ตลอดเวลาทำให้คิดต่างมุมมองกับคนอื่นได้อย่างน่าชื่นชม...อีกทั้งผู้เขียนเก่งในการทิ้งปมให้อ่านตลอดเรื่อง...แบบว่ากลัวคนอ่านจะไม่งง...เดี๋ยวก็ปล่อย...เดี๋ยวก็ปล่อย...ปมจนบางทีก็ลืม...และก็พาให้สับสนในสิ่งที่กำลังค้นหาอยู่เหมือนกัน....
                            แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไปอย่างน่าเสียดาย...นั้นคือการดำเนินเรื่องและการลำดับเรื่องที่บางครั้งดูสับสน....และกระโดดไปบ้าง...
อีกทั้งการบรรยายในบ้างช่วงสั้นจนก่อความรู้สึกไม่เต็มที่...
                            หากแต่ความรู้สึกดังกล่าก็ไม่ได้ทำให้ความน่าอ่านของเรื่องนี้ลดลงไปเลย...ด้วยกว่าสิ่งตื่นเต้นและลี้ลับ...มักรอเราเข้าอ่านอยู่เสมอ...
                            ก็ขนาดคนหน้าดำๆ( อย่างผม) ยังขาวขึ้นมาได้ด้วยแป้งทั้งกระป๋องเลย...
                                \" ก๊อกๆๆๆ\" เสียงใครคนหนึ่งเคาะอยู่ที่หน้าห้องผม...ด้วยความกลัวก็แบบว่าใครหว่าดึกป่านนี้ยังจะมาเรียกอีก...
เดี๋ยวเถอะพ่อจะ...ด่าซะให้ลืมชื่อไปเลย( ทำหน้าแบบโหดๆ)
                            แต่ปรากฎว่าพอผมเปิดประตูออกไป...ชายสองคนใส่เครื่องแบบคล้ายว่าจะเป็นตำรวจ...กับหญิงสาวและชายหนุ่มที่ผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดีว่าอยู่ข้างบ้านผมยืนทำหน้าถมึงทึงน่ากลัวอยู่....
                                  \" จับมันเลยคะ\" เสียงนั้นดังแหวมาทันทีที่ผมเปิดประตูออกไป...
                                  \" เรื่องอะไรครับ...ผมไปทำอะไรให้...อยู่ๆก้มาเรียกผมดึกๆดื่นๆแบบนี้...แล้วยังจะมาเอาตำรวจมาจับผมอีก...ระวังผมจะฟ้องเอานะคุณ\" ผมว่าอย่างไม่พอใจ...พลางขู่สำทับ...
                                  ก็อ้ายตัวผมก็หนึ่งในแผ่นดินเหมือนกัน...แค่นี้มีหรือจะยอม...
                                  แต่ผมก็ต้องพยองอยู่ได้ไม่นาน...เมื่อเพื่อนแหวกลับมาดังกว่าเดิมเสียอีก...ผมเริ่มหน้าซีด...และก็ซีด...พลางขอตัวเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าสิบห้านาที...เพื่อไปโรงพัก...
                                  ทำไมนะหรือครับ....
                                  ก็ผมถูกจับข้อหา...ตั้งใจวางเพลิงและก่อความไม่สงบให้เพื่อนบ้านหน่ะซิครับ...
                                งง....งงล่ะซิ....
                                ก็ไอ้ธูปที่ผมปักไว้หน้าบ้านไง...ปลิวไปติดไฟกับเสื้อผ้าข้างบ้านเข้าโดยที่ผมก็ไม่รู้....
                                \" ซวยชิบ...เป้งเลย\" ขอตัวไปเสียค่าปรับก่อนนะครับ
                                                                                                                                  วานิช นิ่มสกุล
ปล. เรื่อง มัน( it ) ขณะนี้ยังไม่ปิดเรื่อง....( 14 ตุลาคม 2546) ซึ่งลงเรื่องล่าสุดจำนวน 5 ตอน...สำหรับผู้ที่สนใจเรียนเชิญที่http://www.dekdee.com/entertain/viewlong.php?id=3893(พิสูจน์ดูครับ)
ปล 2 หากคำพูดคำหนึ่งคำใดที่ข้าพดจ้าใช้ในการวิจารณ์ไม่ตรงใจผู้เขียนไปบ้าง...ข้าพเจ้ายินดีน้อมรับความผิดไว้แต่ผู้เดียว...
ขณะนี้เรื่อง มัน ของคุณนัทวุฒิ ปิดปรับปรุงเป็นการชั่วคราวครับคาดว่าคงอีกนานพอดูกว่าจะกลับมา...อาระวาดความสยองให้เราๆท่านได้ลิ้มลองความขนพองสยองเกล้าเล่นๆแน่นอน...
แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของราชาแห่งความสยองคนนี้แนะนำที่
รวมเรื่องระทึกขวัญ ของคุณนัทวุฒิครับ ปัจจุบันมีด้วยกัน 9ตอน(4/1/4) และวคุณจะทราบว่า...\" นรกนั้นไม่ได้มีแต่ในจิตนาการณ์ครับที่
http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=6022 ครับผม
   
   
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น