ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bin

    ลำดับตอนที่ #3 :

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14
      0
      20 ก.พ. 47



             * * * Hot Order By Chock สัปดาห์นี้ได้แก่    สงครามเมืองยักษ์ ของ  Manus ในหมวด   แฟนตาซี

    ซึ่งขณะนี้มีอยู่ทั้งหมด 4 ตอนครับ ( http://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=5152)



    * * * ตอนที่ 1 :  ยามสนธยา * * * - เปิดตัวได้อย่างอลังค์การณ์พอสมควรนะครับในความรู้สึกของผม...ตั้งแต่ฉากที่ฉายออกมาเด่นชัดว่ามันคือฉากเปิดเรื่องที่ใหญ่เอามาๆกับป่า...เข้าใจว่าน่าจะเป็นดิบชื้นที่มีไม้เนื้อแข็งขึ้นรกชัฏที่เดียว...กับมนุษย์ที่สูงราวสี่เมตรบวกกับความแก่นแก้วแสนซนของเด็กหญิงและสหายหนูคู่ใจ...ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียวตครับ...แต่...



    สิ่งหนึ่งที่ท่านมันสหลงลืมไปก็คือ...ไม่ว่างานชิ้นนั้นจะเกิดมาขึ้นมาในแนวใดก็ตาม...ไม่วส่าจะเป็นดราม่าหรือแฟนตาซี...ส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องนั้นมีความน่าสนใจ...และน่าติดตามนั้นคือ \" ความสมจริง\" กล่าวคือ...ความสมจริงเป็นสิ่งที่ช่วยตัวดึงอารมณ์ของคนอ่านให้เคลิ้มตาม( คล้อยตาม) สิ่งที่นักเขียนบรรยาย( นั้นคือการมีอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อเรื่องครับ) และเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อ่านเชื่ออย่างสนิทใจเสมือนอยู่ในเหตุการณ์...เพราะรู้สึกเหมือนกัว่าเคต้ามีส่วนร่วมในการได้พบสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบหรือเห็นมาก่อน...และในขณะที่อ่านเรื่องๆนั้นเค้าหีอเธอจะไม่รู้สึกว่านี่เรากำลังอ่านเรื่องที่ แต่ง ขึ้นนะ( ความเสมือนจริง...และความสมจริง)ซึ่งในตอนเปิดเรื่องนี้บางช่วงขาดคำว่า น่าสมจริงไป...ครับ





    ความไม่ต่อเนื่องของเนื้อเรื่อง...คือในบางช่วงของเนื้อเรื่องกระโดดไปมาครับ...อย่างเช่นมีอยู่ตอนหนึ่งคือ...ตอนที่เนตรมณีอยู่ในป่า...ผู้เขียนพะยามนำเสนอที่มาที่ไปของหนูแสนซนในเรื่อง..และตัดกลับมาที่เนตรมณีอีกครั้ง...ซึ่งเป็นการบอกเล่าภูมิหลังที่ถือว่า ชาญฉลาด วิธีหนึ่ง...แต่มันดูไม่กลมกลืนกันมากๆครับ...หมายความว่าไม่เหมือนตอนนั้นมันแยกออกไปเป็นอีกตอนหนึ่ง...ไม่มีความต่อเนื่องหรือเกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่เกิดอยู่ตอนก่อนหน้านี้หรือ...ตอนต่อไป...ทั้งที่มันเป็นเรื่องเดียวกันและตอนเดียวกัน...นั้นคือความพยามสอกแทรกขระนำเสนอที่ไม่เนียนพอครับ...ทำให้เนื้อเรื่องกระโดด



    ...ถามว่านั้นมันก็เป็นการเสนอภูมิหลังของตัวละครวิธีหนึ่งไม่ใช่หรอ?...และการนำเสนอแบบนี้ผิดด้วยหรือไง?...อยากบอก \" ใช่ \" และ\" ไม่ผิดครับ \"...แต่รูปแบบอีกมากมายที่ผมเชื่ออย่างที่สุดว่าคุณมนัสเองเป็นผู้มีสามารถมากๆในการหารูปแบบนำเสนอ...แต่จุดบอดอย่างหนึ่งที่มักเจอในเรื่องของท่านบ่อยๆคือท่านมักลืมคำนึงถึงความต่อเนื่องไปบ้างในบางครั้งซึ่งถ้ามันเป็นเรื่องสั้นนั้นจะใช้ความต่อเนื่องเป็นตัวเดินเรื่องเพราะเจ้าความต่อเนื่องนี้เป็นหัวใจของการนำเสนอให้มันเป็นไปในแนวทางเดียวกันตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ...แต่ถ้าเป็นเรื่องยางจะใช้ความต่อเนื่องไปในการเล่าเรื่องและลำดับเหตุการณ์ก่อนหลังที่มีอิทธิพลต่อตัวละครนั้นคือ..การพยามเชื่อมโยงเรื่องทั้งตอนหรือช่วงนั้นๆให้เป็นไปทิศทางเดียวกันและไม่ หลุด ออกไปจากเนื้อเรื่องหรือใจความสำคัญของเหตุการณ์หรือช่วงเวลานั้นๆครับ...ซึ่งที่เขียนมาทั้งหมดนี้ผมเข้าใจว่ามันเป็นคำอธิบายความหมายของคำว่า \" ความต่อเนื่อง\" ( ซึ่งตรงนี้น่าเสียดายมากที่ความไม่ต่อเนื่องเพียงจุดเล็กๆในเตอนนี้ทำให้ บทนำ ที่ดูเหมือนจะสนุกและเป็นบทนำที่ดีลดความน่าสนใจและความสนุกของเนื้อเรื่องลงไปมากทีเดียวครับ)



    ความสมจริงของเหตุการณ์....อันนี้ผมลองจิตนาการณ์ตาม( ความคิดของผมนะ)ในตอนที่เจ้าหนูหันมามอง( ขึ้นไปบนฟ้า) แว๊บนึงตอนที่ยานหรือ..อะไรสักอย่างที่กำลังจะลงมาจอดตรงที่มันและเนตรมณียืนอยู่...จากฟ้าสู่ดิน....เจ้าหนูยืนอยู่..แล้วก็พบว่าอ้ายยานนั้นมันบรรจุคนยักษ์ที่สูงตั้ง14 เมคร( โอก็อด)...ในตามหลักความเป็นจริงการที่ยานลำนั้นลงกระชั้นชิดขนาดเห็นรำไรว่ามันจะลงมาอยู่แล้วลอมล่อแล้ว...ผมว่ายานมันน่าจะต้องลำใหญ่มากๆ...(เพราะคนที่อยู่ในนั้นมันสูงตั้ง14เมตรครับ)ไม่น่าจะหลบพ้นอะครับ....ทั้งตัวเด็กเองก็เหอะ( อันนี้ผมคำนวนจากแรงที่รถวิ่งผ่านเราตอนเราข้ามถนนนะ...ถ้ากระชั้นมากๆเราก็มักจะหลบไม่พ้น)...นี่คือความไม่สมจริงอย่างหนึ่งในตอนนี้ครับ...แต่ก็ต้องชมว่ามันทำให้ดูน่าตื่นเต้นและลุ้นระทึกไปกันการเอาตัวลอดได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดของตัวละครในตอนนี้...แต่ถึงจะตื่นเต้นแค่ไหนแต่ก็ไม่แนบเนียนครับและ...





    ตอนที่....เจ้าหนูตัวนั้นกระโดดเข้าไปในรูหรือโพรงขนาดเล็กตรงพื้นหรือต้นไม้ผมไม่แน่ใจ....ตรงนี้ผมคิดเองนะว่าเจ้ายักษ์ตนนั้นมันจะไม่รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าหรือว่ากำลังหนีมันอยู่เลยหรือ...เกิดอะไรขึ้น?...คือมันเกิดคำถามแบบนี้จริงๆครับตอนอ่าน...และเมื่อเจ้านั้นหายไปแล้วเด็กสาวก็วิ่งเข้ามาหา...( ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผู้เขียนกล่าวถึงเด็กสาวได้ไม่กว้างพอว่าเด็กสาวอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุมากน้อยแค่ไหน...ความรู้สึกตอนที่เห็นร่างยักษ์ในแสงเลืองๆนั้นตื่นเต้นหรือตกใจแค่ไหน.....ซึ่งตรงนี้อาจเกิดจากการกระโดดของเนื่องเรื่องและการบรรยายบรรยากาสรอบตัวได้ไม่ดีพอ..จึงนำมาซึ่งความไม่สมจริงและเกิดความสงสัยให้เกิดขึ้นใจใจของคนที่อ่านครับ)



    และส่วนสุดท้ายคือ...ผมคิดเอง( อีกนั้นแหล่ครับ)ว่าการที่คนเราเพิ่งผ่านอะไรที่แบบว่าตื่นเต้นสุดๆมา...เราจะไม่รู้สึกอะไรเลยหรอครับ...อย่างเช่นเราเจอผีหรือะไรที่ออกจะน่ากลัวหรือน่าตกใจ...ในความรู้สึกแรกเริ่มนี้ผมคงจะตกใจหรือไม่ก็วิ่งแบบไม่คืดชีวิตหรือไม่ก็ต้องแบบว่าสติแตกหรือหลุดโลกอยุ่พักใหญ่ๆทีเดียว...แต่การบรรยายในช่วงที่เนตรมณีและเจ้าหนุมาเจอกันทั้งคู่แค่อุทานออกมาพร้อมกัน( จบ) ...รู้สึกมันไม่เต็มอิ่มกับอารมณ์ของตัวละคร( เพราะขนาดผมอ่านยังอึ้งเลยนะกับความรุ้สึกว่าคนสูง14เมตรนี่แต่ในเรื่องความรู้สึกมันหายไปเฉยๆ...ซึ่งคาดเดาลำบากครับว่าเธอและเจ้าหนูเพื่อนรักที่เพิ่งเฉียดตายมารู้สึกอย่างไร )และก็ตามมาด้วยความคำนึงที่แว็บเข้ามาในสมองของเด็กสาวที่เป็นห่วงเรื่องเวลาและคิดว่าแม่เลี้ยงของเธอน่ากลัวขนาดต้องรีบร้อนกลับไปในทัน...ซึ่งผมเข้าว่าความรู้สึกตื่นเต้นนี่ทำให้คนเราลืมอะไรๆไปมากกว่าธรรมชาติที่เราเป็นเกือบทุกคนครับ...อย่างเช่นผมตั้งใจไปดูหนังกลางแปลงในตอนดึกสงัด...แล้วเกิดจีเอ๋กับเจ้าผีขี้เหงาที่มาล้อเล่นให้ผมตกใจเล่นๆ...ผมเข้าใจว่าผมคงวิ่งป่าราบและลืมเรื่องดุหนังกลางแปลงไปชั่วขณะหรืออาจจะเลิกคิดไปเลยก็ได้...นี่คือความเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นและเรารู้สึกได้...แต่ในเรื่องมันขัดความเป็นจริงในจิตใจคนครับ...เนื่องจาก...เด็กสาวกุลีกุจอที่จะกลับไปบ้านเพียงเพราะกลัวแม่เลี้ยงใจร้ายจะจับได้ว่าออกมาอยุ่ข้างนอกและหล่อนเองก็พอจะจิตตนาการออกว่าแม่เลี้ยงของเอจะตอบแทนการกระทำของหล่อนด้วยอะไร...ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลดีครับแต่...อย่าง

    ลืมว่าก่อนที่เนตรมณีจะออกมาอยู่ที่ป่าตอนตีสามกว่านี้ก็เพราะ ความอยากรุ้อยากเห็นมีมากกว่าความกลัว...( อันนี้ขอยกตอนต้นมาที่ว่าหล่อนตัวสินใจว่าเป็นไงเป็นกันวันนี้เธอต้องออกมาพิสูจน์ให้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่)...ดังนั้นขณะนั้นเจ้ายักษ์นั้นมันเดินไปไหนก็ไม่รุ้...และผมเข้าใจว่ายานมันอยู่ตรงหน้าเนตรมณีและเจ้าหนู...ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กวัย( ซึ่งดูจะมีมากๆขนาดยอมออกมาทำเรื่องแผลงๆแบบนี้ตอนดึกดื่น) มัน ( ความอยากรู้อยากเห็นของเด้กสาว)ไม่พรุ่งพร่านจนเก็บไว้ไม่อยู่มันไม่เกิดขึ้นเลยหรอ? เธอไม่คิดจะรู้ไปมากว่าที่รู้สักหน่อยหรือว่าไอ้สิ่งที่ทำให้ป่านั้นแทบโล่งเป็นบริเวณกว้าง...ข้างในมัน มีหน้าตายังไงและเจ้ายักษ์ที่เห็นน่ะมันเป็นคนหรืออะไรกันแน่?...เธอดิ้นรนจะกลับบ้านในเวลาแบบนี้ทั้งที่ดิ้นรนมาถึงนี่อย่างงั้นหรอ?...ดูมันไม่สมเหตุผลเอาเสียเลยครับ....



    ผมเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดจากผู้เขียนอาจจะรีบจบหรือต้องการจะจบมันมากไปหรือเปล่าไม่ทราบ...แต่ในส่วนสุดท้ายนี้ผมรู้สึกแย่มากๆ...เพราะถ้าเทียบกับความน่าตื่นเต้นที่คุณมนัสเขียนมาก่อนหน้านี้...ถือว่าเปิดเรื่องของเรื่องนี้เสียคะแนนไปกับข้อเสียดังกล่าวพอควรครับ





    \" ที่แท้มันก็เป็นเพียงแค่หนูสีเทาตัวใหญ่มหึมาจนเหมือนไม่ใช่หนูเท่านั้น  เพียงแต่ว่ามัน…เอ่อ…เขาใส่เสื้อผ้า  ที่สำคัญ เขาพูดได้!\" การใช้คำดูไม่เหมาะและการเรียงตัวของประโยคทำให้ดูเป็นหนังสืออ่านยากครับ  \" ที่จริงมันก็เป็นเพียงแค่หนูสีเทาตัวใหญ่มหึมาตัวหนึ่งเท่านั้น...แต่ด้วยขนาด....เสื้อผ้าที่สวมใส่....และที่สำคัญตรงที่สามารถพูดได้...ทำให้ มัน หรือ เค้า...ดูราวกับไม่ใช่หนู \"





    “อะไรกันน่ะฮึ!  มันอยู่แค่ปลายจมูกเราเท่านั้นเองนะเนตร  ไอ้ร่องรอยลึกลับนั่นน่ะ  แล้วเธอคิดว่ามันเป็นอะไรล่ะ  รอยจานบินรึไง  หึ  ไม่ใช่หรอก  ฉันแน่ใจนะว่า สิ่งแปลกๆ ในป่ามรกตแก้วที่หนังสือพิมพ์เขียนน่ะ  ต้องมาคืนนี้แน่นอน  เพราะว่าอะไรน่ะหรือเนตร  ฟังฉันนะ  ก็ฉันสังเกตในข่าวทุกวันไงล่ะ   มันจะมาเป็นช่วงๆ  คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเดือนนี้แล้วด้วย!  เพราะฉะนั้น  ถ้าเธออยากจะเห็นมัน  ก็ต้องเป็นคืนนี้  และเดี๋ยวนี้!”   - ผมเข้าใจว่าประโยคข้างต้นมันไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร...( มีคนถามผมากเหลือเกินว่าความเป็นธรรมชาติคืออะไร...คุณลองนึกเอานะครับ สมมติว่ามีคนถ้าว่า... \" กินอร่อยไหมข้าวหนะ \" คุณจะเข้าใจว่าอย่างไรครับและคุณมั่นใจว่าคนอื่นเค้าคิดอย่างคุณหรือเปล่า...นี่คือความหมายของคำว่า\" ความเป็นธรรมชาติ\" ที่ผมชอบพูดถึงซึ่งอาจจะหมายถึงการที่ทำให้บทพูดนั้นๆเป็นสิ่งที่เราๆท่านๆรู้ความหมายดดยไม่สับสน...หมายรวมถึงคนทั่วไปเค้ามักพูดหรือสื่อความหมายแบบนั้นแบบนี้ครับ )

    คือผมเข้าใจว่าเราน้อยคนมากๆที่จะพูดเองเออเองแบบไม่เว้นช่องให้คนอื่นเค้ามีโอกาสแย้งความคิดของเค้าออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว...แต่โดยความเป็นจริงแล้ว...คนส่วนใหญ่ไม่เป็นแบบนั้นและผมคิดว่าถึงแม้ว่าทั้งสองคน( หรือตัว) ในเรื่องจะหัวเสียระเบิดอารมณ์ใส่กันขนาดไหน...แต่การพูดติดกันไป....ยาวเป็นพรืดแบบนี้ทำให้การบรรยายความสัมพันธ์และอามรณ์ร่วมของผู้อ่านกับงานเขียนเกิดช่องว่างที่ไม่สามารถเติมเต็มทางอามณ์ของตัวละครได้ครับ...ผมอาจลองแก้ออกมาเป็นแบบนี้ครับ( ขออนุญาต)



    \" อะไรอีกล่ะฮึ...แม่คนโลเล \" แบมบี้ตวามเสียงขุ่นพลางมองหน้าเด็กสาวอย่างไม่สบอารมณ์ \"มันอยู่แค่ปลายจมูกเราเท่านั้นเองนะเนตร...และเธอไม่อยากรู้จริงๆหรือว่าไอ้ร่องรอยลึกลับนั่นน่ะ...มันใช่อย่างที่เธอกับฉันคิดอยู่รึเปล่า \"



    \"ฉันก็สนใจและอยากรุ้เหมือนกันว่าอ้ายรอยนั้นมันเป็....\" ยังไม่ทันที่เนตรมณีจะกล่าวคำนั้นได้จบประโยคเจ้าหนูสีเทาขี้โมโหก็สวนขึ้นมาทันควัน



    \" ในเมื่อสน...ใจแล้วจะรออะไรล่ะ \"



    เนตรมณีถอนใจเฮือกใหญ่อย่างตัดสินใจไม่ถูก...\" ยังไงก็คงไม่ใช่วันนี้ \" หล่อนตัดสินใจได้ในที่สุด...



    \" ถ้าไม่ไปวันนี้...ก็หมายความว่าเราคงจะไม่มีโอกาสรู้อีกเลยว่าอ้ายสิ่งที่เรากำลังสงสัยกันอยู่มันคืออะไรกันแน่ \" น้ำเสียงนั้นแม้จะเบาลงแต่ยังแฝงไว้ด้วยความขุ่นเคือง



    \" ทำไมเธอคิดแบบนั้น\" เนตรมณีเอ่ยถามอย่างแปลกใจ...



    \" ทำไมนะหรอ \" เจ้าหนูตัวใหญ่สบัดหางไปมาอย่างอ่อนใจ\" ฟังฉันนะเนตรมณี...  ถ้าสังเกตข่าวเรื่องปรากฎการณ์แปลกๆในป่ามรกตแก้วอย่างที่ฉันสังเกตแล้วล่ะก็...เธอก็จะรู้ปรากฎกฎการ์แบบนี้มันจะเกิดขึ้น...และหมดไปเมื่อไหร่\"



    \" หมายความว่า...\" เด็กสาวร้องออกมาอย่างเข้าใจตามสิ่งที่แบมบี้พยามอธิบาย



    \" ใช่....มันจะเกิดขึ้นในช่วงนี้เท่านั้นและฉันเข้าใจว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วด้วย \" เจ้าหนูหันกลับมาสบตากับเด็กสาวพลางกล่าวน้ำเสียงหนักเป็นการบังคับไปในตัวว่า\" เพราะฉะนั้น...ถ้าเธอไม่อยากพลาดอะไรดีๆในชีวิตไป...ฉันแนะนำให้เธอไปกับฉันคืนนี้...ไม่ใช่ซิ ต้องเดี๋ยวนี้ต่างหาก \"



    \" แต่ว่า \" ...เด็กสาวมีท่าทีลำบากใจ

    ( แบบนี้เป็นต้นครับ...ซึ่งที่ผมยกมานี้เป็นการใช้บทสนทนาที่เรามักพบในนิยายไม่ว่จะเป็นของไทยเองหรือเทศ...และรูปแบบเช่นนี้เป็นสิ่งบอกตัวการ...ความต้องการและบรรยายอารมณ์..ตลอดจนสถานที่ที่เกิดขึ้นในเรื่องได้เป็นอย่างดีทีเดียวครับ )







    \" ความเงียบสงัดแผ่เข้าปกคลุมทั่วพื้นที่ธรรมชาติแห่งนั้น  สรรพสัตว์ทั้งหลายได้พากันพักผ่อนเพื่อจะได้เตรียมพร้อมให้เริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่นไปนานแล้ว  จะเว้นก็แต่บางจำพวกอย่างนกฮูกและสัตว์กลางคืนทั้งหลาย  ซึ่งนานๆทีจะทำเสียงเบาๆขึ้นมาบ้าง  หมู่มวลไม้ใหญ่เล็กต่างๆนานายืนนิ่งเงียบแทบไม่ขยับ  บางคราจะมีสายลมเอื่อยๆพัดมาทำให้กิ่งก้านสาขาและใบไม้เสียดสีกันเป็นเสียงเบาๆน่าฟัง  อากาศโดยรอบเย็นชื่นใจชวนให้จิตใจปลอดโปร่ง  ทว่าไม่เกิดผลกับผู้ที่ย่ำเท้าเบาๆผ่านมวลไม้พงไพรท่ามกลางความมืดทั้งสองเลย\" ความไม่ต่อเนื่องในการยรรรยายตลอดจนใช้คำได้ไม่รัดกุมนักก่อให้เกิด ฉาก ที่บิดเบี้ยวไปมา...ทำให้เกิดความสมบูณณ์ในการรับรู้น้อยครับ \" ความเงียบสงัดแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณป่าดิบชื้นในยามค่ำคืนเช่นนี้...แว่วยินเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลมที่พัดพาเอาความหนาวเย็นมาเป็นระยะ...สลับกับเสียงสัตว์กลางคืนบางชนิดที่ส่งเสียงแหวกอากาศไปในความเงียบสงัด...ฟังแล้วชวนวังเวงจับใจ....บรรดาพรรณไม้ป่าสูงชะลูดราวกับคนตัวใหญ่ที่ยืนสงบนิ่งเรียงรายเป็นทิวแถวไกลไปในความมืดเบื้องหน้า....กิ่งก้านสาขาพากันโอนเอนไหวไปมาทุกคราที่สายลมเข้ามากระทบ...ดูราวคล้ายสิ่งมีชีวิตที่เคลื่นไหวได้ก็ไม่ปาน....แต่ในความวังเวิงและเสียงของเหล่าสัตว์กลางคืน...อีกทั้งเสียงลมหวีดหวิวเหล่าน้น...หากลองสังเกตดีๆจะได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำไปบนพื้นใบไม้แห้งดังกร็อบแกร็บของสิ่งมีชีวิตคู่หนึ่งอยู่เบื้องล่าง \" - - - จริงๆแล้วผมเองไม่ใช่คนเก่งกาจในด้านการสร้าง ฉาก หรือบรรยายเท่าที่ควรนักเนื่องจากผมติดจะใช้คำที่ฟุ้มเฟือยและใช้คำขยายมากเกินความจำเป็นไปบ้างในบางครั้ง...แต่ที่นำตัวอย่างลงไว้นี้เพียงเพื่ออยากให้ผู้อ่านได้ลองเปรียบเทียบและนำไปใช้ปรับแต่งต้นฉบับของท่านบ้างตามความเข้าใจและสิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์( ไม่มีเจตนาเอามาเปรียนเทียบด้วยหมายจะบอกว่างานของผมเขียนได้ดีกว่าแต่อยางใด...เป็นเพียงข้อเสนอแนะเท่านั้นครับ)



    \" เธอมักจะเข้าป่านี้ตอนกลางวันในวันหยุดและสำรวจให้ทั่ว  เธอมักจะเจอสัตว์จำพวกกวาง  \" ความไม่รื่นไหล( เกิดความรู้สึกสะดุดตาและสะดุดใจในการอ่าน)ของการใช้สรรพนามทำให้เกิดการสะดุดในการอ่านพอควร \" เธอมักจะเข้าไปในป่าตอนกลางวันในวันหยุด...สำรวจจนทั่ว  และ มักจะเจอสัตว์จำพวกกวาง \"



    ผมเข้าใจว่าคำตอบมีอีกมากมายที่คุณมนัสอธิบายให้ผมฟังให้เข้าใจได้ครับตอลดจนสามารถไขข้อข้องใจของผมได้ทุกข้อที่ผมสงสัย......แต่ผมอยากบอกอย่างนี้ครับว่า...การอ่านบางสิ่งบางอย่างแล้วมันควรทำให้เราเข้าใจในเรื่องที่เราอ่าน...ด้วยกลวิธีการเขียนของนักเขียนที่เขียนเรื่องนั้นๆออกมา...หมายความว่าหนังสือ...ใช้อักษรในการสื่อสารเป็นหลัก...ดังนั้นสิ่งที่จะบอกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องนั้น...คือตัวอักษรครับ...ไม่ใช่นักเขียน อย่างเช่น



    เวลาเราอ่านหนังสือเรียนบางเล่มแล้วเรารู้สึกว่าเราอ่านเไม่เข้าใจ....ผมเชื่อว่าเราคงจะพยามทำความเข้าใจด้วยตัวเราเองกัยเนื้อหาที่มีในหนังสือเสียก่อน...จนเมื่อเรารู้สึกว่ามันเนความสามรถของเรา...เราจึงต้องไปขอให้อาจารย์หรือใครสักคนที่เข้าใจช่วยอธิบายให้เราฟัง( ใช่ไหมครับ)...แต่ในขณะเดียวกันเราคงไม่ได้เก็บความสงสัยเอาไว้และหาวิธีถามกับผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา...ใช่ไหม...ซึ่งผมแน่ใจว่านักเขียนเองก็คงไม่สามรถพอที่จะเอาเวลาที่มีทั้งหมดของเค้าหรือเธอมาคอยตอบคำถามได้..แบบนี้เป็นต้น



    สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ....ผมอยากจะบอกว่าความไม่ชัดเจน ในรายละเอียด...ในเรื่องที่เราเขียนมันเป็นจุดบอดสำหรับการสื่อสารที่ไม่เคลียหรือการะจ่างชัดเจน...ทำให้ทิ้งความสงสัย( แบบคนละแบบกับทิ้งปมนะครับ)แล้วหาคำตอบไม่ได้...มันจะกลายเป็นสัญญาณอัตรายและเป็นปัญหาที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในตอนเปิดเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียวครับ...





    * * * ตอนที่ 2 :  โรงเรียนจัสเฟร็ช * * * [/b ] -   ผมยกให้เป็นตอนแห่งความไม่สมจริงอะครับ...เนื่องจากข้อเสียที่พบมากที่สุดในตอนนี้มันมาจากความไม่สมจริงแทบทั้งสิ้น...( รู้สึกใจหายมากที่จะต้องพูดแบบนี้)



    \" เนตรมณีเลยตื่นสายขึ้นมาด้วยอาการครบสามสิบสองเป๊ะทุกประการ  \" - การเรียงตัวของคำในประโยคดูแปลกแปร่งไปครับทำให้รู้สึกขัดความรู้สึกในการอ่านนิดหน่อย \" เนตรมณีตื่นขึ้นมาในตอนสายด้วยร่างกายที่ยังครบสามสิบสองประการอยู่ \"  



    \" เธอได้นั่งแต่ที่ม้านั่งริมป่าอย่างเดียวรึเปล่า” - ความไม่เป็นธรรมชาติของบทสนทนา \" เธอไปนั่งที่ชายป่ามารึเปล่า \"



    \" จากเด็กหญิงผมยาวยุ่งกระเซอะกระเซิง  ขี้ตาตรึม  มีคราบน้ำลายติดที่มุมปาก  สวมเสื้อลายทางมีรอยโคลนและเปื้อนเหงื่อ  กางเกงเข้าชุดกันยับสุดๆ  และถุงเท้าใส่นอนยู่ยี่  ก็กลับกลายเป็น  เด็กหญิงผมยาวเหยียดตรงและเป็นเงางามใส่ที่คาดผม  ตาโตดำขลับสดใส  ปากทาลิปมัน  เสื้อลายขวางสีแดงสลับเหลืองและมีรูปกวางแบมบี้อยู่ตรงกลาง  กางเกงยีนส์ยาวสีน้ำเงินทันสมัยดูเท่ห์และปราดเปรียวไม่หยอก  ใส่รองเท้าแตะผ้าลายดอกไม้สีเหลืองแสนสะอาด!

    !\" - จากข้อความข้างต้นผมอยากออกตัวอีกครั้งว่าผมก็ไม่เก่งเรื่องการบรรยายลักษณะของคนนัก...แต่พอทราบได้ว่าข้อความนี้เป็นข้อความที่ไม่สมบูรณ์นักในการใช้คำ ที่เหมาะสม ( จากคำว่า ตรึม)และการบรรยายที่ไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร...ทำให้คนอ่านอาจจิตนาการได้...แต่มองภาพได้ไม่ชัดนักครับ...ขออนุญาตยกตัวอย่างนะครับ( ผมเข้าใจว่าอาจเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่นักเขียนอาจชื่นชอบการใช้คำ...และการบรรยายในลักษณะนี้เป็นพิเศษซึ่งผมเชื่อว่านักเขียนทุกคนก็มี สไตร์ที่แตกต่างกันออกไป เพียงแต่ผมอยากเสนอแนะสักหน่อยว่ารูปแบบดูมันไม่ค่อยเป็น สากล เท่าที่ควรครับ..)



    \" จากเด็กสาวมอมแมนมอซอเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเด้กสาวที่น่ารักสะอาดเอี่ยมไปทั้งตัว...ดวงหน้าที่เลอะเทอะคราบโคลนและเหงื่อดวงนั้น...บัดนี้สะอาดใสราวกับไม่ใช่ดวงหน้าเดียวกัน...เรือนผมที่ยุ่งกระเซิงพันเป็นสังกะตัง...บัดนี้เหยียดตรง...ทิ้งตัวอยุ่ใต้ที่คาดผมสีสด...แลดูน่ารักสมวัย...หล่อนกระพริบตาเปลือกตาที่ก่อนหน้านี้เกราะกรังไปด้วยขี้ตาที่จับแต่บัดนี้เจ้าดวงตาคู่งามนั้นกำลังสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายบนเรือนการที่ขาวละอออย่างพินิจพิจารณา...หล่อนเลือกสวมเสื้อแขนยาวลายขวางสีแดงสบับเหลืองที่ปรากฎรูปกวางแบมบี้อยู่ตรงกลางหน้าอกมาสวมไว้แทนเสื้อลายทางตัวเก่าที่เปราะเปรื้อนไปด้วยคราบโครนและเหงื่อไคล...ชายเสื้อที่ยาวพอประมาณทับอยุ่บนกางเเกงยีนส์ยาวสีน้ำเงินทันสมัยดูเท่ห์และปราดเปรียวไม่หยอก...แบบนี้เป็นต้นครับ



      

    \" เนตรมณียังจำได้ถึงวันที่พ่อสร้างบ้านต้นไม้เลย \" -ลองอ่านดีๆจะรู้สึกว่ามันไม่เป็นอย่างที่คุณอยากจะสื่อครับ \" ( ผมเข้าใจว่าต้องเขียนว่า) เนตรมณียังจำได้ดีถึงวันที่พ่อสร้างบ้านต้นไม้ หรือเนตรมณียังไม่เคยลืมวันที่พ่อสร้างบ้านต้นไม้เลย  ( จำได้ดี...เลยในประโยคมันแปลกเอามากๆครับ) \"



    \" พ่อปูไม้กระดานห้าหกแผ่นบนกิ่งก้านสาขาที่แข็งแรงสี่กิ่งซึ่งบังเอิญเลื้อยเป็นแนวขนานกับพื้นดิน \" - ตรงนี้ผมยอมรับว่าผมจิตนาการตามที่คุณบรรยายไม่ออกครับว่ามันควรหมายความว่าอย่างไร...นี่อาจเกิดจากการขยายที่น้อยเกินไปทำให้อ่านข้อความแล้วไม่เกิดภาพตาม ( บังเอิญเลื้อยเป็นแนวขนานกับพื้นดิน -ตรงนี้ผมไม่มีความรู้เรื่องเลื่อยไม้อะครับก็เลยไม่ทราบว่ามันหมายความว่าไง...และผมเข้าใจว่าคงมีนักอ่านอีกหลายท่านที่มีปัญหากับคำที่อ่านตรงนี้ )





    \" เนตรมณีเห็นบ้านต้นไม้ของเธอแล้ว  มันทำด้วยไม้กระดาน  เนตรมณียังจำได้ถึงวันที่พ่อสร้างบ้านต้นไม้เลย  พ่อปูไม้กระดานห้าหกแผ่นบนกิ่งก้านสาขาที่แข็งแรงสี่กิ่งซึ่งบังเอิญเลื้อยเป็นแนวขนานกับพื้นดิน  แล้วตั้งไม้กระดานนับสิบๆแผ่นให้เสมือนเป็นห้องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เท่าห้องเก็บของขนาดกลางห้องหนึ่งแล้วยึดให้แน่น\" -ผมอยากบอกอย่างนี้ครับว่า...การบรรยายของตอนนี้( นั้นคือบ้านต้นไม้) ไม่ละเอียดพอที่จะทำให้ผมจิตนาการถึงบ้านหลังเล้กๆที่สร้างจากไม้อัดหรือไม้อะไรก็ตามทีและมีลอกหรือะไรก็ตามที่เป็นเครื่องนำทางคล้ายลิฟขึ้นไปด้านบน...ผมนึกไม่ออกครับเพราะการบรรยายกระโดดไปกระโดดมา...จับใจความได้แต่ยาก...( อย่างพุดถึงบ้านอยุ่ก็พุดถึงลอกและก็ขยายลอกว่าทำจากอะไรแล้วก็วกกลับมาวิธีขึ้นไปที่ต้นไม้โดยเจ้าเชือกที่เป็นส่วนหนึ่งของลอก...มันชวนงงอยู่มากทีเดียวครับตรงนี้ ...ซึ่งตรงนี้เหตุเพราะอ่านแล้วไม่เข้าใจเท่าที่ควรจึงไม่ทราบจะแก้ว่าอย่างไรครับ..ผมจึงพยามบอกให้ทราบว่าการบรรยายในบางครั้งมันต้องสอดคล้องและไม่ก่อความสับสนขององค์ประกอบของเรื่องที่เราจะบรรยายมากนัก...ซึ่งการใส่องค์ประกอบลงไปมากๆในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่( เช่นเรื่องพลังงานที่นำมาใช้ในลอกผมเข้าใจว่าถ้าตัดออกก็ไม่ทำให้เรื่องเสีย)มันก่อให้เกิดความสับสนในการอ่านครับ





    \" ความไม่ต่อเนื่องของเนื้อเรื่อง\" - เกิดขึ้นตอนที่เนตรมณีกำลังส่องกล้องและเกิดหวนคิดถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมา..เมื่อมองเห็นบ้านต้นไม้....และสิ่งนี้เองที่หล่อนอารมณ์กระเจิดกระเจิงคิดไปถึงแม่ที่ล่วงลับไป...ถือว่าเป็นการบอกภูมิหลังของตัวละครได้ดีทีเดียวครับ...แต่พอขึ้นต้นประโยคอีกครั้งที่ว่า \" ย้อนกลับมาที่เนตรมณี  เธอกำลังสอดส่ายกล้องหาแบมบี้อยู่ \" -มันให้ความรู้สึกขัดแย้งสุดๆครับ...ราวกับว่ามันเป็นคนละตอนกันทั้งที่มันเป็นตอนเดียวกัน...ผมจึงบอกว่ามันขาดความต่อเนื่อง...เพราะใช้คำว่า ย้อนกลับมาที่  ซึ่งน่าจะเป็น \" เนตรมณีผลักไสภวังค์( หรือความคิด)ออกไปจากหัวและเริ่มสอดส่องหาแบมบี้อย่างจริงจัง\"มากกว่า...มันทำให้รู้สึกเหมือนกับ เนตรมณีที่คำนึกอยู่เมื่อครู่ ไม่ใช่คนเดียวกันอย่างไรอย่างนั้นครับ...ถ้าผู้อ่านลองย้อนกลับไปอ่านตอนบรรยายอีกครั้งผมเชื่อว่าท่านก็จะรุ้สึกอย่างที่ผมรู้สึกครับ เมื่อมาเจอคำว่า\" ย้อนกลับมาที่ \"





    “โธ่  ไม่น่าเลย  กำลังเจริญงอกงามดีแท้ๆ”  เนตรมณีพึมพำอย่างเศร้าสร้อยเมื่อเห็นสภาพ  “เอาเถอะ  ยางยังไม่แห้งดีนัก  แสดงว่า..”  เธอหยุดแค่นั้นและหันไปดูพื้นดินรอบๆกุหลาบป่า  แล้วจึงเห็นรอยบุ๋มจางๆเป็นรูปรอยเท้าขนาดใหญ่  “ดีล่ะ”  เนตรมณีพูดอย่างดีใจ  “รอยเท้ามันหันไปทางนี้  หน้าเดิน!” - ลองดูดีๆในข้อความข้างต้นนะครับแล้วลองเปรียบเทียบกับอีกข้อความหนึ่งที่ผมจะเขียนขึ้น



    \" โธ่...เจ๊งซะแล้ว\" ผมพึมพำออกมาเบาๆเมื่ออะไรไม่เป็นอย่างใจ \" เอาเถอะยังมีอีกนิด...มันคง\"ผมเดินไปที่ประตูเปิดมันออกและเดินมาพิจารณาสีจางๆที่ยังมีให้เห็นบ้าง \" ก็โอเค...แต่ได้ไหมเนี๊ย\" อยากถามว่าเข้าใจว่าผมจะเขียนถึงอะไรไหมครับ



    ซึ่งสิ่งที่ผมต้องการจะบอกหรือสื่อก็คือ...การไม่สมบูรณ์ในการบอกเล่าเรื่องสร้างความสับสนและความรู้สึกไม่เข้าใจให้เกิดกับคนที่อ่านได้อย่างมากมายเลยครับ...เอาเป็นประโยคที่ผมเขียนขึ้น ผมอยากถามว่าทราบไหมครับว่าผมต้องการเขียนถึงอะไร....ผมคิดว่าคงไม่มีใครทราบและคิดไม่ถึงหลอกครับว่าผมต้องการจะเขียนว่า...



    \"โธ่ คอม ...เจ๊งอีกแล้ว \"พูดแล้วก็เดินไปหน้าบ้านก่อนเปิดซองบุหรี่จุดสูบระบายอารมณ์\"  เอาเถอะยังมีอีกนิด...มันคงพออยู่ \" เมื่อพบว่าในนั้นเหลืออีกไม่กี่ตัวแล้ว มองดูไอ้ควันสีขุ่นๆลอยไปในอากาศก่อนเดินมาดูรูปที่โหลดไม่เสร็จแต่ยังพอมีให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างบ้างก็เลยพูดขึ้นมาอีกที\"  ก็โอเค...แต่ได้ไหมเนี๊ย\"



    นี่คือสิ่งที่ผมตั้งใจจะเขียนตั้งแต่แรกแต่ผมไม่ลงรายละเอียดให้ชัดเจนและเชื่ออย่างที่สุดว่าคงไม่มีใครรู้ในสิ่งที่ผมเขียนถึงแน่นอน....ในทางกลับกันในประโยคของเรื่องนี้( เมืองยักษ์ที่ยกมา)เป็นเหมือนกับข้อความที่ผมคิดขึ้นนั่นคือ\" ผู้เขียนทราบ( ความหมาย)แต่คนอ่านงงครับ \"...ปัญหาแบบนี้แก้ไขยากสักหน่อยครับ...เพราะบางครั้งเราอ่านเองมันจะเข้าใจและปล่อยผ่าน...แต่กับคนอ่าน มันคนละเรื่องเดียวกันเลย







    \" ฉันอาศัยอยู่ที่นี่  อะไรนะ  อ๋อ!  เปล่าหรอก  ฉันเป็นลูกกำพร้าน่ะ\" - ผมเข้าใจว่าคุณต้องการสื่ออะไรออกมานะครับ...แต่ผมอยากบอกอะไรนิดหนึงว่า...นี่มันเป็นการคุยแบบเผชิญหน้า...การที่ละเอาไว้ในฐานที่เข้าใจผมดูว่ามันออกจะดูไม่เหมาะสมครับสำหรับบริบทข้างต้น





    \" ไม่หรอก  ถึงขึ้นชื่อว่าทำงาน  แต่ฉันก็ได้เงินเดือนนะ  เดือนละ  เอ่อ..  ประมาณห้าหกปอนด์\" ความไม่เป็นธรรมชาติครับ ผมเข้าใจว่ามันน่าจะเป็น \" ไม่หรอก...ถึงจะได้ชื่อว่าต้องทำงานแต่ฉันก็ได้รับค่าตอบแทนนะไม่ได้ทำเปล่าๆ\"



    \" ความสมจริง( อีกครั้ง ) “หนีเร็วเข้า!” - คุณคิด...ถึงอะไรครับ ถ้าเป็นผม...ผมจะคิดถึงอะไรที่น่าเกลียดหน้ากลัวหรืออะไรที่อาจเป็นอัตรายต่อตัวเราหรือคนรอบข้างแต่...

    “เอาล่ะ  เรื่องที่เกิดขึ้นที่ห้องนี้ก็คือ  ฉันจะมาไขห้องนี้เพื่อตรวจความเรียบร้อยทุกวัน  แล้ววันนี้  ฉันเปิดประตูเข้ามา  ก็มีฝุ่นเป็นกองร่วงใส่หัวฉัน  ฉันก็เลยร้อง  --  นั่นคงทำให้พวกนั้นมา  แล้วฉันก็วิ่งเข้าหาสัตว์เลี้ยงตัวนี้ของฉัน  พวกนั้นมาก็ร้องแล้วรีบวิ่งหนีไป  เรื่องมันก็แค่นั้นล่ะ” - เกิดคำถามว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน...ทำไมพวกนักเรียนร่วม20-30คนที่ผู้เขียนต้องการจะบอกว่าวิ่งหนีออกไปทางหน้าโรงเรียน กลัว เรื่องแค่นี้เองหรอ...ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย...แล้วทำไมกระต่ายในมือของเธอถึงตาย...เนื้อเรื่องมันมีข้อมูลที่ขาดหายไปหรือเปล่า...จนทำให้เรื่องมันถึงได้กระโดดเอามากๆครับในตอนนี้...



    \" ความไม่สมจริงอีกเรื่องหนึ่ง...โรงเรียนหนึ่ง...หนึ่งนี้น่าจะมีคนอยุ่ไม่น่าจะน้อยกว่า100-200คนต่อโรงเรียน...การที่เด็กจำนวนหนึ่งวิ่งหนีออกไป...ผมเข้าใจในตอนแรกว่าอาจเกิดอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดโกลาหลไปทั่วทำให้ เนตรมณีเข้าไปด้านในได้อย่างง่ายดาย...( ซึ่งผมเข้าใจว่าผมไม่ได้เข้าใจไปเอง)แต่ที่ผมคิดมันผิดไปหมดทุกอย่างเลยครับ...



    เริ่มที่อาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าที่ตะหนกแต่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล( ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น) - - -อยากทราบจริงๆว่าท่านทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรืออย่างไรทั้งที่ห้อง เละ ( หรือมากว่าคำว่า เละ อย่างที่ผู้เขียนต้องการบอก)ไปซะขนาดนั้น...และนักเรียนส่วนหนึ่งก็หายไป...นึกภาพที่คุณครูเข้ามาทำท่าใจดีและพูดจาด้วยความสุภาพ...โดยไม่มีทีท่าแบบนั้น( ตกใจ)ได้ไง( ไม่ออก)...อีกทั้งเนตรมณีนี่ก็บุกรุกเข้ามา...ไม่รู้สึกอะไรเลยหรอ..?...ตรงนี้เป็นจุดที่บอดมากๆในเรื่องครับ....



    อีกทั้ง...ตอนที่ครูอีกคนเข้ามาและทั้งคู่ก็คุยกันมันเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครจะไปจะมาในโรงเรียนนี้ก็ได้งั้นหรือ...?( แถมท่านครูใหญ่ยังชวนไปดื่มนำชาอีก...เอาเข้าไป)สิ่งที่ตอกย้ำว่าไม่เกิดเรื่องแย่ๆในโรงเรียนนี้ได้ดีก็คือ..กลุ่มเด้กที่เพื่อนชาวต่างชาติและเนตรมณีนั่งมองพวกเค้าเล่นฟุตบอล...ยิ่งทำให้ดุเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีน้ำหนักให้เชื่อว่าเกิดขึ้นจริงๆเลยสักนิดเดียวครับ





    ผมมีคำถามและคำถามมากๆครับในตอนนี้...แบบว่าผมพยามอ่านอย่างใจเป็นกลางและพยามตอบตัวเองให้ได้ว่า..เหตุการณ์มันควรจะเป็นแบบนี้แบบนั้น( รึเปล่า) แต่ อยากบอกว่า...ผมเติมเต็มช่องว่าง( ของความไม่สมจริงเท่าไหร่) มันเท่าไหร่ก็ไม่เต็มสักทีครับ...จึงอยากบอกอย่างใจเป็นกลางว่ารู้สึกตอนนี้โครงเรื่องจะดูโครงเครงไปมาครับ...







    * * * ตอนที่ 3 :   บ้านที่ว่างเปล่า * * * -  เริ่มต้นตอนที่สามได้อย่างต่อเนื่องดีครับ...แต่ผมเองก็ยังคงมีความรุ้สึกว่าความไม่สมเหตุสมผลยังคงมีให้เห็นบ้างในบางจุด....แต่ก็พอทำใจกล่อมกล้อมถามเอง - ตอบเองไปได้บ้าง...แต่



    ความต่อเนื่อง...ยังคงมีความไม่ต่อเนื่องเกิดขึ้นตลอดเป็นระยะของตอนนี้ดังเช่น....

    \" เนตรมณีมองวาลีเดินจากไป  ในใจรู้แน่ชัดว่านางต้องเอาข่าวนี้ไปบอกดวงแก้วอย่างแน่นอน  ดวงแก้วจะได้ไม่ขึ้นมาบ้านต้นไม้อีกคน  เพราะเธอเองก็เกลียดพวกหนูเหมือนผู้เป็นมารดา



    พลัน  ความรู้สึกหนาวเหน็บก็แล่นขึ้นมาจากสันหลังจนเธอเอามือกอดอกโดยอัตโนมัติ  เธอรู้ดีว่ามันคืออะไร  รู้ดีเป็นที่สุด…



    …ความเหงา…\"  - รู้สึกไหมครับว่ามันสัมพันธ์กันตรงไหน?...การที่เธอขจัดเรื่องที่รบกวนใจออกไปได้แล้ว...เธอควรจะโล่งใจหรือสบายใจมากกว่านี้...ตามปกติคนเราก็มักจะแสดงท่าทีโล่งใจเมื่อทุกอย่างที่เราอยากให้มันเป็นไปตามแนวทางที่เราอยากให้เป็นนั้นสำฤทธิ์ผล

    ถ้าจะกล่าวให้เนตรมณีมีความรู้สึกแบบที่บรรยายได้จริงๆ...มันควรมีอะไรบ้างอย่างมา สะกิด ใจให้คิดหรือหวนกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆอีก...และ มันก็จะไม่แปลกที่เนตรมณีจะต้องรู้สึกโดดเดียวและเหงา...( นี่ถึงจะสมเหตุสมผลและ...ดูเป็นสองเรื่องที่อ่านแล้วไม่รู้สึกสะดุดเนื่องจากมันสัมพันธ์และเข้ากันดี)ซึ่งมันก็ควรมีการหา...เหตุการณ์มาเชื่อมสองสิ่งนี้เข้าให้กัน...ให้มันดูสอดคร้องทั้งด้านคำพูดและอารมณ์ของตัวละครครับ...



    สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจของผมเกี่ยวกับเนื้อเรื่องตอนนี้นี้คือ...ผมรู้สึกว่า...ตอนนี้มีความหลากหลายดีครับ...ทั้งด้านการดำเนินเรื่องที่ดูไม่ยืดยาดเกินไปนัก...การใช้สถานการณ์ในการบอกบุคคลิกตัวละคร...ทั้งตัวเนตรมณีและเพื่อนทำได้ดีทีเดียว...และที่อาจจะเรียกได้ว่าชอบเป็นพิเศษคือสำนวนดีๆที่คุณเอามาสอดแทรกในตอนนี้ได้อย่างลงตัวน่าสนใจ...แต่กระนั้นถ้าระวังเรื่องการลำดับเรื่องและพยามหาสิ่งที่จะเชื่อมเหตุการณ์สองเหตุการณ์ให้ สนิท กว่านี้( ทำให้เหมือนเป็นเหตุการณ์เดียวกันให้ได้)...เชื่อว่าตอนนี้น่าจะเป็นตอนที่ดีที่สุดใน3ตอนที่อ่านผ่านมาครับ...













    * * * ตอนที่ 4 :    ค้นพบ * * * -





    \" มิฉะนั้นรอยเท้าของมันคงจะไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงหลังคาห้องเรือนสัตว์หรอก…\" ผมแน่ใจว่าตอนนี้มันกระโดดขึ้นมาลอยๆเพราะเท่าที่อ่านมาไม่มีตอนไหนที่บอกว่ารอยเท้ายักษ์หายใกล้กับเรือนเลี้ยวสัตว์( จะมีแต่ตอนที่บอกไว้ว่ารอยเท้ามันชี้ไปทางเดียวกับตึกที่เนตรมณีจะเดินไปดูซึ่งหน้าจะหมายถึงโรงเรียนไม่ใช่ ตึก เดี่ยวๆ)ดังนั้รนี่คือความไม่ละเอียดในการไม่ปูเรื่องมาก่อนแต่นำเรื่องนั้นมาเขียนทำให้ดูมัน เลื่อล ลอยเกินไปครับ



    \"ใช่  --  ก่อนเนตรมณีจะขึ้นมาปลุกจอร์แอน  เด็กหญิงได้ไปสำรวจรอบๆโรงเรียนมาเรียบร้อยแล้ว  จึงเห็นแน่ชัดว่า  รอยเท้า…หยุดอยู่เพียงแค่โรงเรียนนั้น!\" ไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับที่เนตรมณีจะไปและกลับมาได้เร็วขนาดนั้น...สังเกตุว่าต้องใช้เวลานยานมากทีเดียวที่จะที่โรงเรียนนั้นและไม่มีทางด้วยเหตุผลอีกข้อก็คือ เธอกล้าพอจะทิ้งเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอไปนานขนาดนั้นเลยหรือ...เหล่านี้คือความไม่สมจริงครับ( ถ้าเนตรมณีสำรวจตอนที่ยังนั่งกันอยุ่ที่โรงเรียนยังพอฟังขึ้น)



    \" เนตรมณีว่าอย่างกึ่งขบขันกึ่งระอา  “อะไรจะเว่อร์ซะขนาดนั้นฮะ  เฮ้อ!  มันช่างยากเหลือเกิ๊นเหลือเกิน  ที่จะบอกว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์อันวุ่นวายทั้งหมดนี้  แต่ฉันจะต้องรู้ให้ได้!”   -ดูไม่เห็นมีเหตุผลเพียงพอที่จะมาลองรับสมมุติฐานที่พวกเด้กๆจะคิดว่านั้นเป็นเรื่องที่น่าจะเกิดจาก...ยักษ์ร่วมมือกับอาจารย์ของเค้า...ไม่มีอะไรที่เป็นหลักฐานหรือเป็นแรงจูงใจได้เลย( ด้วยเนื้อเรื่องทั้งสามตอน)ซึ่งผมเข้าใจว่าผู้เขียนกำลังจำเข้าสู่เนื้อหาหลัก...แต่การให้อยู่ๆเนตรมณีเกิดประติประต่อเรื่องขึ้นมาในสมองได้เองราวกับว่ารู้ทุกเรื่องดีอยู่แล้ว...หรืออาจเป็นข้อสันนิฐานหรืออะไรก็แล้วแต่...อยากจะถามว่าเด็กพวกนี้เอาหลักฐานอะไรมาตั้งสมมุติฐาน( ก็แค่รอยเท้า...หลังคาแตก...แล้วก็ข่าวลือ...แล้วเอามาโยงว่าเรื่องนี้อาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรกับโรงเรียนี้รึเปล่า...ดูมันเลื่อนลอยครับไม่...เห็นจะดูหลักฐานอะไรเลย)

    จึงดูพล้อตของเรื่องมันตกไปครับในตอนนี้...มันแนบเนียนไม่พอจะทำให้เชื่อครับ





    \"จอร์แอนต้องมาห้ามทัพตามเคย\" -ใช้คำว่าตามเคยไม่ได้เพราะตามเนื้อเรื่องทั้งสี่ตอน...หนูและเนตรมณียังไม่เคยทะเลาะกันแล้วต้องให้จอร์แอนมาห้าม...

    ดังนั้นใช้ \"ตามเคย \" ไม่ได้ครับ



    \"     และหัวเบาจากภายนอกนั้น  แต่โดยเนื้อแท้แล้ว  เธอ \" -นึกภาพหัวเบาไม่ออกครับ( เข้าใจว่าคือหัวอ่อน)



    \" ผมเข้าใจว่าเวลาสิบห้านาทีนี่มันน้อยมากนะครับในความรุ้สึกของผม...แต่ผมก็คงให้อภัยได้เพราะมันเป็นแฟนตาซีอาจมีความเกินจริงไปบ้าง...ดังนั้นการที่วิ่งจากป่าด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งในเวลาแค่5นาทีนี่มันดูจะเกินไปนิด...และประเมินจากการเดินเอ้อละเหยและทักทายคุยกับคณุที่หน้าทางเข้าตึกอีกก็กินเวลาเกินสิบนาทีแล้ว( ผมว่านะ)มันเป็นความไม่สมจริงที่น่าเสียดายมากครับ



    \" อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากพุดถึงนั้นคือ...ผมไม่อยากจะนึกเลยว่าจะมีเด็กคนไหนจะซื่อสัตจ์ต่อคำสัญญาปากเปล่าได้เท่าสองสาวของเราไหมหนอ...และจะมีสักกี่คนที่พยามอยางที่สุดที่จะไป( ตามนัด)ในที่ที่ตนเองก็ไม่รุ้จักมาก่อน...รู้สึกมันน่าคิดไปหน่อยนะครับ...สำหรับควาตั้งใจที่ดูมากไปเสียหน่อยในตอนนี้





    \" แฟนตาซี\" ในความเข้าใจของผมนั้นหมายถึงเรื่องเหลือเชื่อที่เรานำมาร้อยเรื่องให้กลายเป็นเรื่องที่เราเชื่อได้..โดยมีฉากที่แสนจะพิศดารพันลึกและมีภูมิประเทศหรือความแปลกใหม่ที่นำเสนอในพื้นฐานของความจริงเป็นแนวทาง( ซึ่งก็อิงบางนิดหน่อย)....แต่ไม่ใช่เรื่องที่ดุจะเป็นการกระทำอะไรก็ได้ของตัวเอกที่นึกจะทำอะไรก็ได้ทำแบบไม่มีที่มาที่ไป...ซึ่งอย่างที่สองนี้ผมมองว่ามันไม่ใช่แฟนตาซีครับ.....ผมจึงเน้นเรื่องความสมจริงและความเป็นธรรมชาติของคำพุดและตัวละครมาก..เพราะผมเชื่อว่า...



    \" ถึงเค้าหรือเธอจะเกิดในดินแดนแบบไหน...มีวิวัฒนาการหรือสังคมแบบใดก็ตาม...เราก็ยังสามารถคาดเดาพฤติกรรมของเค้าเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำและไม่ยากเลย...เพราะเค้าก็ยังคงเป็นมนุษย์ย่อมมีคววามรู้สึกนึกคิด...และเลือกจะทำและไม่ทำอย่างเราๆเหมือนกันดังนั้นอย่าพยามทำให้เค้าทำอะไรแบบไร้อารมณ์และเหตุผลที่นึกจะทำอไรก็ทำ...ดูเหมือนมันจะผิดความหมายของคำว่า \"แฟนตาซี\" ไปมากครับ\"



    สุดท้ายนี้ผมเองขออกตัวอีกครั้งว่าทุกสิ่งที่ผมเขียนมานี้ก็เป็นเพียงข้อคิดเห็นที่อยากจะฝากให้ท่านมองอีกมุมหนึ่ง...จากมุมของผมที่เป็นคนอ่าน...และหวังอย่างยิ่งว่าเพื่อนทุกคนที่เข้ามาอ่านถึงบรรทัดนี้จะลองเข้าไปพิสูจน์ว่า...เรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ...เรียนเชิญที่ ttp://www.dek-d.com/entertain/viewlong.php?id=5152ครับ...และหากมีคำใดที่ผมกล่าวไปแล้วดูรุนแรงเกินไปขออภัยท่านผู้เขียนไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ...



                                                                                                                                                                                                   วานิช นิ่มสกุล



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×