ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ความประทับใจที่ยากจะอธิบายUp date
                                                                    คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ.....
             
                รู้สึกว่าไม่อยาก(จะ)ข่มตาลงนอนเลยแม้แต่จะคิด...แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่เข้าไปทุกทีแล้วก็ตาม
                ไม่...แม้จะสนใจ...หรือใส่ใจกับเวลาที่เดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า...หรือรวดเร็ว.....
                รู้สึกเพียงอยากนั่งมองฟ้าที่ไม่มีแม้แต่รัศมีแห่งดวงดาวสักนิดอยู่ที่เดิม....ตรงนั้น...นาน...นานเท่าที่ฟ้านั้นยังมีเพียงแสงของไฟที่วูบวับอยู่เบื้องล่าง....ไม่ใช่ข้างบน
              ไม่ใคร่ใส่ใจหรือสนใจกับใครหรือสิ่งใด.....นอกจากปล่อยให้เสียงลมผ่านหูพอรับรู้ว่าเราก็ยัง( มีตัวตน)อยู่ตรงนี้....อยู่ในมุมของความคิดคำนึง....ที่เปลี่ยวเหงา....และเดียวดาย...
           
          ถ้าคุณเคยรู้สึกเฉกเช่นเดียวกับผม.....ผมขอทำนายว่า....
             
                คุณยังเป็นโสด....และ....
                เริ่มแก่แล้วครับ( แต่ผู้เขียนยังหนุ่มอยู่นะครับ)
                วันนี้เป็นวันที่ผมเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศของฤดูหนาวของบ้านเรามันเริ่มผ่านเข้ามาทักทายเป็นเรื่องเป็นราวแล้วจริงๆ
                แม้แต่....ผู้คนที่กระจัดกระจายกันอยู่ตามมุมต่างๆของพื้นทรายที่มีสีขาวละเอียดก็รับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นของสายลมหนาวที่มาตกกระทบกับผิวหนัง บ้างห่อตัวแม้จะสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหนากว่าที่ควรจะเป็นในสถานที่แบบนี้...ก็ตามที
   
    บางอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในภายในจิตใจก็เริ่มเคลือบคลานมาลบเร้าไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าไม่เคยหายไปไหนแต่ยังคงพลางตัวอยู่ในหัวใจอย่างนั้นตราบลมหายใจนั้นยังมีความจำเป็นต่อร่างกาย นั้นคือ .
                  อาการของ....
                                                                “ เมาค้างครับ(แฮงค์) เมื่อคืนดึกไปหน่อย ”( ไม่ใช่อุตส่าสร้างอารมณ์มาตั้งนานหมดกัน )
                นั้นคือ “ ความเหงาไงครับ ” ( มันต้องแบบนี้ซิ )
                                           
                                                                  “ ทรายขาวนั้นอย่างไรก็ยังคงเป็นทรายขาว ” ผมเปรยกับตัวเองเสียงเศร้าคล้ายต้องการเยาะหยันให้ความเหงานั้นมันเกลียดชังผม แล้วหนีไปจากใจผมเสียที
                                                                    “ และคนโสดกับความเหงานี่มันก็คู่กันอย่างช่วยไม่ได้จริงๆนะ ”  เสียงใครคนหนึ่งแว่วดังมาจากด้านหลังซึ่งถึงผมไม่ได้หันกลับไปมองก็ทราบได้ด้วยสัญญาณแห่งการรับรู้ว่าเธอ....ผู้มีใบหน้ารูปไข่ใส่เสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงเลสีเขียว นั้นคือ...เพื่อนคนหนึ่งที่มาในคณะผู้มาสัมมนาในที่แห่งนี้พร้อมกับอีกหลายๆชีวิต.....
                                  “ ลิเกน่ะ...เหงาเหงยอะไรกัน... ”  ผมบอกออกไปไม่เต็มเสียงนัก.....ในใจนั้นรู้สึกหวิวไหวไปกับการมาของเธอ
           
                                ท้องฟ้า ดวงดาว หาดขาว ลมหนาว และหญิงสาว อะไรๆก็ดูน่าจะดีไปเสียหมด ถ้า
                                                                  “ ก็ไอ้ที่นั่งคอตกมองดูฟ้านี่หล่ะเค้าเรียกว่า เหงา....ยอมรับซะทีเหอะ  ”         
ถ้าไม่รวมสามี( ของหญิงสาวเข้าไปด้วย ) บรรยากาศ ( ก็ ) คงจะดีกว่านี้เป็นแน่
                ผมเกิดอาการเซ็งขึ้นมาเฉยๆ...เริ่มรู้สึกว่าฟ้าตรงนี้เริ่มไม่ค่อยสวยเท่าที่ควรแล้ว....( ก็แหมมืดออกอย่างนี้จะมองตรงไหนว๊ะที่ว่าสวย )เมื่อสาวสวยคนเดิมทรุดกายลงนั่งข้างผม....พร้อมด้วยคู่ใจหนุ่มที่หน้าตาดีไม่แพ้กัน ( แต่อันนี้อาจจะแพ้ผมก็ได้ )
                                                                  “  อ้าว....จะไปไหนล่ะ ” หญิงสาวคนเดิมเอ่ยถาม...
                                                                  “  ไปนอน...ง่วง  ” ผมตอนสั้นๆ
                                                                  “  ง่วงหรือ....ทนไม่ได้กันแน่ว๊ะ... ”
                                                                  “  เลิกว่าโชคเค้าสักทีเถอะตี่...ดูทะเลกันดีกว่า ”
                ผมล่ะเกลียดไอ้พวกที่ชอบสอดรู้ความรู้สึกของคนอื่นเสียจริงๆ...และเกลียดหนักที่สุดก็เห็นจะเป็น( ตรงที่)ไอ้ที่มันสอดรู้แล้ว มันดันจริงนี่ซิ...(ให้ตายซิ)
                ผมเดินจากหาดหน้ารีสอร์ทขึ้นมาเรื่อยๆด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์....
                มันร้อนวูบวาบในใจ.....และรู้สึกหวิวไหวจนทนดูภาพของคนคู่หนึ่งเคล้าเคลียกันอยู่เบื้องหลังไม่ได้....
                                                                  “  ครับ...ผมยอมรับว่าผมอิจฉา....”
              ซึ่งในอารมณ์ปกติ....ผม( มัก)มองภาพ( คู่รัก ) เหล่านั้น( ด้วยสายตา)สวยงามประดับโลกจริงๆ....แตไม่ใช่ในอารมณ์แบบนี้..อามรณ์ที่มีแต่ความแห้งแล้งและห่อเ..หี่..ย...วของหัวใจ
               
                ความเหงาที่มันทับทมจิตใจอยู่ไม่ต่างอะไรกับเลนเหลวๆที่กำลังพอกพูนอยู่บนผิวหน้าของดิน .
                สูงขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆกัดกินพื้นที่แห่งความใจกว้างของผมไปเสียสิ้น...คงเหลือไว้แต่ความใจแคบและทนเห็นความสุขของคนคู่ไหนในโลกตอนนี้ไม่ได้....
                การเดินเลี่ยงหนีไป....เพื่อหาอะไรทำ...ย่อมทำให้ความฟุ้งซ่านนั้นสงบลงไปได้บ้างอย่างแน่นอน.....( หรือไม่...เอ๊ะยังไง )
                ผมเดินเข้าไปยังส่วนหน้าของเคาเตอร์ในห้องอาหาร...สั่งเครื่องดื่มชนิดที่เรียกว่าแรงมากในชีวิตของผมมาดื่ม...และเดินไปยังมุมๆหนึ่งที่มีโลกของไซบอร์ดไว้คอยบริการ....นั่งลงและพิมพ์ที่อยู่ที่คุ้นตาลงไป
                และนั้นคือที่มาของ( การที่ผมมานั่งทำซากอะไรอยู่ตรงนี้ทั้งที่เวลาปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว ) การขจัดความเหงาที่รบเร้าจิตใจของผม....ด้วยการหาสิ่งทดแทนที่แม้จะเติมเต็มไม่ได้ทั้งหมด แต่มันก็มีที่ว่างเหลือน้อยลงและหวังว่ามันคงถูกเติมเต็มได้ในสักวัน
                                                             
                                                              “ ด้วยคน ไม่ใช่ข้อความ ”
                     
                                                                    .
              เวลาตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วเห็นจะได้....ผมเปิดหน้าต่างของเว็บเด็กดีเข้าไป....ปรากฎว่าความเคลื่อนไหวในนี้มีอยู่น้อยมาก....สังเกตได้จากชื่อของเรื่องสั้นยาวที่ปรากฎอยู่ข้างหน้า
                                                          “ แหมรู้อย่างงี้เราเข้ามาสักเที่ยงคืนก็ดี...จะได้อยู่หน้าบอร์ดนาน ” ผมเย้าตัวเองเล่นเบาๆพลางกวาดสายตาไปตามชื่อเรื่องสั้นยาวที่มีอยู่
              มีเพียงเรื่องสั้นเพียงไม่กี่เรื่องที่น่าสนใจ( ในสายตาของผมนะ )และผมเข้าใจว่าผมน่าจะใช้เวลาที่ยังไม่พร้อมจะข่มตาหลับไปพร้อมกับไอ้อาการแบบนี้ด้วยเรื่องดีๆสักเรื่อง...ให้มันประโลมใจ .ให้ความรู้สึกหวิวไหวในหัวใจ...มันบรรเทาเบาบางลง....ไปบ้าง
              หรือไม่ก็ใช้เจ้าเรื่องพวกนี้( บางเรื่อง)เป็นยานอนหลับราคาถูกไปในตัวเลย ( ก็น่าจะดี )
             
              และแล้วผมก็พบว่าเรื่องที่ผมเลือกให้มันช่วยเยียวยาผม( ให้หลับหรือไม่ก็...ตื่นอยู่อย่างมีความสุขกว่านี้ ) กลับซ้ำเติมผมหนักเข้าไปอีก
              เรื่องสั้นที่เกือบตกกรอบของการอัพเดทเรื่องใหม่ไปแล้ว...
              เรื่องสั้น....ที่มีชื่อน่าสนใจ...พร้อมทั้งปลาย( นาม )ปากกา...ที่อ่านแล้วยากจะคาดเดาว่าผู้เขียน(น่าจะ)เป็นบุคคลชนิดใด....จากนามปากกาแบบนี้
              เรื่องสั้นเรื่องนั้นที่มีชื่อว่า...
                                                                                “ ผีเสื้อที่หยิ่งทะนง ”
                                                                                    “ ยูนิคอน ”
                โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่ค่อยคาดหวังกับงานเขียนที่จะอ่านมากมายเท่าไหร่นัก เนื่องจากการคาดหวังนั้นๆ บางครั้งทำเอาผมแทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายก็มี
                ระยะหลังมานี้ผมจึง( เลือกที่จะ )เข้าไป( อ่าน) เรื่องของเด็กดีด้วยเหตุผลเพียงไม่กี่ข้อ นั้นคืออาจเพราะเรื่องนั้นๆมีชื่อเรื่องหรือชื่อของนักเขียนที่สะดุดตาเท่านั้น
                ภาวนาให้อย่าเกิดอาการผิดคาดขึ้น( กับเรื่องที่จะอ่าน ) ตอนนี้เลย ยังไม่อยากเสียเงินสร้างผนังห้องให้เขาใหม่ (สาธุ)
                แต่ก็ดูพระเจ้าจะใจร้ายกับผมเหลือเกิน...ที่ครั้งนี้ดูเหมือนมันจะผิดไปหมดทุกอย่างที่ผมเคยคิดไว้ครับ
         
                “ ผีเสื้อที่หยิ่งทะนง ” เป็นเรื่องของผีเสื้อลายเส้นสีสวยสดงดงามตัวหนึ่งซึ่งบังเอิญเกิดมีชีวิตขึ้นมาและบินผ่านออกจากโลกแห่งหนังสือ ไปสู่โลกกว้าง แต่แล้วก็เจ้าผีเสื้อในสมุดสีเมื่อมาพบเข้ากับสัตว์น้อยใหญ่ที่เฝ้ามองเจ้าผีเสื้อด้วยความประหลาดใจ พลางถากถางเจ้าผีเสื้อว่าสวยงามได้ด้วยสีที่เค้าปั้นแต่งไว้บ้าง เพราะลายเส้นที่เค้าวาดไว้บ้าง ด้วยความมั่นใจว่าตนเองนั้นถ้าไม่ได้ประกอบด้วยลายเส้นหรือสี ตัวเองก็สดสวยได้ จึงขับไล่สิ่งเหล่านั้นไปจากตัว และกลายเป็นผีเสื้อโปร่งแสงไปในที่สุด ซึ่งการทำเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดผลแห่งการคิดได้ของเจ้าผีเสื้อน้อยในที่สุดว่า อย่างไรเสียเราเองก็หาได้สวยอวดสายตาใครต่อใครได้หากไร้สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นตัวของเรา...
                เหตุผลก็เพราะ ผมเองรู้สึกผิดคาดในการอ่านเรื่องแบบนี้ในเด็กดีเอามากๆ ซึ่งผมยอมรับว่าผมเคยรู้สึกว่างานที่ออกมาในเด็กดีนี้ไม่ค่อยมีความสด ของรูปแบบและเรื่องราวนัก และนี่จึงเป็นความผิดคาดที่ผม( คาด...และ ) ขอบคุณพราะเจ้ามากๆที่ดลใจให้ผมได้อ่านงานดีๆชิ้นนี้ ( และไม่ต้องเสียเงินโปกผนังให้เขาด้วย )
              อีกทั้ง..ผมยังรู้สึกได้ถึงว่า ผู้แต่งมีความสามารถในการเขียนเรื่องได้อย่างแนบเนียนและลงตัวมากในหลายๆด้านทีเดียว .นั้นคือ
              ในด้านของมุมมองในการเขียนงาน งานชื้นนี้บอกผมได้ว่าผู้เขียนเป็นผู้มีความสามารถในการมองสิ่งไกลตัวให้เป็นเรื่องใกล้ตัว ด้วย( ผ่าน )สายตาและมุมมองของตนเองได้หลากหลาย อย่างวิเศษ ภาษาที่เลือกใช้นั้นเหมาะสม เอามากๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า...
                          “ เรียบแต่ไม่ง่าย และง่ายอย่างงดงาม ” คงไว้ซึ่งความงดงามที่สัมผัสได้จากภาษาที่อ่านแล้วไม่รู้สึกขัดเขินที่จะอ่านแบบเต็มใจและใส่ใจ ไม่ใช่สักแต่ว่าอ่านแล้วก็จบไปหาความคิดคำนึงถึงงานชิ้นนั้นๆไม่ได้อีกเลย ( ตลอดชีวิตสั้นๆของเรานี้ )
              และลักษณะเด่นของนิยาย( หรือนิทาน )เรื่องนี้มีรูปแบบ...คือการทิ้งไว้ให้คิดเอาเอง ตามแบบที่เราจะเป็นผู้กำหนดด้วยใจของเราเอง ไม่บังคับหรือพยามยัดบางสิ่งที่เราไม่ได้คิดใส่ลงมาในหัวของเรา ซึ่งในมุมมองของผมนั้นอาจไม่เหมือนคนที่เคยอ่านเรื่องนี้ ซึ่งผมคิดว่าหลังจาก( อ่านเรื่อง )นี้ ( จบ )ไป ผมคงลดไอ้อาการ  “ ถือดี ” ลงไปได้อีกมากทีเดียว
             
              ออกจะผิดหวังและเสียใจอยู่นิดหน่อยหลังจากอ่านงานชิ้นนี้จบ ก็เห็นจะเป็นตรงที่ งานชิ้นนี้มันไม่ใช่ยานอนหลับชั้นดีเลยแม้แต่นิดเดียว และผมเองก็คงต้อง( ขวนขวาย )หางานของคุณยูนิคอนมาอ่านอีกสักชิ้น..เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่อ่านจบไปเมื่อครู่เกิดจากความสามารถจริงๆ ไม่ใช่แค่ฉาบฉวย ( ขนาดเพิ่งบอกว่าจะลดความอวดดีแล้วเชียวนะเนี๊ย )ทั้งที่ตาใกล้จะหลับเต็มทีแล้ว ( แต่ใจมันเรียกร้อง )
                               
              และด้วยคามที่ผมทราบว่าเรื่องสั้นกับเรื่องยาวนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากทั้งด้านองค์ประกอบและรปแบบการนำเสนอ...เมื่อผมประทับในในเรื่องสั้นของนักเขียนท่านนี้เอามากๆแล้วผมจึงตัดสินใจเข้าไปอ่านเรื่องยาวที่มีเพียงเรื่องเดียวของนักเขียนท่านนี้นั้นคือ...
                                                          “  ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ”
                ด้วยเหตุผลที่ว่า นักเขียนบางท่านมีความสามารถในการเขียนเรื่องสั้นได้อย่างน่าประทับใจ แต่ในเรื่องยาวแล้วกลับตกม้าตายมามากต่อมากแล้ว ผมจึงอยากพิสูจน์ความสามารถของนักเขียนท่านนี้ ด้วยการอ่านเรื่องยาวโดยคาดหวังลึกๆว่า หัวผมยังคงอยู่ในสภาพใช้การได้ดีอยู่ และผมคงไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากให้กับค่าซ่อมแซมผนังของห้องอาหารของรีสอร์ทแห่งนี้ ด้วย
                “  ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ” เปิดเรื่องได้อย่างน่าประทับใจเอามากๆด้วยการบอกเล่าเรื่องราวที่นักเขียนต้องการสื่อด้วยสถานะการณ์และการเล่นคำได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งทิ้งปมท้ายเรื่องได้น่าสนใจติดตามอ่านต่อไปอย่างไม่มีที่ติ
                  ซึ่ง( ก่อนหน้านี้)ผมเคยคิดเองว่านิยายที่ดีนั้นควรต้องมีการบรรยายฉากที่แจ่มชัดไม่ปิดเบี้ยวไปมาง่ายแก่การทำความเข้าใจและนึกภาพตามได้ มีการแสดงอารมณ์ตลอดจนความสมบูรณ์ของสำนวนและภาษาที่ดีพอที่จะต้องสื่อทั้งความหมายดดยตรงและความหมายโดยนัยได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนจากความคิดของเขียนเอง....
                  ซึ่งที่ผมคิดมาทั้งหมด ผมได้รับคำตอบแล้วว่า “ มันไม่เสมอไป ”
               
                “ นาฬิกาหัวใจ ” ไม่มีฉากที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ หรือการแสดงอารมณ์ที่เรียกได้ว่าตรึงเครียดหรือความขัดแย้งที่อยู่ในอันดับต้นๆของการเปิดหัวเรื่องที่น่าสนใจ แต่
                สิ่งที่บทนำของเรื่องนี้มีนั้นก็คือ สำนวนโวหารง่ายที่อ่านแล้วปาดลึกกินใจ ชักชวนให้คล้อยตามได้ไม่ยากเย็นนัก และมีรูปแบบการนำเสนอที่กระชับต่อเนื่อง ทิ้งช่วงว่างเล็กให้ผู้อ่านได้เติมเต็มความรู้สึกบางส่วนที่ขาดหายไปเอง ผมไม่ทราบว่ารูปแบบเช่นนี้ควรเรียกว่าอะไร แต่สำนวนและการนำเสนอของการเปิดเรื่องนี้ มี “ เสน่ห์ ”  และและเชิญชวนผู้อ่าน ( อย่างผม )ให้เข้าไปรับรู้เรื่องราวที่ผู้แต่งทิ้งความกระหายใคร่รู้ไว้ให้ผู้อ่านใคร่รู้ .ถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอได้อย่างมีชั้นเชิง 
               
                    “ ข่าวร้าย ” สร้างความสะเทือนใจอย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งครั้งในอีกหลายๆบทที่ผู้เขียนสามารถบรรยายความรู้สึกของผู้สูญเสียได้อย่างแนบเนียบชนิดที่เรียกว่าผมเองเกิดอาการน้ำตาเรื้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวครั้งแล้วครั้งเล่า และสุดท้ายก็มีซึมและไหลออกมาเป็นทางราวกับว่าประสบเหตุการณ์นั้นขึ้นกับตัวเองจริงๆ นี่คงเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของผู้เขียนที่มีความสามรถในการดึงอารมณ์ผู้อ่านให้เกิดความคล้อยตามไปกับเนื้อเรื่องของผู้เขียนได้ ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้คือการรู้จักสรรหา ใช้คำได้ถูกจังหวะ และความสามารถในการดำเนินเรื่อง
                    จริงๆแล้วผมค่อนข้างปลื้มงานที่อ่านอยู่นี้เอามากๆทั้งรูปแบบการนำเสนอและเนื้อหา จนบางทีอาจมองข้ามบางจุดของเรื่องนี้ไปบ้างโดยมีใจเอนเอียงในบางที แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกย่อมมีสองด้านเสมอครับ เมื่อมีสิ่งดีๆให้เรารู้สึกอยากพูดถึง ในบางจุดที่เป็นจุดด้อยก็มาจ่อปากความคิดเราอยุ่เช่นกันบอกว่าเรื่อง แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเนื้อเรื่องของนิยายเรื่องนี้กันก่อนดีกว่าครับ
                  ในความคิดของผมพล็อตแบบนี้มีอยู่ให้เห็นจนชินสายตาครับ ทั้งเรื่องของเด็กดีเองและของนักเขียนอาชีพ แต่ประเด็นที่ว่า ความรักมักหารแบ่งไม่ลงตัวเสมอก็ยังมีเสน่ห์ที่จับต้องและสัมผัสได้ในชีวิตจริงของเราทุกคน ซึ่งผู้เขียนนำเสนอปมของเรื่องไว้ตั้งแต่ตอนที่ 5ลงไป ถามว่า ช้าเกินไปไหม ผมอยากบอกว่าไม่ช้าเกินไปเลยครับ
                  ด้วยเรื่องนี่เป็นการนำเสนอรูปแบบที่เรียกว่านำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตมาเกริ่นเรื่อง แล้วจึงค่อยเล่าเรื่องถึงสิ่งที่เกิดผ่านมาแล้ว ซึ่งถือว่าดีกับการดำเนินเรื่องทางหนึ่ง .เพราะจะช่วยย่นระยะเวลาของการนำเสนอได้รูปแบบหนึ่ง ทำให้การนำเสนอนั้นรวดเร็วได้อย่างที่ผู้เขียนต้องการสื่อ ตามแผนได้อย่างไม่ต้องพะวงกับความต่อเนื่องมากนัก เนื้อเรื่องจึงไม่เยิ่นเย้อหรือยานคางจนเกินไปนัก
                  ซึ่งถ้าเป็นได้อย่างที่เกริ่นบอกมาทุกอย่างเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นนิยายที่ดีใช่ไหม ใช่ครับแต่จุดด้อยเล็กๆที่มีในเรื่อง นี้ก็มีให้เราเห็นได้ประปรายเช่นกัน นั้นก็คือ
                  การบรรยายฉากยังไม่มีน้ำหนักมากพอในบางจุด จนทำให้ความน่าเชื่อถือและซาบซึ้งของเนื้อเรื่องลดลงกึ่งหนึ่ง ซึ่งอาจสืบเนื่องมาจากผู้เขียนยังไม่ใคร่รู้จักสถานที่ที่ทำการบรรยายถึงดีพอนัก ทำให้เรามองเห็นภาพที่บรรยายเป็นมุมกว้างแบบกระจัดกระจายเกินไปไม่มีจุดเด่นที่ชัดเจนเท่าที่ควรหรือเท่าที่น่าจะเป็น จนทำให้เกิดอาการลังเลที่จะเขียนถึง แต่ผู้เขียนก็ฉลาดที่จะเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ด้วยการบรรยายถึงบางรายละเอียดกว้างๆเข้าไว้ ซึ่งก็พอใช้ได้กับบางฉากแต่ไม่ใช่ทุกฉากที่จะสามารถทำได้แนบเนียนนัก
                    ประการสุดท้ายที่เป็นข้อด้อยที่เด่นชัดที่สุดของเรื่องนั้นก็คือ .
                    ทำให้ผมอดนอนมาเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง...เพราะผมไม่อาจละสายตาไปจากตอนแต่ละตอนของนักเขียนท่านนี้ได้จริงๆ
                 
                    ผมปิดคอมลงด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทีเดียว...แต่หนึ่งในความรู้สึกเหล่านั้นคือผมเกิดอาการอิจฉาเล็กๆขึ้นมา กับคนหลายคนครับ...นั้นคือ
                    อิจฉานักเขียนเรื่องนี้( มากๆ) ที่มีความรู้ความสามารถในการนำเสนอผ่านตัวอักษรได้อย่างลงตัว และเหมาะสมกับภาษาที่เลือกนำมาใช้ได้อย่างถูกเวลาและโอกาสจนผมอย่างใช้คำว่า “ ยอดเยี่ยม” กับงานชื้นนี้ก็เห็นที่จะไม่มากหรือน้อยเกินไปนัก( ในความรู้สึกของผม)
                    อิจฉานักอ่านในเด็กดีหลายๆท่านที่เคยอ่านงานชิ้นนี้หรือกำลังติดตามงานชิ้นนี้อย่างไม่ลดละที่ได้รับรู้ถึงกลวิธีในการนำเสนองานที่ดูโดดเด่นและเป็นงานที่ใช้เป็นตัวอย่างในการนำเสนอได้อย่างไม่ขัดเขินก่อนผม และผมเชื่ออย่างที่สุดว่าเค้าเหล่านั้นย่อมมีความรู้สึกหนึ่งที่เหมือนหรือไม่ก็คล้าย...หรือไม่ก็เกือบคล้าย..หรือไม่ก็( พอแล้ว )...กับผมเมื่ออ่านถึงตอนที่ 2 ที่ 3 ที่ 10-15 และที่ 19 ว่าเมื่ออ่านแล้วบ่อน้ำตามันตื้นขึ้นมาเฉยๆ และรู้สึกเหมือนนักเขียนจงใจบีบหัวใจผู้อ่านให้แหลกคามือครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นการลงโทษที่ผู้อ่านทั้งหลายพากันเข้ามารู้จักกับงานชิ้นนี้ช้าเกิน ( เกี่ยวกันไหมเนี๊ย)   
                    ความรู้สึกที่มันหวิวไหวเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วแทบจะเรียกได้ว่าหายไป อย่างไม่น่าเชื่อ ให้นึกสงสัยว่าเพราะมันคงจะดึกมากแล้วซินะ ไอ้ความเหงาคู่แค้นเก่าของผม...มันเลยชิงหลับไปก่อนผม....แทนที่ผมจะหลับก่อนมันอย่างครั้งที่ผ่านๆมา .
                      สุดท้ายนี้อยากบอกอย่างที่สุดว่า....งานชิ้นนี้ให้ความรู้สึกที่ผมเองก็ลืมไปนานแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยเชื่อและคิดอย่างที่ผู้เขียนนำเสนอเหมือนกันว่า “ บางครั้งคนเราก็อาจจะนึกรักใครขึ้นมาเฉยๆโดยไม่สำคัญว่าจะรู้จักเขาช้าหรือเร็ว แค่ไหนแต่สำคัญที่ว่าเมื่อเจอแล้วจะไม่ยอมให้เค้าจากไปจากเราอีกเลย ”
                      “  ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ” จึงเป็นมากกว่าความรู้สึกประทับใจที่ผมรู้สึกกับงานชิ้นนี้ครับ และคิดว่าสิ่งที่ผมเขียนออกมานั้น ยังมีค่าน้อยกว่างานชิ้นนี้ของคุณยูนิคอนมากๆครับ
                                                                                                                                              วานิช นิ่มสกุล
  ปล1. ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก อยู่ในหมวด : รักเศร้าๆ ...ผู้แต่ง : ยูนิคอน  ขณะนี้( 15/3/47)มีทั้งหมด 32 ตอน ที่http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=1104 ครับ
ปล.2 จริงๆแล้วอยากขอโทษเจ้าของเรื่องมากๆครับที่ลงวิจารณ์เรื่องนี้ช้ามากๆ เนื่องจากเกลาแล้วรู้สึกว่าอยากใช้ทั้งหมดที่ตัวเองรู้สึกนำเสนอกับทุกคนที่มีโอกาสเข้ามาอ่านงานวิจารณ์เรื่องนี้ครับ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผมเองคงจะไม่วิจารณ์งานที่มีคุณค่าเรื่องนี้ให้มีคุณค่าน้อยลงนะครับ .
ปล.3 ( สุดท้าย )จริงๆแล้วงานเรื่องสั้นเรื่อง “ผีเสื้อที่ทะระนง” ของผู้เขียนปิดเรื่อง(ลบ)ไปแล้วครับซึ่งจริงๆแล้วยังอีกเรื่องที่อยากเขียนถึงมากๆก็คือ ” โสมส่องหล้าครับ ”ซึ่งถ้าลงทั้งหมดคงมีขนาดที่ยาวเกินไป จึงขอโทษท่านผู้เขียนมา ณที่นี้ด้วยครับ และขณะนี้ท่านผู้เขียนมีงานเรื่องใหม่เรื่อง : Summer of December ใครที่สนใจนิยายแนวปฟนตาซีเรื่องนี้เชิญที่ http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=11976 ครับ
             
                 
             
                                                           
                                                                 
             
                รู้สึกว่าไม่อยาก(จะ)ข่มตาลงนอนเลยแม้แต่จะคิด...แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่เข้าไปทุกทีแล้วก็ตาม
                ไม่...แม้จะสนใจ...หรือใส่ใจกับเวลาที่เดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า...หรือรวดเร็ว.....
                รู้สึกเพียงอยากนั่งมองฟ้าที่ไม่มีแม้แต่รัศมีแห่งดวงดาวสักนิดอยู่ที่เดิม....ตรงนั้น...นาน...นานเท่าที่ฟ้านั้นยังมีเพียงแสงของไฟที่วูบวับอยู่เบื้องล่าง....ไม่ใช่ข้างบน
              ไม่ใคร่ใส่ใจหรือสนใจกับใครหรือสิ่งใด.....นอกจากปล่อยให้เสียงลมผ่านหูพอรับรู้ว่าเราก็ยัง( มีตัวตน)อยู่ตรงนี้....อยู่ในมุมของความคิดคำนึง....ที่เปลี่ยวเหงา....และเดียวดาย...
           
          ถ้าคุณเคยรู้สึกเฉกเช่นเดียวกับผม.....ผมขอทำนายว่า....
             
                คุณยังเป็นโสด....และ....
                เริ่มแก่แล้วครับ( แต่ผู้เขียนยังหนุ่มอยู่นะครับ)
                วันนี้เป็นวันที่ผมเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศของฤดูหนาวของบ้านเรามันเริ่มผ่านเข้ามาทักทายเป็นเรื่องเป็นราวแล้วจริงๆ
                แม้แต่....ผู้คนที่กระจัดกระจายกันอยู่ตามมุมต่างๆของพื้นทรายที่มีสีขาวละเอียดก็รับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นของสายลมหนาวที่มาตกกระทบกับผิวหนัง บ้างห่อตัวแม้จะสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหนากว่าที่ควรจะเป็นในสถานที่แบบนี้...ก็ตามที
   
    บางอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในภายในจิตใจก็เริ่มเคลือบคลานมาลบเร้าไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าไม่เคยหายไปไหนแต่ยังคงพลางตัวอยู่ในหัวใจอย่างนั้นตราบลมหายใจนั้นยังมีความจำเป็นต่อร่างกาย นั้นคือ .
                  อาการของ....
                                                                “ เมาค้างครับ(แฮงค์) เมื่อคืนดึกไปหน่อย ”( ไม่ใช่อุตส่าสร้างอารมณ์มาตั้งนานหมดกัน )
                นั้นคือ “ ความเหงาไงครับ ” ( มันต้องแบบนี้ซิ )
                                           
                                                                  “ ทรายขาวนั้นอย่างไรก็ยังคงเป็นทรายขาว ” ผมเปรยกับตัวเองเสียงเศร้าคล้ายต้องการเยาะหยันให้ความเหงานั้นมันเกลียดชังผม แล้วหนีไปจากใจผมเสียที
                                                                    “ และคนโสดกับความเหงานี่มันก็คู่กันอย่างช่วยไม่ได้จริงๆนะ ”  เสียงใครคนหนึ่งแว่วดังมาจากด้านหลังซึ่งถึงผมไม่ได้หันกลับไปมองก็ทราบได้ด้วยสัญญาณแห่งการรับรู้ว่าเธอ....ผู้มีใบหน้ารูปไข่ใส่เสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงเลสีเขียว นั้นคือ...เพื่อนคนหนึ่งที่มาในคณะผู้มาสัมมนาในที่แห่งนี้พร้อมกับอีกหลายๆชีวิต.....
                                  “ ลิเกน่ะ...เหงาเหงยอะไรกัน... ”  ผมบอกออกไปไม่เต็มเสียงนัก.....ในใจนั้นรู้สึกหวิวไหวไปกับการมาของเธอ
           
                                ท้องฟ้า ดวงดาว หาดขาว ลมหนาว และหญิงสาว อะไรๆก็ดูน่าจะดีไปเสียหมด ถ้า
                                                                  “ ก็ไอ้ที่นั่งคอตกมองดูฟ้านี่หล่ะเค้าเรียกว่า เหงา....ยอมรับซะทีเหอะ  ”         
ถ้าไม่รวมสามี( ของหญิงสาวเข้าไปด้วย ) บรรยากาศ ( ก็ ) คงจะดีกว่านี้เป็นแน่
                ผมเกิดอาการเซ็งขึ้นมาเฉยๆ...เริ่มรู้สึกว่าฟ้าตรงนี้เริ่มไม่ค่อยสวยเท่าที่ควรแล้ว....( ก็แหมมืดออกอย่างนี้จะมองตรงไหนว๊ะที่ว่าสวย )เมื่อสาวสวยคนเดิมทรุดกายลงนั่งข้างผม....พร้อมด้วยคู่ใจหนุ่มที่หน้าตาดีไม่แพ้กัน ( แต่อันนี้อาจจะแพ้ผมก็ได้ )
                                                                  “  อ้าว....จะไปไหนล่ะ ” หญิงสาวคนเดิมเอ่ยถาม...
                                                                  “  ไปนอน...ง่วง  ” ผมตอนสั้นๆ
                                                                  “  ง่วงหรือ....ทนไม่ได้กันแน่ว๊ะ... ”
                                                                  “  เลิกว่าโชคเค้าสักทีเถอะตี่...ดูทะเลกันดีกว่า ”
                ผมล่ะเกลียดไอ้พวกที่ชอบสอดรู้ความรู้สึกของคนอื่นเสียจริงๆ...และเกลียดหนักที่สุดก็เห็นจะเป็น( ตรงที่)ไอ้ที่มันสอดรู้แล้ว มันดันจริงนี่ซิ...(ให้ตายซิ)
                ผมเดินจากหาดหน้ารีสอร์ทขึ้นมาเรื่อยๆด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์....
                มันร้อนวูบวาบในใจ.....และรู้สึกหวิวไหวจนทนดูภาพของคนคู่หนึ่งเคล้าเคลียกันอยู่เบื้องหลังไม่ได้....
                                                                  “  ครับ...ผมยอมรับว่าผมอิจฉา....”
              ซึ่งในอารมณ์ปกติ....ผม( มัก)มองภาพ( คู่รัก ) เหล่านั้น( ด้วยสายตา)สวยงามประดับโลกจริงๆ....แตไม่ใช่ในอารมณ์แบบนี้..อามรณ์ที่มีแต่ความแห้งแล้งและห่อเ..หี่..ย...วของหัวใจ
               
                ความเหงาที่มันทับทมจิตใจอยู่ไม่ต่างอะไรกับเลนเหลวๆที่กำลังพอกพูนอยู่บนผิวหน้าของดิน .
                สูงขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆกัดกินพื้นที่แห่งความใจกว้างของผมไปเสียสิ้น...คงเหลือไว้แต่ความใจแคบและทนเห็นความสุขของคนคู่ไหนในโลกตอนนี้ไม่ได้....
                การเดินเลี่ยงหนีไป....เพื่อหาอะไรทำ...ย่อมทำให้ความฟุ้งซ่านนั้นสงบลงไปได้บ้างอย่างแน่นอน.....( หรือไม่...เอ๊ะยังไง )
                ผมเดินเข้าไปยังส่วนหน้าของเคาเตอร์ในห้องอาหาร...สั่งเครื่องดื่มชนิดที่เรียกว่าแรงมากในชีวิตของผมมาดื่ม...และเดินไปยังมุมๆหนึ่งที่มีโลกของไซบอร์ดไว้คอยบริการ....นั่งลงและพิมพ์ที่อยู่ที่คุ้นตาลงไป
                และนั้นคือที่มาของ( การที่ผมมานั่งทำซากอะไรอยู่ตรงนี้ทั้งที่เวลาปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว ) การขจัดความเหงาที่รบเร้าจิตใจของผม....ด้วยการหาสิ่งทดแทนที่แม้จะเติมเต็มไม่ได้ทั้งหมด แต่มันก็มีที่ว่างเหลือน้อยลงและหวังว่ามันคงถูกเติมเต็มได้ในสักวัน
                                                             
                                                              “ ด้วยคน ไม่ใช่ข้อความ ”
                     
                                                                    .
              เวลาตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วเห็นจะได้....ผมเปิดหน้าต่างของเว็บเด็กดีเข้าไป....ปรากฎว่าความเคลื่อนไหวในนี้มีอยู่น้อยมาก....สังเกตได้จากชื่อของเรื่องสั้นยาวที่ปรากฎอยู่ข้างหน้า
                                                          “ แหมรู้อย่างงี้เราเข้ามาสักเที่ยงคืนก็ดี...จะได้อยู่หน้าบอร์ดนาน ” ผมเย้าตัวเองเล่นเบาๆพลางกวาดสายตาไปตามชื่อเรื่องสั้นยาวที่มีอยู่
              มีเพียงเรื่องสั้นเพียงไม่กี่เรื่องที่น่าสนใจ( ในสายตาของผมนะ )และผมเข้าใจว่าผมน่าจะใช้เวลาที่ยังไม่พร้อมจะข่มตาหลับไปพร้อมกับไอ้อาการแบบนี้ด้วยเรื่องดีๆสักเรื่อง...ให้มันประโลมใจ .ให้ความรู้สึกหวิวไหวในหัวใจ...มันบรรเทาเบาบางลง....ไปบ้าง
              หรือไม่ก็ใช้เจ้าเรื่องพวกนี้( บางเรื่อง)เป็นยานอนหลับราคาถูกไปในตัวเลย ( ก็น่าจะดี )
             
              และแล้วผมก็พบว่าเรื่องที่ผมเลือกให้มันช่วยเยียวยาผม( ให้หลับหรือไม่ก็...ตื่นอยู่อย่างมีความสุขกว่านี้ ) กลับซ้ำเติมผมหนักเข้าไปอีก
              เรื่องสั้นที่เกือบตกกรอบของการอัพเดทเรื่องใหม่ไปแล้ว...
              เรื่องสั้น....ที่มีชื่อน่าสนใจ...พร้อมทั้งปลาย( นาม )ปากกา...ที่อ่านแล้วยากจะคาดเดาว่าผู้เขียน(น่าจะ)เป็นบุคคลชนิดใด....จากนามปากกาแบบนี้
              เรื่องสั้นเรื่องนั้นที่มีชื่อว่า...
                                                                                “ ผีเสื้อที่หยิ่งทะนง ”
                                                                                    “ ยูนิคอน ”
                โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่ค่อยคาดหวังกับงานเขียนที่จะอ่านมากมายเท่าไหร่นัก เนื่องจากการคาดหวังนั้นๆ บางครั้งทำเอาผมแทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายก็มี
                ระยะหลังมานี้ผมจึง( เลือกที่จะ )เข้าไป( อ่าน) เรื่องของเด็กดีด้วยเหตุผลเพียงไม่กี่ข้อ นั้นคืออาจเพราะเรื่องนั้นๆมีชื่อเรื่องหรือชื่อของนักเขียนที่สะดุดตาเท่านั้น
                ภาวนาให้อย่าเกิดอาการผิดคาดขึ้น( กับเรื่องที่จะอ่าน ) ตอนนี้เลย ยังไม่อยากเสียเงินสร้างผนังห้องให้เขาใหม่ (สาธุ)
                แต่ก็ดูพระเจ้าจะใจร้ายกับผมเหลือเกิน...ที่ครั้งนี้ดูเหมือนมันจะผิดไปหมดทุกอย่างที่ผมเคยคิดไว้ครับ
         
                “ ผีเสื้อที่หยิ่งทะนง ” เป็นเรื่องของผีเสื้อลายเส้นสีสวยสดงดงามตัวหนึ่งซึ่งบังเอิญเกิดมีชีวิตขึ้นมาและบินผ่านออกจากโลกแห่งหนังสือ ไปสู่โลกกว้าง แต่แล้วก็เจ้าผีเสื้อในสมุดสีเมื่อมาพบเข้ากับสัตว์น้อยใหญ่ที่เฝ้ามองเจ้าผีเสื้อด้วยความประหลาดใจ พลางถากถางเจ้าผีเสื้อว่าสวยงามได้ด้วยสีที่เค้าปั้นแต่งไว้บ้าง เพราะลายเส้นที่เค้าวาดไว้บ้าง ด้วยความมั่นใจว่าตนเองนั้นถ้าไม่ได้ประกอบด้วยลายเส้นหรือสี ตัวเองก็สดสวยได้ จึงขับไล่สิ่งเหล่านั้นไปจากตัว และกลายเป็นผีเสื้อโปร่งแสงไปในที่สุด ซึ่งการทำเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดผลแห่งการคิดได้ของเจ้าผีเสื้อน้อยในที่สุดว่า อย่างไรเสียเราเองก็หาได้สวยอวดสายตาใครต่อใครได้หากไร้สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นตัวของเรา...
                เหตุผลก็เพราะ ผมเองรู้สึกผิดคาดในการอ่านเรื่องแบบนี้ในเด็กดีเอามากๆ ซึ่งผมยอมรับว่าผมเคยรู้สึกว่างานที่ออกมาในเด็กดีนี้ไม่ค่อยมีความสด ของรูปแบบและเรื่องราวนัก และนี่จึงเป็นความผิดคาดที่ผม( คาด...และ ) ขอบคุณพราะเจ้ามากๆที่ดลใจให้ผมได้อ่านงานดีๆชิ้นนี้ ( และไม่ต้องเสียเงินโปกผนังให้เขาด้วย )
              อีกทั้ง..ผมยังรู้สึกได้ถึงว่า ผู้แต่งมีความสามารถในการเขียนเรื่องได้อย่างแนบเนียนและลงตัวมากในหลายๆด้านทีเดียว .นั้นคือ
              ในด้านของมุมมองในการเขียนงาน งานชื้นนี้บอกผมได้ว่าผู้เขียนเป็นผู้มีความสามารถในการมองสิ่งไกลตัวให้เป็นเรื่องใกล้ตัว ด้วย( ผ่าน )สายตาและมุมมองของตนเองได้หลากหลาย อย่างวิเศษ ภาษาที่เลือกใช้นั้นเหมาะสม เอามากๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า...
                          “ เรียบแต่ไม่ง่าย และง่ายอย่างงดงาม ” คงไว้ซึ่งความงดงามที่สัมผัสได้จากภาษาที่อ่านแล้วไม่รู้สึกขัดเขินที่จะอ่านแบบเต็มใจและใส่ใจ ไม่ใช่สักแต่ว่าอ่านแล้วก็จบไปหาความคิดคำนึงถึงงานชิ้นนั้นๆไม่ได้อีกเลย ( ตลอดชีวิตสั้นๆของเรานี้ )
              และลักษณะเด่นของนิยาย( หรือนิทาน )เรื่องนี้มีรูปแบบ...คือการทิ้งไว้ให้คิดเอาเอง ตามแบบที่เราจะเป็นผู้กำหนดด้วยใจของเราเอง ไม่บังคับหรือพยามยัดบางสิ่งที่เราไม่ได้คิดใส่ลงมาในหัวของเรา ซึ่งในมุมมองของผมนั้นอาจไม่เหมือนคนที่เคยอ่านเรื่องนี้ ซึ่งผมคิดว่าหลังจาก( อ่านเรื่อง )นี้ ( จบ )ไป ผมคงลดไอ้อาการ  “ ถือดี ” ลงไปได้อีกมากทีเดียว
             
              ออกจะผิดหวังและเสียใจอยู่นิดหน่อยหลังจากอ่านงานชิ้นนี้จบ ก็เห็นจะเป็นตรงที่ งานชิ้นนี้มันไม่ใช่ยานอนหลับชั้นดีเลยแม้แต่นิดเดียว และผมเองก็คงต้อง( ขวนขวาย )หางานของคุณยูนิคอนมาอ่านอีกสักชิ้น..เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่อ่านจบไปเมื่อครู่เกิดจากความสามารถจริงๆ ไม่ใช่แค่ฉาบฉวย ( ขนาดเพิ่งบอกว่าจะลดความอวดดีแล้วเชียวนะเนี๊ย )ทั้งที่ตาใกล้จะหลับเต็มทีแล้ว ( แต่ใจมันเรียกร้อง )
                               
              และด้วยคามที่ผมทราบว่าเรื่องสั้นกับเรื่องยาวนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากทั้งด้านองค์ประกอบและรปแบบการนำเสนอ...เมื่อผมประทับในในเรื่องสั้นของนักเขียนท่านนี้เอามากๆแล้วผมจึงตัดสินใจเข้าไปอ่านเรื่องยาวที่มีเพียงเรื่องเดียวของนักเขียนท่านนี้นั้นคือ...
                                                          “  ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ”
                ด้วยเหตุผลที่ว่า นักเขียนบางท่านมีความสามารถในการเขียนเรื่องสั้นได้อย่างน่าประทับใจ แต่ในเรื่องยาวแล้วกลับตกม้าตายมามากต่อมากแล้ว ผมจึงอยากพิสูจน์ความสามารถของนักเขียนท่านนี้ ด้วยการอ่านเรื่องยาวโดยคาดหวังลึกๆว่า หัวผมยังคงอยู่ในสภาพใช้การได้ดีอยู่ และผมคงไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากให้กับค่าซ่อมแซมผนังของห้องอาหารของรีสอร์ทแห่งนี้ ด้วย
                “  ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ” เปิดเรื่องได้อย่างน่าประทับใจเอามากๆด้วยการบอกเล่าเรื่องราวที่นักเขียนต้องการสื่อด้วยสถานะการณ์และการเล่นคำได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งทิ้งปมท้ายเรื่องได้น่าสนใจติดตามอ่านต่อไปอย่างไม่มีที่ติ
                  ซึ่ง( ก่อนหน้านี้)ผมเคยคิดเองว่านิยายที่ดีนั้นควรต้องมีการบรรยายฉากที่แจ่มชัดไม่ปิดเบี้ยวไปมาง่ายแก่การทำความเข้าใจและนึกภาพตามได้ มีการแสดงอารมณ์ตลอดจนความสมบูรณ์ของสำนวนและภาษาที่ดีพอที่จะต้องสื่อทั้งความหมายดดยตรงและความหมายโดยนัยได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนจากความคิดของเขียนเอง....
                  ซึ่งที่ผมคิดมาทั้งหมด ผมได้รับคำตอบแล้วว่า “ มันไม่เสมอไป ”
               
                “ นาฬิกาหัวใจ ” ไม่มีฉากที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ หรือการแสดงอารมณ์ที่เรียกได้ว่าตรึงเครียดหรือความขัดแย้งที่อยู่ในอันดับต้นๆของการเปิดหัวเรื่องที่น่าสนใจ แต่
                สิ่งที่บทนำของเรื่องนี้มีนั้นก็คือ สำนวนโวหารง่ายที่อ่านแล้วปาดลึกกินใจ ชักชวนให้คล้อยตามได้ไม่ยากเย็นนัก และมีรูปแบบการนำเสนอที่กระชับต่อเนื่อง ทิ้งช่วงว่างเล็กให้ผู้อ่านได้เติมเต็มความรู้สึกบางส่วนที่ขาดหายไปเอง ผมไม่ทราบว่ารูปแบบเช่นนี้ควรเรียกว่าอะไร แต่สำนวนและการนำเสนอของการเปิดเรื่องนี้ มี “ เสน่ห์ ”  และและเชิญชวนผู้อ่าน ( อย่างผม )ให้เข้าไปรับรู้เรื่องราวที่ผู้แต่งทิ้งความกระหายใคร่รู้ไว้ให้ผู้อ่านใคร่รู้ .ถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอได้อย่างมีชั้นเชิง 
               
                    “ ข่าวร้าย ” สร้างความสะเทือนใจอย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งครั้งในอีกหลายๆบทที่ผู้เขียนสามารถบรรยายความรู้สึกของผู้สูญเสียได้อย่างแนบเนียบชนิดที่เรียกว่าผมเองเกิดอาการน้ำตาเรื้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวครั้งแล้วครั้งเล่า และสุดท้ายก็มีซึมและไหลออกมาเป็นทางราวกับว่าประสบเหตุการณ์นั้นขึ้นกับตัวเองจริงๆ นี่คงเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของผู้เขียนที่มีความสามรถในการดึงอารมณ์ผู้อ่านให้เกิดความคล้อยตามไปกับเนื้อเรื่องของผู้เขียนได้ ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้คือการรู้จักสรรหา ใช้คำได้ถูกจังหวะ และความสามารถในการดำเนินเรื่อง
                    จริงๆแล้วผมค่อนข้างปลื้มงานที่อ่านอยู่นี้เอามากๆทั้งรูปแบบการนำเสนอและเนื้อหา จนบางทีอาจมองข้ามบางจุดของเรื่องนี้ไปบ้างโดยมีใจเอนเอียงในบางที แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกย่อมมีสองด้านเสมอครับ เมื่อมีสิ่งดีๆให้เรารู้สึกอยากพูดถึง ในบางจุดที่เป็นจุดด้อยก็มาจ่อปากความคิดเราอยุ่เช่นกันบอกว่าเรื่อง แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเนื้อเรื่องของนิยายเรื่องนี้กันก่อนดีกว่าครับ
                  ในความคิดของผมพล็อตแบบนี้มีอยู่ให้เห็นจนชินสายตาครับ ทั้งเรื่องของเด็กดีเองและของนักเขียนอาชีพ แต่ประเด็นที่ว่า ความรักมักหารแบ่งไม่ลงตัวเสมอก็ยังมีเสน่ห์ที่จับต้องและสัมผัสได้ในชีวิตจริงของเราทุกคน ซึ่งผู้เขียนนำเสนอปมของเรื่องไว้ตั้งแต่ตอนที่ 5ลงไป ถามว่า ช้าเกินไปไหม ผมอยากบอกว่าไม่ช้าเกินไปเลยครับ
                  ด้วยเรื่องนี่เป็นการนำเสนอรูปแบบที่เรียกว่านำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตมาเกริ่นเรื่อง แล้วจึงค่อยเล่าเรื่องถึงสิ่งที่เกิดผ่านมาแล้ว ซึ่งถือว่าดีกับการดำเนินเรื่องทางหนึ่ง .เพราะจะช่วยย่นระยะเวลาของการนำเสนอได้รูปแบบหนึ่ง ทำให้การนำเสนอนั้นรวดเร็วได้อย่างที่ผู้เขียนต้องการสื่อ ตามแผนได้อย่างไม่ต้องพะวงกับความต่อเนื่องมากนัก เนื้อเรื่องจึงไม่เยิ่นเย้อหรือยานคางจนเกินไปนัก
                  ซึ่งถ้าเป็นได้อย่างที่เกริ่นบอกมาทุกอย่างเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นนิยายที่ดีใช่ไหม ใช่ครับแต่จุดด้อยเล็กๆที่มีในเรื่อง นี้ก็มีให้เราเห็นได้ประปรายเช่นกัน นั้นก็คือ
                  การบรรยายฉากยังไม่มีน้ำหนักมากพอในบางจุด จนทำให้ความน่าเชื่อถือและซาบซึ้งของเนื้อเรื่องลดลงกึ่งหนึ่ง ซึ่งอาจสืบเนื่องมาจากผู้เขียนยังไม่ใคร่รู้จักสถานที่ที่ทำการบรรยายถึงดีพอนัก ทำให้เรามองเห็นภาพที่บรรยายเป็นมุมกว้างแบบกระจัดกระจายเกินไปไม่มีจุดเด่นที่ชัดเจนเท่าที่ควรหรือเท่าที่น่าจะเป็น จนทำให้เกิดอาการลังเลที่จะเขียนถึง แต่ผู้เขียนก็ฉลาดที่จะเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ด้วยการบรรยายถึงบางรายละเอียดกว้างๆเข้าไว้ ซึ่งก็พอใช้ได้กับบางฉากแต่ไม่ใช่ทุกฉากที่จะสามารถทำได้แนบเนียนนัก
                    ประการสุดท้ายที่เป็นข้อด้อยที่เด่นชัดที่สุดของเรื่องนั้นก็คือ .
                    ทำให้ผมอดนอนมาเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง...เพราะผมไม่อาจละสายตาไปจากตอนแต่ละตอนของนักเขียนท่านนี้ได้จริงๆ
                 
                    ผมปิดคอมลงด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทีเดียว...แต่หนึ่งในความรู้สึกเหล่านั้นคือผมเกิดอาการอิจฉาเล็กๆขึ้นมา กับคนหลายคนครับ...นั้นคือ
                    อิจฉานักเขียนเรื่องนี้( มากๆ) ที่มีความรู้ความสามารถในการนำเสนอผ่านตัวอักษรได้อย่างลงตัว และเหมาะสมกับภาษาที่เลือกนำมาใช้ได้อย่างถูกเวลาและโอกาสจนผมอย่างใช้คำว่า “ ยอดเยี่ยม” กับงานชื้นนี้ก็เห็นที่จะไม่มากหรือน้อยเกินไปนัก( ในความรู้สึกของผม)
                    อิจฉานักอ่านในเด็กดีหลายๆท่านที่เคยอ่านงานชิ้นนี้หรือกำลังติดตามงานชิ้นนี้อย่างไม่ลดละที่ได้รับรู้ถึงกลวิธีในการนำเสนองานที่ดูโดดเด่นและเป็นงานที่ใช้เป็นตัวอย่างในการนำเสนอได้อย่างไม่ขัดเขินก่อนผม และผมเชื่ออย่างที่สุดว่าเค้าเหล่านั้นย่อมมีความรู้สึกหนึ่งที่เหมือนหรือไม่ก็คล้าย...หรือไม่ก็เกือบคล้าย..หรือไม่ก็( พอแล้ว )...กับผมเมื่ออ่านถึงตอนที่ 2 ที่ 3 ที่ 10-15 และที่ 19 ว่าเมื่ออ่านแล้วบ่อน้ำตามันตื้นขึ้นมาเฉยๆ และรู้สึกเหมือนนักเขียนจงใจบีบหัวใจผู้อ่านให้แหลกคามือครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นการลงโทษที่ผู้อ่านทั้งหลายพากันเข้ามารู้จักกับงานชิ้นนี้ช้าเกิน ( เกี่ยวกันไหมเนี๊ย)   
                    ความรู้สึกที่มันหวิวไหวเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วแทบจะเรียกได้ว่าหายไป อย่างไม่น่าเชื่อ ให้นึกสงสัยว่าเพราะมันคงจะดึกมากแล้วซินะ ไอ้ความเหงาคู่แค้นเก่าของผม...มันเลยชิงหลับไปก่อนผม....แทนที่ผมจะหลับก่อนมันอย่างครั้งที่ผ่านๆมา .
                      สุดท้ายนี้อยากบอกอย่างที่สุดว่า....งานชิ้นนี้ให้ความรู้สึกที่ผมเองก็ลืมไปนานแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยเชื่อและคิดอย่างที่ผู้เขียนนำเสนอเหมือนกันว่า “ บางครั้งคนเราก็อาจจะนึกรักใครขึ้นมาเฉยๆโดยไม่สำคัญว่าจะรู้จักเขาช้าหรือเร็ว แค่ไหนแต่สำคัญที่ว่าเมื่อเจอแล้วจะไม่ยอมให้เค้าจากไปจากเราอีกเลย ”
                      “  ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ” จึงเป็นมากกว่าความรู้สึกประทับใจที่ผมรู้สึกกับงานชิ้นนี้ครับ และคิดว่าสิ่งที่ผมเขียนออกมานั้น ยังมีค่าน้อยกว่างานชิ้นนี้ของคุณยูนิคอนมากๆครับ
                                                                                                                                              วานิช นิ่มสกุล
  ปล1. ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก อยู่ในหมวด : รักเศร้าๆ ...ผู้แต่ง : ยูนิคอน  ขณะนี้( 15/3/47)มีทั้งหมด 32 ตอน ที่http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=1104 ครับ
ปล.2 จริงๆแล้วอยากขอโทษเจ้าของเรื่องมากๆครับที่ลงวิจารณ์เรื่องนี้ช้ามากๆ เนื่องจากเกลาแล้วรู้สึกว่าอยากใช้ทั้งหมดที่ตัวเองรู้สึกนำเสนอกับทุกคนที่มีโอกาสเข้ามาอ่านงานวิจารณ์เรื่องนี้ครับ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผมเองคงจะไม่วิจารณ์งานที่มีคุณค่าเรื่องนี้ให้มีคุณค่าน้อยลงนะครับ .
ปล.3 ( สุดท้าย )จริงๆแล้วงานเรื่องสั้นเรื่อง “ผีเสื้อที่ทะระนง” ของผู้เขียนปิดเรื่อง(ลบ)ไปแล้วครับซึ่งจริงๆแล้วยังอีกเรื่องที่อยากเขียนถึงมากๆก็คือ ” โสมส่องหล้าครับ ”ซึ่งถ้าลงทั้งหมดคงมีขนาดที่ยาวเกินไป จึงขอโทษท่านผู้เขียนมา ณที่นี้ด้วยครับ และขณะนี้ท่านผู้เขียนมีงานเรื่องใหม่เรื่อง : Summer of December ใครที่สนใจนิยายแนวปฟนตาซีเรื่องนี้เชิญที่ http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=11976 ครับ
             
                 
             
                                                           
                                                                 
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น