ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ถ้าลงอ้ำอึ้งแบบนี้แสดงว่ายังไม่มีที่ไปหล่ะสิ
                                                                      บทที่  9
    เกสรพาหลานสาวของตนมาหยุดที่ร้านขายอาหารจานด่วนแห่งหนึ่ง ภายในร้านมีลูกค้าอยู่ไม่มากนักเนื่องด้วยเวลานี้เกินเที่ยงวันมานานพอควร
        “ อ้าวแม่คุณ ทานอะไรไหมจ๊ะเชิญด้านในก่อน ” หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมกล่าวเชื้อเชิญดังจากข้างใน
    ยังมิทันที่เกสรจะตัดสินใจอย่างไร นวลที่เดินตามมาก็สืบเท้าก้าวเข้าไปภายในตามคำเชื้อเชิญนั้นอย่างว่าง่าย
        “ นวล เดี๋ยว ” เกสรร้องเรียกพลางฉุดแขนเด็กสาวไว้
        “ ทำไมเล่าน้า ” นวลว่าพลางเดินเข้าไปในร้าน
        “ เราต้องหาน้ำร้อนให้น้องก่อนนะนวล ” เกสรว่า “ ดูก่อนสิลูกว่าเค้ามีหรือเปล่า ”
    ยังไม่ทันที่นวลจะตอบว่ากระไร หญิงร่างท้วมคนเดิมก็เดินเข้ามาหาพลางฉวยทัพไปอุ้มอย่างเอ็นดู
        “ เชิญข้างในก่อนสิค่ะดูท่าทางเด็กจะหิว ” นางพูดพลางพยักหน้ามาทางนวล
    เมื่อได้ยินเช่นนั้นเกสรถึงกับอึ้งไปที่ลืมหลานสาวของตนเองไปเสียสนิท หล่อนพิจารณาท่าทางของนวลอย่าละเอียดก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่หญิงแปลกหน้ากล่าวจึงเดินตามเข้าไปด้านในอย่างว่าง่าย
        “ เอาอะไรดีจ๊ะ ” หญิงคนเดิมเอ่ยถาม
        “ นวลเอา . ” นวลหยุดค้างไว้เท่านั้นเมื่อเห็นสายตาปรามอยู่ในทีของเกสร
        “ ขอโทษเถอะค่ะ..ดิชั้นว่าส่งเด็กมาดีกว่า รบกวนเปล่าๆ ” เกสรเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจเมื่อเห็นว่าหญิงวัยกลางคนช่วยอุ้มทัพอยู่นานแล้ว
        “ รบกงรบกวนอะไรกันค่ะ ทานอะไรก่อนเถอะเดี๋ยวชั้นช่วยดูแลลูกให้ คุณกับลูกสาวจะได้ทานอาหารได้อย่างสะดวก ”
    พวงแก้มของหญิงสาวแดงซ่านเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น หากแต่หล่อนก็นิ่งเสียไม่ตอบรับหรือปฏิเสท ในขณะที่นวลมองมาที่หล่อนพลางยกมือขึ้นบิดไปบิดมาราวกับจะแสดงให้รู้ว่าเด็กสาวหิวจนไส้จะขาดแล้วก็ไม่ปาน เกสรเองจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้สั่งอาหารมาทาน
   
                                             
                เกสรนั่งมองดูนวลที่ยังคงตักอาหารคำโตเข้าปากอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆอย่างสงสาร พลางถอดใจออกมาด้วยความละอายใจที่หล่อนเองไม่ได้ใส่ใจในตัวหลานสาวนัก ซึ่งอาจเกิดจากการที่หล่อนเองไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตร่วมกับใครนานๆบ่อยนักจึงลืมเวลากินของหลานไปเสียสนิท
        “ อิ่มกันแล้วรึ ” หญิงร่างท้วมเอ่ยถามขณะทรุดกายนั่งลงข้างเกสรพลางส่งทัพคืนให้หล่อน..เกสรจึงพรมมือขึ้นไหว้ก่อนรับเด็กชายมาอุ้ม
        “ ไม่ต้องไหว้ฉันดอก เสียมือเปล่าๆ แล้วนี่มาจากไหนกันเล่าไม่เคยเห็นมาก่อน ”
        “ มาจาก จาก ” เกสรติดขัดคำพูดเมื่อถูกซักถาม ด้วยไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไรดี
        “ กรุงเทพฯ ” นวลเอ่ยสั้นๆขณะที่ยังเคี้ยวข้าวเต็มปาก
        “ ฉันชื่อแจ่ม เป็นน้องของเจ้าของร้านนี้จ๊ะ ” แจ่มแนะนำด้วยคิดว่าอาการติดอ่างดังกล่าวของเกสรอาจมาจากการพูดคุยกับคนแปลกหน้า
        “ หนูชื่อนวลจ้ะ แล้วนั้นก็น้าเกสรกับน้องทัพธรรม ” นวลชิงบอกเสียเองเมื่อแลเห็นน้าสาวยังคงมีท่าทางลังเลที่จะแนะนำตัว
        “ อ้าวเป็นหลานหรอกรึแล้วก็ไม่บอก ทั้งสองคนเลยหรือ ” แจ่มหันไปถามนวลแทนอย่างนึกชอบใจในท่าทางของเด็กสาว
        “ คะ ” เกสรตอบเพียงสั้นเมื่อเริ่มสึกว่าตนเองเงียบจนผิดสังเกตุ
        “ โธ่ถัง แล้วก็ไม่บอก ” แจ่มหัวเราะออกมาเบาๆอย่างนึกขันที่เห็นสาวๆอย่างเกสรมีบุตรแล้วถึงสองคน
        “ แล้วจะไหนกันเล่านี่ หอบหิ้วของเสียมากมาย ท่าทางอย่างกับจะย้ายบ้าน ” หญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงอีกคนเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยโดยทรุดกายนั่งข้างนวลอย่างรู้สึกถูกชะตา
        “ นี่พี่เรไร..พี่สาวฉันเอง และก็เป็นเจ้าของร้านนี้ด้วย นี่แม่เกสรแล้วแม่เด็กช่างพูดนั้นก็นวล ” แจ่มเอ่ยแนะนำทั้งหมดให้รู้จักกัน
        “ ข้ารู้แล้ว เสียงนังคนนี้ดังไปถึงหน้าปากซอกโน้นเห็นจะได้ ” ผู้มาใหม่พูดพลางยิ้มให้นวลอย่างเอ็นดู “ ว่าแต่จะไปไหนกันหล่ะ ” นางย้อนถามประโยคเดิมอีกครั้ง
        “ ไป เอ่ อไป ”
        “ ถ้าลงอ้ำอึ้งแบบนี้แสดงว่ายังไม่มีที่ไปหล่ะสิ ” เรไรโพรงขึ้นอย่างนึกรำคาญ “ ถามจริงๆเถอะหนีใครมาหรือเปล่า ”
    เกสรได้ยินอย่างนั้นถึงกับหน้าถอดสีอย่างนึกกลัวว่าเรื่องที่หล่อนเลี่ยงที่จะพูดอาจต้องแพร่งพรายให้คนแปลกหน้าล่วงรู้ หล่อนมองหน้านวลอย่างนึกตำหนิในใจที่พาหล่อนเข้ามาอยู่สภาพเช่นนี้
        “ บอกเค้าไปเถอะน้า ไม่ถึงตายหรอก ” นวลกล่าวอย่างไม่เดียงสา
    เกสรได้แต่ก้มหน้าไม่รู้ว่าควรจะตอบคนแปลกหน้าทั้งสองว่าอย่างไร ในใจนั้นก็เริ่มตำหนินวลอีกครั้งที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงไปอีก
                                                   
    เกสรพาหลานสาวของตนมาหยุดที่ร้านขายอาหารจานด่วนแห่งหนึ่ง ภายในร้านมีลูกค้าอยู่ไม่มากนักเนื่องด้วยเวลานี้เกินเที่ยงวันมานานพอควร
        “ อ้าวแม่คุณ ทานอะไรไหมจ๊ะเชิญด้านในก่อน ” หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมกล่าวเชื้อเชิญดังจากข้างใน
    ยังมิทันที่เกสรจะตัดสินใจอย่างไร นวลที่เดินตามมาก็สืบเท้าก้าวเข้าไปภายในตามคำเชื้อเชิญนั้นอย่างว่าง่าย
        “ นวล เดี๋ยว ” เกสรร้องเรียกพลางฉุดแขนเด็กสาวไว้
        “ ทำไมเล่าน้า ” นวลว่าพลางเดินเข้าไปในร้าน
        “ เราต้องหาน้ำร้อนให้น้องก่อนนะนวล ” เกสรว่า “ ดูก่อนสิลูกว่าเค้ามีหรือเปล่า ”
    ยังไม่ทันที่นวลจะตอบว่ากระไร หญิงร่างท้วมคนเดิมก็เดินเข้ามาหาพลางฉวยทัพไปอุ้มอย่างเอ็นดู
        “ เชิญข้างในก่อนสิค่ะดูท่าทางเด็กจะหิว ” นางพูดพลางพยักหน้ามาทางนวล
    เมื่อได้ยินเช่นนั้นเกสรถึงกับอึ้งไปที่ลืมหลานสาวของตนเองไปเสียสนิท หล่อนพิจารณาท่าทางของนวลอย่าละเอียดก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่หญิงแปลกหน้ากล่าวจึงเดินตามเข้าไปด้านในอย่างว่าง่าย
        “ เอาอะไรดีจ๊ะ ” หญิงคนเดิมเอ่ยถาม
        “ นวลเอา . ” นวลหยุดค้างไว้เท่านั้นเมื่อเห็นสายตาปรามอยู่ในทีของเกสร
        “ ขอโทษเถอะค่ะ..ดิชั้นว่าส่งเด็กมาดีกว่า รบกวนเปล่าๆ ” เกสรเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจเมื่อเห็นว่าหญิงวัยกลางคนช่วยอุ้มทัพอยู่นานแล้ว
        “ รบกงรบกวนอะไรกันค่ะ ทานอะไรก่อนเถอะเดี๋ยวชั้นช่วยดูแลลูกให้ คุณกับลูกสาวจะได้ทานอาหารได้อย่างสะดวก ”
    พวงแก้มของหญิงสาวแดงซ่านเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น หากแต่หล่อนก็นิ่งเสียไม่ตอบรับหรือปฏิเสท ในขณะที่นวลมองมาที่หล่อนพลางยกมือขึ้นบิดไปบิดมาราวกับจะแสดงให้รู้ว่าเด็กสาวหิวจนไส้จะขาดแล้วก็ไม่ปาน เกสรเองจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้สั่งอาหารมาทาน
   
                                             
                เกสรนั่งมองดูนวลที่ยังคงตักอาหารคำโตเข้าปากอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆอย่างสงสาร พลางถอดใจออกมาด้วยความละอายใจที่หล่อนเองไม่ได้ใส่ใจในตัวหลานสาวนัก ซึ่งอาจเกิดจากการที่หล่อนเองไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตร่วมกับใครนานๆบ่อยนักจึงลืมเวลากินของหลานไปเสียสนิท
        “ อิ่มกันแล้วรึ ” หญิงร่างท้วมเอ่ยถามขณะทรุดกายนั่งลงข้างเกสรพลางส่งทัพคืนให้หล่อน..เกสรจึงพรมมือขึ้นไหว้ก่อนรับเด็กชายมาอุ้ม
        “ ไม่ต้องไหว้ฉันดอก เสียมือเปล่าๆ แล้วนี่มาจากไหนกันเล่าไม่เคยเห็นมาก่อน ”
        “ มาจาก จาก ” เกสรติดขัดคำพูดเมื่อถูกซักถาม ด้วยไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไรดี
        “ กรุงเทพฯ ” นวลเอ่ยสั้นๆขณะที่ยังเคี้ยวข้าวเต็มปาก
        “ ฉันชื่อแจ่ม เป็นน้องของเจ้าของร้านนี้จ๊ะ ” แจ่มแนะนำด้วยคิดว่าอาการติดอ่างดังกล่าวของเกสรอาจมาจากการพูดคุยกับคนแปลกหน้า
        “ หนูชื่อนวลจ้ะ แล้วนั้นก็น้าเกสรกับน้องทัพธรรม ” นวลชิงบอกเสียเองเมื่อแลเห็นน้าสาวยังคงมีท่าทางลังเลที่จะแนะนำตัว
        “ อ้าวเป็นหลานหรอกรึแล้วก็ไม่บอก ทั้งสองคนเลยหรือ ” แจ่มหันไปถามนวลแทนอย่างนึกชอบใจในท่าทางของเด็กสาว
        “ คะ ” เกสรตอบเพียงสั้นเมื่อเริ่มสึกว่าตนเองเงียบจนผิดสังเกตุ
        “ โธ่ถัง แล้วก็ไม่บอก ” แจ่มหัวเราะออกมาเบาๆอย่างนึกขันที่เห็นสาวๆอย่างเกสรมีบุตรแล้วถึงสองคน
        “ แล้วจะไหนกันเล่านี่ หอบหิ้วของเสียมากมาย ท่าทางอย่างกับจะย้ายบ้าน ” หญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงอีกคนเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยโดยทรุดกายนั่งข้างนวลอย่างรู้สึกถูกชะตา
        “ นี่พี่เรไร..พี่สาวฉันเอง และก็เป็นเจ้าของร้านนี้ด้วย นี่แม่เกสรแล้วแม่เด็กช่างพูดนั้นก็นวล ” แจ่มเอ่ยแนะนำทั้งหมดให้รู้จักกัน
        “ ข้ารู้แล้ว เสียงนังคนนี้ดังไปถึงหน้าปากซอกโน้นเห็นจะได้ ” ผู้มาใหม่พูดพลางยิ้มให้นวลอย่างเอ็นดู “ ว่าแต่จะไปไหนกันหล่ะ ” นางย้อนถามประโยคเดิมอีกครั้ง
        “ ไป เอ่ อไป ”
        “ ถ้าลงอ้ำอึ้งแบบนี้แสดงว่ายังไม่มีที่ไปหล่ะสิ ” เรไรโพรงขึ้นอย่างนึกรำคาญ “ ถามจริงๆเถอะหนีใครมาหรือเปล่า ”
    เกสรได้ยินอย่างนั้นถึงกับหน้าถอดสีอย่างนึกกลัวว่าเรื่องที่หล่อนเลี่ยงที่จะพูดอาจต้องแพร่งพรายให้คนแปลกหน้าล่วงรู้ หล่อนมองหน้านวลอย่างนึกตำหนิในใจที่พาหล่อนเข้ามาอยู่สภาพเช่นนี้
        “ บอกเค้าไปเถอะน้า ไม่ถึงตายหรอก ” นวลกล่าวอย่างไม่เดียงสา
    เกสรได้แต่ก้มหน้าไม่รู้ว่าควรจะตอบคนแปลกหน้าทั้งสองว่าอย่างไร ในใจนั้นก็เริ่มตำหนินวลอีกครั้งที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงไปอีก
                                                   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น