คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ไม่คิดว่าคนที่ดีแต่ปากอย่างนายจะจริงจังกับเขาเป็นด้วย” เธอซึ่งจับน้ำเสียงสงบนิ่งจริงจังของเพื่อนชายข้างตัวได้ ก็ไม่วายนึกคึกหันไปแหย่เล่นอย่างสะใจที่สามารถกัดเขาตามแบบฉบับคู่อริ หากไม่มีการเถียงกลับมาดั่งที่ควรจะเป็น
เด็กสาวจึงหน้ายู่ยี่ลงทันใด พร้อมกับเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชันไม่สบอารมณ์
“ย่ะ
ได้สิ เหอะ ไม่มีมือมีแขนหรือไงฮะ ถึงได้ใช้คนอื่นให้ทำแทนเนี่ย”
คำกล่าวที่เธอได้รับแต่สายตาดุคาดโทษเต็มที่ เผลอยื่นเสื้อคลุมสีดำจากพนักงานให้กับเด็กชายอย่างหวาด ๆ
“
อืม
” บัสครางในลำคอแผ่วเบา มือขวารับเสื้อคลุมเจ้าปัญหามาพินิจพิจารณาสำรวจอะไรบางอย่าง
บางอย่างที่ยืนยันให้มั่นใจว่าสิ่งที่เขาสันนิษฐานนั้นมันไม่ผิด เด็กหนุ่มค่อย ๆ เลิกฮู้ดสวมหัวขึ้นพลางเพ่งมอง ก่อนนัยน์ตาสีมรกตจะส่องประกายเมื่อพบกับคราบสีแดง ๆ ตรงช่วงบนของมัน
คราบของเหลวชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต มันมีชื่อว่า
เลือด!!
เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เชิดหน้าขึ้นกวาดมองไปยังหนึ่งในสามผู้ต้องสงสัยคนที่เขาเล็งเอาไว้
‘หลักฐานยังไม่ชัดพอ’ บัสท่องคำนี้ในใจเตือนสติอย่าให้วู่วาม เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงสี่นาทีแล้วด้วยซ้ำก่อนเครื่องบินจะลงจอด
‘นั่น!! ต้องใช่แน่ ๆ’ เสียงร้องยินดีโห่ลั่นขึ้นภายในหัว หลังจากการสำรวจหาหลักฐานมาอ้างอิง เขาก็พบมัน
อยู่กับตัวคนร้ายเองเสียด้วย
เงียบกันไปชั่วอึดใจ ก็มีคนโพล่งออกมาอย่างเหลืออด
“ถ้ามัวแต่นิ่งอยู่อย่างนี้ แล้วมันจะรู้ตัวคนทำมั้ยฮะ!! เป็นเด็กแล้วเสือกสะเออะมาเป็นนักสืบ คิดว่าเก่งมาจากไหน? ผลสรุปเป็นยังไงล่ะ สุดท้ายก็หาตัวไม่ได้เสียที เสียเวลาคนอื่นเปล่า ๆ น่ารำคาญ” ชายหนุ่มหัวแดงร่างใหญ่เดินตรงมากระชากเสื้อเขาให้ตัวลอย ขึ้นเสียงตะโกนอย่างคนหมดความอดทน
“ว่าไง? มืดแปดด้านล่ะสิ ที่แท้ก็ท่าดีทีเหลว ห่วยแตก แต่ก็อย่างว่า
เป็นแค่เด็ก อภัยให้หน่อยก็ละกัน” ท่อนหลังปรับเสียงให้เบาเต็มไปด้วยการดูถูก พีชเหล่มามองอย่างเห็นใจ แต่นัยน์ตาสีดำขลับของเธอก็ต้องสะดุดอยู่ที่ริมฝีปากเด็กหนุ่มซึ่งกำลังพรายยิ้มเหี้ยม
‘เป็นอะไรของเขากันนะ’ ในหัวเธอเต็มไปด้วยความสงสัยระคนงุนงง
บัสถอนหายใจขณะร่างยังคงอยู่เหนือพื้น นัยน์ตาสีมรกตฉายแววแข็งกร้าว มือทั้งสองออกแรงแกะมือใหญ่กว่าจนหลุดจากพันธนาการแล้วปัดมันทิ้ง “ขอบคุณสำหรับหลักฐานชิ้นสุดท้าย...” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนเรียบนิ่งข่มความโกรธที่ใกล้ปะทุ “...ผมรู้ตัวคนร้ายแล้ว”
“ใคร? ใครหน้าไหนที่เป็นคนทำเรื่องนี้ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน ถ้าแกรู้จริงอย่างที่ปากแกว่า ก็บอกมาเร็ว ๆ” คำรบเร้าที่อีกสองคนตีสีหน้าเห็นด้วยเต็มที่ เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจกับความกระดากห้าวไร้ที่ติของชายหนุ่มเจ้าของเสื้อรูปกุญแจ
“จะใครซะอีกล่ะ...ถ้าไม่ใช่คุณ” เขาว่าพลางชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว แล้วเดินวนไปรอบตัวคนที่ถูกกล่าวหาว่าเกือบเป็นฆาตกร “เหตุผลข้อแรก...เรื่องช่วงเวลา
“
คุณทั้งสามคงจะทราบกันดีแล้วว่าเหตุใดผมจึงเรียกตัวพวกคุณมา ในเวลาเกิดเหตุช่วงห้านาทีนั้นมีเพียงแค่พวกคุณเท่านั้นที่ไม่ได้ประจำที่ของตัวเอง ยืนยันได้จากลุงเจ้าของห้องควบคุมผู้ตรวจเช็กรหัสการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือของแต่ละบุคคล ถูกหรือเปล่าครับ?” นักสืบจำเป็นเริ่มร่ายยาวพร้อมกับคำถามโดยไม่เปิดช่องว่างให้ใครได้อ้าปากย้อน ซึ่งทั้งสามก็พยักหน้าตอบกลับมา
“ต่อมา เหตุผลข้อที่สอง
เรื่องปริศนา” พูดถึงตรงนี้คนฟังทุกคนก็เริ่มขมวดคิ้วไม่เว้นแม้แต่เธอ
“ครับ ถึงจุดนี้ทุก ๆ คนอาจจะงงกันอยู่บ้าง ผมจึงขอให้ฟังจนจบก่อนแล้วค่อยถาม เพราะสิ่งที่ผมได้ยินมามันคือ
ไดอิ้งเมสเสจ”
จึก!!
ส้นรองเท้าส้นสูงและปลายหัวรองเท้าหนังของหญิงสาวน่ารักกับชายหนุ่มมาดคุณหนูกระทบพื้นเสียงดัง ลมหายใจสะดุดกึก
“ใช่ครับ หมายความว่าผู้ถูกทำร้ายตายแล้ว ผมเป็นคนตรวจด้วยตัวเอง” เด็กหนุ่มเอ่ยปิดทุกหนทางในการถาม
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองบอกปริศนามาว่ามันคืออะไร เอาให้ชัด แก้ให้ถูก มากล่าวหาว่าฉันเป็นคนทำเรื่องชั่ว ๆ แบบนี้ เกิดหลักฐานไม่ดีพอ เตรียมไปนอนโรงพักได้เลยไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
ทั้ง ๆ ที่ก็ยังไม่รู้ นายจะโกหกไปเพื่ออะไรกัน
เด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวยืนใช้ความคิด
“กรุณาฟังให้จบ แล้วคุณจะรู้ว่าใครกันแน่ที่จะต้องเข้าโรงพัก” น้ำเสียงเฉียบขาดเรียกความขาวซีดให้ขึ้นบนใบหน้ากร้าน “ก่อนที่คน ๆ นั้นจะตายยังได้พูดคำ ๆ หนึ่งเอาไว้กับผม ซึ่งมันต้องเป็นไดอิ้งเมสเสจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไดอิ้งเมสเสจคือ
O F (โอ เอฟ) กลับหัว”
“เอ๋” หญิงสาวหนึ่งเดียวในผู้ต้องสงสัยอุทานออกมาด้วยสีหน้างงงวย เขาหันไปยิ้มให้บาง ๆ แล้วจึงไขปริศนาให้ฟัง
“อื้ม
มันหมายถึงอะไรกันน้า ชื่อคน? ก็ไม่น่าใช่
นามสกุล? ยิ่งแปลกไปใหญ่”
“อ้าว!! สรุปมันคืออะไรล่ะ?” พีชเผลอร้องขัด
“อ๊ะ ๆ อย่าเพิ่งตกใจ
” บัสกล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ได้ยั่วคนแม้จะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม “หลังจากผมแก้ปริศนานี้ได้ จึงได้รู้ว่ามันเป็น
รูปภาพ”
“รูปภาพ?” ร่างในชุดสูทขาว-ดำทวนคำ
“ใช่ครับ ส่วนวิธีแก้ก็ตรงตามคำพูดอย่างที่ได้ยินกันไป ก็แค่กลับหัวมันเท่านั้นเองไม่ต้องคิดอะไรมาก”
“กลับแล้วมันจะได้อะไรล่ะ
” เธอว่าพลางวาดนิ้วกลางอากาศเป็นตัวโอและเอฟกลับหัวในแนวนอน แต่มันก็ไม่ได้เป็นภาพที่คุ้นตา “
สรุปมันต้องทำยังไงกันแน่เนี่ย ถ้านายยังไม่บอกอีก ฉันจะเดินไปตบนายเดี๋ยวนี้แหละบัส”
“ก็ใช่อยู่ แต่มันไม่ได้เขียนในแนวนอนหรอก มันเขียนในแนวตั้งต่างหาก อย่างนี้ไง
” สิ้นคำพูด นิ้วชี้ของเขาก็เริ่มลากเป็นตัวอักษรทั้งสองกลับหัวในแนวตั้ง หากเขียนจบก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจเลยสักคน เป็นเหตุให้คนเฉลยต้องพูดขยายความต่อให้จบ
“พอได้อย่างที่เห็น ก็นำมันมาต่อกันสิคร้าบ โอเคแล้วนะ ถ้ายังไม่เข้าใจอีกก็แย่แล้ว” หลังจากพีชฟังเขาลากเสียง เธอก็ลองวาดมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ทำให้มันติดกันจนเกิดเป็นรูปอะไรบางอย่าง รูปที่เห็นแล้วต้องร้องอ๋อทันทีว่าทำไมชายหนุ่มร่างใหญ่จึงเป็นคนร้าย
รูปกุญแจยังไงล่ะ!!
เมื่อเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย สายตาทุกคู่จึงหันมาจ้องผู้ถูกกล่าวหาอย่างพร้อมเพรียง หลักฐานที่ว่ามาแต่ละข้อทั้งหมด มีน้ำหนักพอทำให้คนอื่น ๆ เชื่อนักสืบคนนี้ได้ไม่ยาก หากการดิ้นรนยังคงไม่จบเพียงเท่านั้น เจ้าของเสื้อรูปกุญแจเริ่มค้านหัวชนฝาเถียงกลับเต็มกำลัง
“จะมากเกินไปแล้วนะ!! กับไอ้แค่ไดอิ้งเมสเสจติงต๊องแค่เนี๊ย แกอาจจะแต่งขึ้นมาเองก็ได้ใครจะไปรู้ แล้วก็ที่แกพูดมาทั้งหมด ฉันก็ยังไม่เห็นเลยสักข้อที่มันจะบ่งชี้มาที่ฉันว่าเป็นคนร้ายจริง ๆ แม้ข้อแรกอาจจะใช่ แต่ข้อสองฉันไม่ยอมรับเด็ดขาด!!”
“เหตุผลข้อสุดท้าย
เลือด” บัสทำเป็นไม่สนใจราวกับจะยั่วโมโห พลางชูเสื้อคลุมสีดำในมือ “นี่คือเสื้อคลุมที่คนร้ายใส่ตอนปฏิบัติการ ผมได้มันมาจากเคาน์เตอร์เก็บขยะหลังจากที่ได้เห็นภาพในกล้องวงจรปิดตอนที่กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ
”
“อย่าบอกนะว่าในห้องน้ำมันถ่ายภาพของเราตลอด” ชายหนุ่มมาดคุณหนูพูดประหยัดคำอย่างสับสน เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากเขาแบบกลั้นไม่อยู่ จึงเป็นเธอที่ต้องแถลงไขความจริงก่อนที่มันจะไปไกลกว่าเดิม
“ไม่ใช่หรอกค่ะ คือ
จะว่ายังไงดีล่ะคะ เอาเป็นว่า ถ้าคุณเคยเข้าห้องน้ำของที่นี่มันจะมีปุ่มฉุกเฉินเอาไว้เผื่อเวลาคับขันหากเกิดเรื่องในห้องน้ำ เมื่อผู้ใช้กดมันเมื่อไหร่กล้องวงจรปิดตัวเล็กที่ฝังอยู่ในกำแพงจะทำงานทันที จึงเก็บภาพได้เฉพาะช่วงหลัง ๆ ตอนที่คนที่ถูกทำร้ายรู้สึกตัวน่ะค่ะ”
“อ้าว!! แล้วอย่างนี้ทำไมลุงที่ห้องควบคุมอะไรของเจ้าหนูนั่นถึงไม่ขอความช่วยเหลือล่ะ ในเมื่อรู้อยู่นี่นา” ครานี้หญิงสาวในชุดลูกไม้เป็นคนยิงคำถาม ทำให้คนแอบหัวเราะรู้สึกเอือมระอากับผู้ต้องสงสัยเจ้าปัญหาจริง ๆ
“ก็เป็นเพราะพวกผมเจอก่อนน่ะสิครับ พอลุงเขาจะออกมาดูผมก็ไปหาเขาพอดี เป็นอันผมเหนื่อยแทน” ว่าเสร็จก็ยิ้มแหย ๆ แบบที่ไม่มีใครเข้าใจ
“เรียนผู้โดยสารทุกท่าน
เนื่องจากสภาพอากาศมีเมฆมากอีกทั้งลมยังพัดแรงเป็นอุปสรรคแก่การลงจอด ทางสายการบินจึงใคร่ขออภัยในความล่าช้าและความไม่สะดวก คาดว่าประมาณห้านาทีเครื่องบินลำนี้จะถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ขอบคุณค่ะ” เสียงกล่าวขออภัยและบอกเวลาที่เหลืออันน้อยนิดดังขึ้น...
“ครับ เหลือเวลาไม่มาก คงจะได้เวลาปิดคดีนี้ให้จบเสียที
” เขาเปิดข้างในฮู้ดให้ทุกคนเห็น ชี้ไปตรงจุดที่มีคราบอะไรบางอย่าง “
พี่ ๆ ครับ คราบแดง ๆ นี่มันคืออะไร” คนหัวน้ำตาลขอความช่วยเหลือกับแอร์โฮสเตสทั้งสองที่ยืนอยู่หลังผู้ต้องสงสัย
ร่างเพรียวระหงเดินมาหาเด็กหนุ่มหน้าหล่อ ก่อนจะยิ้มยั่วยวนให้ แล้วสำรวจคราบที่ว่า
“เลือดค่ะ กลิ่นมันบอก” พนักงานสาวคนหนึ่งพูดขึ้น แถมการพยักหน้าอีกทีจากคนข้าง ๆ ตัวเธอ แล้วเดินจากไปด้วยรู้ว่าหมดหน้าที่ เป็นอันคอนเฟิร์มได้ว่ามันเป็นเลือดจริงแท้แน่นอน
“โอเคครับ สรุปแล้วมันคือเลือด
แต่ผมคงต้องถามคุณหน่อยนะครับ ว่าทำไมถึงมีเลือดที่เห็นในเสื้อคลุมอยู่บนหัวคุณ!!” หลักฐานสำคัญถูกเปิดเผยออกมาจนเรียกได้ว่า ‘ดิ้นไม่หลุด’ ร่างยักษ์เสยผมตัวเองหาคราบเลือดใหญ่ด้วยใบหน้าแดงแจ๋อย่างโกรธเคือง
“เหอะ มีตรงไหนล่ะฮะ ผมของฉันมันก็แดงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พูดอะไรไม่รู้จักคิด เด็กสมัยนี้ปัญญาทึบกันทุกคนมั้งเนี่ย” พีชค้อนขวับทันทีเมื่อสิ้นประโยค เธอเริ่มรู้สึกมีน้ำโห
ก็คำพูดเมื่อกี้เธอก็โดนด้วยนี่นา
ฝ่ายคนที่โดนด่าแล้วด่าอีกก็ชักร้อนเป็นไฟคอยราดน้ำดับมันลูกเดียว “โอ๊ะ คุณคงตาถั่วน่าดู กับไอ้แค่สีแดงเข้ม ๆ ในสีแดงปกติก็ยังมองไม่ออก ตอนที่คุณจัดการกับเสื้อคลุมก็คงเหมือนกัน ถ้าไม่รู้เรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับเลือด ผมก็จะบอกให้คุณฟังหน่อย
“เมื่อเลือดแข็งตัวสีมันจะเข้มขึ้น ๆ จนสุดท้ายอาจจะใกล้เคียงกับสีดำ ตอนแรกคุณคงถูกป้ายเลือดของคนที่คุณทำร้ายไว้ที่หัวจนมันไปเปื้อนเสื้อคลุม พอคุณจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย ระยะเวลาที่ผ่านมาไม่นานจึงทำให้เลือดยังคงมีสีเหมือนกับผมคุณ แต่ตอนนี้มันผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงสีเลือดจึงเริ่มเข้มขึ้นจนผมแยกออกว่าตรงไหนผมจริงตรงไหนย้อมไปด้วยเลือด
“ถ้าจะเอาให้แน่ แค่เทียบดูระหว่างเลือดที่อยู่บนหัวคุณกับเลือดของคนที่ถูกทำร้ายก็จะพบว่ามันเหมือนกัน” จากใบหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงเริ่มซีดลง ๆ เรื่อย ๆ
“จะโทษใครก็ไม่ได้นะครับ ในเมื่อตัวคุณทำตัวคุณเอง”
ปึก!!
“โถ ไม่เบานะเนี่ยเก่งจังเลย ไม่ทราบว่าน้องชื่ออะไรหรอ?” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกเหมือนดวงตาของหญิงสาวแสนน่ารักตรงหน้าทอประกายน่ากลัวชั่ววูบ
“ขอบคุณครับ บดินทร์ สินปัญญาทรัพย์ เรียกว่า บัส ก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างประหม่า ใบหน้ามีเลือดฝาดจาง ๆ
“จ๊ะ ว่าแต่เขาตายแล้วจริงหรือเปล่า”
“ครับ ตายแล้วครับ” คดีอาจจะจบ แต่เขากลับสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง
“ว้า น่าเสียดายจังเลย ทำไมคนเราถึงทำกันอย่างนี้ได้นะ” คุณชายที่เพิ่งหลุดจากกลุ่มผู้ต้องสงสัยเอียงคอชวนคุย
“นั่นสิครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องฆ่ากันเอง ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้เสมอ แต่ก็ใช่ว่าทางออกของมันคือการมอบความตายให้กับคนผู้นั้น สู้ช่วยกันหาวิธีนั้นจะดีกว่าไม่ใช่หรือ ชีวิตหนึ่งย่อมมีค่า การจะมาทำร้ายคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอผมก็จะไม่ยอมเด็ดขาด” เขาพูดไปเรื่อย ๆ ตามความคิดตนเอง สังคมสมัยนี้เรียกได้ว่าเสื่อมถอยเป็นอย่างมาก แม้สิ่งที่พูดไปมันดูห่างไกลจากการทำให้ได้จริงก็เถอะ เขาก็จะทำให้ถึงที่สุด “อีกไม่กี่นาทีเครื่องก็จะลงจอดแล้ว เชิญพวกคุณไปประจำที่จะดีกว่านะครับ”
“นั่นสินะ พวกฉันคงต้องไปก่อนแล้วล่ะ หวังว่าเราอาจจะได้เจอกันอีก” เธอเอ่ยบอกเป็นนัย ๆ ก่อนจะเดินหายลับตาไปพร้อมกับคุณชายทางทิศเดียวกับหนุ่มคนร้าย
“เฮ้อ” บดินทร์ถอนหายใจแล้วหาววอด ๆ อีกทีหนึ่ง เรียกค้อนวงโตจากเด็กสาวอีกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ได้เต็ม ๆ
“นี่นายคิดยังไงถึงไปบอกว่าเขาตายไปแล้วนะ ไม่เข้าใจจริง ๆ”
“ขี้เกียจตอบคำถามอีก ถ้าบอกว่าตายก็จบไง” เด็กหนุ่มปัดมือไปมากลางอากาศ นัยน์ตาสีมรกตแลดูอ่อนล้าแบบต้องการพักผ่อน แต่พอได้ฟังข้อสงสัยจากผู้ช่วยนักสืบก็จำต้องเบิ่งตาขึ้นเล็กน้อยแม้ในใจจะเริ่มควานหาคำตอบอย่างเร่งรีบ
“แล้วมันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ? การที่คนร้ายจะเข้าไปแทงผู้ชายคนนั้นได้ ก็เท่ากับว่าทั้งสองรู้จักกัน และอาจต้องการคุยอะไรบางอย่างจึงเข้าไปในห้องน้ำ ไม่อย่างนั้นคนร้ายจะเข้าไปได้ยังไง จริงมั้ยคะคุณบัสขา” เธอดัดเสียงแหลมประชด “อีกอย่างนะอะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น ทำไมสามคนที่ลุกออกจากที่ช่วงนั้นถึงต้องยืมมีดปอกผลไม้ด้วยล่ะ มันจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอ เหมือนกับจะช่วยกันปิดเลยนะ”
“น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน” เขาเอ่ยลอย ๆ มือขวาลูบคางอย่างใช้ความคิด มันคงไม่ง่ายแบบที่เธอบอกนั่นแหละ
“ช่างเถอะ ๆ ในเมื่อเจ้าตัวเขายอมรับแล้วจะไปคิดให้มันหนักหัวทำไมเล่า แต่จะว่าไปเครื่องบินลำนี้มันก็ดีแฮะ ขนาดพวกเรายืนคุยกันอยู่หน้าห้องน้ำตั้งนาน ยังไม่รู้สึกแปลก ๆ เลย” พีชชวนคุย
“อะไรนะ เธอพูดใหม่ซิ” บดินทร์ร้องลั่น ออกแรงกดหัวไหล่ของเด็กสาวอย่างแรง
“อะ...เอ่อ ไม่ต้องกดแรงขนาดนั้นก็ได้!! โอ๊ย ฉันก็แค่พูดว่า ‘ขนาดพวกเรายืนคุยกันอยู่หน้าห้องน้ำตั้งนาน ยังไม่รู้สึกแปลก ๆ เลย’ มีอะไรหรือเปล่า” เธอกัดฟันอย่างเจ็บปวด เรื่องที่ทำให้คนตรงหน้าเป็นถึงขนาดนี้คือเรื่องอะไรกัน
“ ‘พวกเรา’
หรอ?” คนประทุษร้ายหญิงพึมพำ ละมือออกจากหัวไหล่มนซึ่งถูกปกปิดด้วยเสื้อแขนตุ๊กตา สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เริ่มสะกิดใจ เธอเองก็เริ่มหลับตาเค้นความทรงจำเมื่อเห็นเค้าความวุ่นวายบางอย่างกำลังก่อตัว
ว่าแต่เขาตายแล้วจริงหรือเปล่า
พวกฉันคงต้องไปก่อนแล้วล่ะ
“!!!” นัยน์ตาสีมรกตเบิกโพลงไม่ต่างจากนัยน์ตาสีดำรัตติกาลของเด็กสาวข้าง ๆ
เสียทีเข้าให้แล้ว...
กรอด!! เสียงขบฟันดังประสานพร้อมกันสองเสียง เวลาที่เหลือไม่อาจพอสำหรับการวางแผน ในตอนนี้พวกเขาคงต้องลุยกันอย่างเดียว...ลุยไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น!!
ปึง!!
เมื่อหูยินเสียงประตูด้านหลังเปิดอย่างแรง สองผู้กระวนกระวายใจเป็นอันต้องชะงักเท้าหันกลับไปมองสองสมาชิกใหม่ หนึ่งเป็นหญิงสาวปริศนาในชุดแอร์โฮสเตสกับอีกหนึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากสภาพเป็นตายใกล้เคียงกัน...
ทั้งสี่ยืนจ้องหน้ากันสักพัก ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ จากสายตาของคนมาทีหลังทำให้ทุกคนต่างพอรู้กันเองในใจว่าเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีหมดแล้ว และคงไม่ต้องบอกว่าพวกเขาจะทำอะไรต่อไป...
นักสืบจำเป็นออกเดินนำไปช่วงตัวหนึ่งก่อนจะหยุดแล้วเอ่ยกำชับพวกที่เหลือเสียงแข็ง
“เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้เราต้องตามพวกนั้นไป...ด่วน!!”
หลังจากทั้งสี่ตั้งใจลุยแบบไม่มีทางถอยกลับ พวกเขาจึงไปตรวจสอบห้องที่ใช้ขังคนร้ายไว้ชั่วคราว และพบว่าร่างใหญ่ที่สมควรจะนั่งอยู่ได้หายไป เหลือเพียงสองสาวแอร์โฮสเตสที่ต้องเฝ้าชายหนุ่มกำลังนอนหมดสติอยู่บนพื้น ซึ่งในขณะที่กำลังตามหาสามผู้ก่อความปั่นป่วนขนานหนักนั้นก็เป็นเวลาที่เครื่องบินลงจอดบนภาคพื้นดินโดยสวัสดิภาพ
ความทรงจำเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเริ่มแย่งกันแสดงอยู่ในหัวจนเจ้าของชักเริ่มไม่สบอารมณ์ทั้งเรื่องภายนอกและในจิตใจ...
ในตอนนั้นพวกเขาเลือกที่จะวิ่งวุ่นหาคนทั้งสามจนลืมสนใจสิ่งรอบตัว ถ้าเพียงแต่เขาจะใจเย็นอีกสักนิดไปดักรอเจ้าพวกคิดคบกันทำเรื่องเลวที่ทางออกบางทีเรื่องมันอาจจะไม่บานปลายถึงเพียงนี้ เพราะการฆาตรกรรมที่ไร้ซึ่งการวางแผนบนเครื่องบินมันคงจะดีหากให้จำนวนคนรับทราบเรื่องราวมีน้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความตระหนกตกใจจนพนักงานหัวหมุน แล้วใคร ๆ ก็รู้ว่าคนไทยขึ้นชื่อเรื่องการพูดกันปากต่อปากขนาดไหน ขืนเรื่องหลุดถึงผู้โดยสารแม้เพียงคนเดียว...
ไม่แน่...ทุกคนอาจรู้กันถ้วนหน้า
ไม่ช้า...ก็เร็ว
คิดถึงความไม่รอบคอบของตนได้อีกอย่างก็เรียกเสียงถอนหายใจจากปากของเด็กหนุ่มอดีตนักสืบจำเป็น และคงได้รับตำแหน่งเป็นตำรวจชั่วคราวเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างไม่ต้องสงสัย
“ให้ตายสิ ทำไมวันนี้คนมันน้อยจังนะ ยามสักคนยังไม่เห็นโผล่หัวออกมาเลย มันผิดปกติเกินไปจริง ๆ สงสัยงานนี้คงจะพึ่งใครไม่ได้ ยังไงก็ต้องลองดูกันซักตั้ง” เขาบ่นอุบอิบเรียกกำลังใจ และตระหนักถึงภาระที่ต้องแบกรับ พึ่งจะมาเข้าใจก็วันนี้ว่าระหว่าง...ฮีโร่ กับ คนทั่วไป มันก็แทบไม่ได้แตกต่างอะไร เพียงแต่คนที่คิดจะช่วยเหลือแล้วทำสำเร็จจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ฮีโร่’ ก็เท่านั้น...
“นาย
‘เธอนั่นแหละพีชมัวแต่ว่าคนอื่นอยู่ได้ วิ่งตามไม่ทันแถมยังจะมาสั่งอีก นี่กะจะหวังพึ่งฉันอย่างเดียวใช่ไหมหา!’
บัสวิ่งพลางด่าเพื่อนสาวไปพลางอย่างสะใจด้วยอยากระบายเต็มที่ แรงปะทะจากสายลมทำให้รู้ว่าตั้งแต่ที่เขาออกฝีเท้ามานั้นแรงยังไม่ตกเลยสักนิด!
ตี๊ด ๆ ตี๊ด ๆ!
“หืม เจ้าพวกนั้นมันจะทำอะไรน่ะ” นัยน์ตาสีมรกตส่อเค้าแปลกใจเมื่อเห็นกลุ่มคนข้างหน้าเริ่มลนลานขณะคุยโทรศัพท์ที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวครับหัวหน้า!” ชายในมาดคุณหนูส่งเสียงดังจนคล้ายตะคอกใส่บุคคลปลายสาย หากมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเมื่อคนที่ถูกเรียกว่า ‘หัวหน้า’ ตัดสายไปเสียดื้อ ๆ กระนั้นทั้งสามคนก็มีท่าทีเปลี่ยนไปจนเขาเองยังเดาไม่ออก
แต่ความน่าสงสัยไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้เมื่อร่างยักษ์เจ้าของเสื้อรูปกุญแจกลางหลังวาดเท้าเป็นวงกลมหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับเด็กหนุ่มกันทางให้อีกสองคนที่เหลือหนีไป
งานนี้ท่าจะไม่หมูซะแล้วสิ
“ฉันไม่ยอมปล่อยให้แกตามพวกนั้นไปเด็ดขาด ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
ทำไมถึงเปลี่ยนแผน?
“อย่ามัวแต่เหม่อ คนที่ขัดพวกเราไม่มีใครได้ตายดีหรอกนะ”
อะไรนะ? นี่พี่แกกะจะเล่นถึงตายเลยหรอเฮ้ย
วิ้ววว! เสียงลมดังอื้ออึงอยู่ในโสตประสาทการได้ยิน ทั้งสองต่างยืนนิ่งเรียกสติสัมปชัญญะรวมถึงเค้นสัมผัสทั้งห้าให้ตื่นตัวเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ เรือนผมสีน้ำตาลไหม้เริ่มไหวไปมาราวกับจะช่วยบรรเทาความตึงเครียด นัยน์ตาสีมรกตค่อย ๆ ปรือปิดลงอย่างเชื่องช้า
ก่อนจะเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น!
“เริ่ม!”
“ร้องไห้กลับบ้านไปจะยังดีกว่ามั้ง ไอ้หนู” สัญญาณแห่งการต่อสู้ได้ถูกจุดขึ้นตามมาด้วยการพุ่งตัวย่นระยะเข้าประชิด ซึ่งความเร็วของศัตรูมันกลับแตกต่างจากขนาดร่างโดยสิ้นเชิง!
“คำพูดนั้นมันควรจะเป็นของฉัน
ไม่ใช่ของแก” น้ำเสียงเย็นชาไม่เหมือนเคยถูกส่งออกไปพร้อมกับท่อนแขนที่ยกขึ้นกันหมัดหนัก ๆ ได้อย่างทันท่วงที
ชายหนุ่มรีบชักมือกลับแล้วส่งกำปั้นขวามาจ่อใกล้หน้าชนิดที่จะสั่งเสียสักคำยังไม่รอด
แต่บัสยังคงยืนนิ่ง
มีเพียงนัยน์ตาสีทองอร่ามจากข้างซ้ายที่ทอประกายจ้าชั่ววูบ
อั๊ก!
กระแสลมพัดผ่านทะลายความเงียบที่เริ่มก่อตัว ไม่มีใครรู้เลยว่าเวลาที่ผ่านไปไม่กี่วินาทีนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เหลือแต่ร่างใหญ่ยักษ์ของศัตรูทีตาเหลือกลงไปกองอยู่กลางลานสนามบินโดยไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นแต่อย่างใด
ความคิดเห็น