ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพลิงรักทะเลทราย

    ลำดับตอนที่ #4 : ต้องตาต้องใจ 100%

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 53



    บทที่
    4 ต้องตาต้องใจ
     
    ชีคเฟอร์เรซทเอาตัวปารมีกลับไปกับเขาด้วย งานเลี้ยงต้องจบลงอย่างรวดเร็วสร้างความไม่พอใจให้กับอาดัมเป็นอย่างมาก ธุระสำคัญที่เขาเตรียมจะพูดก็ไม่ได้พูดออกมาจนได้
    ปารมีตื่นขึ้นมาด้วยอาการงง หล่อนรีบลุกขึ้นออกจากเตียงเมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่เตียงของหล่อน อากาศเย็นหวาบที่หน้าอกของหล่อน หล่อนแถบจะเป็นลมเมื่อรู้ว่าตัวเองเปลือยสวนบนอยู่
    “ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น” หล่อนพูดกับตัวเองก่อนที่จะเห็นตู้เสื้อผ้า และเลือกเสื้อออกมาใส่ปกปิดร่างกายของตัวเอง ปารมีนั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จำได้ว่าตัวเองโดนกระทำอย่างไรบ้างก่อนที่จะหมดสติไป หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร รู้แต่ว่าก่อนที่หล่อนจะหมดสติไป เพราะถูกมือหนาของเขาบีบที่คอของหล่อน หล่อนยังคิดว่าหล่อนคงตายไปแล้ว   ประตูถูกเปิดเข้ามาโดยที่หล่อนไม่ตั้งตัว หล่อนมองเขาที่เดินเข้ามาอย่างระแวง หล่อนจำเขาได้ ว่าเขาเป็นใคร แถมหล่อนยังไปตบหน้าเขาต่อหน้าทหารของเขาอีก อย่างไงเสียหล่อนก็คิดว่าหล่อนต้องตายแน่อยู่แล้ว
     
    “ท่านต้องการอะไรถึงจับหม่อมฉันมาที่นี่”เขามองร่างบางถอยหนีเขาจนติดผนัง
    “เจ้าคิดว่าข้าจับเจ้ามาเพื่ออะไร เจ้าคิดว่าบนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ตบหน้าข้าได้”
    “ขอโทษ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ ก็หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ ก็ท่านเสียมารยาทกับหม่อมฉัน” เขาหัวเราะเสียงดังรั้นกับสิ่งที่หล่อนเอ่ย
    “มารยาทอย่างนั้นหรือ ข้าจำเป็นต้องมีมารยาทกับพวกผู้หญิงชั้นต่ำอย่างเธอด้วยหรือไง”
    “จำเป็นสิคะเพคะ เพราะท่านเป็นคนหม่อมฉันก็เป็นคนเหมือนกัน”
    “อย่างนั้นหรือ”เขาลากเสียงยาวล้อเรียนหล่อนก่อนที่จะต้องเข้ามารวบร่างบางของหล่อนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา
    “เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้าทำให้ข้าต้องรอ ข้าไม่ชอบรออะไรนานๆ”
    “เอะ หม่อมฉันบอกให้ปล่อยนะ ท่านทำอย่างนี้ไม่ได้นะ”
    “ทำไม ข้าจะทำอย่างนี้ไม่ได้ ในเมื่อข้าต้องการเจ้า”
    “แต่หม่อมฉันไม่ต้องการแบบนี้” ปารมีใช้กำลังที่มีผลักเขาออกได้จนสำเร็จ
    “โทษที่เจ้าตบหน้าข้าก็ไม่รอดแล้ว ถ้าเจ้าทำให้ข้าพอใจเจ้าอาจไม่ต้องตายก็ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
    “ หม่อมฉันไม่ใช่นางรำที่ต้องคอยรับใช้พวกท่าน ท่านจะทำอย่างนี้ไม่ได้”
    “ข้าไม่สนใจ คนอย่างข้ารู้เพียงแต่ว่าต้องการอะไรก็ต้องได้ ในเมื่อ ข้าต้องการเจ้า ข้าก็ต้องได้” เขาพูดพร้อมกับจับหล่อนโยนลงบนเตียงที่เขามักหาความสุขกับผู้หญิงที่ต้องการ ห้องนี้ใครๆก็รู้ว่าเป็นห้องที่มีไว้เพื่อระบายความต้องการของเขา
    “ไม่นะ ปล่อย ปารมีดิ้นรนจนสุดกำลังแต่ก็สู้แรงเขาไม่ไหว หล่อนจึงถูกเขายึดไว้อย่างผู้ถือชัยชนะ
    “ปลอดฟังก่อนเพคะ” เสียงร้องขอความเมตตา กับลมหายใจที่หอบเพราะเหนื่อยที่ต่อสู้กับเขา เขาหยุดมองหล่อน ไม่ใช่เพราะอยากฟังอะไรจากหล่อน นอกจากหยุดมองหน้าอกที่สั้นกระเพื่อมตามลมหายใจ ใบหน้าแถบจะชิดกับหล่อน ห่างกันเพียงนิ้วเดียว
    “จะพูดอะไรก็พูดมาเถอะสาวน้อย”
    “หม่อมฉัน เป็นคนของท่านย่ากาบี้นะเพคะ หม่อมฉัน เออ เป็นนางกำนันในวังนะเพคะ ท่านทำอย่างนี้กับหม่อมฉันไม่ได้”
    “ดีสิ อย่างนี้ง่ายขึ้น ทุกคนในวังล้วนเป็นของข้า เจ้ากล้าเอายายแก่นั้นมาอ้างกับข้าอย่างนั้นหรือ ข้าไม่สนใจ   ดีล่ะ ข้าจะได้ฝากผลงานให้เจ้าไปให้กับ ยายแก่นั้น พวกเจ้า นางพวกคนไทย พวกเจ้ากล้าหยามข้า เจ้าหยามข้ามากแค่ไหนรู้ตัวไหม”เขาพูดอย่างโมโหโกรธเกรี้ยว ยิ่งเขานึกถึงตอนที่เขาถูกย่ากาบี้ตบต่อหน้าเหล่าทหารเขาก็ยิ่งแค้นใจตอนนี้ยังส่งแม่สาวน้อยคนนี้มาจัดการกับเขาอีก
    “ได้โปรดปล่อยหม่อมฉันไปเถิด ถ้าหม่อมฉันเข้าวังไม่ทัน ต้องถูกเฆี่ยนแน่ๆ”
    “เจ้าไม่ต้องกลัวข้าจะเป็นคนพาเจ้าเข้าวังเอง และจะไปส่งกับท่านย่ากาบี้กับมือ”
    “ไม่”ปารมีเอ่ยเมื่อเห็นแวดตาอันหน้ากลัวของเขา ก้มลงจูบหล่อนอย่างหนักหน่วง ราวกับเขานั้นหื่นกระหายน้ำมาแรมเดือน ทั้งที่เขาไม่เคยขาดเรื่องนี้ แต่หล่อนกระตุ้นอารมณ์ของเขากระเจิงออกจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย หล่อนผลักเขาออกทำให้ริมฝีปากของเขาหลุดออกจากปากของหล่อน
    “ฉันต้องการเธอ และเธอต้องทำให้ฉันพอใจ” เขาพูดพร้อมกับถอดเสื้อผ้าของหล่อนออกอย่างง่ายดาย รวมถึงตัวเขาด้วย ปารมีมองเขาอย่างขยะแขยง ด้วยสายตาเกียจชัง เขาพลิกร่างของหล่อนให้อยู่เหนือร่างของเขา หน้าอกของหล่อนจึงชิดติดกับหน้าอกของเขาอย่างแนบแน่น แขนหนาและแข็งกร้าวของเขากอดรัดแน่นทำให้หล่อนขยับตัวไม่ได้
    “ปล่อยฉันนะ”
    “ทำให้ฉันพอใจแล้วฉันจะปล่อยเธอ”
    “ปล่อยเถอะ ฉันทำไม่ได้”
    “ใช้เสน่ห์ในตัวของ เธอให้เป็นประโยชน์สิ ถ้าฉันถูกใจเธออาจได้เป็นมากกว่านางกำนัลเสียอีก”
    น้ำตาหยด ลงที่ใบหน้าของเขา อย่างกับสายฝน ทำให้เขารำคาญ พลิกร่างบางให้นอนราบกับพื้นและมีเข้าอยู่ด้านบนเสียเอง  เขาต้องการหล่อนมากเสียกว่ารอให้หล่อนมาปนเปรอเขาเหมือนกับทุกราย เขาซุกหน้าลงไป หาความสุขกับร่างบ้างอย่างพอใจ ปารมีทำอะไรไม่ได้นอกจากระทวยจนหล่อนทำอะไรไม่ถูก มือของหล่อนจึงกระฉากผมเขาออกเพื่อให้เขาเลิกรุกรามหล่อนแต่ดูยิ่งทำให้เขาพอใจมากขึ้น เสียงหัวเราะของเขาดังอยู่ในลำคอซึ่งหล่อนก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร เขาไม่เชื่อว่าหล่อนจะไม่ประสา เขาจึงรุกรามหล่อนอย่างไม่มีความปราณีซึ่งเขาก็ไม่เคยคิดจะมีให้ใครอยู่แล้ว ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในกายของหล่อนอย่างช้าๆและมากขึ้นเมื่อเขารุกรามหล่อนจนถึงจุดสำคัญ ปากของเขาก็สำผัสจูบหล่อนและพยายามสอดแทรกลิ้นของเขาเข้าไปในปากของหล่อน ทั้งที่หล่อนก็พยายามขัดขืนเขาทุกวิธีทางแต่ก็ไม่สำเร็จ ปารมีร้องเสียงดังออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อเขาสอดแทรกเข้าไปในจุดสำคัญของหล่อน มาถึงตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าหล่อนมิได้เคยผ่านใครมาก่อน แต่เขาจะทำอย่างไรได้เมื่อเขาไม่สามารถหยุดความต้องการของเขาได้ เขาได้แต่ช่วยให้หล่อนได้ผ่อนคลายลง ทั้งๆที่เขาไม่เคยสนใจว่าคู่นอนของเขาจะรู้สึกอย่างไรแต่กับหล่อนทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ มันเป็นคำถามที่ค้างอยู่ในใจของเขา พิศวาสของเขาจบลง เขานอนกอดร่างบางไว้อย่างพอใจ และหลับไปอย่างหรรษา แต่เมื่อเขาตื่นมาในช่วงสายของตอนเช้าเขาก็ไม่พบร่างบางที่เขากอดเมื่อคืน
    “หล่อนหายไปไหน” ชีคเฟอร์เรซทตะโกนถามเหล่านายทหารแต่ไม่มีใครรู้เพราะทุกครั้งที่เขาพาผู้หญิงมานอนที่นี้ ทุกคนล้วนแต่ต้องกลับกันเองทั้งนั้น ทหารได้แต่รายงานว่าหล่อนไม่ได้เอาเงินที่ควรได้รับไปด้วย ชีคเฟอร์เรซทโมโหทหารที่ทำให้ปารมีหนีไปได้ แต่จะทำอย่างไรได้เพราะเขาผิดเองที่ไม่ได้กระชับ แต่อย่าหวังว่าจะหนีคนอย่างเขาได้สำเร็จ 
    ชีคเฟอร์เรซทบุกเข้าถึงตำหนักท่านย่ากาบี้ เพื่อหาปารมี ทั้งที่เขารู้ว่าตอนนี้เจ้าของตำหนักไม่ได้อยู่เพราะไปถือศีล เพราะมันเป็นวันครบวันที่ปู่ของเขาเสียชีวิต หลายปีจนกลายเป็นทำเนียมวันเวลานี้ ท่านย่ากาบี้จะต้องไปถือ ศีล เป็นเวลาหลายวัน เขาอาละวาดใส่นางกำนัลที่ตำหนักอย่างหาเรื่องทั้งๆที่ทุกคนก็ยอมรวมมือกับเขา และตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่รู้จักกับคนที่เขาต้องการตัว ชีคเฟอร์เรซทหัวเสียและโกรธแค้นที่หาหล่อน ไม่พบ เขาคิดว่าหล่อนคงไม่ได้อยู่ตำหนักของย่ากาบี้จริงๆ ทหารของเขาก็ตรวจค้นกันหมด แต่ทำไมหล่อนถึงบอกว่าเป็นนางกำนัลอยู่ที่นี่ หรือหล่อนจะโกหกเขา
     
        ปารมีกลับตำหนักขาวด้วยจิตที่บอบช้ำ หล่อนอยากหนีไปให้ไกลแต่ก็ไม่กล้าหนีไปไหนเพราะกลัวป้ากับลุงของหล่อนจะถูกทำร้ายตามที่ถูกขู่เอาไว้ หล่อนภาวนาอย่าให้เขาหาหล่อนเจอ หล่อนได้เห็นกับตัวเองแล้ว ว่าเขาร้ายกาจและโหดร้ายมากเพียงไหน หล่อนได้เพียงหวังว่าที่ ที่อันตรายที่สุดอาจจะเป็นที่ปลอดภัยสำหรับหล่อนก็ได้
     มาร์ตินรู้สึกเป็นห่วงปารมีและสักเกตุได้ว่าตั้งแต่หล่อนกลับมาดูเหมือนหล่อนจะซึมเศร้าไป ไม่ร่าเริงเหมือนก่อนหน้านี้
    “บาร์บาร่าเจ้าเป็นอะไรไปหรือ ทำไมถึงซึมเศร้าลงทุกวัน”
    “เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
    “เจ้าไม่สบายใจใช่ไหมที่ถูกกักขังบริเวณอย่างนี้ ข้าไม่ดีเองช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย”
    “อย่าพูดอย่างนั้นสิ ถ้าวันนั้นไม่ได้เธอปานนี้ฉันคงถูกเฆี่ยนไปแล้ว”
    “เจ้าบอกข้าไม่ได้หรือว่าเจ้าหายไปไหนถึงกลับเข้าวังไม่ทัน”มาร์ตินเวียนถามปารมีหลายรอบแต่ก็ยังได้คำตอบเดิม คือ การนิ่งเงียบของหญิงสาว
    “บาร์บาร่า มันสำคัญมากนะ เจ้าเป็นผู้หญิงของท่านเฟอร์เรซท ผู้หญิงในนี้ไม่สามารถไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่นได้ มันเป็นทำเนียมของที่นี่”
    “ยุติธรรมจัง ที่เขา จะเลือกไปนอนที่ไหนก็ได้”ปารมีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
    “เจ้า อย่าเชียวนะ ทำไมถึงเรียกท่านอย่างนั้น ถ้าใครได้ยินเข้า จะถูกตำหนิเอารู้ไหม”
    “ชั่งเถอะ ตอนนี้ ฉันไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ความจริง ถ้าฉันตายไปก็คงหมดเวรหมดกำ ต้องทนอยู่ในประเทศที่ป่าเถื่อนอย่างนี้”
    มาร์ตินมองปารมีอย่างไม่เข้าใจ เธอไม่เคยเห็นใครเป็นอย่างหล่อนมาก่อน ทำไมหล่อนถึงเกลียดที่นี่ เกลียดชังผู้ชายที่ผู้หญิงเกือบทุกคนอย่างจะเข้าไปอยู่ในหัวใจของเขารวมทั้งตัวเธอด้วย
    “เอาเถอะ ตอนนี้ เจ้าก็อยู่ในตำหนักไปก่อน จำเอาไว้ละกันว่าเจ้าค้างที่ตำหนักของข้า ถึงกำหนดสอบสวนอีกที อย่าหลุดปากเชียวนะไม่อย่างนั้น เจ้าลำบากแน่”
    “อย่างไง หรือ ฉันจะถูกฆ่าหรือไง”
    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ว่า เจ้าคงไม่อยากถูกปดไปใช้แรงงานอยู่กลางทะเลทรายหลอกนะ ใครที่ถูกส่งตัวไป ไม่ล้มป่วยก็ถูกพวกโจรทะเลทรายมันจับตัวไป”
    “มันก็เหมือนฆ่ากันทางอ้อมนี่แหละ คนที่จิตใจโหดร้ายอย่างนั้นสักวันคงจะต้องถูกกรรมตามทัน”
    “อีกแล้ว เจ้านิ”
    “มีผู้หญิงที่ถูกส่งไปเยอะไหม”ปารมีถามด้วยความยากรู้
    “จากที่ข้ารู้มาก็เยอะเหมือนกันนะ”
    “แล้วพวกนั้นเขาผิดอะไรมากนักหรือ”
    “ข้าก็ไม่รู้แต่ได้ยินเขาพูดกันมาส่วนมากก็จะเป็นผู้หญิงที่ท่านชีคไม่ค่อยให้ความสนใจ และก็พวกที่คบชู้”
    “เรื่องของเรื่องก็คือเบื่อ พอหมดคุณค่าก็ไม่มีราคาไม่มีความหมาย  คนไทยเราเรียกว่าถีบหัวส่ง” ปารมีพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม
                         .....................................
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×