ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คอร์ลัมเรื่องโปรด …เรื่องโปรโมท

    ลำดับตอนที่ #6 : ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ความประทับใจที่ยากจะอธิบายUp date

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 47


                                                                         คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ.....

                  

                    รู้สึกว่าไม่อยาก(จะ)ข่มตาลงนอนเลยแม้แต่จะคิด...แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่เข้าไปทุกทีแล้วก็ตาม

                    ไม่...แม้จะสนใจ...หรือใส่ใจกับเวลาที่เดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า...หรือรวดเร็ว.....

                    รู้สึกเพียงอยากนั่งมองฟ้าที่ไม่มีแม้แต่รัศมีแห่งดวงดาวสักนิดอยู่ที่เดิม....ตรงนั้น...นาน...นานเท่าที่ฟ้านั้นยังมีเพียงแสงของไฟที่วูบวับอยู่เบื้องล่าง....ไม่ใช่ข้างบน

                   ไม่ใคร่ใส่ใจหรือสนใจกับใครหรือสิ่งใด.....นอกจากปล่อยให้เสียงลมผ่านหูพอรับรู้ว่าเราก็ยัง( มีตัวตน)อยู่ตรงนี้....อยู่ในมุมของความคิดคำนึง....ที่เปลี่ยวเหงา....และเดียวดาย...

                

              ถ้าคุณเคยรู้สึกเฉกเช่นเดียวกับผม.....ผมขอทำนายว่า....

                  

                    คุณยังเป็นโสด....และ....

                    เริ่มแก่แล้วครับ( แต่ผู้เขียนยังหนุ่มอยู่นะครับ)



                    วันนี้เป็นวันที่ผมเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศของฤดูหนาวของบ้านเรามันเริ่มผ่านเข้ามาทักทายเป็นเรื่องเป็นราวแล้วจริงๆ

                    แม้แต่....ผู้คนที่กระจัดกระจายกันอยู่ตามมุมต่างๆของพื้นทรายที่มีสีขาวละเอียดก็รับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นของสายลมหนาวที่มาตกกระทบกับผิวหนัง…บ้างห่อตัวแม้จะสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหนากว่าที่ควรจะเป็นในสถานที่แบบนี้...ก็ตามที

        

         บางอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในภายในจิตใจก็เริ่มเคลือบคลานมาลบเร้าไม่หยุดหย่อน…ราวกับว่าไม่เคยหายไปไหนแต่ยังคงพลางตัวอยู่ในหัวใจอย่างนั้นตราบลมหายใจนั้นยังมีความจำเป็นต่อร่างกาย…นั้นคือ….

                      อาการของ....



                                                                     “ เมาค้างครับ(แฮงค์)…เมื่อคืนดึกไปหน่อย ”( ไม่ใช่อุตส่าสร้างอารมณ์มาตั้งนานหมดกัน… )

                    นั้นคือ…“ ความเหงาไงครับ ” ( มันต้องแบบนี้ซิ )

                                                

                                                                       “ ทรายขาวนั้นอย่างไรก็ยังคงเป็นทรายขาว ” ผมเปรยกับตัวเองเสียงเศร้าคล้ายต้องการเยาะหยันให้ความเหงานั้นมันเกลียดชังผม…แล้วหนีไปจากใจผมเสียที…



                                                                        “ และคนโสดกับความเหงานี่มันก็คู่กันอย่างช่วยไม่ได้จริงๆนะ ”  เสียงใครคนหนึ่งแว่วดังมาจากด้านหลังซึ่งถึงผมไม่ได้หันกลับไปมองก็ทราบได้ด้วยสัญญาณแห่งการรับรู้ว่าเธอ....ผู้มีใบหน้ารูปไข่ใส่เสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงเลสีเขียว นั้นคือ...เพื่อนคนหนึ่งที่มาในคณะผู้มาสัมมนาในที่แห่งนี้พร้อมกับอีกหลายๆชีวิต.....

                                      “ ลิเกน่ะ...เหงาเหงยอะไรกัน... ”   ผมบอกออกไปไม่เต็มเสียงนัก.....ในใจนั้นรู้สึกหวิวไหวไปกับการมาของเธอ…

                

                                     ท้องฟ้า…ดวงดาว…หาดขาว…ลมหนาว…และหญิงสาว…อะไรๆก็ดูน่าจะดีไปเสียหมด…ถ้า



                                                                       “ ก็ไอ้ที่นั่งคอตกมองดูฟ้านี่หล่ะเค้าเรียกว่า เหงา....ยอมรับซะทีเหอะ  ”          

    ถ้าไม่รวมสามี( ของหญิงสาวเข้าไปด้วย ) บรรยากาศ ( ก็ ) คงจะดีกว่านี้เป็นแน่…



                     ผมเกิดอาการเซ็งขึ้นมาเฉยๆ...เริ่มรู้สึกว่าฟ้าตรงนี้เริ่มไม่ค่อยสวยเท่าที่ควรแล้ว....( ก็แหมมืดออกอย่างนี้จะมองตรงไหนว๊ะที่ว่าสวย )เมื่อสาวสวยคนเดิมทรุดกายลงนั่งข้างผม....พร้อมด้วยคู่ใจหนุ่มที่หน้าตาดีไม่แพ้กัน ( แต่อันนี้อาจจะแพ้ผมก็ได้ )

                                                                      “  อ้าว....จะไปไหนล่ะ ” หญิงสาวคนเดิมเอ่ยถาม...

                                                                      “  ไปนอน...ง่วง  ” ผมตอนสั้นๆ

                                                                      “  ง่วงหรือ....ทนไม่ได้กันแน่ว๊ะ... ”

                                                                      “  เลิกว่าโชคเค้าสักทีเถอะตี่...ดูทะเลกันดีกว่า ”

                     ผมล่ะเกลียดไอ้พวกที่ชอบสอดรู้ความรู้สึกของคนอื่นเสียจริงๆ...และเกลียดหนักที่สุดก็เห็นจะเป็น( ตรงที่)ไอ้ที่มันสอดรู้แล้ว…มันดันจริงนี่ซิ...(ให้ตายซิ)



                    ผมเดินจากหาดหน้ารีสอร์ทขึ้นมาเรื่อยๆด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์....

                    มันร้อนวูบวาบในใจ.....และรู้สึกหวิวไหวจนทนดูภาพของคนคู่หนึ่งเคล้าเคลียกันอยู่เบื้องหลังไม่ได้....

                                                                      “  ครับ...ผมยอมรับว่าผมอิจฉา....”

                   ซึ่งในอารมณ์ปกติ....ผม( มัก)มองภาพ( คู่รัก ) เหล่านั้น( ด้วยสายตา)สวยงามประดับโลกจริงๆ....แตไม่ใช่ในอารมณ์แบบนี้..อามรณ์ที่มีแต่ความแห้งแล้งและห่อเ..หี่..ย...วของหัวใจ

                    

                    ความเหงาที่มันทับทมจิตใจอยู่ไม่ต่างอะไรกับเลนเหลวๆที่กำลังพอกพูนอยู่บนผิวหน้าของดิน….

                    สูงขึ้นเรื่อยๆ…และค่อยๆกัดกินพื้นที่แห่งความใจกว้างของผมไปเสียสิ้น...คงเหลือไว้แต่ความใจแคบและทนเห็นความสุขของคนคู่ไหนในโลกตอนนี้ไม่ได้....

                    การเดินเลี่ยงหนีไป....เพื่อหาอะไรทำ...ย่อมทำให้ความฟุ้งซ่านนั้นสงบลงไปได้บ้างอย่างแน่นอน.....( หรือไม่...เอ๊ะยังไง )



                    ผมเดินเข้าไปยังส่วนหน้าของเคาเตอร์ในห้องอาหาร...สั่งเครื่องดื่มชนิดที่เรียกว่าแรงมากในชีวิตของผมมาดื่ม...และเดินไปยังมุมๆหนึ่งที่มีโลกของไซบอร์ดไว้คอยบริการ....นั่งลงและพิมพ์ที่อยู่ที่คุ้นตาลงไป



                    และนั้นคือที่มาของ( การที่ผมมานั่งทำซากอะไรอยู่ตรงนี้ทั้งที่เวลาปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว ) การขจัดความเหงาที่รบเร้าจิตใจของผม....ด้วยการหาสิ่งทดแทนที่แม้จะเติมเต็มไม่ได้ทั้งหมด…แต่มันก็มีที่ว่างเหลือน้อยลงและหวังว่ามันคงถูกเติมเต็มได้ในสักวัน…

                                                                  

                                                                   “ ด้วยคน…ไม่ใช่ข้อความ ”

                          

                                                                         …………………………………………….



                   เวลาตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วเห็นจะได้....ผมเปิดหน้าต่างของเว็บเด็กดีเข้าไป....ปรากฎว่าความเคลื่อนไหวในนี้มีอยู่น้อยมาก....สังเกตได้จากชื่อของเรื่องสั้นยาวที่ปรากฎอยู่ข้างหน้า

                                                               “ แหมรู้อย่างงี้เราเข้ามาสักเที่ยงคืนก็ดี...จะได้อยู่หน้าบอร์ดนาน ” ผมเย้าตัวเองเล่นเบาๆพลางกวาดสายตาไปตามชื่อเรื่องสั้นยาวที่มีอยู่

                   มีเพียงเรื่องสั้นเพียงไม่กี่เรื่องที่น่าสนใจ( ในสายตาของผมนะ )และผมเข้าใจว่าผมน่าจะใช้เวลาที่ยังไม่พร้อมจะข่มตาหลับไปพร้อมกับไอ้อาการแบบนี้ด้วยเรื่องดีๆสักเรื่อง...ให้มันประโลมใจ….ให้ความรู้สึกหวิวไหวในหัวใจ...มันบรรเทาเบาบางลง....ไปบ้าง

                   หรือไม่ก็ใช้เจ้าเรื่องพวกนี้( บางเรื่อง)เป็นยานอนหลับราคาถูกไปในตัวเลย…( ก็น่าจะดี )

                  

                   และแล้วผมก็พบว่าเรื่องที่ผมเลือกให้มันช่วยเยียวยาผม( ให้หลับหรือไม่ก็...ตื่นอยู่อย่างมีความสุขกว่านี้ )…กลับซ้ำเติมผมหนักเข้าไปอีก

                   เรื่องสั้นที่เกือบตกกรอบของการอัพเดทเรื่องใหม่ไปแล้ว...

                   เรื่องสั้น....ที่มีชื่อน่าสนใจ...พร้อมทั้งปลาย( นาม )ปากกา...ที่อ่านแล้วยากจะคาดเดาว่าผู้เขียน(น่าจะ)เป็นบุคคลชนิดใด....จากนามปากกาแบบนี้

                   เรื่องสั้นเรื่องนั้นที่มีชื่อว่า...



                                                                                    “ ผีเสื้อที่หยิ่งทะนง ”

                                                                                         “ ยูนิคอน ”



                    โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่ค่อยคาดหวังกับงานเขียนที่จะอ่านมากมายเท่าไหร่นัก…เนื่องจากการคาดหวังนั้นๆ…บางครั้งทำเอาผมแทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายก็มี…

                    ระยะหลังมานี้ผมจึง( เลือกที่จะ )เข้าไป( อ่าน) เรื่องของเด็กดีด้วยเหตุผลเพียงไม่กี่ข้อ…นั้นคืออาจเพราะเรื่องนั้นๆมีชื่อเรื่องหรือชื่อของนักเขียนที่สะดุดตาเท่านั้น…

                    ภาวนาให้อย่าเกิดอาการผิดคาดขึ้น( กับเรื่องที่จะอ่าน ) ตอนนี้เลย…ยังไม่อยากเสียเงินสร้างผนังห้องให้เขาใหม่… (สาธุ)

                    แต่ก็ดูพระเจ้าจะใจร้ายกับผมเหลือเกิน...ที่ครั้งนี้ดูเหมือนมันจะผิดไปหมดทุกอย่างที่ผมเคยคิดไว้ครับ

              

                    “ ผีเสื้อที่หยิ่งทะนง ” เป็นเรื่องของผีเสื้อลายเส้นสีสวยสดงดงามตัวหนึ่งซึ่งบังเอิญเกิดมีชีวิตขึ้นมาและบินผ่านออกจากโลกแห่งหนังสือ…ไปสู่โลกกว้าง…แต่แล้วก็เจ้าผีเสื้อในสมุดสีเมื่อมาพบเข้ากับสัตว์น้อยใหญ่ที่เฝ้ามองเจ้าผีเสื้อด้วยความประหลาดใจ…พลางถากถางเจ้าผีเสื้อว่าสวยงามได้ด้วยสีที่เค้าปั้นแต่งไว้บ้าง…เพราะลายเส้นที่เค้าวาดไว้บ้าง…ด้วยความมั่นใจว่าตนเองนั้นถ้าไม่ได้ประกอบด้วยลายเส้นหรือสี…ตัวเองก็สดสวยได้…จึงขับไล่สิ่งเหล่านั้นไปจากตัว…และกลายเป็นผีเสื้อโปร่งแสงไปในที่สุด…ซึ่งการทำเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดผลแห่งการคิดได้ของเจ้าผีเสื้อน้อยในที่สุดว่า…อย่างไรเสียเราเองก็หาได้สวยอวดสายตาใครต่อใครได้หากไร้สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นตัวของเรา...



                    เหตุผลก็เพราะ…ผมเองรู้สึกผิดคาดในการอ่านเรื่องแบบนี้ในเด็กดีเอามากๆ…ซึ่งผมยอมรับว่าผมเคยรู้สึกว่างานที่ออกมาในเด็กดีนี้ไม่ค่อยมีความสด…ของรูปแบบและเรื่องราวนัก…และนี่จึงเป็นความผิดคาดที่ผม( คาด...และ ) ขอบคุณพราะเจ้ามากๆที่ดลใจให้ผมได้อ่านงานดีๆชิ้นนี้ ( และไม่ต้องเสียเงินโปกผนังให้เขาด้วย )

                   อีกทั้ง..ผมยังรู้สึกได้ถึงว่า…ผู้แต่งมีความสามารถในการเขียนเรื่องได้อย่างแนบเนียนและลงตัวมากในหลายๆด้านทีเดียว….นั้นคือ…

                  ในด้านของมุมมองในการเขียนงาน…งานชื้นนี้บอกผมได้ว่าผู้เขียนเป็นผู้มีความสามารถในการมองสิ่งไกลตัวให้เป็นเรื่องใกล้ตัว…ด้วย( ผ่าน )สายตาและมุมมองของตนเองได้หลากหลาย…อย่างวิเศษ…ภาษาที่เลือกใช้นั้นเหมาะสม…เอามากๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า...

                              “ เรียบแต่ไม่ง่าย…และง่ายอย่างงดงาม ” …คงไว้ซึ่งความงดงามที่สัมผัสได้จากภาษาที่อ่านแล้วไม่รู้สึกขัดเขินที่จะอ่านแบบเต็มใจและใส่ใจ…ไม่ใช่สักแต่ว่าอ่านแล้วก็จบไปหาความคิดคำนึงถึงงานชิ้นนั้นๆไม่ได้อีกเลย…( ตลอดชีวิตสั้นๆของเรานี้ )



                   และลักษณะเด่นของนิยาย( หรือนิทาน )เรื่องนี้มีรูปแบบ...คือการทิ้งไว้ให้คิดเอาเอง…ตามแบบที่เราจะเป็นผู้กำหนดด้วยใจของเราเอง…ไม่บังคับหรือพยามยัดบางสิ่งที่เราไม่ได้คิดใส่ลงมาในหัวของเรา…ซึ่งในมุมมองของผมนั้นอาจไม่เหมือนคนที่เคยอ่านเรื่องนี้…ซึ่งผมคิดว่าหลังจาก( อ่านเรื่อง )นี้ ( จบ )ไป…ผมคงลดไอ้อาการ  “ ถือดี ” ลงไปได้อีกมากทีเดียว

                  

                   ออกจะผิดหวังและเสียใจอยู่นิดหน่อยหลังจากอ่านงานชิ้นนี้จบ…ก็เห็นจะเป็นตรงที่…งานชิ้นนี้มันไม่ใช่ยานอนหลับชั้นดีเลยแม้แต่นิดเดียว…และผมเองก็คงต้อง( ขวนขวาย )หางานของคุณยูนิคอนมาอ่านอีกสักชิ้น..เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่อ่านจบไปเมื่อครู่เกิดจากความสามารถจริงๆ…ไม่ใช่แค่ฉาบฉวย…( ขนาดเพิ่งบอกว่าจะลดความอวดดีแล้วเชียวนะเนี๊ย )ทั้งที่ตาใกล้จะหลับเต็มทีแล้ว…( แต่ใจมันเรียกร้อง )

                                    

                   และด้วยคามที่ผมทราบว่าเรื่องสั้นกับเรื่องยาวนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากทั้งด้านองค์ประกอบและรปแบบการนำเสนอ...เมื่อผมประทับในในเรื่องสั้นของนักเขียนท่านนี้เอามากๆแล้วผมจึงตัดสินใจเข้าไปอ่านเรื่องยาวที่มีเพียงเรื่องเดียวของนักเขียนท่านนี้นั้นคือ...



                                                              “  ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ”

                    ด้วยเหตุผลที่ว่า…นักเขียนบางท่านมีความสามารถในการเขียนเรื่องสั้นได้อย่างน่าประทับใจ…แต่ในเรื่องยาวแล้วกลับตกม้าตายมามากต่อมากแล้ว…ผมจึงอยากพิสูจน์ความสามารถของนักเขียนท่านนี้…ด้วยการอ่านเรื่องยาวโดยคาดหวังลึกๆว่า…หัวผมยังคงอยู่ในสภาพใช้การได้ดีอยู่ และผมคงไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากให้กับค่าซ่อมแซมผนังของห้องอาหารของรีสอร์ทแห่งนี้…ด้วย



                    “  ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ” เปิดเรื่องได้อย่างน่าประทับใจเอามากๆด้วยการบอกเล่าเรื่องราวที่นักเขียนต้องการสื่อด้วยสถานะการณ์และการเล่นคำได้อย่างเหมาะสม…อีกทั้งทิ้งปมท้ายเรื่องได้น่าสนใจติดตามอ่านต่อไปอย่างไม่มีที่ติ…

                      ซึ่ง( ก่อนหน้านี้)ผมเคยคิดเองว่านิยายที่ดีนั้นควรต้องมีการบรรยายฉากที่แจ่มชัดไม่ปิดเบี้ยวไปมาง่ายแก่การทำความเข้าใจและนึกภาพตามได้…มีการแสดงอารมณ์ตลอดจนความสมบูรณ์ของสำนวนและภาษาที่ดีพอที่จะต้องสื่อทั้งความหมายดดยตรงและความหมายโดยนัยได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนจากความคิดของเขียนเอง....



                      ซึ่งที่ผมคิดมาทั้งหมด…ผมได้รับคำตอบแล้วว่า “ มันไม่เสมอไป ”

                    

                     “ นาฬิกาหัวใจ ” ไม่มีฉากที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ…หรือการแสดงอารมณ์ที่เรียกได้ว่าตรึงเครียดหรือความขัดแย้งที่อยู่ในอันดับต้นๆของการเปิดหัวเรื่องที่น่าสนใจ…แต่…

                    สิ่งที่บทนำของเรื่องนี้มีนั้นก็คือ…สำนวนโวหารง่ายที่อ่านแล้วปาดลึกกินใจ…ชักชวนให้คล้อยตามได้ไม่ยากเย็นนัก…และมีรูปแบบการนำเสนอที่กระชับต่อเนื่อง…ทิ้งช่วงว่างเล็กให้ผู้อ่านได้เติมเต็มความรู้สึกบางส่วนที่ขาดหายไปเอง…ผมไม่ทราบว่ารูปแบบเช่นนี้ควรเรียกว่าอะไร…แต่สำนวนและการนำเสนอของการเปิดเรื่องนี้…มี “ เสน่ห์ ”  และและเชิญชวนผู้อ่าน ( อย่างผม )ให้เข้าไปรับรู้เรื่องราวที่ผู้แต่งทิ้งความกระหายใคร่รู้ไว้ให้ผู้อ่านใคร่รู้ ….ถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอได้อย่างมีชั้นเชิง  

                    

                        “ ข่าวร้าย ” สร้างความสะเทือนใจอย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งครั้งในอีกหลายๆบทที่ผู้เขียนสามารถบรรยายความรู้สึกของผู้สูญเสียได้อย่างแนบเนียบชนิดที่เรียกว่าผมเองเกิดอาการน้ำตาเรื้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวครั้งแล้วครั้งเล่า…และสุดท้ายก็มีซึมและไหลออกมาเป็นทางราวกับว่าประสบเหตุการณ์นั้นขึ้นกับตัวเองจริงๆ…นี่คงเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของผู้เขียนที่มีความสามรถในการดึงอารมณ์ผู้อ่านให้เกิดความคล้อยตามไปกับเนื้อเรื่องของผู้เขียนได้…ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้คือการรู้จักสรรหา…ใช้คำได้ถูกจังหวะ…และความสามารถในการดำเนินเรื่อง…



                        จริงๆแล้วผมค่อนข้างปลื้มงานที่อ่านอยู่นี้เอามากๆทั้งรูปแบบการนำเสนอและเนื้อหา…จนบางทีอาจมองข้ามบางจุดของเรื่องนี้ไปบ้างโดยมีใจเอนเอียงในบางที…แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกย่อมมีสองด้านเสมอครับ…เมื่อมีสิ่งดีๆให้เรารู้สึกอยากพูดถึง…ในบางจุดที่เป็นจุดด้อยก็มาจ่อปากความคิดเราอยุ่เช่นกันบอกว่าเรื่อง แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเนื้อเรื่องของนิยายเรื่องนี้กันก่อนดีกว่าครับ



                       ในความคิดของผมพล็อตแบบนี้มีอยู่ให้เห็นจนชินสายตาครับ…ทั้งเรื่องของเด็กดีเองและของนักเขียนอาชีพ…แต่ประเด็นที่ว่า…ความรักมักหารแบ่งไม่ลงตัวเสมอก็ยังมีเสน่ห์ที่จับต้องและสัมผัสได้ในชีวิตจริงของเราทุกคน…ซึ่งผู้เขียนนำเสนอปมของเรื่องไว้ตั้งแต่ตอนที่ 5ลงไป ถามว่า…ช้าเกินไปไหม…ผมอยากบอกว่าไม่ช้าเกินไปเลยครับ



                       ด้วยเรื่องนี่เป็นการนำเสนอรูปแบบที่เรียกว่านำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตมาเกริ่นเรื่อง…แล้วจึงค่อยเล่าเรื่องถึงสิ่งที่เกิดผ่านมาแล้ว…ซึ่งถือว่าดีกับการดำเนินเรื่องทางหนึ่ง….เพราะจะช่วยย่นระยะเวลาของการนำเสนอได้รูปแบบหนึ่ง…ทำให้การนำเสนอนั้นรวดเร็วได้อย่างที่ผู้เขียนต้องการสื่อ…ตามแผนได้อย่างไม่ต้องพะวงกับความต่อเนื่องมากนัก…เนื้อเรื่องจึงไม่เยิ่นเย้อหรือยานคางจนเกินไปนัก…

                       ซึ่งถ้าเป็นได้อย่างที่เกริ่นบอกมาทุกอย่างเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นนิยายที่ดีใช่ไหม…ใช่ครับแต่จุดด้อยเล็กๆที่มีในเรื่อง นี้ก็มีให้เราเห็นได้ประปรายเช่นกัน นั้นก็คือ



                       การบรรยายฉากยังไม่มีน้ำหนักมากพอในบางจุด…จนทำให้ความน่าเชื่อถือและซาบซึ้งของเนื้อเรื่องลดลงกึ่งหนึ่ง…ซึ่งอาจสืบเนื่องมาจากผู้เขียนยังไม่ใคร่รู้จักสถานที่ที่ทำการบรรยายถึงดีพอนัก…ทำให้เรามองเห็นภาพที่บรรยายเป็นมุมกว้างแบบกระจัดกระจายเกินไปไม่มีจุดเด่นที่ชัดเจนเท่าที่ควรหรือเท่าที่น่าจะเป็น…จนทำให้เกิดอาการลังเลที่จะเขียนถึง…แต่ผู้เขียนก็ฉลาดที่จะเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ด้วยการบรรยายถึงบางรายละเอียดกว้างๆเข้าไว้…ซึ่งก็พอใช้ได้กับบางฉากแต่ไม่ใช่ทุกฉากที่จะสามารถทำได้แนบเนียนนัก



                        ประการสุดท้ายที่เป็นข้อด้อยที่เด่นชัดที่สุดของเรื่องนั้นก็คือ….

                        ทำให้ผมอดนอนมาเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง...เพราะผมไม่อาจละสายตาไปจากตอนแต่ละตอนของนักเขียนท่านนี้ได้จริงๆ

                      

                         ผมปิดคอมลงด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทีเดียว...แต่หนึ่งในความรู้สึกเหล่านั้นคือผมเกิดอาการอิจฉาเล็กๆขึ้นมา…กับคนหลายคนครับ...นั้นคือ



                         อิจฉานักเขียนเรื่องนี้( มากๆ) ที่มีความรู้ความสามารถในการนำเสนอผ่านตัวอักษรได้อย่างลงตัว…และเหมาะสมกับภาษาที่เลือกนำมาใช้ได้อย่างถูกเวลาและโอกาสจนผมอย่างใช้คำว่า “ ยอดเยี่ยม” กับงานชื้นนี้ก็เห็นที่จะไม่มากหรือน้อยเกินไปนัก( ในความรู้สึกของผม)



                         อิจฉานักอ่านในเด็กดีหลายๆท่านที่เคยอ่านงานชิ้นนี้หรือกำลังติดตามงานชิ้นนี้อย่างไม่ลดละที่ได้รับรู้ถึงกลวิธีในการนำเสนองานที่ดูโดดเด่นและเป็นงานที่ใช้เป็นตัวอย่างในการนำเสนอได้อย่างไม่ขัดเขินก่อนผม…และผมเชื่ออย่างที่สุดว่าเค้าเหล่านั้นย่อมมีความรู้สึกหนึ่งที่เหมือนหรือไม่ก็คล้าย...หรือไม่ก็เกือบคล้าย..หรือไม่ก็( พอแล้ว )...กับผมเมื่ออ่านถึงตอนที่ 2 ที่ 3 ที่ 10-15 และที่ 19 ว่าเมื่ออ่านแล้วบ่อน้ำตามันตื้นขึ้นมาเฉยๆ…และรู้สึกเหมือนนักเขียนจงใจบีบหัวใจผู้อ่านให้แหลกคามือครั้งแล้วครั้งเล่า…เป็นการลงโทษที่ผู้อ่านทั้งหลายพากันเข้ามารู้จักกับงานชิ้นนี้ช้าเกิน…( เกี่ยวกันไหมเนี๊ย)    



                         ความรู้สึกที่มันหวิวไหวเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วแทบจะเรียกได้ว่าหายไป…อย่างไม่น่าเชื่อ…ให้นึกสงสัยว่าเพราะมันคงจะดึกมากแล้วซินะ…ไอ้ความเหงาคู่แค้นเก่าของผม...มันเลยชิงหลับไปก่อนผม....แทนที่ผมจะหลับก่อนมันอย่างครั้งที่ผ่านๆมา….



                          สุดท้ายนี้อยากบอกอย่างที่สุดว่า....งานชิ้นนี้ให้ความรู้สึกที่ผมเองก็ลืมไปนานแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยเชื่อและคิดอย่างที่ผู้เขียนนำเสนอเหมือนกันว่า “ บางครั้งคนเราก็อาจจะนึกรักใครขึ้นมาเฉยๆโดยไม่สำคัญว่าจะรู้จักเขาช้าหรือเร็ว…แค่ไหนแต่สำคัญที่ว่าเมื่อเจอแล้วจะไม่ยอมให้เค้าจากไปจากเราอีกเลย…”



                          “  ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก ” จึงเป็นมากกว่าความรู้สึกประทับใจที่ผมรู้สึกกับงานชิ้นนี้ครับ…และคิดว่าสิ่งที่ผมเขียนออกมานั้น…ยังมีค่าน้อยกว่างานชิ้นนี้ของคุณยูนิคอนมากๆครับ…



                                                                                                                                                   วานิช นิ่มสกุล





      ปล1. ขอรอยยิ้มสักนิดเถิดที่รัก อยู่ในหมวด : รักเศร้าๆ ...ผู้แต่ง : ยูนิคอน  ขณะนี้( 15/3/47)มีทั้งหมด 32 ตอน ที่http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=1104 ครับ



    ปล.2 จริงๆแล้วอยากขอโทษเจ้าของเรื่องมากๆครับที่ลงวิจารณ์เรื่องนี้ช้ามากๆ…เนื่องจากเกลาแล้วรู้สึกว่าอยากใช้ทั้งหมดที่ตัวเองรู้สึกนำเสนอกับทุกคนที่มีโอกาสเข้ามาอ่านงานวิจารณ์เรื่องนี้ครับ…และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผมเองคงจะไม่วิจารณ์งานที่มีคุณค่าเรื่องนี้ให้มีคุณค่าน้อยลงนะครับ….



    ปล.3 ( สุดท้าย )จริงๆแล้วงานเรื่องสั้นเรื่อง “ผีเสื้อที่ทะระนง” ของผู้เขียนปิดเรื่อง(ลบ)ไปแล้วครับซึ่งจริงๆแล้วยังอีกเรื่องที่อยากเขียนถึงมากๆก็คือ…” โสมส่องหล้าครับ…”ซึ่งถ้าลงทั้งหมดคงมีขนาดที่ยาวเกินไป…จึงขอโทษท่านผู้เขียนมา ณที่นี้ด้วยครับ และขณะนี้ท่านผู้เขียนมีงานเรื่องใหม่เรื่อง : Summer of December ใครที่สนใจนิยายแนวปฟนตาซีเรื่องนี้เชิญที่ http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=11976 ครับ







                  







                      





                  

                                                                

                                                                      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×