คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 3 : OF กลับหัว? (ตอนจบ)
“เอส
”
“รู้แล้วน่าที แต่แน่ใจนะว่าใช่?” เสียงปริศนาที่สองเอ่ยขัดเสียงแรก
“ไม่ผิดแน่ เราเจอสายเลือดที่นายท่านกำลังตามหา” คนถูกเรียกว่า ‘ที’ ตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เรียกเสียง ‘ชิ’ ในลำคอจากร่างบางในเสื้อคลุมสีดำที่จงใจให้ได้ยินอย่างหมั่นไส้
“เวลานี้นายยังจะมาร่าเริงได้อีก นี่มันก็ใกล้เวลาเต็มที เรื่องมีให้คิดตั้งเยอะก็ไม่รู้จักคิด” ‘เอส’ พ่นลมเบา ๆ ก่อนจะขยับหมวกแก๊ปสีดำวาวดั่งชุดสีรัตติกาลทะมึนให้เข้าที่
“ก็ไม่รู้จะคิดไปทำไมให้รกหัว” คำตอบที่ได้รับทำให้คนถามได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงในตัวสหาย หญิงสาวจึงเปิดหัวข้อบทสนทนาใหม่หลังจากต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง
“เห็นไหม?” นางเหล่มองบุรุษข้างตัวในความมืด
“ตัดเอ็นที่ข้อมือขวา กดเส้นประสาทกระตุ้นให้เป็นอัมพาตชั่วขณะ จบด้วยฟาดสันมือใส่ท้ายทอย” ชายหนุ่มผู้ทรงเสื้อคลุมขนสัตว์สีเดียวกับชุดและหมวกของคู่หูสาวพิงกำแพงสูบไปป์ด้วยรอยยิ้มตรงข้ามกับสิ่งที่พูดคนละขั้ว
“ถ้าเห็นก็แล้วไป จะได้ไม่ต้องมาเป็นตัวถ่วงตอนที่ฉันเล่นกับเจ้าเด็กนั่น” หญิงสาวเอ่ยอย่างเรียบเย็น ใบหน้านวลปรากฏความกระหายบางสิ่งบางอย่างในความมืด
“หึ เวลาสนุกมันหมดไปแล้วล่ะ เธอคงไม่คิดจะขัดนายท่านหรอกจริงไหม?” ทีแค่นหัวเราะ
“ใครคิดก็โง่เต็มที” เอสตอบเสียงชวนขนลุก “ไปเหอะ”
“ได้เลยพวก” ชายหนุ่มในชุดดำเอ่ยขณะยังคาบไปป์คาปาก เพียงไม่นานหลังจากสิ้นเสียง
คู่หูปริศนาก็หายไปในความมืด!!!
“ให้มันได้งี้สิ” เด็กหนุ่มสบถพลางกวาดสายตามองหาคุณนายที่หมดสติกับชายหนุ่มผู้ก่อเรื่อง ทว่าในเหตุการณ์ที่ชวนให้ทำอะไรไม่ถูกเขายังกลับนิ่งเฉยคอยคิดหาวิธีแก้ได้อย่างสุขุมและรอบคอบ นัยน์ตาสีนิลที่รับกับเส้นผมสีน้ำเงินเข้มคอยสอดส่องพื้นที่โดยรอบประสานกับเท้าทั้งสองที่ก้าวฉับ ๆ อย่างรีบเร่งขัดกับสีหน้าเรียบเย็นไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ
เบื้องหน้าเป็นสนามบินขนาดใหญ่แห่งเดียวที่สำคัญสำหรับเมืองศูนย์กลางของเศรษฐกิจอย่าง ‘กรุงเทพมหานคร’ ตัวทางเข้าเป็นประตูกระจกบานเลื่อนสูงกว่าสองร้อยห้าสิบเซ็นติเมตรในขณะที่ส่วนประกอบต่าง ๆ ของ ‘
ดูเหมือนว่าตอนนี้เด็กหนุ่มจะยืนอยู่ในส่วนทั่วไปที่เหล่าประชาชนผู้มารอรับคนรู้จักทั้งหลายต่างก็รวมตัวกันอยู่ในส่วนนี้ เวสมองหาเป้าหมายก่อนจะมุ่งตรงไปยังประชาสัมพันธ์แล้วถามอย่างไม่รอช้า
“พี่เห็นชายอายุสักสามสิบสูงประมาณนี้
” เขายกมือขึ้นกะส่วนสูงประมาณตัวคนที่เป็นผู้ชายแล้วพูดต่อ “
กับผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนคุณนายแต่เลือดอาบคอมั้ยครับ”
“อื้ม...ไม่เห็นนะจ๊ะ ถ้าถึงกับมีเลือดคงสะดุดตาพอดู แต่พี่ไม่เห็นคนที่เข้าข่ายอย่างที่น้องบอกเลยนะ” หญิงสาวท่าทางใจดีตอบด้วยน้ำเสียงแบบที่คนข้าง ๆ เธอสรุปได้สถานเดียวว่า
น้ำตาลเรียกพี่ เซ็กซี่เรียกแม่
พลางขยิบตาให้แล้วจ้องเด็กมาดเข้มอย่างเย้ายวน
“หรอครับ งั้นไม่เป็นไร ขอบคุณพี่มากนะครับ” ถ้าการกระทำของเจ้าหล่อนคนปกติจะเข้าใจว่าทำไปเพื่อหว่านเสน่ห์ เขา
ก็นับเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ปกติไร้หัวเรื่องพวกนี้ เพราะเวสรู้สึกเพียงแค่เธอเป็นคนอีกประเภทหนึ่ง(?)ก็เท่านั้น
คนถูกยั่วถอนหายใจแรงก่อนจะหันกลับแล้วเดินออกจากสนามบิน ‘ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะอยู่ในละแวกนี้ แต่ต้องเป็นที่โล่งกว้างเพื่อรวบรวมคนได้อย่างไม่ผิดสังเกต’
เกมซ่อนหาที่เดิมพันด้วยชีวิตคนยิ่งเพิ่มความกดดันให้คนหาต้องเร่งฝีมือกว่าเดิม มือหนาหยิบลูกปัดเม็ดเดิมที่เคยใช้ออกมา จากนั้นจึงกดเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยรหัสทั้งสองขั้นตอนอย่างชัดเจนจนสุดท้ายแผ่นคริสตัลบางก็มาอยู่ในฝ่ามือเจ้าของ
“เมเนส ช่วยติดต่อสารวัตรเรืองฤทธิ์ให้ที”
“ค่ะนาย” สิ้นเสียงใส ภาพของผู้อาวุโสที่คุ้นหน้าก็ปรากฏขึ้นทันที
“มีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า อีกสักพักฉันคงจะถึงพอดีมันวุ่น ๆ นิดหน่อยน่ะ” เรืองฤทธิ์เอ่ยอย่างเอ็นดู ลดความประหม่าในตัวเวสได้ไม่น้อย
เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูด “ไม่มีครับ แต่สารวัตรจะช่วยส่งแผนที่แถว ๆ ละแวกนี้ให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ เผอิญผมคลาดกับพวกนั้นแล้วข้างในสนามบินผมก็ไม่เจอ เลยคิดว่าคงจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
“ได้ ๆ เดี๋ยวจะส่งไปให้”
“ขอบคุณมากครับ” เวสโค้งตัวให้บุคคลอาวุโสแล้วกดตัดสัญญาณการสื่อสาร รอเพียงไม่นานสิ่งที่เขาต้องการก็สัมฤทธิ์ผล
ติ๊ด!
เสียงร้องจากฮิป (H.I.P) เรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มให้รีบกดตอบรับไฟล์แผนที่แล้วดึงข้อมูลออกมาแสดงให้เห็น สิ่งที่ได้รับมาเป็นแผนที่ชนิดใช้จุดสีแทนของจริงโดยสนามบินเป็นจุดสีแดง และสถานที่รอบ ๆ จะมีจุดสีต่างกันไป ยิ่งการจัดสร้างที่แห่งนี้ให้ไกลความวุ่นวายทำให้สิ่งที่แวดล้อมปรากฏออกมาเพียงจุดสีเดียวซึ่งอยู่ข้างสนามบินหรือก็คือ
ที่ดินเปล่า
เวลาผ่านไปห้านาที...กว่าที่เวสจะรู้สึกตัวขาทั้งสองก็พาเจ้าของมาถึงจุดหมายเป็นที่เรียบร้อย และพบว่าเป้าหมายของเรื่องราวทั้งหมดอยู่ตรงหน้านี่เอง!
คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อย ๆ เมื่อพบเห็นจำนวนคนที่มากเกินคาด แม้จะอยู่ไกลจากจุดที่รวมกลุ่มแต่คนไม่ชอบเหม่อที่วันนี้เหม่อบ่อยจนผิดวิสัยก็ยังคงประมาณจำนวนได้อย่างไม่คลาดเคลื่อน เขายกมือกอดอกอย่างหลวม ๆ ก่อนจะเหลือบนัยน์ตาสีนิลมองไปข้างตัวเมื่อจู่ ๆ ก็มีบุรุษหน้าเหี้ยมยืนประกบอยู่ข้างหลังไม่ห่าง
“หึ สามสิบคน แกจะเอามาทำอะไรฉันก็ขี้เกียจมารับรู้ แต่ที่แน่ ๆ
” เด็กหนุ่มหันหลังกลับพร้อมขยับยิ้มโหด “คืนผู้หญิงมาซะดี ๆ ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว”
‘อั๊ก’
ความรู้สึกนี่มันอะไรกัน? ร้อน...ข้างในมันร้อนอย่างกับมีคนมาจุดไฟเผา ไม่สิ...ไม่ใช่เผา มันเหมือนมีใครเอาไฟประหลาดมาใส่เสียมากกว่า ร้อน...แต่ก็แค่ร้อน ไม่ได้ปวดหรือแสบสักนิด
ร่างสูงใช้มือยันกำแพงกระจกของสนามบิน ความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศพัดผ่านเด็กหนุ่มอย่างเชื่องช้าราวต้องการจะเพิ่มความหวาดกลัวให้กับเขา บัสเริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะตัวสั่นสะท้านอย่างไร้สาเหตุ ความมืดมิดค่อย ๆ เกาะกุมหัวใจไม่หยุดหย่อนเปลี่ยนบรรยากาศรอบกายให้เหมือนไม่เหลือใครจนในที่สุดก็เหลือแต่ตัวเอง...เพียงคนเดียว
มือทั้งสองถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาโดยที่ไม่รู้ตัว แววตาในความมืดแลดูเศร้าสร้อยต่างจากตัวตนที่ทุกคนพบเห็น สีดำรัตติกาลเริ่มกลืนกินหนักขึ้นเช่นเดียวกับจิตใจของเด็กหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสับสน เขาถูกตัดขาดจากความเป็นจริงทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ในความสิ้นหวังนั้นกลับมีความรู้สึกบางอย่างท่วมจนล้น เป็นความรู้สึกที่ยากจะเกิดกับคนคนนี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าหนีมันไม่ได้อีกต่อไป หนีสิ่งที่เรียกว่า...ความกลัว
ร่างที่สั่นหงึกค่อยคลายอาการที่ว่าลง แต่เหตุที่หยุดสั่นนั้นหาใช่เพราะหายกลัวไม่ นัยน์ตาสีมรกตฉายความนึกคิดที่ตัวเองเกลียดนักเกลียดหนา พลางยิ้มเหยียดอย่างเย้ยหยันที่ทำอะไรไม่ได้
สุดท้าย...ความเข้มแข็งอดทนที่เคยคิดว่ามีมากกว่าคนอื่นจากการฟันฝ่าชีวิตด้วยกันกับพ่อ มันก็เป็นเพียงสิ่งที่จับต้องไม่ได้อยู่ดี
บางทีหนังสือธรรมะอาจไม่ไร้สาระอย่างที่หลายคนคิด เวลาแบบนี้เขาควรจะปลงใช่ไหม?
แต่ในเวลาที่จิตใจอันอ่อนแอกำลังจะหยุดดิ้นรนนั้นเองกลับมีอะไรบางอย่างมากระตุ้นให้คนสิ้นหวังรู้สึกเหมือนตนเองอาจทำตัวงี่เง่าสิ้นคิด อะไรบางอย่างที่แม้จะไม่มีตัวตนมันก็กลับทำให้ตาชั่งเริ่มเอนเอียงไปทางตรงข้ามกับที่ตัดสินใจ...
“เจ้าบ้า นายมายืนทื่ออะไรแถวนี้ แล้วไอ้พวกที่ตามอยู่ล่ะหายไปไหนแล้ว”
เสียงแบบนี้มัน? ...ของพีชนี่
“ทำไมถึงยังเงียบล่ะตาเซ่อ อีกอย่างพวกนั้นมันหายหัวไปไหนกัน อย่าบอกนะว่านายปล่อยไป” เสียงใสกังวานออกแนวโหดเล็กน้อยตะคอกใส่บัสเสียงดัง เสียแต่เด็กหนุ่มในความมืดมองไม่เห็นเธอจึงยังเฉย
ถ้าเป็นตอนนี้เธอจะทำหน้ายังไงกันนะ?
น่าเสียดายที่หนังสือธรรมะมันยังเข้าไม่ถึงเขา ถอดใจ? บางทีของแบบนี้อาจจะเร็วไปสำหรับเด็กหนุ่มวัยสิบห้า...
ก็ฉันจะไปยอมแพ้เธอทั้ง ๆ ที่ยังไม่เถียงได้ไงล่ะเฟ้ย!!
‘อีตานี่มันดันเป็นอะไรกันแน่นะ เงียบเป็นเป่าสากเหมือนไม่ได้ยินเราอย่างนั้นแหละ’
ร่างบางเริ่มออกอาการฟิวส์ขาดอยู่รอมร่อ ดีด้วยก็แล้ว ตะคอกใส่ก็แล้ว ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอย่างนี้มันน่าโมโหมั้ยล่ะ? สงสัยแค่คำพูดมันคงจะน้อยไป...
คนมีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศหัวเราะ ‘หึหึ’ ในใจอย่างเป็นสุขที่กำลังจะได้เชือดพ่อตัวดีที่ขวางหูขวางตาสักที เจ้าตัวค่อย ๆ เขยิบเข้าใกล้เป้าหมายในระยะทำการโดยมีแววตาสงสารอีกหนึ่งคู่จากดาวที่คอยส่งให้บัส
แผนการระดมยิงไม่ยั้ง!!
“ย้ากกก” เธอเปล่งเสียงด้วยความมั่นใจในขณะที่ฝ่ามือขวาเริ่มเล็งหน้าซีกซ้ายส่วนมือซ้ายกำแน่นเล็งสันจมูก แล้วปล่อยออกไปสุดแรงเกิด!!
หมับ!! เพียะ!!
“อูย นี่ใครสั่งให้เธอมาแต๊ะอั๋งฉันฮะ” มือข้างที่ว่างคลำแก้มซ้ายที่หันไปตามแรงตบป้อย ๆ อย่างน่าเอ็นดู แต่วาจาที่ถูกส่งออกมากลับน่าเอ็นดูเสียมากกว่า!!
“โอ๊ย พอ ๆ หยุด ๆ ไม่เล่นแล้วคร้าบ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าสงสาร แต่มันคงไม่ถูกชะตากับพีชเสียเท่าไหร่หลังจากที่เธอเล่นตบฉาดมาแบบอุกกาบาตพอถูกหาว่า ‘แต๊ะอั๋ง’ ผู้ชายล่ะก็นะ
กระนั้นดูเหมือนรังสีอาฆาตจะยังคงอยู่แม้จะได้ทำตามสมใจอยากขนาดนี้ นัยน์ตาสีดำขลับตวัดมองไปยังมือข้างซ้ายของเธอที่ยังไม่ได้รับอิสระแล้วเชิดขึ้นสบกับนัยน์ตาสีมรกตด้วยความรู้สึกที่อ่านได้ว่า
ไม่ปล่อยแกตาย...
“อะ เอ่อ...ปล่อยก็ได้” ไม่ต้องรอให้สมองทำการประมวลผล จากสีหน้าและน้ำเสียงก็ทำให้ผู้คุกคามอิสรภาพคนอื่นปล่อยมือเด็กสาวไปอย่างรวดเร็วดั่งต้องของร้อน แต่นั่นมันก็ยังไม่เจ็บใจเท่าคำกระเซ้าที่ตามมาหลังจากเธอได้มือคืนทันที
“แล้วก็รู้ไว้ด้วยนะยะ ว่าคนที่แต๊ะอั๋งน่ะ...มันใครกันแน่” ว่าเสร็จก็เชิดเดินไปหาดาวอย่างคนชนะโดยไม่ทิ้งความสะใจที่ตนได้รับเอาไว้สักนิด
บัสได้แต่ยืนแยกเขี้ยวกุมขมับอย่างคนประสาทจะกิน ให้ตายสิ!! เรื่องพวกนี้สู้ผู้หญิงไม่ได้เลยแฮะ คิดแล้วก็ถอนหายใจแรง ๆ
รู้งี้ไม่น่าออกมาจากความมืดนั่นยังจะดีกว่า...
แต่ยังไงก็ขอบคุณเธอมากนะ...พีช
รอยยิ้มจริงใจได้ประดับบนใบหน้าคมคายอีกครั้ง แม้ทั้งชีวิตที่ผ่านมาจะเคยยิ้มมาสักกี่ล้านหน แต่ยิ้มที่ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงมันจะมีสักเท่าไหร่กันนะ?
“เอ้ามัวแต่ยืนเหม่อยังกับตุ๊กตาน้ำแข็งอยู่นั่นแหละ จะตามพวกนั้นไปต่อมั้ย ถ้ายังอยากจะจับคนชั่วก็รีบตามมา พี่ดาวเขาถามหาคนเห็นจนรู้ทางแล้ว ทีนี้ก็ไม่ต้องพึ่งนายอีกต่อไปแล้ว แบร่” เจ้าของเสียงที่ปลุกเด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์กำลังยืนเท้าเอวแลบลิ้นใส่อย่างกวน ๆ เรียกความโมโหให้พุ่งขึ้นริ้ว ๆ และไม่ทันไรปากเจ้ากรรมก็สวนกลับอย่างรวดเร็ว
“ไม่ได้บอกว่าต้องพึ่งฉันสักหน่อย พูดอย่างนี้แสดงว่าที่ผ่านมาฉันก็พึ่งได้เหมือนกันนะเนี่ย ฮ่า ๆ”
“พึ่งได้กับผีน่ะสิ” พีชบ่นอุบก่อนจะเดินนำหน้าหญิงสาวอีกคนที่กำลังชี้ทางให้พวกเขาไปลิ่ว
มิตรภาพบางครั้งก็มีดีกว่าที่คิด...
ถึงตอนนี้จะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแต่ก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ป่านนี้นายจะเป็นยังไงบ้างนะ...เวส
“วิ่งอะไรอืดอาดชะมัด โดนแซงไม่รู้ด้วยนา” บัสตะโกนแข่งกับแรงปะทะของสายลมขณะวิ่งไล่เด็กสาวที่อยู่ห่างออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มโดยฟังคำเตือนจากหญิงสาวเรื่องปริมาณความดังของเสียงที่เรียกสายตาหลายคู่ให้มองมาอย่างตำหนิแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ทิ้งดาวให้ยืนก้มหน้าก้มตาปล่อยเพลิงโทสะจนถึงขีดสุด
“ตะโกนเสียงดังไม่อายใคร เตือนแล้วก็ยังไม่ฟัง เด็กสมัยนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดยะ เดี๋ยวแม่ก็จับเชือดซะเลยนี่...เด็กบ้า!!” เธอระบายความในกับตัวเองด้วยเสียงที่ไม่ต่างจากน้องสองคนนั้นเท่าไหร่พร้อมกับตีหน้าโหดแล้วจรลีตามเด็กในการดูแล?ไปอย่างรวดเร็ว...
เหลือเพียงเครื่องหมายคำถามที่ลอยตุ๊บป่องอยู่เหนือหัวของผู้พบเห็นอย่างนึกสงสัยว่าโรงพยาบาลไหนปล่อยคนไม่ปกติออกมาเพ่นพ่านแถวสนามบิน...
“คืนผู้หญิงมาซะดี ๆ ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว” น้ำคำบ่งชัดถึงความแน่นอนในสิ่งที่พูดยิ่งขับใบหน้าคมเข้มที่บัดนี้ไม่ต่างจากราชสีห์ผู้หิวโซให้พร้อมจะขย้ำเหยื่อทุกเมื่อหากไม่ได้ดั่งต้องการ ความเงียบเริ่มแทนที่สรรพเสียงใด ๆ ทั้งมวล ก่อนบุรุษผู้ประจันหน้าจะตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย
“ผู้หญิงไหนที่แกบอกว่าให้คืน? พวกฉันเห็นแต่...ตัวประกัน”
“ไอ้บ้าเอ๊ย!”
ผัวะ!!
“ทำไม...จงใจไม่หลบ” เวสพูดเสียงเย็นใส่ร่างที่นอนอยู่บนพื้นตามแรงส่งของหมัด ทั้ง ๆ ที่โดนเข้าไปเต็มมุมปากแต่กลับไม่ปรากฏเลือดแม้เพียงหยดหนึ่งซึ่งแน่นอนว่ากำปั้นของตัวเองย่อมรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ได้เบาเลย...
...คน ๆ นี้ไม่ธรรมดา...
“พูดมา”
“...”
“จะพูดไม่พูดฟะ!!” เขากระชากเสื้อคนตรงหน้าให้ลุกขึ้นมา ก่อนจะปล่อยมือขวาที่ว่างพุ่งไปหาใบหน้าคู่กรณี หากแต่นัยน์ตาสีนิลต้องเบิกกว้างอย่างเก็บอาการไม่อยู่เมื่อกำปั้นของตนถูกฝ่ามือหนารับได้ในระยะห่างกันไม่กี่คืบ!!
“เล่นของแรงจริงนะนายนี่ ฝีมือนายในตอนนี้ชนะฉันไม่ได้หรอก อันที่จริงรีบกลับไปก่อนที่ฉันจะโมโหดีกว่านะ” คนใกล้โมโหยิ้มพรายเย็นยะเยือกแล้วเอ่ยต่อ “ในฐานะที่เราเคยทักทายกัน ฉันดีน ขอทราบชื่อ”
“ไม่จำเป็น นั่นรึเหตุผลของนาย งี่เง่าสิ้นดี ฉันตามพวกของนายมาถึงนี่ก็เพราะต้องการตัวผู้หญิงนั่นคืน ไม่ใช่มาหัวหดแล้วแจ้นกลับบ้าน” คนถูกหาว่าฝีมือด้อยกว่าชักยัวะกดเสียงให้เรียบพยายามไม่ให้ความโกรธปะทุ
“...” มีเพียงความเงียบซึ่งเป็นคำตอบของทุกสิ่งก่อนแสงอาทิตย์จะสาดลงมากระทบกับร่างใหญ่ของดีนเผยให้เห็นใบหน้ากร้านดุที่เต็มไปด้วยแผลเป็นกับรอยยิ้มสดใสแลดูขัดกันแต่ความเจนจัดเกี่ยวกับการต่อสู้ก็ปรากฏอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเทียบเรื่องขนาดตัวและอายุเขาก็ไม่วายแพ้ร่างสูงใหญ่ราวทหารอยู่ดี
“อย่างนั้นนายคงจะรู้สินะว่าจะต้องทำอะไรบ้าง” คนตรงหน้าเอ่ยพลางยิ้มเหยียด ภายในแววตามีไฟแห่งการสู้ลุกโชน
คนเข้าใจสถานการณ์เริ่มไหวตัวหันกลับไปทางพวกลิ่วล้ออีกกว่าสามสิบคนแล้วคว้าอาวุธบางอย่างในกระเป๋ากางเกงนักเรียนพร้อมกับกระโจนเข้าไปสู่วงล้อมคู่ต่อสู้โดยไม่แม้แต่สนใจคนข้างหลัง!!
“หัวหน้าคะ งานลุล่วง เป้าหมายเสียชีวิตค่ะ” เสียงรายงานผลกล่าวอย่างดีใจหากก็ปิดเสียงหอบจากการวิ่งไม่มิดเรียกนัยน์ตาให้เต้นระริกอย่างดีใจ
“เจ้ายักษ์นั่นล่ะ?” ถามกลับเพียงเท่านั้นลูกน้องทั้งสองก็เริ่มกระวนกระวาย “เอาเถอะ พวกเธอทำได้ดีมาก และหวังว่ามันคงจะไม่ปล่อยหนูตัวเล็ก ๆ ให้เข้ามาถึงรังราชสีห์”
“ทำไมหัวหน้าถึงรู้?” คราวนี้เป็นชายหนุ่มมาดคุณหนูที่ถามแทนเพื่อนสาวข้าง ๆ
“เรื่องของฉัน เอาเป็นว่าเห็นจากสภาพก็พอเดาได้” ดีนตัดบทอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่นายจะวิ่งช้า ๆ หน่อยได้มั้ย” เสียงใสตะคอกใส่ร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พลางทำหน้าบึ้งตึงกับเหงื่อที่ไหลท่วมตัวแบบคนไม่ค่อยชินกับการออกกำลังกายหนัก ๆ
“ช่วยไม่ได้เธออืดเอง” เด็กหนุ่มเถียงกวน ๆ แล้วแลบลิ้นใส่กระตุกเส้น ‘อาละวาด’ ในตัวเธอให้เริ่มขาดอยู่รอมร่อ
“พอเลยน้องทั้งสอง ดูข้างหน้านั่นบ้างสิ นักเลงอันธพาลเต็มไปหมดเลยเห็นมั้ย มัวเล่นกันเป็นเด็กอยู่ได้ ทีนี้จะทำยังไงต่อล่ะฮึ” และก็เป็นหน้าที่ของหญิงสาวซึ่งคอยห้ามทัพไม่ให้ประชันฝีปากกันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
ว่าแล้วทั้งสามก็หันมาประจันหน้ากับศัตรูกลุ่มใหญ่ที่เพียงแค่มองก็รู้ว่าอันตรายมากขนาดไหน ไม่นับคนที่ดูจะเป็นหัวหน้าอย่างดีนที่ฝีมือดูจะเทียบไม่ติด
ต่อจากนี้พวกเขาคงต้องสู้สถานเดียวเท่านั้นไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรรวมถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้จะส่งผลต่อเขาขนาดไหน เมื่อตัดสินใจแล้วก็คงจะถอยกลับไม่ได้...เขาเหล่มองสมาชิกสาวทั้งคู่ให้หลบออกไป แต่กลับพบเพียงความมุ่งมั่นในแววตาของพวกเธอ
บัสมองไล่ไปทีละคนก่อนจะรู้สึกตัวว่านัยน์ตาทุกคู่กำลังจ้องมาทางพวกเขาทั้งหมด แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ทำให้เขาอ้าปากค้างอย่างตกใจ...เพื่อนคนที่ไม่ได้เจอมาแสนนาน
“เวส...”
“บัส...”
ความคิดเห็น