ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ลำดับตอนที่ 5
สามวันให้หลัง
ที่ผมลงเรื่องยาวครั้งแรก (ในชีวิต) ของตัวเองไป
เมื่อเปิดเข้าไปเช็คเรื่องก็ปรากฏว่า
        “ เฮ้ย เป็นไปได้ไงว่ะ ” ผมจำได้ว่าผมอุทานออกไปอย่างนั้นจริงๆ( แถมเสียงดังลั่น)
    ด้วยผมเองก็ไม่ได้เตรียมใจรับผลที่จะตามมาเท่าไหร่นัก (ก็คาดหวังไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้ส่งเรื่องด้วยซ้ำว่าคงมีคนอ่านถล่มถลาย) และเกิดอาการรับไม่ได้อย่างเฉียบพลันทีเดียว (ถึงกับหน้ามืดเลยคุณเอ๊ย )
       
        “ สามวันกับ 1 โพท 5 คะแนน กับ 8 คนดูเนึ๊ยนะ ” ไม่อยากบอกเลยว่าตอนนั้นแทบจะเอาหัวโขกหน้าจอขนาด17นิ้วตายเสียให้ได้ (แต่คิดไปคิดมาไหนจะค่าจอใหม่ ค่าทำแผล โอ้โหมากโขอยู่เลยเปลี่ยนใจ เอาหัวโขกกำแพงดีกว่า...อ๊าก)
   
      ผมเริ่มต้นเปิดเข้าไปอ่านความคิดเห็นอันน้อยนิดในเรื่องของผมด้วยอาการหงอยๆ (บวกมึนๆและเจ็บที่หัวนิดหน่อย) ก็เห็นมีความคิดเห็นของคนชื่อ “ คนหลอน \"  เพียงคนเดียว
                เนื้อความบอกไว้ว่า “ เรื่องน่าสนใจนะ แล้วจะมาอ่านต่อ อัพเร็วๆนะ พร้อมให้ 5 คะแนนด้วย ”
    ผมงี้อึ้งเป็นรอบที่สองเลย (แถมแผลที่หัวก็เริ่มจะปูดหน่อยๆแล้วด้วย) 5 คะแนน เมื่อสามวันที่แล้วตอนนี้ก็ยัง 5 คะแนนอยู่ แสดงว่ามี 8คน (ที่เข้ามาอ่าน) มีคนชอบงานเราคนเดียว พระเจ้า
   
    ผมจำได้ว่าผมถอนใจอย่างแรง ด้วยความน้อยใจ สงสัย ลังเล ( และเจ็บหัวอีกต่างหาก) ว่าผมคงจะรุ่งยากซะล่ะมั้งกับวงการขีดๆเขียนๆเนี๊ย
   
    สมองที่บอบช้ำเพราะความผิดหวังอย่างแรง ยังน้อยกว่าหัวใจที่บอบช้ำอย่างสาหัสด้วยการคาดหวังที่สูงริบ
    ซึ่งขณะนี้ มันเหมือนกับตัวเองกำลังตกจากหอคอย ดิ่งลงสู่เบื้องล่างที่ทั้งหนาวและแห้งแล้ง
ดำดิ่งสู่จุดต่ำสุดด้วยแรงโน้มถ่วงยังไงยังงั้น
    (แต่ อาการที่ว่ามาทั้งหมด ยังน้อยกว่าอาการเจ็บหัวมากเลย)
   
    ผมเริ่มถามตัวเองว่าผมทำอะไรผิด(รึเปล่า) 3 ตอนกับ 5 คะแนนนี่มันเกินจะรับได้จริงๆนะ แต่ถึง (หัว) จะช้ำอย่างไงผมก็ยังพอมีสติ (อยู่บ้าง) และบอกกับตัวเองเสียงดังเลยเชียวว่า
       
        “ ไม่มีคำว่าแพ้ สำหรับคนที่มีความพยายาม
        และความสำเร็จจะไม่มาหา ถ้ามัวแต่สิ้นหวัง ”
   
    หลังจากที่คิด (ปลอบใจตัวเอง)ได้แล้วผมก็เลยลองอ่านบทนำของตัวเองอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจลบเรื่องของผมทิ้ง พร้อมกับลงเรื่องใหม่ เหตุเพราะผมรู้สึกว่าไอ้คำบรรยายเรื่องผมมันไม่เชิญชวนให้น่าเข้าไปอ่านเอาเสียเลย (หรือเพราะเนื้อเรื่องรึเปล่าก็ไม่รู้) ก็เลยจัดการแก้ไขใหม่ (ให้เก๋ไก๋กว่าเก่า) ทันที พร้อมกับไปดูผลงาน (คำบรรยายเรื่องใหม่) ที่หน้าบอร์ด ด้วยความหวังที่เปี่ยมล้นอีกครั้ง แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดอยู่ที่เรื่องยาว ที่เพิ่งอัพออกมาอวดโฉมใหม่เช่นกับ แต่ถัดจากผลงานของผมลงมาเรื่องนึง นั้นก็คือเรื่อง
        “ เรื่องของปลวก ”
    ไอ้ที่ว่าสะดุด ( จนหัวเกือบทิ่ม) ก็ไอ้ตรงชื่อคนแต่ง นี่ล่ะ
ผมจะลืมได้ไงว่า เขาเป็นคนอ่านคน (แรก) เดียวของผม
    แม้สมองผมจะยังเบลอนิดๆ (จากแรงกระแทก) แต่ผมยังจำชื่อนั้นได้ดี ชื่อของ คน (เพียง) คนเดียวที่ช่วยวิจารณ์ของงานของผม
        “ (เขาคือ) คนหลอน ของผม( รึเล่าหว่า) นี่เอง ”
   
แม้ผมจะไม่ได้บ้าดูหนังจีนนัก แต่สำนวนที่ว่า
        “ บุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องคลีนเน็ก ( ชำระ)” ก็ผุดขึ้นมาในสมองผมทันที
    นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผม (จำใจ) ต้องคลิกเข้าไปเพื่อขอบคุณเป็นการส่วนตัว โดยที่ตัวเองก็ไม่คิดใส่ใจหนังสือหรือข้อเขียนในเรื่อง (เรื่องของปลวก)นัก แต่
    พอผมเปิดเข้าไปเท่านั้น มีคนฝากข้อความถึงคนเขียนเยอะมาก (แม้จะไม่เท่าคุณโดม แห่งอัญมณีสีน้ำเงินก็เหอะ) เล่นเอาผมอ่านจนเหนื่อยเลยทีเดียว
   
พอ (แอบ) อ่านความคิดเห็น (ของเขา) ก็พบว่า ไอ้เรื่องของปลวกนี่มันคงน่าสนใจใช่หยอกนะ หลายความเห็นบอก “ว่าคิดได้ไง” บ้าง อีกหลายคนก็ว่า “ นุกหนานจังเลย ” บ้าง
    ไอ้ผมก็เป็นพวกชอบรู้ให้แจ้งเห็นให้จริงเสียด้วยสิ ผมจึงเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย คลิกกลับไปที่ต้นเรื่องอีกครั้ง (เหนื่อยและเมื่อยมือรอบสอง) มองเห็นตอนที่อยู่ตรงหน้ามีอยู่ 5 ตอน (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ตอนนึงๆน่าจะกินเวลาไม่ถึง 10 นาที
       
        “ เอาว่ะ ลองอ่านซะหน่อยเด่ะว่านุกจิงหรือแกล้งโม้ ” ผมตัดสินใจเข้าไปอ่านตอนแรกทันที
   
    เรื่องของปลวกเปิดต้นเรื่องได้สับสนดีจัง (แบบว่ามันวกไปวนมาน่าปวดแผลที่หัวจัง) แต่พอจับใจความได้ว่าตัวเอกเป็น          ลูกนักวิทยาศาตร์ที่ไม่ประสบผลในการทดลองชิ้นใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว และตอนนี้เขาเริ่มงานทดลองใหม่อีกครั้งโดยให้ชื่อการทดลองว่าน้ำยาปลวก คุณสมบัติที่แสนจะพิเศษของผลงานของเค้าที่อวดอ้างให้ตัวเอกของเรื่องฟังก็คือ คนจะหันมากินไม้ได้เหมือนปลวก (เออแฮ่ะ ชักจะรู้แล้วว่าไอ้ที่ถามว่าคิดได้ไง มันมาจากแถวๆนี้เอง) แต่เมื่อลูกชายของเรื่องฟังจบ แทนที่จะดีใจกลับรู้สึกอยากตาย ( อะไรประมาณนั้น) ในความคิดของพ่อก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาเจอภาพบาดตาที่แฟนสาวกำลังอินเลิฟกันแฟนใหม่ต่อหน้าต่อตาเขา ด้วยความโกรธบวกความสุ่มส่ามที่คนเขียนจงใจให้เป็น ทำให้หมอนี่ดูจะมีการแสดงออกแบบแปลกๆ และสุดท้ายก็หิว แต่ไม่มีอะไรให้กิน ก็เลยคิดถึงน้ำยาปลวกที่พ่อเพิ่งบอกขึ้นมา แล้วก็กินมันเข้าไป แต่แทนที่เขาจะกินไม้ได้อย่างพ่อว่า เขากลับพบว่าตัวเองกลายเป็นปลวกไปเสียเอง (อะนะ ต๊องจริงๆ)
   
    พอจบตอนแรก ผมเริ่มคิดแล้วว่าโอโหเฮะ หมอนี่คิดได้ไงหว่า ( เหมือนหลายๆคนคิดเลย) ผมจึงไม่ลังเลเลยที่จะเข้าไปอ่านตอนที่2ทันที (ด้วยใจเริ่มเชื่อแล้วว่ามันสนุกจริงอย่างที่เค้าว่าจริงๆแฮ่ะ ไม่ได้โม้)
   
    ตอนที่สองยังคงต่อเนื่องกับตอนแรกได้อย่างประหลาด ( รู้สึกเหมือนมันน่าจะเป็นตอนเดียวกันเลยน่าจะดีกว่า) จะขาดก็แต่สำนวนวกวนนั้นหายไป และลำดับเรื่องเริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นกว่าเดิม ไม่วกวน ( จนชวนเวียนหัวที่ปูดโปนของผม ) แต่ที่ผมชอบที่สุดก็เห็นจะเป็นการบรรยายบรรยากาศของเมืองแห่งปลวกที่อ่านแล้วมองเห็นภาพเลยทีเดียว ( แม้จะไม่เคยเห็นเลยก็ตามที ) เมืองเล็กๆที่มีประชากร(ปลวก)ประมาณหนึ่งคล้ายๆเมืองของมนุษย์นี่แล หากแต่มันแตกต่างตรงที่ มันคือเมือง คืออาณาจักรของปลวกเท่านั้นเอง
   
              ผมยอมรับว่าจิตนาการของคนเขียนมีมากเหลือเกิน มากจนสามารถนำเรื่องเล็กๆมาเขียนเป็นเรื่องใหญ่ๆได้สบายเลย แต่สำหรับมุขบางมุข ผมมีความรู้สึกว่ามันเฝือ (มากเกินจำเป็น) และฝืดนิดหน่อย เพราะดูมันไม่ค่อยเข้ากับเนื้อเรื่องเลย แต่นั้นอาจเป็นการพยามสร้างสีสันให้กับตัวละครในสไตร์ของคนเขียนก็ได้ (เพียงแต่ผมอ่านแล้วรู้สึกมันไม่ค่อยโดน) แม้ผมจะรู้สึกแปลกๆ แต่ผมก็เชื่อว่าคงมีคนอีกไม่น้อยที่ชอบมุขประมาณนี้ (มันเป็นความชอบ และความพอใจของแต่ละคนครับ)
   
    ผมยังคงเข้าไปอ่านอีกหลายตอน จนจบตอนที่ 5 โดยใช้เวลาไปประมาณหนึ่งแล้วสรุปได้ว่า เมืองแห่งปลวกนี้มีปัญหาพิพาทกับมด และต้องการหาทางออกที่สวยๆให้กับปัญหานี้ แน่นอนว่าพระเอกของเราต้องมีบทบาทในการแก้ปัญหาหาให้กับอณาจักรปลวกแห่งนี้แน่ๆ พอมาถึงตรงนี้ทำให้ผมเริ่มคิดว่า
   
    ด้วยเนื้อเรื่องและลักษณะของตัวละครที่ผู้เขียนจงใจให้เป็น (ในตอนแรกๆ) ทำให้ผมเริ่มนึกภาพไม่ค่อยออกนักว่า เด็กหนุ่มที่ดูไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองนัก เซ่อซ่า แถมซุ่มซ่ามอีกต่างหากจะกลายมาเป็นฮีโร่ของเรื่องได้ไง (ซึ่งผมว่าเป็นการบ้านที่หนักหนาสาหัสของคนเขียนทีเดียวที่จะต้องขบคิดพัฒนาการของตัวละครตัวนี้ให้เก่งและฉลาดอย่างสมเหตุสมผลและเหมาะสม ซึ่งมันยากนะ ในความรู้สึกของผม)
   
    เมื่ออ่านเรื่องจบ( ทั้ง 5ตอน) ผมอดไม่ได้ที่จะกลับสู่หน้าหลักของเรื่องและให้ ( ) คะแนนทันที (อันนี้เป็นความลับและธรรมเนียมของผมเองนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมชี้นำ) และลงความเห็นในตอนสุดท้ายของเรื่อง พร้อมทั้งไม่ลืมขอบคุณและบอกเล่า “ คนหลอน ” ด้วยว่าผมลงตอนใหม่แล้ว (แอบโฆษณาแอบแฝงนิดหน่อย)
   
    แล้วจึงออกมาจากเรื่องนั้นด้วยความอิ่มเอม พลางคิด (เพลินๆ) ว่าการใช้ตัวละครที่เก่งกล้าสามารถในการดำเนินเรื่อง หรือเป็นตัวแก้ปัญหาในเรื่องนั้น ออกจะมีให้เห็นหลายต่อหลายเรื่องแล้ว (ประเภทพระเอกหล่อ รวย..แถมฉลาดเป็นกรดและเก่งอีกต่างหาก) และดูจะง่ายกว่าการเลือกให้ตัวละครที่ต้องเป็นตัวชูโรงที่ดูอ่อนแอ หรือต้องมาเป็นผู้แก้ปัญหาในเรื่อง นั้น ไม่ค่อยมีให้อ่านแฮ่ะ น่าสนใจดี )
    ซึ่งตัวชูโรงที่ว่า (ที่ดูจะอ่อนแอ) ควรต้องมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องมากทีเดียวล่ะในการที่จะแก้ปัญหานั้นๆให้สำเร็จลงได้ (โดยมันต้องไม่ง่ายนักแน่ๆ) และนี่เป็นการพิสูจท์ความสามารถของคนเขียนอย่างแท้จริง อย่างหนึ่ง (เพราะถ้าทำให้ตัวละคร ตัวนั้นมีพัฒนาการได้ไม่แนบเนียนนัก เสน่ห์ของตัวละครตัวนั้นก็จะด้อยลงไปทันที (อย่างช่วยไม่ได้) อย่างเช่นอยู่ๆพระเอกก็เก่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขุ่ย ทั้งที่แต่ก่อนสุดแสนจะซื่อบื้อ อันนี้ก็ไม่น่าเชื่อ จริงไหม) ซึ่งผมคาดหวังไว้อย่างนั้น และก็ยังคงต้องติดตามเรื่องนี้ต่อไป
ผมกลับมาที่หน้าบอร์ดอีกครั้ง ปรากฏว่าเรื่องของผมมันตกขอบไปแล้ว ก็เลยคิดจะเข้าไปอัพใหม่ (อีกที ประเภทหน้าด้านหน้าทน ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปฮิๆ) แต่แล้ว
   
    ผมต้องตกตะลึงอย่างไม่คาดคิด (ตางี้เบิกกว้าง เหงื่อเม็ดเป่งๆออกมาเต็มหน้าทีเดียว) เพียง 45 นาที (โดยประมาณ) มีคนเข้าไปอ่านเรื่องของผมแล้ว14 คนแถมคะแนนอีก 15คะแนน
   
    “ โอ้ ขอบคุณสวรรคที่เมตตาลูก ” ผมเอ่ยออกมาอย่างดีใจ
แค่ 45 นาทีเท่านั้นเอง .
   
    ผมจึงเริ่มเรียนรู้และเข้าใจอะไรบางอย่างได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ นั้นก็คือ
    “ คำบรรยายเรื่องดีๆก็สามารถดึงดูดคนอ่านให้เข้ามาอ่านเรื่องของเราได้เหมือนกัน ”  (แม้ต่อมามันจะเงียบเหมือนเดิมก็เหอะ) แต่ประกายแห่งความฝันของผม มันได้เริ่มโชนแสงขึ้นอีกครั้ง แล้ว
   
    เมื่อความสงบเริ่มมาเยือน ผมก็เริ่มรับรู้บางอย่างที่มันรบเร้ามันสมองของผมมาพักใหญ่แล้ว ดังนั้นผมจึงตะโกนบอกกับตัวเองออกมาดังๆว่า
           
        “ เจ็บหัว ชิบเป๋งเลยโว้ย แงๆ ”
                                วานิช นิ่มสกุล
   
    ปล.(1) 4 ตุลาคม 2546 งานเขียน “ เรื่องของปลวก ” มีทั้งหมด 10 ตอนแล้ว และยังคงความสนุกน่าเหลือเชื่อไว้เหมือนเดิมจ้า เอาไว้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันใหม่นะจ๊ะ ใครมาอ่านแล้วไม่โพทบอกความรู้สึกเรื่องที่คุณเคยอ่าน (หรืออาจจะเป็นเรื่องเดียวกับที่ผมเขียนวิจารณ์ไปแล้ว) .ขอให้จูด จูดด้วย เพี้ยง
   
    ปล. (2) ถ้ามีถ้อยคำใดๆก็ตาม ที่อาจไม่ค่อยตรงใจผู้เขียนเรื่อง “ เรื่องของปลวก ” นัก ผม (นายวานิช) ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพราะผมเองเขียนตามรู้สึกไม่มีเจตนาให้ร้าย หรือมีอคติส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย ติเพื่อก่อ และสานต่อความสัมพันธ์นะครับ (แบบว่าไม่หวานแต่จริงใจ ไม่ไก่กาด้วยอะครับ)
                                                      ..
ขณะนี้ 5/1/04 เรื่องของปลวกได้รับการอัพเดทเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ...ซึ่งมีขนาดความ 12 ตอน( ไม่รวมคุยกับผู้เขียน)
และแน่ใจว่าเรื่องนี้คงฮิตติดลมบนได้ไม่ยาก...ในคงเป็นหนังสือในไม่ช้า....ใครสนใจเชิญที่http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=4958 ครับ...แล้วคุณจะร้องว่า\" คิดได้ไงเนี๊ย\"
        “ เฮ้ย เป็นไปได้ไงว่ะ ” ผมจำได้ว่าผมอุทานออกไปอย่างนั้นจริงๆ( แถมเสียงดังลั่น)
    ด้วยผมเองก็ไม่ได้เตรียมใจรับผลที่จะตามมาเท่าไหร่นัก (ก็คาดหวังไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้ส่งเรื่องด้วยซ้ำว่าคงมีคนอ่านถล่มถลาย) และเกิดอาการรับไม่ได้อย่างเฉียบพลันทีเดียว (ถึงกับหน้ามืดเลยคุณเอ๊ย )
       
        “ สามวันกับ 1 โพท 5 คะแนน กับ 8 คนดูเนึ๊ยนะ ” ไม่อยากบอกเลยว่าตอนนั้นแทบจะเอาหัวโขกหน้าจอขนาด17นิ้วตายเสียให้ได้ (แต่คิดไปคิดมาไหนจะค่าจอใหม่ ค่าทำแผล โอ้โหมากโขอยู่เลยเปลี่ยนใจ เอาหัวโขกกำแพงดีกว่า...อ๊าก)
   
      ผมเริ่มต้นเปิดเข้าไปอ่านความคิดเห็นอันน้อยนิดในเรื่องของผมด้วยอาการหงอยๆ (บวกมึนๆและเจ็บที่หัวนิดหน่อย) ก็เห็นมีความคิดเห็นของคนชื่อ “ คนหลอน \"  เพียงคนเดียว
                เนื้อความบอกไว้ว่า “ เรื่องน่าสนใจนะ แล้วจะมาอ่านต่อ อัพเร็วๆนะ พร้อมให้ 5 คะแนนด้วย ”
    ผมงี้อึ้งเป็นรอบที่สองเลย (แถมแผลที่หัวก็เริ่มจะปูดหน่อยๆแล้วด้วย) 5 คะแนน เมื่อสามวันที่แล้วตอนนี้ก็ยัง 5 คะแนนอยู่ แสดงว่ามี 8คน (ที่เข้ามาอ่าน) มีคนชอบงานเราคนเดียว พระเจ้า
   
    ผมจำได้ว่าผมถอนใจอย่างแรง ด้วยความน้อยใจ สงสัย ลังเล ( และเจ็บหัวอีกต่างหาก) ว่าผมคงจะรุ่งยากซะล่ะมั้งกับวงการขีดๆเขียนๆเนี๊ย
   
    สมองที่บอบช้ำเพราะความผิดหวังอย่างแรง ยังน้อยกว่าหัวใจที่บอบช้ำอย่างสาหัสด้วยการคาดหวังที่สูงริบ
    ซึ่งขณะนี้ มันเหมือนกับตัวเองกำลังตกจากหอคอย ดิ่งลงสู่เบื้องล่างที่ทั้งหนาวและแห้งแล้ง
ดำดิ่งสู่จุดต่ำสุดด้วยแรงโน้มถ่วงยังไงยังงั้น
    (แต่ อาการที่ว่ามาทั้งหมด ยังน้อยกว่าอาการเจ็บหัวมากเลย)
   
    ผมเริ่มถามตัวเองว่าผมทำอะไรผิด(รึเปล่า) 3 ตอนกับ 5 คะแนนนี่มันเกินจะรับได้จริงๆนะ แต่ถึง (หัว) จะช้ำอย่างไงผมก็ยังพอมีสติ (อยู่บ้าง) และบอกกับตัวเองเสียงดังเลยเชียวว่า
       
        “ ไม่มีคำว่าแพ้ สำหรับคนที่มีความพยายาม
        และความสำเร็จจะไม่มาหา ถ้ามัวแต่สิ้นหวัง ”
   
    หลังจากที่คิด (ปลอบใจตัวเอง)ได้แล้วผมก็เลยลองอ่านบทนำของตัวเองอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจลบเรื่องของผมทิ้ง พร้อมกับลงเรื่องใหม่ เหตุเพราะผมรู้สึกว่าไอ้คำบรรยายเรื่องผมมันไม่เชิญชวนให้น่าเข้าไปอ่านเอาเสียเลย (หรือเพราะเนื้อเรื่องรึเปล่าก็ไม่รู้) ก็เลยจัดการแก้ไขใหม่ (ให้เก๋ไก๋กว่าเก่า) ทันที พร้อมกับไปดูผลงาน (คำบรรยายเรื่องใหม่) ที่หน้าบอร์ด ด้วยความหวังที่เปี่ยมล้นอีกครั้ง แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดอยู่ที่เรื่องยาว ที่เพิ่งอัพออกมาอวดโฉมใหม่เช่นกับ แต่ถัดจากผลงานของผมลงมาเรื่องนึง นั้นก็คือเรื่อง
        “ เรื่องของปลวก ”
    ไอ้ที่ว่าสะดุด ( จนหัวเกือบทิ่ม) ก็ไอ้ตรงชื่อคนแต่ง นี่ล่ะ
ผมจะลืมได้ไงว่า เขาเป็นคนอ่านคน (แรก) เดียวของผม
    แม้สมองผมจะยังเบลอนิดๆ (จากแรงกระแทก) แต่ผมยังจำชื่อนั้นได้ดี ชื่อของ คน (เพียง) คนเดียวที่ช่วยวิจารณ์ของงานของผม
        “ (เขาคือ) คนหลอน ของผม( รึเล่าหว่า) นี่เอง ”
   
แม้ผมจะไม่ได้บ้าดูหนังจีนนัก แต่สำนวนที่ว่า
        “ บุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องคลีนเน็ก ( ชำระ)” ก็ผุดขึ้นมาในสมองผมทันที
    นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผม (จำใจ) ต้องคลิกเข้าไปเพื่อขอบคุณเป็นการส่วนตัว โดยที่ตัวเองก็ไม่คิดใส่ใจหนังสือหรือข้อเขียนในเรื่อง (เรื่องของปลวก)นัก แต่
    พอผมเปิดเข้าไปเท่านั้น มีคนฝากข้อความถึงคนเขียนเยอะมาก (แม้จะไม่เท่าคุณโดม แห่งอัญมณีสีน้ำเงินก็เหอะ) เล่นเอาผมอ่านจนเหนื่อยเลยทีเดียว
   
พอ (แอบ) อ่านความคิดเห็น (ของเขา) ก็พบว่า ไอ้เรื่องของปลวกนี่มันคงน่าสนใจใช่หยอกนะ หลายความเห็นบอก “ว่าคิดได้ไง” บ้าง อีกหลายคนก็ว่า “ นุกหนานจังเลย ” บ้าง
    ไอ้ผมก็เป็นพวกชอบรู้ให้แจ้งเห็นให้จริงเสียด้วยสิ ผมจึงเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย คลิกกลับไปที่ต้นเรื่องอีกครั้ง (เหนื่อยและเมื่อยมือรอบสอง) มองเห็นตอนที่อยู่ตรงหน้ามีอยู่ 5 ตอน (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ตอนนึงๆน่าจะกินเวลาไม่ถึง 10 นาที
       
        “ เอาว่ะ ลองอ่านซะหน่อยเด่ะว่านุกจิงหรือแกล้งโม้ ” ผมตัดสินใจเข้าไปอ่านตอนแรกทันที
   
    เรื่องของปลวกเปิดต้นเรื่องได้สับสนดีจัง (แบบว่ามันวกไปวนมาน่าปวดแผลที่หัวจัง) แต่พอจับใจความได้ว่าตัวเอกเป็น          ลูกนักวิทยาศาตร์ที่ไม่ประสบผลในการทดลองชิ้นใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว และตอนนี้เขาเริ่มงานทดลองใหม่อีกครั้งโดยให้ชื่อการทดลองว่าน้ำยาปลวก คุณสมบัติที่แสนจะพิเศษของผลงานของเค้าที่อวดอ้างให้ตัวเอกของเรื่องฟังก็คือ คนจะหันมากินไม้ได้เหมือนปลวก (เออแฮ่ะ ชักจะรู้แล้วว่าไอ้ที่ถามว่าคิดได้ไง มันมาจากแถวๆนี้เอง) แต่เมื่อลูกชายของเรื่องฟังจบ แทนที่จะดีใจกลับรู้สึกอยากตาย ( อะไรประมาณนั้น) ในความคิดของพ่อก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาเจอภาพบาดตาที่แฟนสาวกำลังอินเลิฟกันแฟนใหม่ต่อหน้าต่อตาเขา ด้วยความโกรธบวกความสุ่มส่ามที่คนเขียนจงใจให้เป็น ทำให้หมอนี่ดูจะมีการแสดงออกแบบแปลกๆ และสุดท้ายก็หิว แต่ไม่มีอะไรให้กิน ก็เลยคิดถึงน้ำยาปลวกที่พ่อเพิ่งบอกขึ้นมา แล้วก็กินมันเข้าไป แต่แทนที่เขาจะกินไม้ได้อย่างพ่อว่า เขากลับพบว่าตัวเองกลายเป็นปลวกไปเสียเอง (อะนะ ต๊องจริงๆ)
   
    พอจบตอนแรก ผมเริ่มคิดแล้วว่าโอโหเฮะ หมอนี่คิดได้ไงหว่า ( เหมือนหลายๆคนคิดเลย) ผมจึงไม่ลังเลเลยที่จะเข้าไปอ่านตอนที่2ทันที (ด้วยใจเริ่มเชื่อแล้วว่ามันสนุกจริงอย่างที่เค้าว่าจริงๆแฮ่ะ ไม่ได้โม้)
   
    ตอนที่สองยังคงต่อเนื่องกับตอนแรกได้อย่างประหลาด ( รู้สึกเหมือนมันน่าจะเป็นตอนเดียวกันเลยน่าจะดีกว่า) จะขาดก็แต่สำนวนวกวนนั้นหายไป และลำดับเรื่องเริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นกว่าเดิม ไม่วกวน ( จนชวนเวียนหัวที่ปูดโปนของผม ) แต่ที่ผมชอบที่สุดก็เห็นจะเป็นการบรรยายบรรยากาศของเมืองแห่งปลวกที่อ่านแล้วมองเห็นภาพเลยทีเดียว ( แม้จะไม่เคยเห็นเลยก็ตามที ) เมืองเล็กๆที่มีประชากร(ปลวก)ประมาณหนึ่งคล้ายๆเมืองของมนุษย์นี่แล หากแต่มันแตกต่างตรงที่ มันคือเมือง คืออาณาจักรของปลวกเท่านั้นเอง
   
              ผมยอมรับว่าจิตนาการของคนเขียนมีมากเหลือเกิน มากจนสามารถนำเรื่องเล็กๆมาเขียนเป็นเรื่องใหญ่ๆได้สบายเลย แต่สำหรับมุขบางมุข ผมมีความรู้สึกว่ามันเฝือ (มากเกินจำเป็น) และฝืดนิดหน่อย เพราะดูมันไม่ค่อยเข้ากับเนื้อเรื่องเลย แต่นั้นอาจเป็นการพยามสร้างสีสันให้กับตัวละครในสไตร์ของคนเขียนก็ได้ (เพียงแต่ผมอ่านแล้วรู้สึกมันไม่ค่อยโดน) แม้ผมจะรู้สึกแปลกๆ แต่ผมก็เชื่อว่าคงมีคนอีกไม่น้อยที่ชอบมุขประมาณนี้ (มันเป็นความชอบ และความพอใจของแต่ละคนครับ)
   
    ผมยังคงเข้าไปอ่านอีกหลายตอน จนจบตอนที่ 5 โดยใช้เวลาไปประมาณหนึ่งแล้วสรุปได้ว่า เมืองแห่งปลวกนี้มีปัญหาพิพาทกับมด และต้องการหาทางออกที่สวยๆให้กับปัญหานี้ แน่นอนว่าพระเอกของเราต้องมีบทบาทในการแก้ปัญหาหาให้กับอณาจักรปลวกแห่งนี้แน่ๆ พอมาถึงตรงนี้ทำให้ผมเริ่มคิดว่า
   
    ด้วยเนื้อเรื่องและลักษณะของตัวละครที่ผู้เขียนจงใจให้เป็น (ในตอนแรกๆ) ทำให้ผมเริ่มนึกภาพไม่ค่อยออกนักว่า เด็กหนุ่มที่ดูไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองนัก เซ่อซ่า แถมซุ่มซ่ามอีกต่างหากจะกลายมาเป็นฮีโร่ของเรื่องได้ไง (ซึ่งผมว่าเป็นการบ้านที่หนักหนาสาหัสของคนเขียนทีเดียวที่จะต้องขบคิดพัฒนาการของตัวละครตัวนี้ให้เก่งและฉลาดอย่างสมเหตุสมผลและเหมาะสม ซึ่งมันยากนะ ในความรู้สึกของผม)
   
    เมื่ออ่านเรื่องจบ( ทั้ง 5ตอน) ผมอดไม่ได้ที่จะกลับสู่หน้าหลักของเรื่องและให้ ( ) คะแนนทันที (อันนี้เป็นความลับและธรรมเนียมของผมเองนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมชี้นำ) และลงความเห็นในตอนสุดท้ายของเรื่อง พร้อมทั้งไม่ลืมขอบคุณและบอกเล่า “ คนหลอน ” ด้วยว่าผมลงตอนใหม่แล้ว (แอบโฆษณาแอบแฝงนิดหน่อย)
   
    แล้วจึงออกมาจากเรื่องนั้นด้วยความอิ่มเอม พลางคิด (เพลินๆ) ว่าการใช้ตัวละครที่เก่งกล้าสามารถในการดำเนินเรื่อง หรือเป็นตัวแก้ปัญหาในเรื่องนั้น ออกจะมีให้เห็นหลายต่อหลายเรื่องแล้ว (ประเภทพระเอกหล่อ รวย..แถมฉลาดเป็นกรดและเก่งอีกต่างหาก) และดูจะง่ายกว่าการเลือกให้ตัวละครที่ต้องเป็นตัวชูโรงที่ดูอ่อนแอ หรือต้องมาเป็นผู้แก้ปัญหาในเรื่อง นั้น ไม่ค่อยมีให้อ่านแฮ่ะ น่าสนใจดี )
    ซึ่งตัวชูโรงที่ว่า (ที่ดูจะอ่อนแอ) ควรต้องมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องมากทีเดียวล่ะในการที่จะแก้ปัญหานั้นๆให้สำเร็จลงได้ (โดยมันต้องไม่ง่ายนักแน่ๆ) และนี่เป็นการพิสูจท์ความสามารถของคนเขียนอย่างแท้จริง อย่างหนึ่ง (เพราะถ้าทำให้ตัวละคร ตัวนั้นมีพัฒนาการได้ไม่แนบเนียนนัก เสน่ห์ของตัวละครตัวนั้นก็จะด้อยลงไปทันที (อย่างช่วยไม่ได้) อย่างเช่นอยู่ๆพระเอกก็เก่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขุ่ย ทั้งที่แต่ก่อนสุดแสนจะซื่อบื้อ อันนี้ก็ไม่น่าเชื่อ จริงไหม) ซึ่งผมคาดหวังไว้อย่างนั้น และก็ยังคงต้องติดตามเรื่องนี้ต่อไป
ผมกลับมาที่หน้าบอร์ดอีกครั้ง ปรากฏว่าเรื่องของผมมันตกขอบไปแล้ว ก็เลยคิดจะเข้าไปอัพใหม่ (อีกที ประเภทหน้าด้านหน้าทน ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปฮิๆ) แต่แล้ว
   
    ผมต้องตกตะลึงอย่างไม่คาดคิด (ตางี้เบิกกว้าง เหงื่อเม็ดเป่งๆออกมาเต็มหน้าทีเดียว) เพียง 45 นาที (โดยประมาณ) มีคนเข้าไปอ่านเรื่องของผมแล้ว14 คนแถมคะแนนอีก 15คะแนน
   
    “ โอ้ ขอบคุณสวรรคที่เมตตาลูก ” ผมเอ่ยออกมาอย่างดีใจ
แค่ 45 นาทีเท่านั้นเอง .
   
    ผมจึงเริ่มเรียนรู้และเข้าใจอะไรบางอย่างได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ นั้นก็คือ
    “ คำบรรยายเรื่องดีๆก็สามารถดึงดูดคนอ่านให้เข้ามาอ่านเรื่องของเราได้เหมือนกัน ”  (แม้ต่อมามันจะเงียบเหมือนเดิมก็เหอะ) แต่ประกายแห่งความฝันของผม มันได้เริ่มโชนแสงขึ้นอีกครั้ง แล้ว
   
    เมื่อความสงบเริ่มมาเยือน ผมก็เริ่มรับรู้บางอย่างที่มันรบเร้ามันสมองของผมมาพักใหญ่แล้ว ดังนั้นผมจึงตะโกนบอกกับตัวเองออกมาดังๆว่า
           
        “ เจ็บหัว ชิบเป๋งเลยโว้ย แงๆ ”
                                วานิช นิ่มสกุล
   
    ปล.(1) 4 ตุลาคม 2546 งานเขียน “ เรื่องของปลวก ” มีทั้งหมด 10 ตอนแล้ว และยังคงความสนุกน่าเหลือเชื่อไว้เหมือนเดิมจ้า เอาไว้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันใหม่นะจ๊ะ ใครมาอ่านแล้วไม่โพทบอกความรู้สึกเรื่องที่คุณเคยอ่าน (หรืออาจจะเป็นเรื่องเดียวกับที่ผมเขียนวิจารณ์ไปแล้ว) .ขอให้จูด จูดด้วย เพี้ยง
   
    ปล. (2) ถ้ามีถ้อยคำใดๆก็ตาม ที่อาจไม่ค่อยตรงใจผู้เขียนเรื่อง “ เรื่องของปลวก ” นัก ผม (นายวานิช) ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพราะผมเองเขียนตามรู้สึกไม่มีเจตนาให้ร้าย หรือมีอคติส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย ติเพื่อก่อ และสานต่อความสัมพันธ์นะครับ (แบบว่าไม่หวานแต่จริงใจ ไม่ไก่กาด้วยอะครับ)
                                                      ..
ขณะนี้ 5/1/04 เรื่องของปลวกได้รับการอัพเดทเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ...ซึ่งมีขนาดความ 12 ตอน( ไม่รวมคุยกับผู้เขียน)
และแน่ใจว่าเรื่องนี้คงฮิตติดลมบนได้ไม่ยาก...ในคงเป็นหนังสือในไม่ช้า....ใครสนใจเชิญที่http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=4958 ครับ...แล้วคุณจะร้องว่า\" คิดได้ไงเนี๊ย\"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น