ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลลวงร้าย อุบายรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 8 มิ.ย. 67


    สำนักงานเขตแห่งหนึ่ง กรุงเทพมหานคร

              เอกสารจำนวนสองฉบับซึ่งมีตราครุฑพ่าห์[1] เด่นหราอยู่ข้างบนตรงกลางกระดาษ ด้านล่างถัดมานั้นมีข้อความระบุว่า ‘ใบสำคัญการหย่า’  ระบุด้วยตัวอักษรหนาเข้ม ‘แพรพรรณ’ มองข้อความตัวหนานั้นซึ่งมีลายเซ็นต์ของสามีเธอ ‘ภูธวิน อัครพงษ์’ ปรากฏอยู่เด่นชัด พร้อมกับพยานในการเซ็นต์เอกสารหย่าครั้งนี้สองคนคือภวิตาและภาวิณี อัครพงษ์

              ภูธวินยื่นเอกสารสองฉบับมาตรงหน้าแพรพรรณ “เซ็นต์ซะพราว”

              คำพูดที่ไร้เยื่อใยของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี กรีดเฉือนหัวใจของแพรพรรณให้เจ็บปวด เธอพยายามฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลรินออกมาต่อหน้าเขา ฝ่ามืออันสั่นเทาพยายามจับปากกาให้มั่นเมื่อหวนคิดถึงช่วงเวลาอันหวานชื่นที่มีร่วมกัน จากนั้นจึงค่อย ๆ บรรจงเซ็นต์ชื่อของตนเองบนเอกสารสองฉบับอย่างจำใจ

              ภูธวินและภาวิณียิ้มร่า เมื่อเอกสารนั้นถูกลงนามอย่างสมบูรณ์แล้ว มารดาของสามีอย่างคุณภาวิณีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสดงความยินดีออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ในที่สุดตาภูของแม่ก็จะได้หลุดพ้นจากผู้หญิงแบบนี้สักที”

              เจ้าหน้าที่ผู้หญิงของสำนักงานเขตมองแพรพรรณอย่างเห็นใจ เธอกล่าวว่ “เอกสารฉบับนี้คุณแพรพรรณและคุณภูธวินเก็บไว้นะคะ หากในอนาคตมีการทำธุรกรรมใด ๆ ก็ตาม เอกสารฉบับนี้ต้องนำมายื่นประกอบการพิจารณาทุกครั้งค่ะ”

              “แล้วลูกชายดิฉันจะจดทะเบียนสมรสใหม่อีกครั้งได้เมื่อใดคะ” คุณภาวิณีถามเจ้าหน้าที่สำนักงานเขต

              “คุณผู้ชายก็จดได้เลยค่ะ ส่วนคุณผู้หญิงต้องรอให้ครบสามร้อยสิบวันตามกฎหมายนะคะ แล้ว...พวกคุณทั้งคู่มีสินสมรส[2]ร่วมกันไหมคะ”

              “มีค่ะ/มีครับ” ทั้งสองตอบพร้อมกัน

              แพรพรรณพูดแทรกขึ้นมาว่า “แต่ว่าดิฉันจะไม่ขอแบ่งทรัพย์สินในตอนนี้ เพราะทรัพย์สินบางอย่างที่เป็นสินสมรส มาด้วยเงินของดิฉันทั้งนั้น...ไม่สมควรถูกแบ่งให้ใครค่ะ”

              “ดูสิ หย่าแล้วยังใจจืดใจดำหวงแหนทรัพย์สินที่หาร่วมกันมากับลูกชายของฉันอีก ผู้หญิงหยำฉ่า”

              แพรพรรณพยายามสูดลมหายใจอดกลั้นต่อคำด่าทอของภาวิณี เธอกล่าวกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตขึ้นมาว่า “รบกวนสลักด้านหลังเอกสารนะคะ สินสมรสและทรัพย์สินมรดกที่เกิดขึ้นหลังสมรส ดิฉันขอยื่นอำนาจต่อศาลค่ะ”

              แพรพรรณกล่าวด้วยความมั่นใจ เธอหันไปมองศลิษา ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนสนิทและทนายความของเธอในวันนี้

              “แต่สินทรัพย์ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากเราจดทะเบียนกันนะพราว ต่อให้คุณไม่อยากแบ่งแต่คุณก็ต้องแบ่ง...” ภูธวินกล่าว สีหน้าของเขาตอนนี้คล้ายโมโหจนเลือดขึ้นหน้าเมื่อว่าที่อดีตภรรยา ยังไม่ยอมแบ่งสินสมรสให้ตนครึ่งหนึ่งตามกฎหมาย

              ในที่สุดศลิษาซึ่งเป็นทนายความทางฝั่งของแพรพรรณเอ่ยขึ้นมาว่า “แม้ว่ามาตรา ๑๕๓๓ จะกำหนดไว้ว่าให้แบ่งสินสมรสเท่ากัน แต่หากสืบทรัพย์ได้ว่าทรัพย์สินบางส่วน กิจการโรงแรมที่พวกคุณเป็นเจ้าของร่วมกัน มีพราวเป็นเจ้าของที่ดินมาก่อน กรณีนี้พราวสามารถเรียกที่ดินผืนนั้นว่าเป็นทรัพย์มรดกส่วนตน พราวสามารถเรียกร้องกลับคืนมาได้”

              แพรพรรณมองอดีตสามีด้วยสายตาเรียบนิ่ง เธอหันมากล่าวกับเจ้าหน้าที่เขตว่า “ในส่วนที่เป็นกิจการโรงแรมและธุรกิจรีสอร์ต ฉันยินดีหารครึ่งค่ะ แต่ว่าที่ดินที่เขาใช้สร้างธุรกิจนั้นเป็นพินัยกรรมที่คุณพ่อยกให้ฉันทั้งหมด เกิดขึ้นก่อนการสมรส ที่ดินผืนนี้จะเป็นของดิฉันดังเดิมค่ะ”

              เจ้าหน้าที่สำนักงานมองหน้ากันด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนที่เจ้าหน้าที่คนเดิมจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าเช่นนั้นทางเราจะแนะนำให้พวกคุณแจ้งความจำนงต่อศาล ให้ยื่นพิทักษ์ทรัพย์ในส่วนของตน...”

              “ทำไมต้องยื่นต่อศาลให้ยุ่งยากคะ ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นเจ้าของร่วมกัน แล้วทำไม...” คุณภาวิณีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงโวยวายจนกลายเป็นจุดสนใจของประชาชนที่เข้ามาใช้บริการสำนักงานเขตแห่งนี้

              “พอเถอะครับคุณแม่” ภูธวินปรามมารดาด้วยน้ำเสียงและสายตา เขาเองก็พอมีลู่ทางบังคับให้แพรพรรณยอมจำนนแบ่งที่ดินผืนนี้ให้เป็นมรดกของเขาได้ไม่ยากอยู่แล้ว

              “ถ้าจบเรื่องแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ ไปกันเถอะษา” แพรพรรณกล่าวกับศลิษา จากนั้นพวกเธอจึงลุกเดินออกจากสำนักงานเขตไปพร้อมกับเอกสารใบสำคัญการหย่า เช่นเดียวกับภูธวินที่ออกมาพร้อมกับภาวิณีและภวิตา

              เมื่อก้าวพ้นออกมานอกสำนักงานเขตแล้ว ภวิตาอดหัวเสียไม่ได้เมื่อนึกถึงสิ่งที่พี่สะใภ้แสนงี่เง่าของเธอทำ “แค่ที่ดินผืนเดียว ยัยคนนี้จะอะไรนักหนานะ แค่ยอมแบ่งเป็นสินสมรส ทั้งเธอและพี่ก็ไม่เสียผลประโยชน์อะไรสักหน่อย ยังจะทำให้เรื่องยุ่งยากอีก”

              ภวิตากอดอกกล่าว น้ำเสียงของเธอไม่ชวนฟังอย่างยิ่ง

              ภูธวินถอนหายใจ ภาวิณีเองก็ไม่มีทางยอมเช่นกัน “ใช่ตาภู เมียเก่าแกนี่นะ ดื้อก็ดื้อ แถมยังมาหวงทรัพย์สินที่สร้างมาด้วยกันอีก ยัยนี่นะ ต่อไปนี้ต้องไม่ตายดีแน่นอน เนรคุณต่อแม่ผัวตัวเองแบบนี้”

              ภาวิณีเองก็ยอมรับว่านางไม่ใช่แม่สามีที่ดีนัก ออกจะตามใจลูกชายและทะเลาะจิกกัดกับลูกสะใภ้ตลอดเวลาด้วยซ้ำ แพรพรรณเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ยากจะควบคุมให้อยู่ในโอวาท อีกทั้งยังไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้ ก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่ภาวิณีเห็นว่าแพรพรรณจะเป็นสะใภ้ตระกูลอัครพงษ์ต่อ

              แพรพรรณที่ได้ยินเสียงด่าทอของภาวิณีตามไล่หลังมา ลึก ๆ เธอรู้สึกเจ็บอยู่ในอกไม่น้อย หากวันนี้ไม่มีศลิษามาเป็นเพื่อน เธออาจจะเจ็บช้ำจนไม่อาจจบเรื่องราวในวันนี้ได้

              “แกอย่าไปคิดมากนะพราว ผู้ชายอย่างเจ้านั่นน่ะมีถมเถไป แต่คนที่ซื่อสัตย์และจะเป็นคู่ชีวิตของเรา มันต้องใช้เวลากว่าจะเจอกัน”

              “ษา ฉันอยากกลับบ้านน่ะ แกไปส่งฉันที่บ้านก่อนนะ” แพรพรรณเอ่ยกับศลิษาแกมร้องขอ ซึ่งอีกฝ่ายที่เป็นทนายย่อมไม่เคยปฏิเสธ ยามนี้สถานการณ์ของแพรพรรณเหมือนเรือที่รอวันจมลงสู่แม่น้ำ หากไม่มีเรือที่ดีอย่างศลิษาคอยช่วยเหลือ บางทีเธออาจจะจบชีวิตที่สะพานพุทธฯ แล้ว

              “ได้ แต่ฉันขอบอกแกอีกอย่างหนึ่งว่า จุดเริ่มต้นมักมาจากจุดจบเสมอ ต่อไปนี้แกต้องเจอสิ่งที่ดี เชื่อฉัน”

     

     

     


     


    [1] ตราแผ่นดินของประเทศไทย ใช้สำหรับประทับในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์หรือกำกับนามผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นอกจากนี้ยังเป็นตราประจำสถานที่ราชการต่าง ๆ ของรัฐบาลไทยและหนังสือสำคัญทางราชการต่าง ๆ รวมถึงหนังสือสำคัญการสมรสและหนังสือสำคัญการหย่ากับโฉนดที่ดิน 

    [2] คือทรัพย์สินที่ได้มาหลังจากจดทะเบียนสมรส เช่น เงินเดือน โบนัส ค่าเช่าหรือดอกเบี้ยที่ได้รับจากทรัพย์สินส่วนตัวและมรดก อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกระบุว่าเป็นสินสมรสตั้งแต่ตอนจดทะเบียนสมรสหรือหลังจดทะเบียนสมรส

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×