ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Melody Of Dreams (ความงดงามทางภาษาที่สวยงาม) Up date
                            วันนี้...ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ...แม้เช้านี่จะยังคงมีหมอกลงจางๆที่ด้านนอกของหน้าต่างเช่นทุกวันเป็นปกติของยามเช้าในช่วงหน้าหนาว...ซึ่งเจ้าหมอกสีขาวจางที่ปกคลุมอยู่เป็นบริเวณกว้างด้านนอกนั้น...มักทำให้ผมรู้สึกชื่นชอบความสดชื่นของกลิ่นสะอาดของอากาสที่ลอยเข้ามาสัมผัสผมเองโดยไม่ต้องซื้อหาหรือไขว้คว้าให้วุ่นวาย...และผมมักดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้าที่ชื้นแฉะแบบนี้นาน...เท่านาน..
                              นาน...เท่าที่มนุษย์ที่มีมุมของความอ่อนไหวซุกซ่อนอยู่ในหัวใจคนหนึ่งจะพึงทำได้..หากแต่...
                              กับเช้านี้...วันนี้ มันไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกใดๆขึ้นในหัวใจของผมเลยนอกจาก...
                           
                                          \" ความหวิวไหวและเศร้าหมอง \"
                           
                              ประมาณ 21.นาฬิกาวานนี้...เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต...ของผม
                            สิ่งมีชิวิตชนิดหนึ่งที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่ถึง10วันดี...นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนฝ่ามือด้านๆข้างหนึ่งของผม...ซึ่งเกิดความรู้สึกวูบไหวทุกครั้งที่เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆนี้มันนิ่ง...ไปนาน ๆ...ต่างกันตรงที่ครั้งนี้มันจะไม่ขยับร่างกายใดๆอีกเลย...
                              ผมเคยสงสัยว่าตัวผมจะรู้สึกอย่างไรหนอ...ถ้าวันหนึ่ง...ผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าผมต้องสูญเสียสิ่งที่ผมเคยคุ้นไปอย่างที่ไม่สามารถจะกลับไปคุ้นเคยกับมันได้อีกเลย..ผมจะเป็นอย่างไรหนอ...
                              ผมคิดว่าผมคงร้องไห้...ฟูมฟายและ...คงทุกข์ทรมานกับการจากไปของใคร....หรืออะไรที่ผมรักและเคยคุ้นนั้น..หรือไม่...ผมก็คงทำใจให้ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะต้องอยู่โดยปราศจากสิ่งที่เคยคุ้นนั้นไปไม่ได้...แต่คุณรู้ไหมที่ผมคิดมันผิดไปถนัดใจทีเดียว...
                            ผมไม่ร้องไห้ฟูมฟายใดๆเลย...อีกทั้งผมยังยอมรับและทำใจได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว...แต่...
                          มันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับที่ผมเคยคิดไว้...นั้นคือ...ผมรู้สึกเป็นทุกข์
                          ถึงแม้ผมจะไม่ร่ำไห้เสียงดัง...แต่ผมก็รู้สึกใจหายเมื่อใช้มือลูบไปตามแผงขนสั้นๆนั้น...ขณะที่เจ้าของแผงขนสีเทาตัวนั้นไม่ไหวติงต่อสัมผัสอบอุ่นที่ผมส่งผ่านไปเลยแม้แต่น้อย...
                          แม้ผมจะไม่ถึงกลับคลุ้งคลั่งอย่างที่คนไม่ยอมรับความจริงทั่วไปทำกัน...แต่ผมก็ต้องเมินหน้าหนีเสียจากพาชนะที่เคยมีเจ้าสีสวาทตัวน้อยเป็นเจ้าของ...ด้วยมิอาจทำใจรับรู้ว่ามันจากผมไปแล้วจริงๆ....
                          และ.....
                          แม้ผมยังคงใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ทีผมมีไปกับนิยายประโลมโลกของนักเขียนหน้าใหม่ของ \"  เด็กดี \" แต่....ลึกเข้าไปในมโนสำนึกนั้น...ผมยังคงจมอยู่กับห้วงแห่งทุกข์อย่างไม่มีใครช่วยได้...
                          ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าทุกวัน...ในการตัดสินใจจะหาเรื่องสักเรื่องมาอ่าน...ด้วยเหตุผลสองอย่างคือ....
                        หนึ่งคือ..ผมเริ่มรู้สึกว่าผมคงไม่ต้องการหาเรื่องที่ชวนหดหู่มาซ้ำเติมความรู้สึกที่เคว้งคว้างของผมตอนนี้ ( คุณชื่อไหมว่า..เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมไม่แม้แต่จะคิดที่จะเข้าไปอัพเรื่องของผมที่มีอยู่เลย...ทำไมนะหรือครับ..ลองถามคนที่เคยอ่านงานของผมดูซิครับ...แล้วคุณจะรู้ว่า...คนที่มีอารมณ์ประมาณผมตอนนี้..ถ้าเข้าไปอ่านเรื่องเครียดๆประมาณนั้นแล้วหล่ะก็...รับลองอาจต้องจับตัวส่งบ้านสมเด็จ...กันเลยทีเดียว)
                        เหตุผมที่สอง...ผมรู้สึกว่าวันนี้ผมคงจะเข้าไป ( พยาม) เสพสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบไม่ไหว...( หมายถึงแนวทาง...และวิธีการเขียนที่ผมไม่ใคร่ถนัดอะครับ)...
                        จึงไม่แปลกเลยที่วันนี้ผมเข้าไป( ยังไม่ทันได้) อ่านเกือบสิบเรื่องก็ยังไม่ถูกใจ...จนผมเองก็เริ่มคิดว่า...นอนตีพุงอยู่เฉยๆน่าจะดีกว่า...หรือว่า...จะเข้าไปเว็บ ที่เด็กดีเค้าไม่ค่อยได้เข้าก็น่าจะดีกว่าไหม...เผื่ออะไร...มันจะดีกว่านี้( ทำหน้าหื่นนิดๆ)
                      แต่แล้ว...ผมก็มาสะดุดตากับนามปากกาของใครคนหนึ่ง....แบบว่าอ่านชื่อแล้วจิตนาการไปถึงไหนๆเลยทีเดียว....
                    \" เพลงดาวพราวฝัน\" ผมอ่านทวนออกมาอย่างพยามตีความหมายให้ออก...ไม่งั้นโลกจะตกอยู่ในอันตราย...ไม่ใช่อย่างนั้น
                    แบบว่าผมว่านามปากกานี่เป็นอะไรที่สำคัญเอามากๆ...เพราะมันสามารถบอกความเป็นคุณได้ดีทีเดียว...เพราะ...ถ้าคุณอ่านชื่อ..\" ศรี บูรพา( ไม่แพ้...เกี่ยวกันไหมเนี๊ย)  \" คุณก็คงนึกถึงผู้ชาย( หรือผู้หญิง)ที่น่าจะแบบ;jk...ออกจะเก่งในการวางกลทางภาษาได้ดี...เพราะแค่นามปากกาก็ออกจะดูสั้น...เรียบ...แต่เก๋มากทีเดียว อย่างนี้เป็นต้น...
                   
                              ดังนั้นเมื่อเกิดการคาดเดา( บุคลลิก)คนเขียนเรียบร้อยแล้ว...คุณจะมีแรงขวนขวาย( ถ้าเป็นแถวบ้านผมเรียกตะกาย)ที่จะเข้าไปอ่านงานของเค้าหรือเธออย่างไม่ค้องสงสัย...เพราะสมอง( ของคุณ)มันจะ(เริ่ม)เต็มไปด้วยความสงสัย..( งงไหม..ว่าตกลงจะสงสัยหรือไม่ดี )
                      และเป็นธรรมดาที่ผมมักจะลอง( ภูมิ )อ่านงานของใครก็ตามด้วยเรื่องสั้นก่อนเป็นส่วนใหญ่เสมอ...ด้วยเหตุผลที่เคยพูดบ่อยๆ( เสียใจด้วยนะจ๊ะ...สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านวิจารณ์ที่สุดแสนจะทรงคุณค่าของผม( อ้วก )เพราะคุณได้พลาดการวิจารณ์เรื่องสั้นไปอย่างน่าเสียดายทีเดียว...และสำหรับคนที่อ่านแล้ว( แกล้ง)จำไม่ได้...อันนี้ก็แล้วไป...( ทำหน้ามาดร้ายสุดชีวิต...พร้อมกับร้องในใจว่า...อย่าให้รู้นะว่า..ใคร...ลืม...ฮึ่ม)
                                นั้นก็คือเรื่องสั้นเป็นงานที่มักแสดงออกถึงความสามาถของผู้เขียนได้เป็นอย่างดีระดับหนึ่ง...และเป็นสิ่งที่( แสนจะ) เชิญชวนให้คนอ่านนึกอยากอ่านงานที่เป็นเรื่องยาวของเขาหรือเธอได้มากทีเดียว..
                      ดังนั้นผมจึงเข้าไปที่เรื่องสั้นเรื่องเดียวที่คุณเพลงดาวมี...นั้นก็คือ....: ++[[Dreams-Past-Present-Future-Hope]]++ ด้วยความคาดหวังอย่างที่สุดว่าอาจได้อ่านสำนวนดีๆและการดำเนินเรื่องที่ชวนอ่าน...ทำไมนะหรือครับ...เพราะผม( เกิด)คาดหวังจากนามแฝงที่เจ้าของเรื่องใช้...
                      ในมุมมองที่ส่งผ่านออกมาเป็นเรื่องราวที่ออกแนวปรัชญาน้อยๆเรื่องนี่มันเป็นงานที่เขียนได้ค่อนข้างยาก( ในความรู้สึกของผมนะ) เพราะด้วยโดยธรรมชาติของคนอ่าน( หรือคนส่วนหญ่) มักมีความเป็นปัจเจกอยู่ในตัวอยู่ค่อนข้างสูง...ประมาณว่าอ่านไปก็จะคอยแย้งไปว่า...ไอ้ตรงนี้มันควรจะเป็นอย่างนี้มากกว่า...ไม่ฉันไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้เลย....เป็นต้น...ซึ่ง
                        ผมเชื่อว่าการชักจูงให้คนอ่าน( โดยเฉพาะผู้ที่เป็นนักเขียนเองด้วยแล้ว) ให้มีความคล้อยตามเป็นอะไรที่อยาก...และนั้นหล่ะเสน่ห์ของงานชิ้นนี้แหละครับ.....
                      ++[[Dreams-Past-Present-Future-Hope]]++  เป็นงานเขียนที่กรั่นกรองออกมาได้อย่างลงตัวและเหมาะสม...อ่านแล้วชวนคิดและคล้อยตามความหมายโดยนัยที่แฝงไว้ในงานเขียนชิ้นนี้...แต่..
                      อยากจะบอกว่าการวางองค์ประกอบทางด้านความคิดของผู้เขียนยังไม่ดีนัก...เนื่องจากเกิดการกระโดดไปมาของความหมายหลักที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อในบางจุด...จนขาดความซาบซึ้งไปบ้าง...อีกทั้งในเมนไอเดียหรือความคิดหลักของผู้อ่านบางจุดยังไม่สมบูรณ์พอที่จะโน้มน้าวใจของผู้อ่านได้ทั้งหมด...ประมาณว่าเกือบเชื่อแต่...ยังไม่เชื่ออะครับ.....
                      ในบรรดาความคิดหลักทั้งหลายที่ผู้เขียนต้องการเสนอ...ผมว่า\"  อดีต...ปัจุบัน...\"  ผู้เขียนทำได้น่าอ่านมากที่สุดครับ...เพราะเรื่องจะวนและเวียนอยู่กับสองสิ่งนี้จนน่าเชื่อถือมากที่สุด...( ด้วยสำนวนที่ว่า...ต่างคนต่างที่มาอะไรทำนองนี้บอกถึงความเป็น ส่วนบุคคลได้ดีทีเดียว...และไอ้ความเป็นส่วนบุคคลนี้แหละที่แสดงความเป็นอดีตและปัจจุบันได้ดีที่สุดครับ...)
                    แม้จะประทับใจในงานเขียนชิ้นนี้ไม่มากมายนัก....แต่ด้วยภาษาที่ผู้เขียนเลือกใช้บอกได้ว่าผู้เขียนเป็นผู้มีความสามารถในการเล่นคำ....บวกกับการใช้รูปแบบที่แปลกใหม่ในการนำเสนอเรื่องราวทำให้ผมตัดสินใจเข้าไปอ่านงานที่เป็นเรื่องยาวต่อทันที... ( ตามประสาของคนชอบรู้ก็ต้องรู้ให้จริงอะครับ)
                    และเรื่องยาวที่ว่านี้ก็คือเรื่อง  Melody Of Dreams:ท่วงทำนองแห่งความฝัน ความทรงจำ ความรู้สึก..
                    ในขณะที่ผมอ่าน( ตอนนั้นเรื่องนี้มี 4 ตอนครับ)....ผมมีความรู้สึกหลากหลายที่หลั่งไหลออกมาจากความคิดที่ตัวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไม...หากแต่ผมว่ามานอาจเกิดจากความที่เจ้าเรื่องยาวเรื่องนี้มานผสมไว้ด้วยหลากความหมายและหลายแนวทางในความคิด...มานมีพลังมากพอจะหมุนความคิดเราให้คล้อยตามแล้วนิ่งคิดว่าสิ่งที่เราเคยลืมไปบางอย่างยังคงมีหรือยังเกิดกับตัวเราไหมหนอ...นั้นคืออารมณ์และความเป็นตัวของเราเอง...ซึ่งถ่ายทอดออกมาเป็นตอนๆได้ดังนี้คือ....
                    โลกใบนี้สีเทา...+[Here We Are,it\'s not a perfect world]+ แบบว่าสำหรับปรัชญาในหัวข้อนี้ผมว่ามานยังไม่ค่อยตรงความหมายหลักหรือประเด็นของชื่อเรื่องนัก....โลกที่ผมรู้จักมันก็กลมบางเหลี่ยมบ้าง...เป็นไปตามสภาพของจิตใจของตัวเองในช่วงนั้นๆที่ผมรู้สึก...ซึ่งหากจะยึดกับคอนเซ็พที่ว่าโลกนี่สีเทา...นั้นคือการคาดหวังที่จะได้รู้ความคิดหลักๆจากมุมมองของนักเขียนที่บอกไว้แต่ต้นว่ามันคือสีขาวเพราะเหตุใด...และทำไมเราจึงคิดว่าวันนี้มันจึงเป็นสีเทา...แบบว่าผมอาจคาดหวังไปเองว่าผมคงจะได้อ่านเรื่องทำนองนี้( จากชื่อเรื่อง)แต่เปล่าเลย...ซึ่งผมรู้สึกเสียดายแทนนักเขียนเป็นอย่างมากที่เลือกจะใช้ชื่อนี้...ทั้งๆที่เนื้อเรื่องโน้มนาวจิตใจได้ดีพอสมควรที่เดียว...แต่มันยังมีพลังไม่พอที่จะทำให้คนอ่านรู้สึกเชื่อและคล้ายตามเนื้อเรื่องหรือสิ่งที่ผู้เขียนแสดงไว้....ประเด็นของคุณไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เป็นไปของโลกแต่...กลับอยู่ที่มุมมองของคุณที่มีต่อสภาพจิตในของคนที่อยู่ในโลกเสียมากกว่า...เริ่มจากการคาดหวังในตัวของคุณเอง...ผู้อื่น...และคนอื่นจนถึงทุกสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินพื้นเดียวกันนี้ของคุณ ถามว่า...โลกนี้ไม่สมบูรณ์แบบใช่ไหม...ผมก็บอกว่าใช่.. เรามองโลกในแง่ดีและไว้ใจคนอื่นจนบางครั้งมานกลับมาทำลายคุณหรือเปล่า...ก็ใช่อีกนั้นแหละ...และความจริงใจ...กับการมีน้ำใจถ้าหายากนัก...การที่เราจะมีกำลังใจสู้ต่อไปในโลกที่ดูแห้งแล้งของการเอาตัวรอดมานก็เป็นสิ่งที่ยากเกินไปใช่ไหม....แล้วทำไมไม่ใช้ชื่อเรื่องหรือความคิดหลักว่ากำลังใจ..หล่ะครับ...( อันนี้มาจากความรู้สึกที่ประมวลจากคนอ่านหลายๆคนนะครับ)
                    มุมมองกับหนังดีๆ...A Walk To Remember,Talumpook ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนจำนวนไม่มากนักที่มีโอกาสได้ชมและประทับใจกันหนังเรื่องนี้...ตะลุมพุก...ถามว่าหนังดีไหม...ผมว่าหนังอยู่ในระดับที่น่าจะสร้างความประทับใจกับผู้ชมได้ไม่ยาก( แม้บางฉากจะยืดยาดและบางคนจะบอกว่าแหวะ...แต่ด้วยความละเอียดอ่อนระดับมาตราฐานทั่วไปของมนุษย์ผมว่าผมมีน้ำตาซึมๆเหมือนกัน) ผมค่อนข้างจะเชื่อและคล้อยตามกับคำพูดเพียงไม่กี่คำของนักเขียนสำหรับเรื่องนี้....มันเป็นสิ่งที่เราเองก็มักตั้งคำถามกับตัวเองเบาๆและพอวันหนึ่งมีคนมาถามเราดังๆเราก็มักจะยืดอกและบอกว่า...ใช่ผมก็คิดอย่างคุณคิดเหมือนกัน....สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดกับบทความเรื่องนี้ไม่ใช่คำถามพื้นๆที่ว่าจริงหรือที่คนเราจะเจอความรักแท้ได้เพียงครั้งเดียว...หรือการใช้ปมเรื่องความรักและสูญเสียของตัวละครเอกของเรื่องที่ชวนให้ทราบซึ้ง...แต่สิ่งที่ผมอ่านแล้วอึ้งและชื่นชอบบวกชื่นชมมากๆคือ....การเรียงร้อยถ้อยคำและนำเสนอที่มีจังหวะจะโคน...รู้ว่าตอนนี้ควรใช้อะไรเป็นตัวชี้นำ..และตอนต่อไปจะต้องใช้อะไรในการโน้มน้าว...แบบว่าเทคนิคแบบนี้มันหาได้ยากกับนักเขียน..และไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับนักเขียนคนไหนง่ายๆ.....ยิ่งนักเขียนหน้าใหม่แทบจะหาได้น้อยมากที่เดียว...แต่ผู้เขียนทำได้...และดีมากทีเดียว...
       
                      Our Love Is Like The Wind.I Can\'t See It But,I can Feel it รักเราเหมือนสายลม..ไม่อาจมองเห็น...แต่รู้สึกได้...เป็นประโยคเด็ดที่มาในช่วงที่ผมกำลังแย้งและคิดว่าสิ่งที่คนเขียนพล่ามมาทั้งหมดนั้นมานเพ้อเจ้อ...แต่พออ่านเข้ากับข้อความนี้เข้าผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองคิดถูกไหม...ในเมื่อความรักมันเป็นความรู้สึกที่แม้จะไม่มีตัวตนแต่เราก็รู้สึกได้...และอ้ายที่ว่าเรามักมีความทรงจำกับบางสิ่ง( ไม่จำเป็นต้องเป็นรักแท้) กับบางคน...มานทำให้ผมย้อนไปอ่าน...ไปมอง...และก็คิดตามว่า...ตูเองต่างหากที่เพ้อเจ้อ( แถมหาความละเอียดอ่อนไม่เจออีกต่างหาก)
              Some U Love And Someone Loves U-ใครสักคนที่คุณรัก-ใครสักคนที่รักคุณ ...โอ้โห้เข้าท่ามากเลยสำรับบทความเรื่องนี้...ผมเชื่ออย่างนี่ว่าผู้เขียนที่ดี....มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่8;iต้องรู้จักคิดและมองบางสิ่งบ้างอย่างได้มากกว่าหนึ่งด้านและรู้สึกกับสิ่งเหล่านั้นได้มากdว่าคนทั่วไป...เพราะอะไรรู้ไหม...ก็เพราะคนเรามานมีความหลากหลาย...การที่คุณ ( นักเขียนทั่วไป)มองทุกอย่างได้เพียงด้านเดียวหริอจำกัดความคิดอย่างคอมมิวร์นิส...ประมาณว่ายืนกรานว่าไอ้สีขาวก็ต้องเป็นสีขาวเป็นสีอื่นไม่ได้...แสดงความรู้สึกอย่างอื่นไม่ได้อะไรทำนองนี้....มันจะทำให้หาคนที่เขาชอบและคิดตามงานของคุณยากมาก....ดังนั้นเมื่อผมอ่านบทความเรื่องนี้จบผมมองเห็นเลยว่าผู้เขียนเริ่มแสดงความเป็นนักเขียนที่ดีออกมาได้อย่าน่าทึ่งมากกว่าบทความก่อนๆ...คือแทบจะไม่ต้องติ...ไม่ต้องอ่านซ้ำ ( เพราะใช้ภาษาง่ายๆแต่คมคาย) เข้าใจและคล้อยตามความคิด...ที่มีมากกว่าหนึ่งมุมมองและความมุ่งหมายของผู้เขียน( หมายความว่าเค้าไม่บังคับให้คนอ่านเชื่อย่างที่เค้าเขียน...แต่มีทางเลือกในการคิดต่อไปแล้วแต่ใจของผู้อ่านครับ)...เสียดายครับ...เสียดายที่ผมลืมข้อดีแบบนี้ในการเขียนหนังสือไปสนิทเลย...
            เพื่อนสนิทใจ +[Friends Who Open My Heart]+ สำหรับเรื่องสุดท้ายที่ผมอ่านในวันนี้นี่...แบบว่ารู้สึกแย่มากๆเลยแฮะ...เปล่านะครับไม่ใช่ว่าผู้เขียน...เขียนไม่เก่งหรือเขียนไม่ดี...แต่เป็นเพราะผมเอง...คือผมเองค่อนข้างจะมีความสามารถจำกัดในการอ่านแต่สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะหาความสามารถไม่เจอเลยก็คือการแปล...ดังนั้นผมคงหาถ้อยคำมาบอกไม่ได้ว่าบทความที่อ่านจบไปนั้น...โอเคมากน้อยแค่ไหน...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมทราบก็คือ..คุณเลือกเรื่องมาแบบได้น่าสนใจดี....แบบว่าคำว่า เพื่อน ในมุมมองของใครหลายๆคนนี่มันหลากหลายนะ...บ้างก็ว่าเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ...อยู่ไกลแล้วคิดถึง...หรือกับบางคนก็ว่ามานก็เป็นคนบ้าๆอย่างเราๆท่านๆนี่ไง...อะไรทำนองนี้....ดังนั้นผมจึงคิดว่านิยาม...ที่ท่านผู้เขียนเลือกมาใช้ในการนำเสนอครั้งนี้ดูชาญฉลาดและใช้การได้ดีทีเดียวครับครับ...
            สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากผมอ่านเรื่องทั้งสองเรื่องของคุณเพลงดาวจบก็คือ...คุณเป็นผู้สามารถในการใช้คำและการเลือกเรื่องที่จะนำมาเขียน...มีจังหวะในการสอดใส่ความคิดได้ดี...แต่สิ่งหนึ่งที่คุณขาดคือการยึดติดกับหัวใจของเรื่องครับ...ซึ่งหากเราไม่ตั้งเป้าหมายในการดำเนินเรื่องเสียแล้วงานมานจะออกมาแบบขาดรูปแบบและขาดทิศทางที่สมควรจะเป็น....ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ...เพียงแต่มันเป็นความคิดและความรู้สึกส่วนตัวของผมก็เท่านั้นเอง....
          ความงดงามทางด้านการใช้ภาษานี่มานเป็นอะไรที่เกิดขึ้นยากนะครับ...แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราต้องรู้จักใช้และนำมาดำเนินเรื่อง...วางพล็อตดีๆ....จะดูมีชีวิตและน่าอ่านมากครับ....ไม่แน่นะครับในอนาคตอันใกล้เราอาจได้อ่านงานเขียนที่เป็นเรื่องเป็นราวที่น่าประทับใจจากนักเขียนคนนี้ก็เป็นได้....เพลงดาว พราวฝัน
                                                                                                                                                      วานิช นิ่มสกุล
ปล.1 ขณะนี้ 5 /01/04 Melody Of Dreams:ท่วงทำนองแห่งความฝัน ความทรงจำ ความรู้สึก  เรื่องยาว    หมวด : อื่นๆ
ผู้แต่ง : เพลงดาวพราวฝัน http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=872  ปิดเรื่องที่ 8ตอนครับ....
ส่วนเรื่องสั้น++[[Dreams-Past-Present-Future-Hope]]++  ถูกบรรจุไว้ในเรื่องเมมโมลี่ด้วยครับ ที่
http://www.dek-d.com/entertain/viewshort.php?id=539
และยังมีการแปลเพลงสากลตามคำขอที่ http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=5436 หรือ +[The Greatest Love Songs Of My Memories]++ [Translation]++ : ลงแล้ว 7 ตอน ครับใครที่ชอบเพลงสากลและรักเพลงสากลเพราะๆเชิญครับ....
อีกทั้งยังมีเรื่องยาวที่ชื่อ +[The Two Of Us]+...ฟากฟ้า..ความฝัน..กับคืนวันที่ฉันมีเธอ.. : ซึ่งลงแล้ว 9 ตอน : โดย คุณเพลงดาวใช้นามปากกาว่า imaginary เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าทำวิจาณ์อย่างยิ่งครับ
ปล.2 หากมีถ้อยคำอันหนึ่งอันใดที่ข้าพเจ้ากล่าวไปแล้วทำให้เรื่องที่นำมานี้ขาดคุณค่าของเรื่องไป...ข้าพเจ้าขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น