คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่่ 1 - 1 จุดเริ่มต้นของการหย่า 1
เดิมทีแพรพรรณไม่เคยต้องการที่จะหย่ากับภูธวินเลยสักครั้ง
ทั้งเธอและเขาเคยมีอดีตที่แสนหวานชื่นร่วมกัน ในยามที่เธอเหงาและไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ ก็มีเขาที่คอยกล่าวคำหวาน ๆ ปลอบใจให้เธอคลายความทุกข์เสมอ ตอนนั้นแพรพรรณไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของภูธวินคืออะไร เขาเข้าหาเธอเพราะเหตุผลใด ด้วยเพราะช่วงเวลานั้นเธอกำลังโดดเดี่ยวและเคว้งคว้างอย่างถึงที่สุด เมื่อมีเขาเข้ามาทุกสิ่งทุกอย่างที่แย่ลงก็กลายเป็นว่าเริ่มดีขึ้นมาบ้าง
อันที่จริงชีวิตของแพรพรรณไม่ได้ดีมาตั้งแต่เด็ก เธอทราบแค่ว่ามารดาถูกคุณตาขับออกจากตระกูลวรไพโรจน์ เพราะแม่นั้นมารักมาชอบกับคุณพ่อของเธอที่เป็นเจ้าของไร่ธรรมดา ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก หม่อมราชวงศ์วรพจน์ได้ขับไล่หม่อมหลวงอรไพลิน ซึ่งเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของแพรพรรณออกจากวงศ์ตระกูล โดยไม่รู้เลยว่าตอนนั้นหม่อมหลวงอรไพลินกำลังตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนกว่า ๆ
หลังจากมาอยู่ที่เชียงรายได้ไม่นานนัก ประมาณเกือบเจ็ดปี บิดาของแพรพรรณก็ด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุทางถนน แม้ว่าตอนนั้นทั้งทีมแพทย์และพยาบาลจะพยายามยื้อชีวิตกันอย่างสุดความสามารถก็ตาม ทว่าสุดท้ายมัจจุราชก็พรากสุรเดช บิดาของแพรพรรณไปตลอดกาล
ตอนนั้นชีวิตของเธอกับหม่อมหลวงอรไพลินเริ่มเคว้งคว้าง ทว่ามารดาก็ไม่ท้อถอยที่จะทำงานหาเงินมาเพื่อส่งเสียแพรพรรณที่เริ่มเติบโตขึ้นทุกวัน จนกระทั่งถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่หก เธอตัดสินใจว่าจะสอบชิงทุนเข้าศึกษาต่อคณะทันตแพทยศาสตร์ เนื่องจากเธอมีความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากจะเป็นทันตแพทย์และเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของเชียงราย
แต่ความฝันของเธอนั้นกลับมาพร้อมความโชคร้าย
เมื่ออรไพลินมารดาถูกจับตัวไปในคืนหนึ่ง... คืนที่เธอได้ดูผลสอบว่าสอบติดมหาวิทยาลัยรัฐที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด
‘แม่!’ นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เธอตะโกนก้องเรียกมารดา เห็นอรไพลินหันมาแวบหนึ่ง ก่อนจะถูกกลุ่มชายฉกรรจ์พาตัวขึ้นรถคันสีดำ ขับหายไปในความมืด
ในความโชคดีนั้นมีความโชคร้าย เมื่อมารดาถูกจับไป เธอเข้าไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรประจำอำเภอ พยายามสืบหาเบาะแสการหายตัวไปของผู้เป็นแม่ ทว่ากลับไร้ความเคลื่อนไหวจนเธอท้อและหันกลับมาสนใจการเรียนของตนเองต่อ หากว่าเธอประสบความสำเร็จคงจะสามารถตามสืบเรื่องของผู้เป็นแม่ได้สักวัน
เสียงกริ่งดังขึ้นไปทั่วโรงอาหารคณะทันตแพทยศาสตร์
แพรพรรณซึ่งชวนศลิษาที่ในขณะนั้นเพิ่งสอบเนติบัณฑิต[1]
จบ ได้มาร่วมรับประทานอาหารกับแพรพรรณที่ปีนี้กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการศึกษาในปีที่หก หรือกำลังจะจบการขึ้นวอร์ดของนักศึกษาทันตแพทย์นั่นเอง
‘ปีสุดท้ายของแกแล้วสิพราว แกยื่นขอทุนสมัครเรียนต่อโทหรือยัง’ ศลิษาถามหลังจากที่เคี้ยวข้าวขาหมูเสร็จ
‘ปีนี้ฉันยื่นขอทุนไปศึกษาต่อที่โปแลนด์น่ะ แต่ว่ามีคนได้ไปก่อน ฉันเลยชวดไปน่ะ’ แพรพรรณเอ่ยอย่างแสนเสียดาย แต่ว่าคนที่ได้ทุนไปนั้นคือคนที่มีฐานะกว่าตน หากว่าปีนี้โควต้าของมหาวิทยาลัยเต็มแล้ว เธอก็ต้องรออีกหนึ่งถึงสองปีเพื่อขอยื่นทุนอีกครั้ง
แพรพรรณใช้เวลาเกือบหลายปีเพื่อเตรียมตัวในการสอบชิงทุนครั้งนี้ ทว่าสุดท้ายแล้วคนที่ตัดสิทธิ์ของเธอไปคือลลินทิพย์ พิพัฒน์ไพบูลย์ นักศึกษาทันตแพทย์ซึ่งเป็นลูกสาวของคณะบดีมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ลำพังเธออยากจะใช้เงินมรดกที่บิดามอบให้ไว้ก่อนจะสิ้นชีวิต แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อนำมาคำนวณรวมกับค่าใช้จ่ายตลอดเวลาที่อยู่ต่างประเทศ รวมถึงค่าจิปาถะและค่าบำรุงการศึกษาต่าง ๆ ล้วนแต่หลักล้านบาททั้งนั้น ดังนั้นมีทางเดียวคือการสอบขอชิงทุนการศึกษา ซึ่งในแต่ละปีจะมีมหาวิทยาลัยชั้นนำจากต่างประเทศเปิดสอบนักเรียนทุนต่างชาติ โดยนอกจากนี้จะต้องมีการทดสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาหรือไอเอลส์ (IELTS)[2]
และนำผลคะแนนนั้นมารวมกับระบบการสอบโทอิก[3] เมื่อได้ผลคะแนนรวมระดับสูง ก็ยิ่งมีโควต้าในการเข้ามหาวิทยาลัยระดับโลกได้มากขึ้น ซึ่งผลการสอบชิงทุนในครั้งนี้มีเพียงแพรพรรณที่ทำคะแนนได้สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของภาคเหนือ ส่วนลลินทิพย์ ทำคะแนนสอบได้เป็นอันดับสอง นั่นหมายถึงเธอจะหมดสิทธิ์ในทุนนี้ที่มีเพียงโควต้าเดียว
แต่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเธอที่ต้องเสียสละทุนนั้นให้กับลลินทิพย์ เพราะความต้องการของคณะบดีที่ต้องการให้ลูกสาวเชิดหน้าชูตาวงษ์ตระกูล
“อาจารย์อยากให้เธอมองเห็นอนาคตไกล ๆ นะแพรพรรณ ยอมสละทุนนี้ให้ลลินเขาเถอะ” แม้ว่าลึก ๆ คณะบดีจะมีความเห็นใจต่อแพรพรรณอยู่ไม่น้อยที่ต้องยอมเสียสละความพยายามที่ทุ่มเทมาทั้งหมด
“แต่หนูพยายามมาตลอด จนวันนี้หนูทำได้ แล้วทำไม...”
คณะบดีมองแพรพรรณด้วยสายตากดดัน “เธอก็รู้ว่าสามีฉันเป็นผู้ให้ทุนทรัพย์บำรุงมหาวิทยาลัยเรามากมาย แม้อาจารย์อยากช่วยเธอ แต่ลูกของอาจารย์ก็สำคัญเหมือนกัน”
ในใจของแพรพรรณอยากจะแย้งเหลือเกินว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหากว่าลลินทิพย์สอบได้ที่หนึ่งด้วยตนเอง เธอคงไม่คัดค้าน แต่ว่าผลการสอบออกมาเป็นแบบนี้ แพรพรรณได้รับทุนการศึกษาเพียงคนเดียวของภาคเหนือ มันควรเป็นเธอที่ได้รับสิทธิ์นั้นโดยชอบธรรม
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าครอบครัวของลลินทิพย์ร่ำรวยมากแค่ไหน อีกฝ่ายมีคุณพ่อที่เป็นถึงข้าราชการระดับผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีใครกล้ามีปัญหาด้วย อีกทั้งตระกูลพิพัฒน์ไพบูลย์ยังทำธุรกิจมากมาย แม้จะไม่ร่ำรวยเทียบเท่ามหาเศรษฐีของเมืองไทย แต่นับว่าเป็นวงษ์ตระกูลที่ไม่น้อยหน้าในเรื่องของชื่อเสียงและเกียรติยศ
“อาจารย์ก็อยากให้เธอได้ทุนนี้ แต่มันสำคัญกับลูกของอาจารย์มากจริง ๆ เพราะฉะนั้นเธอช่วยอาจารย์หน่อยเถอะนะ” คณะบดีกุมมือแพรพรรณเป็นการร้องขอ
“หนูไม่มีทางเลือกสินะคะ ถึงยังไงอาจารย์คงต้องทำทุกวิถีทางให้ลลินทิพย์ได้ทุนนี้ที่เป็นของหนูอยู่ดี” แพรพรรณเติบโตมาตัวคนเดียว เธอไม่มีใครเป็นที่พึ่ง นอกจากบ้านหลังเล็ก ๆ ของบิดาและไร่แสนรักที่ทิ้งเอาไว้ให้เธอเป็นมรดกเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เธอเติบโตมาโดยไร้ที่พึ่ง และการที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐแห่งนี้ได้ ก็เพราะส่วนหนึ่งมีคณะบดีท่านนี้คอยสนับสนุนให้เธอเข้ามาได้
หากเธอไม่ยอมเสียสละทุนนี้ หญิงสูงวัยตรงหน้าซึ่งมีชื่อว่า ‘ฐิตาพร’ คงต้องหาทางกล่าวอ้างบุญคุณที่ไม่มีสิ้นสุดอีก
อาจารย์ฐิตาพรเผยรอยยิ้มพึงใจอย่างเก็บไม่อยู่ หญิงสูงวัยคลายมือออกจากฝ่ามือของแพรพรรณ “แสดงว่าเธอยอมสละทุนนี้ให้ลูกสาวอาจารย์แล้วสินะ”
“ค่ะ” แพรพรรณยืดอกตอบทั้ง ๆ ที่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความผิดหวัง
ทันตแพทย์หญิงฐิตาพร พิพัฒน์ไพบูลย์ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งต่อหน้าแพรพรรณ ซึ่งในเนื้อหานั้นระบุข้อความเกี่ยวกับการขอสละสิทธิ์ในทุนการศึกษาต่อที่โปแลนด์ แพรพรรณจับปากกาที่สีน้ำเงินอันมีราคาบรรจงลงลายเซ็นต์ของเธอในกระดาษแผ่นนั้นอย่างจำใจ
“อาจารย์ขอบคุณเธอมากนะแพรพรรณ ตอนนี้เป็นปีสุดท้ายที่เธอต้องขึ้นวอร์ดแล้ว หากเธอสำเร็จการศึกษาและอยากหาทุนศึกษาต่อเฉพาะทาง เธอมาหาอาจารย์ได้ทุกเมื่อนะ ขอบใจเธอมากจริง ๆ” ฐิตาพรใช้วาจาปากปราศรัยกับแพรพรรณ แต่หญิงสาวรู้ว่าลึก ๆ แล้วอีกฝ่ายก็แค่คนน้ำใจเชือดคอผู้หนึ่งเท่านั้น
แค่การกระทำที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของลลินทิพย์ในวันนี้ ก็แสดงให้ชัดเจนแล้วว่าคนตระกูลพิพัฒน์ไพบูลย์ต้องการทำทุกอย่างเพื่อความเป็นที่หนึ่งและอยู่เหนือใคร
“ค่ะ” แพรพรรณตอบรับสั้น ๆ จากนั้นเธอจึงเดินออกมาจากห้องสำนักงานคณะบดีอย่างเศร้าใจ
[1] วุฒิทางการศึกษาที่สูงกว่าระดับปริญญาตรีของคณะนิติศาสตร์ ซึ่งจะเน้นการนำบทกฎหมายและคำพิพากษาศาลฎีกาในประยุกต์ เพื่อใช้ในการประกอบวิชาชีพ เช่น ทนายความ ผู้พิพากษา อัยการและตำรวจ เป็นต้น โดยการสอบนั้นจำเป็นต้องจบการศึกษาระดับนิติศาสตร์บัณฑิตมาก่อน โดยไม่มีการจำกัดเกรดเฉลี่ยในการสมัคร โดยมีระยะเวลาการสอบให้ผ่านภายใน 1 ปี
[2] ย่อมาจาก International English language Testing System การวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษสำหรับผู้สนใจทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่สนใจไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ โดยการสอบจะครอบคลุมทั้งหมด 4 ทักษะคือฟัง พูด อ่านและเขียน โดยผลการสอบจะนำมาวัดเป็น 9 ระดับ ระดับ 1 คือไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลยและระดับ 9 คือระดับฟัง พูด อ่านและเขียน ได้อย่างดีเยี่ยม
[3] TOEIC ย่อมาจาก Test of English for International Communication เป็นการสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ต้องการสมัครงาน นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า โทอิก โดยการทดสอบจะเน้นการฟังและการอ่านเป็นหลัก คือมีข้อสอบปรนัย แบ่งเป็น การฟัง 100 ข้อ 495 คะแนน และ การอ่าน 100 ข้อ 495 คะแนน รวมจำนวนข้อสอบทั้งสิ้น 200 ข้อ คะแนนเต็ม 990 คะแนน แต่ปัจจุบันนี้แบ่งเป็น TOEIC Listening and Reading Test (การฟังและการอ่าน) และ TOEIC Speaking and Writing Tests (การพูดและการฟัง) ซึ่ง TOEIC ใช้สำหรับยื่นร่วมกับใบสมัครงานใน งานการบิน งานโรงแรม งานท่องเที่ยว งานขนส่ง งานการเงิน ปิโตรเคมี ยานยนต์ โรงพยาบาล รวมทั้งบริษัทข้ามชาติ รวมไปถึงบริษัทเอกชนอื่น ๆ
ความคิดเห็น