ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดงมาร

    ลำดับตอนที่ #1 : “ …รอก่อนนะคะภูมิ...อรกำลังจะไปช่วยคุณแล้ว \"

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 46


                                                                            บทที่  1



                 ดวงจันทราในคืนเดือนหงายส่องแสงอ่อนแรงมาตั้งแต่หัวค่ำ…ถึงแม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลาใกล้ยามสามแล้วก็ตามที  แต่รัศมีและลำแสงของดวงจันทร์ก็ยังคงดูอ่อนแสงและมืดมัวอยู่เช่นเคย…แม้แต่แสงของดาวดวงน้อยก็ยังไร้รัศมีเจิดจ้าอย่างที่มันควรจะเป็น มันคือคืนเดือนหงายที่แลดูน่าวังเวงจนน่าใจหาย  

                หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ระเบียงนอกชานเรือน…นัยน์ตานั้นชุ่มโชกไปด้วยหยดน้ำที่เอ่อไหลเป็นทางอย่างไม่ขาดสาย…ดวงหน้าดูซีดเซียว พวงแก้มขาวเผือด หล่อนจ้องมองไปในความมืดเบื้องหน้านิ่งนาน คล้ายกับว่ากำลังค้นหาบางอย่างอยู่…แต่

               มันกลับกลายเป็นว่าหล่อนกำลังส่งคนคู่หนึ่งที่เดินห่างออกไปในความมืดด้วยหัวใจที่ราวกับว่าหลุดลอยตามคนทั้งสองไปด้วย…

                                  “  โชคดีนะ… ”  หล่อนสบถเพียงเท่านั้นก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปในตัวบ้าน… ถอดชุดคลุมบางเบา        สีขาวออกจากลำตัวแล้วพาดมันไว้บนเก้าอี้ใต้โต๊เครื่องแป้งที่อยู่ใกล้มือ…จากนั้นจึงนำเอาเสื้อเชิดรัดรูปสีดำที่วางพาดอยู่บนเตียงนอนคู่กับกางเกงผ้าฝ้ายเนื้อดีสีเดียวกันมาสวมทับชั้นในด้านบนและชั้นในด้านล่าง

              เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเป็นกระจกบานใหญ่กำลังสะท้อนภาพของหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ เธอเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าที่งดงาม…หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นเศร้าลึก รอบดวงตานั้นมีรอยคล้ำและชื้นแฉะ เจ้าตัวยกหลังมือขึ้นปาดหยาดน้ำตา…จับจ้องตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่หล่อนจะเริ่มบรรจงแต่งแต้มสีสันที่ดวงตาบวมช้ำคู่นั้นด้วยมือที่สั่นสะท้านหากแต่ว่า…เพียงครู่เดียวมือเรียวบางคู่นั้นก็คล่องแคล่วและมั่นคงขึ้น

             เพียงไม่นานใบหน้าที่ปรากฏอยู่บนกระจกเงาบานนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่แลดูสดสวยและสดใส มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ฉายแววชัดเจนว่าอิดโรยและอ่อนล้าเต็มที

                               “ ถึงเวลาของชั้นแล้วสินะ…รอก่อนนะคะภูมิ...อรกำลังจะไปช่วยคุณแล้ว \" หล่อนถอนหายใจยาวนานหลังเอ่ยคำนั้นจบ…และครู่ต่อมาหล่อนจึงชันกายขึ้นยืน…สบตาตนเองในกระจกเงา…ยิ้ม…แล้วจึงเปิดประตูก้าวออกไปจากห้องอย่างคนที่ไม่หวั่นกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว





                                                         ……………………………………………………………………

                                

                                       “ จวนเจียนยามสี่แล้วหรือนี่ …”  เกสรพึมพำบอกตนเองขณะที่นั่งอยู่บนรถประจำทาง ที่ขนส่งผู้โดยสารไปยังต่างเมืองด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน…หล่อนถอดถอนใจ…นึกไม่ชอบใจในความเชื่องช้าของยานพาหนะชนิดนี้ที่ตนโดยสารอยู่ ไม่ต่างจากผู้โดยสารคนอื่น...อื่นที่บ้างก็หลับสลับกับกลนเป็นระยะ  บ้างก็ลืมตาโพลงมองออกไปในความมืดนอกหน้าต่าง…ด้วยใจจดจ่ออยากให้ถึงจุดหมายที่ตนต้องการจะไปเสียที

              ส่วนตัวหล่อนเองแม้จักไม่ได้งีบหลับอย่างบางคนใกล้ๆตัว ขณะเดียวกันหล่อนก็มิไยกับความมืดภายนอกหน้าต่างบานใกล้ตัวของหล่อนนัก หากแต่หล่อนเองก็มีใจจดจ่อถึงจุดหมายที่ต้องการจะไปเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นเช่นกัน

              เสียงคำรามของเครื่องยนต์สามารถขับไล่ความสงัดของค่ำคืนได้เป็นอย่างดีในทุกแห่งที่มันแล่นผ่านไป หลายครั้งที่รถจอดรับและส่งผู้โดยสาร เสียงนั้นยิ่งทวีความดังขึ้นเป็นสองเท่า  เกสรคิดเองว่าเจ้าเสียงชนิดนี้ กับอาการโคลงเคลงไปมาของรถเวลาวิ่งบนถนนผิวขรุขระนี่เองที่อาจเป็นต้นเหตุของความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่หล่อนรู้สึกอยู่เนืองๆขณะนี้  หรือไม่…บางทีมันอาจเกิดจากเด็กชายวัยยังไม่ถึงขวบดีที่นอนหลับไม่รู้ภาษาอยู่บนตักของหล่อน   กับสัมภาระของเจ้าตัวน้อยก็เป็นได้ที่ทำให้หล่อนรู้สึกอ่อนเพลียได้ถึงขนาดนี้

                                       “ อรไว้ใจสรได้ใช่ไหม ”  น้ำเสียงที่แว่วมาในภวังค์มีกังวาลของความไม่แน่ใจและความกังวลอยู่ในที

               หล่อนถอนใจอีกครั้ง…ด้วยหล่อนเองก็ไม่แน่ใจนักว่าหล่อนจะทำได้อย่างที่รับปากกับอรอนงค์ผู้เป็นเพื่อนรักของหล่อนได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็หวังว่าสิ่งใดก็ตามที่ได้รับฟังมาจากอรอนงค์มันจะเป็นเพียงความหวาดระแวงไปเองของเพื่อน และความหวาดระแวงนั้นอาจไม่เกิดขึ้นจริงดังที่อรอนงค์คาดเดา หล่อนนึกเลยไปถึงพรุ่งนี้เช้าว่า อรอนงค์จะมาหาหล่อนที่บ้านอย่างปลอดภัยและนำตัวลูกชายของเธอกลับไปเลี้ยงดูตามเดิม

             เกสรก้มลงมองดูเด็กน้อยในอ้อมแขนของตนที่หลับตาพริ้ม…ไร้ห่วงไร้กังวล…ด้วยสายตาว่างเปล่า   ใบหน้าน้อยๆมีเค้าโครงละม้ายใครคนหนึ่งที่หล่อนเคยรู้จัก…เคยรักสุดหัวใจ…และ…ใครคนนั้นก็คือบิดาของเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าหล่อนนั้นเอง

            เกสรเสียววูบในจิตใจ…มันปวดแปลบและมีอนุภาพมากมาย… มากจนหล่อนเองต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงเคล้าก้อนเนื้อส่วนนั้นอย่างเบามือ เผื่อว่า…มันจะคลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง…หากแต่...เปล่าเลย

            หล่อนเมินหน้าเสียจากเด็กน้อยเบื้องหน้าอย่างคนที่ไม่อาจอดทนต่อความจริงข้อนี้ได้ หล่อนถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าหล่อนทนมองหน้าเด็กที่เกิดจากชายคนรักกับเพื่อนได้อย่างไร…และคำตอบที่หล่อนพอจะตอบได้ก็คือ   ทั้งคู่เหมาะสมกัน และที่มากกว่าสิ่งใดทั้งปวงก็คือ คนทั้งคู่รักและดีกับหล่อนมาตลอดอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

            เสียงเครื่องยนต์ยังคงดังอื้ออึงอยู่เช่นเดิม สลับกลับเสียงกระเป๋ารถตะโกนโวกเวกบอกปลายทางที่รถกำลังจะเข้าเทียบท่าในไม่ช้า เกสรหลับตาลงอย่างเชื่องช้าครู่หนึ่ง หล่อนนึกภาวนาในใจให้พรุ่งนี้เป็นวันดีๆที่จะมาถึง ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระ และโอบอุ้มเด็กชายอย่างเบามือ เพื่อกระทำการเดินทางตามเส้นทางต่อไป….

                                       “ ถึงซักที ”  หล่อนสบถอย่างโล่งใจเมื่อถึงจุดหมายโดยที่หล่อนไม่มีทางรู้เลยว่า

                    

                                                               “ เส้นทางชีวิตเส้นนั้น...มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ”

                                                        

                                                            ……………………………………………………………………

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×