ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รอก่อนนะคะภูมิ...อรกำลังจะไปช่วยคุณแล้ว \"
                                                                        บทที่  1
            ดวงจันทราในคืนเดือนหงายส่องแสงอ่อนแรงมาตั้งแต่หัวค่ำ ถึงแม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลาใกล้ยามสามแล้วก็ตามที  แต่รัศมีและลำแสงของดวงจันทร์ก็ยังคงดูอ่อนแสงและมืดมัวอยู่เช่นเคย แม้แต่แสงของดาวดวงน้อยก็ยังไร้รัศมีเจิดจ้าอย่างที่มันควรจะเป็น มันคือคืนเดือนหงายที่แลดูน่าวังเวงจนน่าใจหาย 
            หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ระเบียงนอกชานเรือน นัยน์ตานั้นชุ่มโชกไปด้วยหยดน้ำที่เอ่อไหลเป็นทางอย่างไม่ขาดสาย ดวงหน้าดูซีดเซียว พวงแก้มขาวเผือด หล่อนจ้องมองไปในความมืดเบื้องหน้านิ่งนาน คล้ายกับว่ากำลังค้นหาบางอย่างอยู่ แต่
          มันกลับกลายเป็นว่าหล่อนกำลังส่งคนคู่หนึ่งที่เดินห่างออกไปในความมืดด้วยหัวใจที่ราวกับว่าหลุดลอยตามคนทั้งสองไปด้วย
                              “  โชคดีนะ ”  หล่อนสบถเพียงเท่านั้นก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปในตัวบ้าน ถอดชุดคลุมบางเบา        สีขาวออกจากลำตัวแล้วพาดมันไว้บนเก้าอี้ใต้โต๊เครื่องแป้งที่อยู่ใกล้มือ จากนั้นจึงนำเอาเสื้อเชิดรัดรูปสีดำที่วางพาดอยู่บนเตียงนอนคู่กับกางเกงผ้าฝ้ายเนื้อดีสีเดียวกันมาสวมทับชั้นในด้านบนและชั้นในด้านล่าง
          เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเป็นกระจกบานใหญ่กำลังสะท้อนภาพของหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ เธอเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าที่งดงาม หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นเศร้าลึก รอบดวงตานั้นมีรอยคล้ำและชื้นแฉะ เจ้าตัวยกหลังมือขึ้นปาดหยาดน้ำตา จับจ้องตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่หล่อนจะเริ่มบรรจงแต่งแต้มสีสันที่ดวงตาบวมช้ำคู่นั้นด้วยมือที่สั่นสะท้านหากแต่ว่า เพียงครู่เดียวมือเรียวบางคู่นั้นก็คล่องแคล่วและมั่นคงขึ้น
        เพียงไม่นานใบหน้าที่ปรากฏอยู่บนกระจกเงาบานนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่แลดูสดสวยและสดใส มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ฉายแววชัดเจนว่าอิดโรยและอ่อนล้าเต็มที
                          “ ถึงเวลาของชั้นแล้วสินะ รอก่อนนะคะภูมิ...อรกำลังจะไปช่วยคุณแล้ว \" หล่อนถอนหายใจยาวนานหลังเอ่ยคำนั้นจบ และครู่ต่อมาหล่อนจึงชันกายขึ้นยืน สบตาตนเองในกระจกเงา ยิ้ม แล้วจึงเปิดประตูก้าวออกไปจากห้องอย่างคนที่ไม่หวั่นกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว
                                                   
                           
                                  “ จวนเจียนยามสี่แล้วหรือนี่ ”  เกสรพึมพำบอกตนเองขณะที่นั่งอยู่บนรถประจำทาง ที่ขนส่งผู้โดยสารไปยังต่างเมืองด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน หล่อนถอดถอนใจ นึกไม่ชอบใจในความเชื่องช้าของยานพาหนะชนิดนี้ที่ตนโดยสารอยู่ ไม่ต่างจากผู้โดยสารคนอื่น...อื่นที่บ้างก็หลับสลับกับกลนเป็นระยะ  บ้างก็ลืมตาโพลงมองออกไปในความมืดนอกหน้าต่าง ด้วยใจจดจ่ออยากให้ถึงจุดหมายที่ตนต้องการจะไปเสียที
          ส่วนตัวหล่อนเองแม้จักไม่ได้งีบหลับอย่างบางคนใกล้ๆตัว ขณะเดียวกันหล่อนก็มิไยกับความมืดภายนอกหน้าต่างบานใกล้ตัวของหล่อนนัก หากแต่หล่อนเองก็มีใจจดจ่อถึงจุดหมายที่ต้องการจะไปเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นเช่นกัน
          เสียงคำรามของเครื่องยนต์สามารถขับไล่ความสงัดของค่ำคืนได้เป็นอย่างดีในทุกแห่งที่มันแล่นผ่านไป หลายครั้งที่รถจอดรับและส่งผู้โดยสาร เสียงนั้นยิ่งทวีความดังขึ้นเป็นสองเท่า  เกสรคิดเองว่าเจ้าเสียงชนิดนี้ กับอาการโคลงเคลงไปมาของรถเวลาวิ่งบนถนนผิวขรุขระนี่เองที่อาจเป็นต้นเหตุของความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่หล่อนรู้สึกอยู่เนืองๆขณะนี้  หรือไม่ บางทีมันอาจเกิดจากเด็กชายวัยยังไม่ถึงขวบดีที่นอนหลับไม่รู้ภาษาอยู่บนตักของหล่อน  กับสัมภาระของเจ้าตัวน้อยก็เป็นได้ที่ทำให้หล่อนรู้สึกอ่อนเพลียได้ถึงขนาดนี้
                                  “ อรไว้ใจสรได้ใช่ไหม ”  น้ำเสียงที่แว่วมาในภวังค์มีกังวาลของความไม่แน่ใจและความกังวลอยู่ในที
          หล่อนถอนใจอีกครั้ง ด้วยหล่อนเองก็ไม่แน่ใจนักว่าหล่อนจะทำได้อย่างที่รับปากกับอรอนงค์ผู้เป็นเพื่อนรักของหล่อนได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็หวังว่าสิ่งใดก็ตามที่ได้รับฟังมาจากอรอนงค์มันจะเป็นเพียงความหวาดระแวงไปเองของเพื่อน และความหวาดระแวงนั้นอาจไม่เกิดขึ้นจริงดังที่อรอนงค์คาดเดา หล่อนนึกเลยไปถึงพรุ่งนี้เช้าว่า อรอนงค์จะมาหาหล่อนที่บ้านอย่างปลอดภัยและนำตัวลูกชายของเธอกลับไปเลี้ยงดูตามเดิม
        เกสรก้มลงมองดูเด็กน้อยในอ้อมแขนของตนที่หลับตาพริ้ม ไร้ห่วงไร้กังวล ด้วยสายตาว่างเปล่า  ใบหน้าน้อยๆมีเค้าโครงละม้ายใครคนหนึ่งที่หล่อนเคยรู้จัก เคยรักสุดหัวใจ และ ใครคนนั้นก็คือบิดาของเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าหล่อนนั้นเอง
        เกสรเสียววูบในจิตใจ มันปวดแปลบและมีอนุภาพมากมาย มากจนหล่อนเองต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงเคล้าก้อนเนื้อส่วนนั้นอย่างเบามือ เผื่อว่า มันจะคลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง หากแต่...เปล่าเลย
        หล่อนเมินหน้าเสียจากเด็กน้อยเบื้องหน้าอย่างคนที่ไม่อาจอดทนต่อความจริงข้อนี้ได้ หล่อนถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าหล่อนทนมองหน้าเด็กที่เกิดจากชายคนรักกับเพื่อนได้อย่างไร และคำตอบที่หล่อนพอจะตอบได้ก็คือ  ทั้งคู่เหมาะสมกัน และที่มากกว่าสิ่งใดทั้งปวงก็คือ คนทั้งคู่รักและดีกับหล่อนมาตลอดอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
        เสียงเครื่องยนต์ยังคงดังอื้ออึงอยู่เช่นเดิม สลับกลับเสียงกระเป๋ารถตะโกนโวกเวกบอกปลายทางที่รถกำลังจะเข้าเทียบท่าในไม่ช้า เกสรหลับตาลงอย่างเชื่องช้าครู่หนึ่ง หล่อนนึกภาวนาในใจให้พรุ่งนี้เป็นวันดีๆที่จะมาถึง ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระ และโอบอุ้มเด็กชายอย่างเบามือ เพื่อกระทำการเดินทางตามเส้นทางต่อไป .
                                  “ ถึงซักที ”  หล่อนสบถอย่างโล่งใจเมื่อถึงจุดหมายโดยที่หล่อนไม่มีทางรู้เลยว่า
               
                                                          “ เส้นทางชีวิตเส้นนั้น...มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ”
                                                   
                                                       
            ดวงจันทราในคืนเดือนหงายส่องแสงอ่อนแรงมาตั้งแต่หัวค่ำ ถึงแม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลาใกล้ยามสามแล้วก็ตามที  แต่รัศมีและลำแสงของดวงจันทร์ก็ยังคงดูอ่อนแสงและมืดมัวอยู่เช่นเคย แม้แต่แสงของดาวดวงน้อยก็ยังไร้รัศมีเจิดจ้าอย่างที่มันควรจะเป็น มันคือคืนเดือนหงายที่แลดูน่าวังเวงจนน่าใจหาย 
            หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ระเบียงนอกชานเรือน นัยน์ตานั้นชุ่มโชกไปด้วยหยดน้ำที่เอ่อไหลเป็นทางอย่างไม่ขาดสาย ดวงหน้าดูซีดเซียว พวงแก้มขาวเผือด หล่อนจ้องมองไปในความมืดเบื้องหน้านิ่งนาน คล้ายกับว่ากำลังค้นหาบางอย่างอยู่ แต่
          มันกลับกลายเป็นว่าหล่อนกำลังส่งคนคู่หนึ่งที่เดินห่างออกไปในความมืดด้วยหัวใจที่ราวกับว่าหลุดลอยตามคนทั้งสองไปด้วย
                              “  โชคดีนะ ”  หล่อนสบถเพียงเท่านั้นก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปในตัวบ้าน ถอดชุดคลุมบางเบา        สีขาวออกจากลำตัวแล้วพาดมันไว้บนเก้าอี้ใต้โต๊เครื่องแป้งที่อยู่ใกล้มือ จากนั้นจึงนำเอาเสื้อเชิดรัดรูปสีดำที่วางพาดอยู่บนเตียงนอนคู่กับกางเกงผ้าฝ้ายเนื้อดีสีเดียวกันมาสวมทับชั้นในด้านบนและชั้นในด้านล่าง
          เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเป็นกระจกบานใหญ่กำลังสะท้อนภาพของหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ เธอเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าที่งดงาม หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นเศร้าลึก รอบดวงตานั้นมีรอยคล้ำและชื้นแฉะ เจ้าตัวยกหลังมือขึ้นปาดหยาดน้ำตา จับจ้องตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่หล่อนจะเริ่มบรรจงแต่งแต้มสีสันที่ดวงตาบวมช้ำคู่นั้นด้วยมือที่สั่นสะท้านหากแต่ว่า เพียงครู่เดียวมือเรียวบางคู่นั้นก็คล่องแคล่วและมั่นคงขึ้น
        เพียงไม่นานใบหน้าที่ปรากฏอยู่บนกระจกเงาบานนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่แลดูสดสวยและสดใส มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ฉายแววชัดเจนว่าอิดโรยและอ่อนล้าเต็มที
                          “ ถึงเวลาของชั้นแล้วสินะ รอก่อนนะคะภูมิ...อรกำลังจะไปช่วยคุณแล้ว \" หล่อนถอนหายใจยาวนานหลังเอ่ยคำนั้นจบ และครู่ต่อมาหล่อนจึงชันกายขึ้นยืน สบตาตนเองในกระจกเงา ยิ้ม แล้วจึงเปิดประตูก้าวออกไปจากห้องอย่างคนที่ไม่หวั่นกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว
                                                   
                           
                                  “ จวนเจียนยามสี่แล้วหรือนี่ ”  เกสรพึมพำบอกตนเองขณะที่นั่งอยู่บนรถประจำทาง ที่ขนส่งผู้โดยสารไปยังต่างเมืองด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน หล่อนถอดถอนใจ นึกไม่ชอบใจในความเชื่องช้าของยานพาหนะชนิดนี้ที่ตนโดยสารอยู่ ไม่ต่างจากผู้โดยสารคนอื่น...อื่นที่บ้างก็หลับสลับกับกลนเป็นระยะ  บ้างก็ลืมตาโพลงมองออกไปในความมืดนอกหน้าต่าง ด้วยใจจดจ่ออยากให้ถึงจุดหมายที่ตนต้องการจะไปเสียที
          ส่วนตัวหล่อนเองแม้จักไม่ได้งีบหลับอย่างบางคนใกล้ๆตัว ขณะเดียวกันหล่อนก็มิไยกับความมืดภายนอกหน้าต่างบานใกล้ตัวของหล่อนนัก หากแต่หล่อนเองก็มีใจจดจ่อถึงจุดหมายที่ต้องการจะไปเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นเช่นกัน
          เสียงคำรามของเครื่องยนต์สามารถขับไล่ความสงัดของค่ำคืนได้เป็นอย่างดีในทุกแห่งที่มันแล่นผ่านไป หลายครั้งที่รถจอดรับและส่งผู้โดยสาร เสียงนั้นยิ่งทวีความดังขึ้นเป็นสองเท่า  เกสรคิดเองว่าเจ้าเสียงชนิดนี้ กับอาการโคลงเคลงไปมาของรถเวลาวิ่งบนถนนผิวขรุขระนี่เองที่อาจเป็นต้นเหตุของความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่หล่อนรู้สึกอยู่เนืองๆขณะนี้  หรือไม่ บางทีมันอาจเกิดจากเด็กชายวัยยังไม่ถึงขวบดีที่นอนหลับไม่รู้ภาษาอยู่บนตักของหล่อน  กับสัมภาระของเจ้าตัวน้อยก็เป็นได้ที่ทำให้หล่อนรู้สึกอ่อนเพลียได้ถึงขนาดนี้
                                  “ อรไว้ใจสรได้ใช่ไหม ”  น้ำเสียงที่แว่วมาในภวังค์มีกังวาลของความไม่แน่ใจและความกังวลอยู่ในที
          หล่อนถอนใจอีกครั้ง ด้วยหล่อนเองก็ไม่แน่ใจนักว่าหล่อนจะทำได้อย่างที่รับปากกับอรอนงค์ผู้เป็นเพื่อนรักของหล่อนได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็หวังว่าสิ่งใดก็ตามที่ได้รับฟังมาจากอรอนงค์มันจะเป็นเพียงความหวาดระแวงไปเองของเพื่อน และความหวาดระแวงนั้นอาจไม่เกิดขึ้นจริงดังที่อรอนงค์คาดเดา หล่อนนึกเลยไปถึงพรุ่งนี้เช้าว่า อรอนงค์จะมาหาหล่อนที่บ้านอย่างปลอดภัยและนำตัวลูกชายของเธอกลับไปเลี้ยงดูตามเดิม
        เกสรก้มลงมองดูเด็กน้อยในอ้อมแขนของตนที่หลับตาพริ้ม ไร้ห่วงไร้กังวล ด้วยสายตาว่างเปล่า  ใบหน้าน้อยๆมีเค้าโครงละม้ายใครคนหนึ่งที่หล่อนเคยรู้จัก เคยรักสุดหัวใจ และ ใครคนนั้นก็คือบิดาของเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าหล่อนนั้นเอง
        เกสรเสียววูบในจิตใจ มันปวดแปลบและมีอนุภาพมากมาย มากจนหล่อนเองต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงเคล้าก้อนเนื้อส่วนนั้นอย่างเบามือ เผื่อว่า มันจะคลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง หากแต่...เปล่าเลย
        หล่อนเมินหน้าเสียจากเด็กน้อยเบื้องหน้าอย่างคนที่ไม่อาจอดทนต่อความจริงข้อนี้ได้ หล่อนถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าหล่อนทนมองหน้าเด็กที่เกิดจากชายคนรักกับเพื่อนได้อย่างไร และคำตอบที่หล่อนพอจะตอบได้ก็คือ  ทั้งคู่เหมาะสมกัน และที่มากกว่าสิ่งใดทั้งปวงก็คือ คนทั้งคู่รักและดีกับหล่อนมาตลอดอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
        เสียงเครื่องยนต์ยังคงดังอื้ออึงอยู่เช่นเดิม สลับกลับเสียงกระเป๋ารถตะโกนโวกเวกบอกปลายทางที่รถกำลังจะเข้าเทียบท่าในไม่ช้า เกสรหลับตาลงอย่างเชื่องช้าครู่หนึ่ง หล่อนนึกภาวนาในใจให้พรุ่งนี้เป็นวันดีๆที่จะมาถึง ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระ และโอบอุ้มเด็กชายอย่างเบามือ เพื่อกระทำการเดินทางตามเส้นทางต่อไป .
                                  “ ถึงซักที ”  หล่อนสบถอย่างโล่งใจเมื่อถึงจุดหมายโดยที่หล่อนไม่มีทางรู้เลยว่า
               
                                                          “ เส้นทางชีวิตเส้นนั้น...มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ”
                                                   
                                                       
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น