ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bin

    ลำดับตอนที่ #5 : ลำดับตอนที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 47


    สามวันให้หลัง…ที่ผมลงเรื่องยาวครั้งแรก (ในชีวิต) ของตัวเองไป…เมื่อเปิดเข้าไปเช็คเรื่องก็ปรากฏว่า

            “ เฮ้ย…เป็นไปได้ไงว่ะ ” ผมจำได้ว่าผมอุทานออกไปอย่างนั้นจริงๆ( แถมเสียงดังลั่น)

        ด้วยผมเองก็ไม่ได้เตรียมใจรับผลที่จะตามมาเท่าไหร่นัก…(ก็คาดหวังไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้ส่งเรื่องด้วยซ้ำว่าคงมีคนอ่านถล่มถลาย) และเกิดอาการรับไม่ได้อย่างเฉียบพลันทีเดียว (ถึงกับหน้ามืดเลยคุณเอ๊ย…)

            

            “ สามวันกับ 1 โพท…5 คะแนน กับ 8 คนดูเนึ๊ยนะ ” ไม่อยากบอกเลยว่าตอนนั้นแทบจะเอาหัวโขกหน้าจอขนาด17นิ้วตายเสียให้ได้ (แต่คิดไปคิดมาไหนจะค่าจอใหม่…ค่าทำแผล…โอ้โหมากโขอยู่เลยเปลี่ยนใจ…เอาหัวโขกกำแพงดีกว่า...อ๊าก)

        

          ผมเริ่มต้นเปิดเข้าไปอ่านความคิดเห็นอันน้อยนิดในเรื่องของผมด้วยอาการหงอยๆ…(บวกมึนๆและเจ็บที่หัวนิดหน่อย) ก็เห็นมีความคิดเห็นของคนชื่อ “ คนหลอน \"  เพียงคนเดียว

                    เนื้อความบอกไว้ว่า “ เรื่องน่าสนใจนะ…แล้วจะมาอ่านต่อ…อัพเร็วๆนะ พร้อมให้ 5 คะแนนด้วย ”

        ผมงี้อึ้งเป็นรอบที่สองเลย (แถมแผลที่หัวก็เริ่มจะปูดหน่อยๆแล้วด้วย)…5 คะแนน เมื่อสามวันที่แล้วตอนนี้ก็ยัง 5 คะแนนอยู่ แสดงว่ามี…8คน (ที่เข้ามาอ่าน) มีคนชอบงานเราคนเดียว…พระเจ้า

        

        ผมจำได้ว่าผมถอนใจอย่างแรง…ด้วยความน้อยใจ…สงสัย…ลังเล ( และเจ็บหัวอีกต่างหาก) ว่าผมคงจะรุ่งยากซะล่ะมั้งกับวงการขีดๆเขียนๆเนี๊ย

        

        สมองที่บอบช้ำเพราะความผิดหวังอย่างแรง…ยังน้อยกว่าหัวใจที่บอบช้ำอย่างสาหัสด้วยการคาดหวังที่สูงริบ…

        ซึ่งขณะนี้…มันเหมือนกับตัวเองกำลังตกจากหอคอย…ดิ่งลงสู่เบื้องล่างที่ทั้งหนาวและแห้งแล้ง

    ดำดิ่งสู่จุดต่ำสุดด้วยแรงโน้มถ่วงยังไงยังงั้น…

        (แต่…อาการที่ว่ามาทั้งหมด…ยังน้อยกว่าอาการเจ็บหัวมากเลย)

        

        ผมเริ่มถามตัวเองว่าผมทำอะไรผิด(รึเปล่า)…3 ตอนกับ 5 คะแนนนี่มันเกินจะรับได้จริงๆนะ…แต่ถึง (หัว) จะช้ำอย่างไงผมก็ยังพอมีสติ (อยู่บ้าง) และบอกกับตัวเองเสียงดังเลยเชียวว่า…

            

            “ ไม่มีคำว่าแพ้…สำหรับคนที่มีความพยายาม

             และความสำเร็จจะไม่มาหา…ถ้ามัวแต่สิ้นหวัง ”

        

        หลังจากที่คิด (ปลอบใจตัวเอง)ได้แล้วผมก็เลยลองอ่านบทนำของตัวเองอีกครั้ง…แล้วจึงตัดสินใจลบเรื่องของผมทิ้ง…พร้อมกับลงเรื่องใหม่…เหตุเพราะผมรู้สึกว่าไอ้คำบรรยายเรื่องผมมันไม่เชิญชวนให้น่าเข้าไปอ่านเอาเสียเลย (หรือเพราะเนื้อเรื่องรึเปล่าก็ไม่รู้) ก็เลยจัดการแก้ไขใหม่ (ให้เก๋ไก๋กว่าเก่า) ทันที…พร้อมกับไปดูผลงาน (คำบรรยายเรื่องใหม่) ที่หน้าบอร์ด…ด้วยความหวังที่เปี่ยมล้นอีกครั้ง…แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดอยู่ที่เรื่องยาว…ที่เพิ่งอัพออกมาอวดโฉมใหม่เช่นกับ แต่ถัดจากผลงานของผมลงมาเรื่องนึง…นั้นก็คือเรื่อง…



             “ เรื่องของปลวก ”

        ไอ้ที่ว่าสะดุด ( จนหัวเกือบทิ่ม) ก็ไอ้ตรงชื่อคนแต่ง…นี่ล่ะ

    ผมจะลืมได้ไงว่า…เขาเป็นคนอ่านคน (แรก) เดียวของผม…

        แม้สมองผมจะยังเบลอนิดๆ (จากแรงกระแทก) แต่ผมยังจำชื่อนั้นได้ดี…ชื่อของ…คน (เพียง) คนเดียวที่ช่วยวิจารณ์ของงานของผม…

            “ (เขาคือ) คนหลอน ของผม( รึเล่าหว่า) นี่เอง ”

        

    แม้ผมจะไม่ได้บ้าดูหนังจีนนัก…แต่สำนวนที่ว่า…

            “ บุญคุณต้องทดแทน…มีแค้นต้องคลีนเน็ก ( ชำระ)” ก็ผุดขึ้นมาในสมองผมทันที

        นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผม (จำใจ) ต้องคลิกเข้าไปเพื่อขอบคุณเป็นการส่วนตัว…โดยที่ตัวเองก็ไม่คิดใส่ใจหนังสือหรือข้อเขียนในเรื่อง (เรื่องของปลวก)นัก…แต่

        พอผมเปิดเข้าไปเท่านั้น…มีคนฝากข้อความถึงคนเขียนเยอะมาก (แม้จะไม่เท่าคุณโดม…แห่งอัญมณีสีน้ำเงินก็เหอะ) เล่นเอาผมอ่านจนเหนื่อยเลยทีเดียว…

        

    พอ (แอบ) อ่านความคิดเห็น (ของเขา) ก็พบว่า…ไอ้เรื่องของปลวกนี่มันคงน่าสนใจใช่หยอกนะ…หลายความเห็นบอก “ว่าคิดได้ไง” บ้าง…อีกหลายคนก็ว่า “ นุกหนานจังเลย ” บ้าง

        ไอ้ผมก็เป็นพวกชอบรู้ให้แจ้งเห็นให้จริงเสียด้วยสิ…ผมจึงเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย…คลิกกลับไปที่ต้นเรื่องอีกครั้ง (เหนื่อยและเมื่อยมือรอบสอง) มองเห็นตอนที่อยู่ตรงหน้ามีอยู่ 5 ตอน (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ตอนนึงๆน่าจะกินเวลาไม่ถึง 10 นาที…

            

            “ เอาว่ะ…ลองอ่านซะหน่อยเด่ะว่านุกจิงหรือแกล้งโม้ ” ผมตัดสินใจเข้าไปอ่านตอนแรกทันที

        

        เรื่องของปลวกเปิดต้นเรื่องได้สับสนดีจัง…(แบบว่ามันวกไปวนมาน่าปวดแผลที่หัวจัง) แต่พอจับใจความได้ว่าตัวเอกเป็น          ลูกนักวิทยาศาตร์ที่ไม่ประสบผลในการทดลองชิ้นใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว…และตอนนี้เขาเริ่มงานทดลองใหม่อีกครั้งโดยให้ชื่อการทดลองว่าน้ำยาปลวก…คุณสมบัติที่แสนจะพิเศษของผลงานของเค้าที่อวดอ้างให้ตัวเอกของเรื่องฟังก็คือ คนจะหันมากินไม้ได้เหมือนปลวก (เออแฮ่ะ…ชักจะรู้แล้วว่าไอ้ที่ถามว่าคิดได้ไง…มันมาจากแถวๆนี้เอง) …แต่เมื่อลูกชายของเรื่องฟังจบ…แทนที่จะดีใจกลับรู้สึกอยากตาย ( อะไรประมาณนั้น) ในความคิดของพ่อก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาเจอภาพบาดตาที่แฟนสาวกำลังอินเลิฟกันแฟนใหม่ต่อหน้าต่อตาเขา…ด้วยความโกรธบวกความสุ่มส่ามที่คนเขียนจงใจให้เป็น…ทำให้หมอนี่ดูจะมีการแสดงออกแบบแปลกๆ…และสุดท้ายก็หิว…แต่ไม่มีอะไรให้กิน…ก็เลยคิดถึงน้ำยาปลวกที่พ่อเพิ่งบอกขึ้นมา…แล้วก็กินมันเข้าไป…แต่แทนที่เขาจะกินไม้ได้อย่างพ่อว่า…เขากลับพบว่าตัวเองกลายเป็นปลวกไปเสียเอง… (อะนะ…ต๊องจริงๆ)

        

        พอจบตอนแรก…ผมเริ่มคิดแล้วว่าโอโหเฮะ…หมอนี่คิดได้ไงหว่า… ( เหมือนหลายๆคนคิดเลย) ผมจึงไม่ลังเลเลยที่จะเข้าไปอ่านตอนที่2ทันที (ด้วยใจเริ่มเชื่อแล้วว่ามันสนุกจริงอย่างที่เค้าว่าจริงๆแฮ่ะ…ไม่ได้โม้)

        

        ตอนที่สองยังคงต่อเนื่องกับตอนแรกได้อย่างประหลาด ( รู้สึกเหมือนมันน่าจะเป็นตอนเดียวกันเลยน่าจะดีกว่า) จะขาดก็แต่สำนวนวกวนนั้นหายไป…และลำดับเรื่องเริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นกว่าเดิม…ไม่วกวน… ( จนชวนเวียนหัวที่ปูดโปนของผม ) แต่ที่ผมชอบที่สุดก็เห็นจะเป็นการบรรยายบรรยากาศของเมืองแห่งปลวกที่อ่านแล้วมองเห็นภาพเลยทีเดียว ( แม้จะไม่เคยเห็นเลยก็ตามที ) เมืองเล็กๆที่มีประชากร(ปลวก)ประมาณหนึ่งคล้ายๆเมืองของมนุษย์นี่แล…หากแต่มันแตกต่างตรงที่…มันคือเมือง…คืออาณาจักรของปลวกเท่านั้นเอง

        

                   ผมยอมรับว่าจิตนาการของคนเขียนมีมากเหลือเกิน…มากจนสามารถนำเรื่องเล็กๆมาเขียนเป็นเรื่องใหญ่ๆได้สบายเลย…แต่สำหรับมุขบางมุข…ผมมีความรู้สึกว่ามันเฝือ (มากเกินจำเป็น)…และฝืดนิดหน่อย…เพราะดูมันไม่ค่อยเข้ากับเนื้อเรื่องเลย…แต่นั้นอาจเป็นการพยามสร้างสีสันให้กับตัวละครในสไตร์ของคนเขียนก็ได้ (เพียงแต่ผมอ่านแล้วรู้สึกมันไม่ค่อยโดน) …แม้ผมจะรู้สึกแปลกๆ…แต่ผมก็เชื่อว่าคงมีคนอีกไม่น้อยที่ชอบมุขประมาณนี้ (มันเป็นความชอบ…และความพอใจของแต่ละคนครับ)

        

        ผมยังคงเข้าไปอ่านอีกหลายตอน…จนจบตอนที่ 5 โดยใช้เวลาไปประมาณหนึ่งแล้วสรุปได้ว่า…เมืองแห่งปลวกนี้มีปัญหาพิพาทกับมด…และต้องการหาทางออกที่สวยๆให้กับปัญหานี้…แน่นอนว่าพระเอกของเราต้องมีบทบาทในการแก้ปัญหาหาให้กับอณาจักรปลวกแห่งนี้แน่ๆ…พอมาถึงตรงนี้ทำให้ผมเริ่มคิดว่า…

        

        ด้วยเนื้อเรื่องและลักษณะของตัวละครที่ผู้เขียนจงใจให้เป็น…(ในตอนแรกๆ) ทำให้ผมเริ่มนึกภาพไม่ค่อยออกนักว่า…เด็กหนุ่มที่ดูไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองนัก…เซ่อซ่า…แถมซุ่มซ่ามอีกต่างหากจะกลายมาเป็นฮีโร่ของเรื่องได้ไง… (ซึ่งผมว่าเป็นการบ้านที่หนักหนาสาหัสของคนเขียนทีเดียวที่จะต้องขบคิดพัฒนาการของตัวละครตัวนี้ให้เก่งและฉลาดอย่างสมเหตุสมผลและเหมาะสม…ซึ่งมันยากนะ…ในความรู้สึกของผม)

        

        เมื่ออ่านเรื่องจบ( ทั้ง 5ตอน) ผมอดไม่ได้ที่จะกลับสู่หน้าหลักของเรื่องและให้ (…) คะแนนทันที (อันนี้เป็นความลับและธรรมเนียมของผมเองนะครับ…เดี๋ยวจะหาว่าผมชี้นำ) และลงความเห็นในตอนสุดท้ายของเรื่อง…พร้อมทั้งไม่ลืมขอบคุณและบอกเล่า “ คนหลอน ” ด้วยว่าผมลงตอนใหม่แล้ว (แอบโฆษณาแอบแฝงนิดหน่อย)

        

        แล้วจึงออกมาจากเรื่องนั้นด้วยความอิ่มเอม…พลางคิด (เพลินๆ) ว่าการใช้ตัวละครที่เก่งกล้าสามารถในการดำเนินเรื่อง…หรือเป็นตัวแก้ปัญหาในเรื่องนั้น…ออกจะมีให้เห็นหลายต่อหลายเรื่องแล้ว (ประเภทพระเอกหล่อ…รวย..แถมฉลาดเป็นกรดและเก่งอีกต่างหาก) และดูจะง่ายกว่าการเลือกให้ตัวละครที่ต้องเป็นตัวชูโรงที่ดูอ่อนแอ…หรือต้องมาเป็นผู้แก้ปัญหาในเรื่อง…นั้น…ไม่ค่อยมีให้อ่านแฮ่ะ…น่าสนใจดี…)



        ซึ่งตัวชูโรงที่ว่า (ที่ดูจะอ่อนแอ) … ควรต้องมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องมากทีเดียวล่ะในการที่จะแก้ปัญหานั้นๆให้สำเร็จลงได้ (โดยมันต้องไม่ง่ายนักแน่ๆ) …และนี่เป็นการพิสูจท์ความสามารถของคนเขียนอย่างแท้จริง…อย่างหนึ่ง (เพราะถ้าทำให้ตัวละคร…ตัวนั้นมีพัฒนาการได้ไม่แนบเนียนนัก…เสน่ห์ของตัวละครตัวนั้นก็จะด้อยลงไปทันที (อย่างช่วยไม่ได้) …อย่างเช่นอยู่ๆพระเอกก็เก่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขุ่ย…ทั้งที่แต่ก่อนสุดแสนจะซื่อบื้อ…อันนี้ก็ไม่น่าเชื่อ…จริงไหม) ซึ่งผมคาดหวังไว้อย่างนั้น…และก็ยังคงต้องติดตามเรื่องนี้ต่อไป…



    ผมกลับมาที่หน้าบอร์ดอีกครั้ง…ปรากฏว่าเรื่องของผมมันตกขอบไปแล้ว…ก็เลยคิดจะเข้าไปอัพใหม่ (อีกที…ประเภทหน้าด้านหน้าทน…ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปฮิๆ) แต่แล้ว…

        

        ผมต้องตกตะลึงอย่างไม่คาดคิด (ตางี้เบิกกว้าง…เหงื่อเม็ดเป่งๆออกมาเต็มหน้าทีเดียว) …เพียง 45 นาที (โดยประมาณ) มีคนเข้าไปอ่านเรื่องของผมแล้ว14 คนแถมคะแนนอีก 15คะแนน

        

        “ โอ้…ขอบคุณสวรรคที่เมตตาลูก ” ผมเอ่ยออกมาอย่างดีใจ…



    แค่ 45 นาทีเท่านั้นเอง….

        

        ผมจึงเริ่มเรียนรู้และเข้าใจอะไรบางอย่างได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้…นั้นก็คือ…

        “ คำบรรยายเรื่องดีๆก็สามารถดึงดูดคนอ่านให้เข้ามาอ่านเรื่องของเราได้เหมือนกัน ”  (แม้ต่อมามันจะเงียบเหมือนเดิมก็เหอะ) แต่ประกายแห่งความฝันของผม…มันได้เริ่มโชนแสงขึ้นอีกครั้ง…แล้ว

        

        เมื่อความสงบเริ่มมาเยือน…ผมก็เริ่มรับรู้บางอย่างที่มันรบเร้ามันสมองของผมมาพักใหญ่แล้ว…ดังนั้นผมจึงตะโกนบอกกับตัวเองออกมาดังๆว่า…

                

            “ เจ็บหัว…ชิบเป๋งเลยโว้ย…แงๆ ”

                                    วานิช นิ่มสกุล



        

        ปล.(1) 4 ตุลาคม 2546 งานเขียน “ เรื่องของปลวก ” มีทั้งหมด 10 ตอนแล้ว…และยังคงความสนุกน่าเหลือเชื่อไว้เหมือนเดิมจ้า…เอาไว้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันใหม่นะจ๊ะ…ใครมาอ่านแล้วไม่โพทบอกความรู้สึกเรื่องที่คุณเคยอ่าน (หรืออาจจะเป็นเรื่องเดียวกับที่ผมเขียนวิจารณ์ไปแล้ว)….ขอให้จูด…จูดด้วย…เพี้ยง…

        

        ปล. (2) ถ้ามีถ้อยคำใดๆก็ตาม…ที่อาจไม่ค่อยตรงใจผู้เขียนเรื่อง “ เรื่องของปลวก ” นัก…ผม (นายวานิช) ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ…เพราะผมเองเขียนตามรู้สึกไม่มีเจตนาให้ร้าย…หรือมีอคติส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย…ติเพื่อก่อ…และสานต่อความสัมพันธ์นะครับ… (แบบว่าไม่หวานแต่จริงใจ…ไม่ไก่กาด้วยอะครับ)





                                                          ……………………………………………..



    ขณะนี้ 5/1/04 เรื่องของปลวกได้รับการอัพเดทเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ...ซึ่งมีขนาดความ 12 ตอน( ไม่รวมคุยกับผู้เขียน)

    และแน่ใจว่าเรื่องนี้คงฮิตติดลมบนได้ไม่ยาก...ในคงเป็นหนังสือในไม่ช้า....ใครสนใจเชิญที่http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=4958 ครับ...แล้วคุณจะร้องว่า\" คิดได้ไงเนี๊ย\"



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×