ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZAXCHER แสงสว่างแห่งจันทรา

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 3 : OF กลับหัว? (ตอนแรก)

    • อัปเดตล่าสุด 24 มิ.ย. 51


                “พีช มีคนส่งอะไรมาให้หรือเปล่า?” เขาถามหาหลักฐานชิ้นสุดท้ายจากเด็กสาว

                ไม่คิดว่าคนที่ดีแต่ปากอย่างนายจะจริงจังกับเขาเป็นด้วยเธอซึ่งจับน้ำเสียงสงบนิ่งจริงจังของเพื่อนชายข้างตัวได้ ก็ไม่วายนึกคึกหันไปแหย่เล่นอย่างสะใจที่สามารถกัดเขาตามแบบฉบับคู่อริ หากไม่มีการเถียงกลับมาดั่งที่ควรจะเป็นเด็กสาวจึงหน้ายู่ยี่ลงทันใด พร้อมกับเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชันไม่สบอารมณ์

                ย่ะได้สิ เหอะ ไม่มีมือมีแขนหรือไงฮะ ถึงได้ใช้คนอื่นให้ทำแทนเนี่ย

                คำกล่าวที่เธอได้รับแต่สายตาดุคาดโทษเต็มที่ เผลอยื่นเสื้อคลุมสีดำจากพนักงานให้กับเด็กชายอย่างหวาด ๆ

                “…อืม…” บัสครางในลำคอแผ่วเบา มือขวารับเสื้อคลุมเจ้าปัญหามาพินิจพิจารณาสำรวจอะไรบางอย่างบางอย่างที่ยืนยันให้มั่นใจว่าสิ่งที่เขาสันนิษฐานนั้นมันไม่ผิด เด็กหนุ่มค่อย ๆ เลิกฮู้ดสวมหัวขึ้นพลางเพ่งมอง ก่อนนัยน์ตาสีมรกตจะส่องประกายเมื่อพบกับคราบสีแดง ๆ ตรงช่วงบนของมัน

                คราบของเหลวชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต มันมีชื่อว่าเลือด!!

                เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เชิดหน้าขึ้นกวาดมองไปยังหนึ่งในสามผู้ต้องสงสัยคนที่เขาเล็งเอาไว้

                หลักฐานยังไม่ชัดพอบัสท่องคำนี้ในใจเตือนสติอย่าให้วู่วาม เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงสี่นาทีแล้วด้วยซ้ำก่อนเครื่องบินจะลงจอด

    นั่น!! ต้องใช่แน่ ๆเสียงร้องยินดีโห่ลั่นขึ้นภายในหัว หลังจากการสำรวจหาหลักฐานมาอ้างอิง เขาก็พบมันอยู่กับตัวคนร้ายเองเสียด้วย

    เงียบกันไปชั่วอึดใจ ก็มีคนโพล่งออกมาอย่างเหลืออด

    ถ้ามัวแต่นิ่งอยู่อย่างนี้ แล้วมันจะรู้ตัวคนทำมั้ยฮะ!! เป็นเด็กแล้วเสือกสะเออะมาเป็นนักสืบ คิดว่าเก่งมาจากไหน? ผลสรุปเป็นยังไงล่ะ สุดท้ายก็หาตัวไม่ได้เสียที เสียเวลาคนอื่นเปล่า ๆ น่ารำคาญชายหนุ่มหัวแดงร่างใหญ่เดินตรงมากระชากเสื้อเขาให้ตัวลอย ขึ้นเสียงตะโกนอย่างคนหมดความอดทน

    ว่าไง? มืดแปดด้านล่ะสิ ที่แท้ก็ท่าดีทีเหลว ห่วยแตก แต่ก็อย่างว่าเป็นแค่เด็ก อภัยให้หน่อยก็ละกันท่อนหลังปรับเสียงให้เบาเต็มไปด้วยการดูถูก พีชเหล่มามองอย่างเห็นใจ แต่นัยน์ตาสีดำขลับของเธอก็ต้องสะดุดอยู่ที่ริมฝีปากเด็กหนุ่มซึ่งกำลังพรายยิ้มเหี้ยม

    เป็นอะไรของเขากันนะในหัวเธอเต็มไปด้วยความสงสัยระคนงุนงง

    บัสถอนหายใจขณะร่างยังคงอยู่เหนือพื้น นัยน์ตาสีมรกตฉายแววแข็งกร้าว มือทั้งสองออกแรงแกะมือใหญ่กว่าจนหลุดจากพันธนาการแล้วปัดมันทิ้ง ขอบคุณสำหรับหลักฐานชิ้นสุดท้าย...” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนเรียบนิ่งข่มความโกรธที่ใกล้ปะทุ “...ผมรู้ตัวคนร้ายแล้ว

    ใคร? ใครหน้าไหนที่เป็นคนทำเรื่องนี้ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน ถ้าแกรู้จริงอย่างที่ปากแกว่า ก็บอกมาเร็ว ๆคำรบเร้าที่อีกสองคนตีสีหน้าเห็นด้วยเต็มที่ เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจกับความกระดากห้าวไร้ที่ติของชายหนุ่มเจ้าของเสื้อรูปกุญแจ

    จะใครซะอีกล่ะ...ถ้าไม่ใช่คุณ เขาว่าพลางชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว แล้วเดินวนไปรอบตัวคนที่ถูกกล่าวหาว่าเกือบเป็นฆาตกรเหตุผลข้อแรก...เรื่องช่วงเวลา

    “…คุณทั้งสามคงจะทราบกันดีแล้วว่าเหตุใดผมจึงเรียกตัวพวกคุณมา ในเวลาเกิดเหตุช่วงห้านาทีนั้นมีเพียงแค่พวกคุณเท่านั้นที่ไม่ได้ประจำที่ของตัวเอง ยืนยันได้จากลุงเจ้าของห้องควบคุมผู้ตรวจเช็กรหัสการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือของแต่ละบุคคล ถูกหรือเปล่าครับ?” นักสืบจำเป็นเริ่มร่ายยาวพร้อมกับคำถามโดยไม่เปิดช่องว่างให้ใครได้อ้าปากย้อน ซึ่งทั้งสามก็พยักหน้าตอบกลับมา

    “ต่อมา เหตุผลข้อที่สอง…เรื่องปริศนา” พูดถึงตรงนี้คนฟังทุกคนก็เริ่มขมวดคิ้วไม่เว้นแม้แต่เธอ

    “ครับ ถึงจุดนี้ทุก ๆ คนอาจจะงงกันอยู่บ้าง ผมจึงขอให้ฟังจนจบก่อนแล้วค่อยถาม เพราะสิ่งที่ผมได้ยินมามันคือ…ไดอิ้งเมสเสจ”

    จึก!!

    ส้นรองเท้าส้นสูงและปลายหัวรองเท้าหนังของหญิงสาวน่ารักกับชายหนุ่มมาดคุณหนูกระทบพื้นเสียงดัง ลมหายใจสะดุดกึก

    “ใช่ครับ หมายความว่าผู้ถูกทำร้ายตายแล้ว ผมเป็นคนตรวจด้วยตัวเอง” เด็กหนุ่มเอ่ยปิดทุกหนทางในการถาม

    “ถ้าอย่างนั้นก็ลองบอกปริศนามาว่ามันคืออะไร เอาให้ชัด แก้ให้ถูก มากล่าวหาว่าฉันเป็นคนทำเรื่องชั่ว ๆ แบบนี้ เกิดหลักฐานไม่ดีพอ เตรียมไปนอนโรงพักได้เลยไอ้เด็กเมื่อวานซืน”

    …ทั้ง ๆ ที่ก็ยังไม่รู้ นายจะโกหกไปเพื่ออะไรกัน… เด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวยืนใช้ความคิด

    “กรุณาฟังให้จบ แล้วคุณจะรู้ว่าใครกันแน่ที่จะต้องเข้าโรงพัก” น้ำเสียงเฉียบขาดเรียกความขาวซีดให้ขึ้นบนใบหน้ากร้าน “ก่อนที่คน ๆ นั้นจะตายยังได้พูดคำ ๆ หนึ่งเอาไว้กับผม ซึ่งมันต้องเป็นไดอิ้งเมสเสจอย่างไม่ต้องสงสัย

    “ไดอิ้งเมสเสจคือ…O F (โอ เอฟ) กลับหัว”

    “เอ๋” หญิงสาวหนึ่งเดียวในผู้ต้องสงสัยอุทานออกมาด้วยสีหน้างงงวย เขาหันไปยิ้มให้บาง ๆ แล้วจึงไขปริศนาให้ฟัง

    “อื้ม…มันหมายถึงอะไรกันน้า ชื่อคน? ก็ไม่น่าใช่…นามสกุล? ยิ่งแปลกไปใหญ่”

    “อ้าว!! สรุปมันคืออะไรล่ะ?” พีชเผลอร้องขัด

    “อ๊ะ ๆ อย่าเพิ่งตกใจ…” บัสกล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ได้ยั่วคนแม้จะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม “หลังจากผมแก้ปริศนานี้ได้ จึงได้รู้ว่ามันเป็น…รูปภาพ”

    “รูปภาพ?” ร่างในชุดสูทขาว-ดำทวนคำ

    “ใช่ครับ ส่วนวิธีแก้ก็ตรงตามคำพูดอย่างที่ได้ยินกันไป ก็แค่กลับหัวมันเท่านั้นเองไม่ต้องคิดอะไรมาก”

    “กลับแล้วมันจะได้อะไรล่ะ…” เธอว่าพลางวาดนิ้วกลางอากาศเป็นตัวโอและเอฟกลับหัวในแนวนอน แต่มันก็ไม่ได้เป็นภาพที่คุ้นตา “…สรุปมันต้องทำยังไงกันแน่เนี่ย  ถ้านายยังไม่บอกอีก ฉันจะเดินไปตบนายเดี๋ยวนี้แหละบัส” 

    “ก็ใช่อยู่ แต่มันไม่ได้เขียนในแนวนอนหรอก มันเขียนในแนวตั้งต่างหาก อย่างนี้ไง…” สิ้นคำพูด นิ้วชี้ของเขาก็เริ่มลากเป็นตัวอักษรทั้งสองกลับหัวในแนวตั้ง หากเขียนจบก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจเลยสักคน เป็นเหตุให้คนเฉลยต้องพูดขยายความต่อให้จบ

    “พอได้อย่างที่เห็น ก็นำมันมาต่อกันสิคร้าบ โอเคแล้วนะ ถ้ายังไม่เข้าใจอีกก็แย่แล้ว” หลังจากพีชฟังเขาลากเสียง เธอก็ลองวาดมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ทำให้มันติดกันจนเกิดเป็นรูปอะไรบางอย่าง รูปที่เห็นแล้วต้องร้องอ๋อทันทีว่าทำไมชายหนุ่มร่างใหญ่จึงเป็นคนร้าย…รูปกุญแจยังไงล่ะ!!

    เมื่อเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย สายตาทุกคู่จึงหันมาจ้องผู้ถูกกล่าวหาอย่างพร้อมเพรียง หลักฐานที่ว่ามาแต่ละข้อทั้งหมด มีน้ำหนักพอทำให้คนอื่น ๆ เชื่อนักสืบคนนี้ได้ไม่ยาก หากการดิ้นรนยังคงไม่จบเพียงเท่านั้น เจ้าของเสื้อรูปกุญแจเริ่มค้านหัวชนฝาเถียงกลับเต็มกำลัง

    “จะมากเกินไปแล้วนะ!! กับไอ้แค่ไดอิ้งเมสเสจติงต๊องแค่เนี๊ย แกอาจจะแต่งขึ้นมาเองก็ได้ใครจะไปรู้ แล้วก็ที่แกพูดมาทั้งหมด ฉันก็ยังไม่เห็นเลยสักข้อที่มันจะบ่งชี้มาที่ฉันว่าเป็นคนร้ายจริง ๆ แม้ข้อแรกอาจจะใช่ แต่ข้อสองฉันไม่ยอมรับเด็ดขาด!!

    “เหตุผลข้อสุดท้าย…เลือด” บัสทำเป็นไม่สนใจราวกับจะยั่วโมโห พลางชูเสื้อคลุมสีดำในมือ “นี่คือเสื้อคลุมที่คนร้ายใส่ตอนปฏิบัติการ ผมได้มันมาจากเคาน์เตอร์เก็บขยะหลังจากที่ได้เห็นภาพในกล้องวงจรปิดตอนที่กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ…”

    “อย่าบอกนะว่าในห้องน้ำมันถ่ายภาพของเราตลอด” ชายหนุ่มมาดคุณหนูพูดประหยัดคำอย่างสับสน เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากเขาแบบกลั้นไม่อยู่ จึงเป็นเธอที่ต้องแถลงไขความจริงก่อนที่มันจะไปไกลกว่าเดิม

    “ไม่ใช่หรอกค่ะ คือ…จะว่ายังไงดีล่ะคะ เอาเป็นว่า ถ้าคุณเคยเข้าห้องน้ำของที่นี่มันจะมีปุ่มฉุกเฉินเอาไว้เผื่อเวลาคับขันหากเกิดเรื่องในห้องน้ำ เมื่อผู้ใช้กดมันเมื่อไหร่กล้องวงจรปิดตัวเล็กที่ฝังอยู่ในกำแพงจะทำงานทันที จึงเก็บภาพได้เฉพาะช่วงหลัง ๆ ตอนที่คนที่ถูกทำร้ายรู้สึกตัวน่ะค่ะ”

    “อ้าว!! แล้วอย่างนี้ทำไมลุงที่ห้องควบคุมอะไรของเจ้าหนูนั่นถึงไม่ขอความช่วยเหลือล่ะ ในเมื่อรู้อยู่นี่นา” ครานี้หญิงสาวในชุดลูกไม้เป็นคนยิงคำถาม ทำให้คนแอบหัวเราะรู้สึกเอือมระอากับผู้ต้องสงสัยเจ้าปัญหาจริง ๆ

    “ก็เป็นเพราะพวกผมเจอก่อนน่ะสิครับ พอลุงเขาจะออกมาดูผมก็ไปหาเขาพอดี เป็นอันผมเหนื่อยแทน” ว่าเสร็จก็ยิ้มแหย ๆ แบบที่ไม่มีใครเข้าใจ…

    “เรียนผู้โดยสารทุกท่าน…เนื่องจากสภาพอากาศมีเมฆมากอีกทั้งลมยังพัดแรงเป็นอุปสรรคแก่การลงจอด ทางสายการบินจึงใคร่ขออภัยในความล่าช้าและความไม่สะดวก คาดว่าประมาณห้านาทีเครื่องบินลำนี้จะถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ขอบคุณค่ะ” เสียงกล่าวขออภัยและบอกเวลาที่เหลืออันน้อยนิดดังขึ้น...

    “ครับ เหลือเวลาไม่มาก คงจะได้เวลาปิดคดีนี้ให้จบเสียที…” เขาเปิดข้างในฮู้ดให้ทุกคนเห็น ชี้ไปตรงจุดที่มีคราบอะไรบางอย่าง “…พี่ ๆ ครับ คราบแดง ๆ นี่มันคืออะไร” คนหัวน้ำตาลขอความช่วยเหลือกับแอร์โฮสเตสทั้งสองที่ยืนอยู่หลังผู้ต้องสงสัย

    ร่างเพรียวระหงเดินมาหาเด็กหนุ่มหน้าหล่อ ก่อนจะยิ้มยั่วยวนให้ แล้วสำรวจคราบที่ว่า

    “เลือดค่ะ กลิ่นมันบอก” พนักงานสาวคนหนึ่งพูดขึ้น แถมการพยักหน้าอีกทีจากคนข้าง ๆ ตัวเธอ แล้วเดินจากไปด้วยรู้ว่าหมดหน้าที่ เป็นอันคอนเฟิร์มได้ว่ามันเป็นเลือดจริงแท้แน่นอน

    “โอเคครับ สรุปแล้วมันคือเลือด…แต่ผมคงต้องถามคุณหน่อยนะครับ ว่าทำไมถึงมีเลือดที่เห็นในเสื้อคลุมอยู่บนหัวคุณ!!” หลักฐานสำคัญถูกเปิดเผยออกมาจนเรียกได้ว่า ดิ้นไม่หลุด ร่างยักษ์เสยผมตัวเองหาคราบเลือดใหญ่ด้วยใบหน้าแดงแจ๋อย่างโกรธเคือง

    “เหอะ มีตรงไหนล่ะฮะ ผมของฉันมันก็แดงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พูดอะไรไม่รู้จักคิด เด็กสมัยนี้ปัญญาทึบกันทุกคนมั้งเนี่ย” พีชค้อนขวับทันทีเมื่อสิ้นประโยค เธอเริ่มรู้สึกมีน้ำโห…ก็คำพูดเมื่อกี้เธอก็โดนด้วยนี่นา…

    ฝ่ายคนที่โดนด่าแล้วด่าอีกก็ชักร้อนเป็นไฟคอยราดน้ำดับมันลูกเดียว “โอ๊ะ คุณคงตาถั่วน่าดู กับไอ้แค่สีแดงเข้ม ๆ ในสีแดงปกติก็ยังมองไม่ออก ตอนที่คุณจัดการกับเสื้อคลุมก็คงเหมือนกัน ถ้าไม่รู้เรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับเลือด ผมก็จะบอกให้คุณฟังหน่อย…

    “เมื่อเลือดแข็งตัวสีมันจะเข้มขึ้น ๆ จนสุดท้ายอาจจะใกล้เคียงกับสีดำ ตอนแรกคุณคงถูกป้ายเลือดของคนที่คุณทำร้ายไว้ที่หัวจนมันไปเปื้อนเสื้อคลุม พอคุณจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย ระยะเวลาที่ผ่านมาไม่นานจึงทำให้เลือดยังคงมีสีเหมือนกับผมคุณ แต่ตอนนี้มันผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงสีเลือดจึงเริ่มเข้มขึ้นจนผมแยกออกว่าตรงไหนผมจริงตรงไหนย้อมไปด้วยเลือด…

    “ถ้าจะเอาให้แน่ แค่เทียบดูระหว่างเลือดที่อยู่บนหัวคุณกับเลือดของคนที่ถูกทำร้ายก็จะพบว่ามันเหมือนกัน” จากใบหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงเริ่มซีดลง ๆ เรื่อย ๆ

    “จะโทษใครก็ไม่ได้นะครับ ในเมื่อตัวคุณทำตัวคุณเอง”

    ปึก!!

    ชายหนุ่มร่างใหญ่ทรุดฮวบลงกับพื้น ก่อนจะถูกมัดด้วยเชือกจากน้ำมือของสองสาวแอร์โฮสเตสผู้ที่ไม่รู้เอาเชือกมาตอนไหน จากนั้นพวกเธอจึงพาคนร้ายไปขังไว้ในห้องใกล้ ๆ

    “โถ ไม่เบานะเนี่ยเก่งจังเลย ไม่ทราบว่าน้องชื่ออะไรหรอ?” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกเหมือนดวงตาของหญิงสาวแสนน่ารักตรงหน้าทอประกายน่ากลัวชั่ววูบ

    “ขอบคุณครับ บดินทร์ สินปัญญาทรัพย์ เรียกว่า บัส ก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างประหม่า ใบหน้ามีเลือดฝาดจาง ๆ

    จ๊ะ ว่าแต่เขาตายแล้วจริงหรือเปล่า

                ครับ ตายแล้วครับ คดีอาจจะจบ แต่เขากลับสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง

                ว้า น่าเสียดายจังเลย ทำไมคนเราถึงทำกันอย่างนี้ได้นะ คุณชายที่เพิ่งหลุดจากกลุ่มผู้ต้องสงสัยเอียงคอชวนคุย

    นั่นสิครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องฆ่ากันเอง ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้เสมอ แต่ก็ใช่ว่าทางออกของมันคือการมอบความตายให้กับคนผู้นั้น สู้ช่วยกันหาวิธีนั้นจะดีกว่าไม่ใช่หรือ ชีวิตหนึ่งย่อมมีค่า การจะมาทำร้ายคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอผมก็จะไม่ยอมเด็ดขาด เขาพูดไปเรื่อย ๆ ตามความคิดตนเอง สังคมสมัยนี้เรียกได้ว่าเสื่อมถอยเป็นอย่างมาก แม้สิ่งที่พูดไปมันดูห่างไกลจากการทำให้ได้จริงก็เถอะ เขาก็จะทำให้ถึงที่สุด อีกไม่กี่นาทีเครื่องก็จะลงจอดแล้ว เชิญพวกคุณไปประจำที่จะดีกว่านะครับ

    นั่นสินะ พวกฉันคงต้องไปก่อนแล้วล่ะ หวังว่าเราอาจจะได้เจอกันอีก เธอเอ่ยบอกเป็นนัย ๆ ก่อนจะเดินหายลับตาไปพร้อมกับคุณชายทางทิศเดียวกับหนุ่มคนร้าย

    เฮ้อ บดินทร์ถอนหายใจแล้วหาววอด ๆ อีกทีหนึ่ง เรียกค้อนวงโตจากเด็กสาวอีกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ได้เต็ม ๆ

    นี่นายคิดยังไงถึงไปบอกว่าเขาตายไปแล้วนะ ไม่เข้าใจจริง ๆ

    ขี้เกียจตอบคำถามอีก ถ้าบอกว่าตายก็จบไง เด็กหนุ่มปัดมือไปมากลางอากาศ นัยน์ตาสีมรกตแลดูอ่อนล้าแบบต้องการพักผ่อน แต่พอได้ฟังข้อสงสัยจากผู้ช่วยนักสืบก็จำต้องเบิ่งตาขึ้นเล็กน้อยแม้ในใจจะเริ่มควานหาคำตอบอย่างเร่งรีบ

    แล้วมันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ? การที่คนร้ายจะเข้าไปแทงผู้ชายคนนั้นได้ ก็เท่ากับว่าทั้งสองรู้จักกัน และอาจต้องการคุยอะไรบางอย่างจึงเข้าไปในห้องน้ำ ไม่อย่างนั้นคนร้ายจะเข้าไปได้ยังไง จริงมั้ยคะคุณบัสขาเธอดัดเสียงแหลมประชด อีกอย่างนะอะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น ทำไมสามคนที่ลุกออกจากที่ช่วงนั้นถึงต้องยืมมีดปอกผลไม้ด้วยล่ะ มันจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอ เหมือนกับจะช่วยกันปิดเลยนะ

    น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน เขาเอ่ยลอย ๆ มือขวาลูบคางอย่างใช้ความคิด มันคงไม่ง่ายแบบที่เธอบอกนั่นแหละ

    ช่างเถอะ ๆ ในเมื่อเจ้าตัวเขายอมรับแล้วจะไปคิดให้มันหนักหัวทำไมเล่า แต่จะว่าไปเครื่องบินลำนี้มันก็ดีแฮะ ขนาดพวกเรายืนคุยกันอยู่หน้าห้องน้ำตั้งนาน ยังไม่รู้สึกแปลก ๆ เลย พีชชวนคุย

    อะไรนะ เธอพูดใหม่ซิ บดินทร์ร้องลั่น ออกแรงกดหัวไหล่ของเด็กสาวอย่างแรง

    อะ...เอ่อ ไม่ต้องกดแรงขนาดนั้นก็ได้!! โอ๊ย ฉันก็แค่พูดว่า ขนาดพวกเรายืนคุยกันอยู่หน้าห้องน้ำตั้งนาน ยังไม่รู้สึกแปลก ๆ เลยมีอะไรหรือเปล่าเธอกัดฟันอย่างเจ็บปวด เรื่องที่ทำให้คนตรงหน้าเป็นถึงขนาดนี้คือเรื่องอะไรกัน

    “ ‘พวกเรา’…หรอ? คนประทุษร้ายหญิงพึมพำ ละมือออกจากหัวไหล่มนซึ่งถูกปกปิดด้วยเสื้อแขนตุ๊กตา สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เริ่มสะกิดใจ เธอเองก็เริ่มหลับตาเค้นความทรงจำเมื่อเห็นเค้าความวุ่นวายบางอย่างกำลังก่อตัว

    ว่าแต่เขาตายแล้วจริงหรือเปล่า

    พวกฉันคงต้องไปก่อนแล้วล่ะ

    “!!!” นัยน์ตาสีมรกตเบิกโพลงไม่ต่างจากนัยน์ตาสีดำรัตติกาลของเด็กสาวข้าง ๆ

    เสียทีเข้าให้แล้ว...

    กรอด!! เสียงขบฟันดังประสานพร้อมกันสองเสียง เวลาที่เหลือไม่อาจพอสำหรับการวางแผน ในตอนนี้พวกเขาคงต้องลุยกันอย่างเดียว...ลุยไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น!!

    ปึง!!

    เมื่อหูยินเสียงประตูด้านหลังเปิดอย่างแรง สองผู้กระวนกระวายใจเป็นอันต้องชะงักเท้าหันกลับไปมองสองสมาชิกใหม่ หนึ่งเป็นหญิงสาวปริศนาในชุดแอร์โฮสเตสกับอีกหนึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากสภาพเป็นตายใกล้เคียงกัน...

    ทั้งสี่ยืนจ้องหน้ากันสักพัก ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ จากสายตาของคนมาทีหลังทำให้ทุกคนต่างพอรู้กันเองในใจว่าเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีหมดแล้ว และคงไม่ต้องบอกว่าพวกเขาจะทำอะไรต่อไป...

    นักสืบจำเป็นออกเดินนำไปช่วงตัวหนึ่งก่อนจะหยุดแล้วเอ่ยกำชับพวกที่เหลือเสียงแข็ง

    เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้เราต้องตามพวกนั้นไป...ด่วน!!”

     

    ปัจจุบัน

    ปัดโธ่เว้ยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ดังขึ้น ตามมาด้วยคำสบถระลอกใหญ่จากคนตัวสูง เหงื่อไหลย้อยอาบทั่วใบหน้าขาวแต่สองเท้ายังคงวิ่งไล่ตามเป้าหมายที่ระยะห่างลดลงมาครึ่งหนึ่ง นัยน์ตาสีมรกตไหววูบไปชั่วเสี้ยววินาทีเมื่อนึกถึงความสะเพร่างี่เง่าของตนที่ได้ใจคิดว่าการสันนิษฐานนั้นถูกต้องทุกอย่าง

              หลังจากทั้งสี่ตั้งใจลุยแบบไม่มีทางถอยกลับ พวกเขาจึงไปตรวจสอบห้องที่ใช้ขังคนร้ายไว้ชั่วคราว และพบว่าร่างใหญ่ที่สมควรจะนั่งอยู่ได้หายไป เหลือเพียงสองสาวแอร์โฮสเตสที่ต้องเฝ้าชายหนุ่มกำลังนอนหมดสติอยู่บนพื้น ซึ่งในขณะที่กำลังตามหาสามผู้ก่อความปั่นป่วนขนานหนักนั้นก็เป็นเวลาที่เครื่องบินลงจอดบนภาคพื้นดินโดยสวัสดิภาพ

     ความทรงจำเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเริ่มแย่งกันแสดงอยู่ในหัวจนเจ้าของชักเริ่มไม่สบอารมณ์ทั้งเรื่องภายนอกและในจิตใจ...

    ในตอนนั้นพวกเขาเลือกที่จะวิ่งวุ่นหาคนทั้งสามจนลืมสนใจสิ่งรอบตัว ถ้าเพียงแต่เขาจะใจเย็นอีกสักนิดไปดักรอเจ้าพวกคิดคบกันทำเรื่องเลวที่ทางออกบางทีเรื่องมันอาจจะไม่บานปลายถึงเพียงนี้ เพราะการฆาตรกรรมที่ไร้ซึ่งการวางแผนบนเครื่องบินมันคงจะดีหากให้จำนวนคนรับทราบเรื่องราวมีน้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความตระหนกตกใจจนพนักงานหัวหมุน แล้วใคร ๆ ก็รู้ว่าคนไทยขึ้นชื่อเรื่องการพูดกันปากต่อปากขนาดไหน ขืนเรื่องหลุดถึงผู้โดยสารแม้เพียงคนเดียว...

    ไม่แน่...ทุกคนอาจรู้กันถ้วนหน้า

    ไม่ช้า...ก็เร็ว

              คิดถึงความไม่รอบคอบของตนได้อีกอย่างก็เรียกเสียงถอนหายใจจากปากของเด็กหนุ่มอดีตนักสืบจำเป็น และคงได้รับตำแหน่งเป็นตำรวจชั่วคราวเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างไม่ต้องสงสัย

                “ให้ตายสิ ทำไมวันนี้คนมันน้อยจังนะ ยามสักคนยังไม่เห็นโผล่หัวออกมาเลย มันผิดปกติเกินไปจริง ๆ สงสัยงานนี้คงจะพึ่งใครไม่ได้ ยังไงก็ต้องลองดูกันซักตั้งเขาบ่นอุบอิบเรียกกำลังใจ และตระหนักถึงภาระที่ต้องแบกรับ พึ่งจะมาเข้าใจก็วันนี้ว่าระหว่าง...ฮีโร่ กับ คนทั่วไป มันก็แทบไม่ได้แตกต่างอะไร เพียงแต่คนที่คิดจะช่วยเหลือแล้วทำสำเร็จจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น ฮีโร่ ก็เท่านั้น... 

                “นายบัส มัวทำอะไรอยู่น่ะ พวกนั้นห่างไปมากกว่าเดิมตั้งเยอะแล้วนะ” คนถูกต่อว่าสะดุ้งเฮือก ไม่ต้องหันกลับไปมองเจ้าของเสียงตะโกนก็รู้เลยว่าเป็นใคร

                เธอนั่นแหละพีชมัวแต่ว่าคนอื่นอยู่ได้ วิ่งตามไม่ทันแถมยังจะมาสั่งอีก นี่กะจะหวังพึ่งฉันอย่างเดียวใช่ไหมหา!’

                บัสวิ่งพลางด่าเพื่อนสาวไปพลางอย่างสะใจด้วยอยากระบายเต็มที่ แรงปะทะจากสายลมทำให้รู้ว่าตั้งแต่ที่เขาออกฝีเท้ามานั้นแรงยังไม่ตกเลยสักนิด!

                ตี๊ด ๆ ตี๊ด ๆ!

              “หืม  เจ้าพวกนั้นมันจะทำอะไรน่ะ” นัยน์ตาสีมรกตส่อเค้าแปลกใจเมื่อเห็นกลุ่มคนข้างหน้าเริ่มลนลานขณะคุยโทรศัพท์ที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้น

                “เดี๋ยวครับหัวหน้า!ชายในมาดคุณหนูส่งเสียงดังจนคล้ายตะคอกใส่บุคคลปลายสาย หากมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเมื่อคนที่ถูกเรียกว่า หัวหน้า ตัดสายไปเสียดื้อ ๆ กระนั้นทั้งสามคนก็มีท่าทีเปลี่ยนไปจนเขาเองยังเดาไม่ออก

                แต่ความน่าสงสัยไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้เมื่อร่างยักษ์เจ้าของเสื้อรูปกุญแจกลางหลังวาดเท้าเป็นวงกลมหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับเด็กหนุ่มกันทางให้อีกสองคนที่เหลือหนีไป

                งานนี้ท่าจะไม่หมูซะแล้วสิ

                “ฉันไม่ยอมปล่อยให้แกตามพวกนั้นไปเด็ดขาด ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”

                ทำไมถึงเปลี่ยนแผน?

              “อย่ามัวแต่เหม่อ คนที่ขัดพวกเราไม่มีใครได้ตายดีหรอกนะ”

                …อะไรนะ? นี่พี่แกกะจะเล่นถึงตายเลยหรอเฮ้ย…

                วิ้ววว! เสียงลมดังอื้ออึงอยู่ในโสตประสาทการได้ยิน ทั้งสองต่างยืนนิ่งเรียกสติสัมปชัญญะรวมถึงเค้นสัมผัสทั้งห้าให้ตื่นตัวเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ เรือนผมสีน้ำตาลไหม้เริ่มไหวไปมาราวกับจะช่วยบรรเทาความตึงเครียด นัยน์ตาสีมรกตค่อย ๆ ปรือปิดลงอย่างเชื่องช้า…ก่อนจะเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น!

              เริ่ม!

              “ร้องไห้กลับบ้านไปจะยังดีกว่ามั้ง ไอ้หนู” สัญญาณแห่งการต่อสู้ได้ถูกจุดขึ้นตามมาด้วยการพุ่งตัวย่นระยะเข้าประชิด ซึ่งความเร็วของศัตรูมันกลับแตกต่างจากขนาดร่างโดยสิ้นเชิง!

                “คำพูดนั้นมันควรจะเป็นของฉัน…ไม่ใช่ของแก” น้ำเสียงเย็นชาไม่เหมือนเคยถูกส่งออกไปพร้อมกับท่อนแขนที่ยกขึ้นกันหมัดหนัก ๆ ได้อย่างทันท่วงที

                ชายหนุ่มรีบชักมือกลับแล้วส่งกำปั้นขวามาจ่อใกล้หน้าชนิดที่จะสั่งเสียสักคำยังไม่รอด

                แต่บัสยังคงยืนนิ่ง…มีเพียงนัยน์ตาสีทองอร่ามจากข้างซ้ายที่ทอประกายจ้าชั่ววูบ…

                อั๊ก!

              กระแสลมพัดผ่านทะลายความเงียบที่เริ่มก่อตัว ไม่มีใครรู้เลยว่าเวลาที่ผ่านไปไม่กี่วินาทีนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เหลือแต่ร่างใหญ่ยักษ์ของศัตรูทีตาเหลือกลงไปกองอยู่กลางลานสนามบินโดยไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นแต่อย่างใด…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×