คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“รออีกนิดนึงนะคะ” คนทำการรักษาส่งเสียงลอดไรฟันทำลายบรรยากาศวังเวงลง เหงื่อจำนวนมากผุดขึ้นตามใบหน้าเรียวสะสวย และไหลลงอาบข้างแก้มพาเอาเครื่องสำอางที่รองพื้นไว้เริ่มหายไป เมื่อทำการบรรจุแคปซูลลงไปในอุปกรณ์ลักษณะเป็นทรงกระบอกใสของเธอสำเร็จ หญิงสาวจึงกดปุ่มขนาดเล็กที่อยู่บนตัวเครื่องมือ แล้วทันใดนั้น
!?
วาบ!!
แสงสีขาวจ้าบาดตาชั่วครู่ ก่อนจะปรากฏเป็นลูกเหล็กเท่าลูกตาสลักลายวิจิตรศิลป์สวยงามแทนที่ของเดิม ดาวเพียงแต่ขยับยิ้มน้อย ๆ แล้วเริ่มเอ่ยวาจาบางอย่างที่ทำให้ของตรงหน้าเธอเกิดการเปลี่ยนแปลง
“ข้าแต่ผู้สังกัดธาตุบริสุทธ์แห่งแสงสว่าง
ขอจงบันดาลให้ความสามารถมนตร์ขาวจักตื่นขึ้นเป็นพลังในการรักษา ราเฟส
สำแดงเดช!!”
พลัน!!
ลูกเหล็กเริ่มสั่นไหวและแตกออก เผยให้เห็นอะไรบางอย่างข้างในนั้น ก่อนทุกอณูในห้องน้ำจะถูกแสงสีขาวหากแต่อบอุ่นบังจนเธอไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
เวลาผ่านไปหนึ่งนาทีเหมือนหนึ่งชั่วโมง ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม หญิงสาวปรือนัยน์ตาขึ้นช้า ๆ เพื่อรับภาพในคลองจักษุที่อยู่ข้างหน้า เมื่อดาวชินสายตา เธอก็ถึงกับหุบยิ้มไม่อยู่ เนื่องจากบาดแผลฉกรรจ์ของชายหนุ่มผู้ถูกทำร้ายหายไปจนหมดสิ้นไม่แม้แต่จะมีเลือดไหลสักหยด!!
บุรุษตรงหน้าเริ่มขยับตัว พร้อมกับกวักมือเรียกหญิงสาวในชุดของแอร์โฮสเตสให้ไปหาและกระซิบอะไรบางอย่างกับเธอ
ดาวพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนทั้งคู่จะคอพับไปตาม ๆ กัน ด้วยความเหนื่อยล้าและปวดบาดแผลตามลำดับ
คิ้วเรียวมุ่นของสาวเจ้าที่สลบไปยังคงความสงสัยกับคำใบ้ที่ได้ใจความเพียงว่า
O F กลับหัว?
ดาว? เธอคือใครกันแน่?
เด็กหนุ่มร่างสูงคิด พลางสาวเท้าไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกที่ปนเปกันไป เรื่องที่เขาได้ยินมานับว่าแปลกมาก มากเสียจนจอมสอดรู้สอดเห็นตัวดีถึงกับอยากเดินไปถามให้รู้แล้วรู้รอดว่าคำพูดที่เหมือนคาถาอะไรบางอย่างนั่นมันคืออะไร? ติดตรงที่อยู่ในเหตุการณ์น่าสิ่วน่าขวานหรอก ไม่งั้นคนที่ไม่เคย(คิด)จะทนสิ่งที่ใจตนเองรบเร้าได้คงจะเปิดปากถามไปแล้ว แม้ว่ามันจะแสดงให้เห็นถึงนิสัยที่ไร้มารยาทเพียงใดก็ตาม
ฉะนั้นตอนนี้เขาก็คงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ รอเวลาอันสมควรมาถึงจึงค่อยถามไป
และเมื่อขาทั้งสองหยุดลงหน้าประตูบานหนึ่งซึ่งเป็นเป้าหมายในการค้นหามานานพอสมควร เจ้าตัวก็ลงมือเคาะประตูทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา เสียงก๊อก ๆ ดังขึ้นตามจังหวะที่ออกแรง ผ่านไปสองสามครั้งก็ยังไม่มีวี่แววคนมาต้อนรับ เด็กหนุ่มจึงยืนกอดอกครุ่นคิดแผนการบางอย่าง แล้วจึงใช้มือขวาท้าวไปที่บานประตูกระจกหนาทึบ พลางกระทำกิริยาที่คนทำได้แต่ยืนยิ้มกับความใจร้อนเกินเหตุของตัวเอง
“คนเขามีมารยาทมาเคาะประตู ทำไมน้อ คนข้างในถึงยังได้ใจจืดใจดำไม่ยอมมาเปิดประตูเสียที”
โครม!!
ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยกับสภาพเด็กหนุ่มผู้ลองดีลงไปจับกบอยู่กับพื้นเครื่องบินโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัวกับบานประตูซึ่งบัดนี้ได้ถูกเปิดออกเป็นที่เรียบร้อย
“มีอะไรก็รีบว่ามา ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นเรื่องที่มีคนถูกทำร้ายล่ะสิ ไอ้หนู” สรรพนามที่คนถูกเรียกมีปฏิกิริยาตอบรับเพียงแค่พยักหน้าหงึกหงักในท่านั่งขณะที่ใบหน้าบึ้งตึง หากแต่ในใจใครจะรู้ว่าไม่ได้มีความสำนึกกับคำพูดท้าทายของตัวเองเลย
ตายละวา รู้งี้น่าจะเปิดเข้าไปเลย ยอมโดนเทศน์ดีกว่ามาถูกหัวเราะ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!!
“ถ้างั้นก็เข้ามาก่อนสิ ลุงว่าของที่แกต้องการดูอยู่ในนี้” คนสูงวัยพูดพลางลูบเคราน้อย ๆ ร่างสูงใหญ่ทอดมองบัสด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะหัวเราะให้อีกยก แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้คนอายุน้อยกว่าที่ยันตัวลุกขึ้นอยู่หน้าประตูเดินตามมาอย่างไม่รู้สึกอยากข้องแวะใด ๆ
สถานที่ที่เขาเข้ามานี้คือ ‘ห้องควบคุม’ ประจำเครื่องบิน แม้จะถูกเรียกว่าห้องควบคุม แต่มันกลับทำหน้าที่ไม่ใกล้เคียงกับชื่อเลยสักนิด เพราะจำนวนคนที่เป็นเจ้าของห้องนี้มีเพียงหนึ่งหรือก็คือตัวลุงเท่านั้น ไม่มีใครอื่น รวมถึงหน้าที่การตรวจสอบระบบของตัวเครื่องทั้งหมด ซึ่งอยู่ในอาณัติของผู้คุมเพียงคนเดียว จนคนเพิ่งเข้ามาต้องร้อง ‘โอ้โห’ ทึ่งกับความสามารถที่พูดได้คำเดียวว่า
อัจฉริยะ
“ทำไมตาถึงเป็นสีเขียวล่ะไอ้หนู คนไทยไม่น่าจะมีของแบบนั้นไม่ใช่หรือไง?” คำถามชวนคุยเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนาแห้งแตกมีเลือดซึม หากมือทั้งคู่ก็ยังไม่หยุดพรมลงบนแป้นเรียบบนแผงอุปกรณ์ เรียกแววตาชื่นชมของคนเฝ้ามองอย่างอดไม่ได้
พอนึกถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสถาม ใบหน้าที่มักเปื้อนยิ้มอยู่เป็นนิตย์ก็ถึงกับหมองลงทันตาเห็น ร้อนถึงเจ้าของห้องที่เหลือบมองจากหางตามีท่าทีลนลานเหมือนรู้สึกผิดที่ไปพูดอะไรแทงใจเข้าให้
“ดวงตาคู่นี้ผมได้มาจากแม่ครับ พ่อบอกว่าแม่เป็นคนต่างประเทศ แต่พ่อเองก็ไม่รู้ว่าประเทศไหน ผมเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้าแม่จริง ๆ เลยสักครั้ง รู้แต่ว่าแม่เป็นคนที่สวยมากจนพ่อรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น พ่อยังบอกอีกว่าแม่เป็นผู้หญิงที่ดีไม่มีใครสู้ได้ แต่ท่านก็ได้หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุหลังจากคลอดผมได้ไม่ถึงปี” เรื่องราวแสนขมขื่นได้ถ่ายทอดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเด็กชายข่มความเศร้าไว้ขนาดไหน เขาต้องอยู่กับพ่อแค่สองคนมาตลอด ไม่มีพี่ไม่มีน้อง เหตุที่ครอบครัวมีกำลังส่งเขาไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาได้ก็เพราะลำแข้งของตัวเองที่ทั้งสองต่างฟันฝ่ามาตลอด
คงไม่มีใครร่ำรวยหากวัน ๆ ยังคงเอาแต่นอนนิ่งไม่คิดจะทำอะไร คือสิ่งที่เด็กหนุ่มยึดถือ
“เศร้าน่ะเศร้าได้ แต่อย่าไปจมปลักกับอดีต ในเมื่อมันแก้ไขไม่ได้ แล้วจะไปมัวนั่งคิดให้มันรู้สึกแย่ไปทำไม เอ้า! หมดเวลาซึม
มาดูข้อมูลตรงนี้ละกัน”
ปึก!
เสียงกระแทกนิ้วลงบนแป้นจบเป็นครั้งสุดท้าย แล้วคนทำหน้าที่เป็นผู้คุมต้องแปลกใจอีกรอบหนึ่ง เมื่อร่างของอีกคนที่อยู่ในห้องมาปรากฏอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่กลับมีรอยยิ้มทาบขัดกันเห็น ๆ
‘ทำไมอารมณ์ไอ้หนูมันเปลี่ยนเร็วอย่างนี้เนี่ย’ และนี่ก็ต้องเป็นอีกความคิดหนึ่งที่มีต่อเด็กหนุ่มผู้สร้างความแปลกใจให้แก่คนรอบข้างเสมอ ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดก็ตาม
ภาพในห้องน้ำประจักษ์แก่สายตาสองคู่ที่กำลังจับจ้องทันที แต่เป็นขณะที่ร่างในเสื้อคลุมสีดำฝากรอยมีดไว้บนร่างกายของชายหนุ่มโดยฝังเข้าไปจนมิดด้ามบริเวณปอดข้างซ้ายตำแหน่งใต้หัวใจ ก่อนที่คนร้ายจะหันกลับออกไปก็ถูกมือขวาเปื้อนเลือดของคนโดนทำร้ายทำอะไรสักอย่างกับใบหน้าใต้เสื้อคลุม ซึ่งจากการคาดเดาของผู้เฝ้ามองทั้งสองต่างก็สรุปการกระทำนี้ว่าน่าจะเป็นการกระชากผมเสียมากกว่า เนื่องจากมีเสียงร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมานานหลังจากมือหนาเริ่มทำงาน
และทุกอย่างก็จบลงเมื่อคนร้ายสาวเท้าออกไปจากห้องน้ำ แต่สมองของคนขี้เล่นยังไม่หยุดแล่น บัสก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาหกโมงห้านาที แล้งจึงออกปากขอให้ลุงข้าง ๆ ช่วยค้นอะไรบางอย่าง
“ลุงครับ ลุงช่วยเรียกข้อมูลของคนที่ยืนยันรหัสลายนิ้วมือลุกออกจากที่นั่งตอนช่วงเวลาตีห้าสามสิบห้าถึงตีห้าสี่สิบจะได้มั้ยครับ” แววตาเจ้าเล่ห์ท้าทายส่อเค้าความคึก
“ได้อยู่แล้วไอ้หนู ของกล้วย ๆ” เจ้าของห้องตอบ พร้อมถามออกมาอีกครั้ง
“แกจะเล่นเป็นนักสืบหรือไงฮะ?”
“ผมคงหลีกเลี่ยงมันไม่ได้นั่นแหละ บางทีการเป็นนักสืบอาจจะสนุกกว่าที่คิดก็ได้นะครับลุง”
“แฮก ๆ” อาการหอบหนักเข้าจู่โจมใส่ร่างสูงที่กำลังวิ่งฝ่าสายลมกลางลานสนามบิน ทิ้งห่างจากสองสาวข้างหลังมาเกือบครึ่งกิโลเมตร นัยน์ตาสีมรกตจับจ้องไปยังสามร่างที่เป็นเป้าหมายข้างหน้า พลางสบถในใจอย่างหัวเสียเมื่อนึกไพล่ไปถึงความผิดพลาดจากการไม่รอบคอบของตนเอง
หลังจากต่างคนต่างไปหาเบาะแสมากันเป็นที่เรียบร้อย เด็กสาวผู้มาถึงสถานที่เดิมก่อนจะแยกย้ายได้แต่หัวเราะในใจเบา ๆ เพราะคราวนี้เธอคิดว่าตัวเองจะต้องได้ข้อมูลมามากกว่าเจ้าคนพูดจาไม่รู้จักคิดแน่นอน ร่างบางยืนพิงประตูกระจกที่เป็นบานเลื่อนอย่างสบาย ๆ ใช่สิ! เธอมาถึงก่อน ซึ่งตอนนี้เธอก็มีข้ออ้างมาด่าเจ้าคนหัวน้ำตาลไหม้ได้อีกหนึ่งยกเสียแล้ว
ความคิดที่ดูผิดจากหน้าตาลิบลับเรียกรอยยิ้มหวานเจี๊ยบปรากฏบนใบหน้านวลงามด้วยความไม่รู้สึกผิดสักนิดที่คิดอย่างนี้ แต่หากจะโทษสาวเจ้าคนเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อคนจุดชนวนเป็นคนมาเริ่มก่อนเอง แล้วอย่างนี้จะให้เธอนั่งนิ่ง ๆ ได้อย่างไรกัน ก็มันไม่ใช่นิสัยของเธอซะหน่อย
ระหว่างที่เพลินกับการสรรค์หาคำด่าแสบ ๆ มาจัดการบัส บุรุษในมโนความคิดก็โผล่มาตรงหน้าแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ทำเอาเด็กสาวตบเข้าไปเต็มแรงเพราะคิดว่าเป็นคนโรคจิต
เพียะ!!
ร่างสูงกว่าหันไปตามแรงจากฝ่ามือ รอยแดง ๆ เริ่มปรากฏออกมาให้เห็นจนแจ่มแจ้ง เพียงแต่คนกระทำยังคงไม่ลดละ ส่งฝ่ามือที่สองเข้าหาต่อทันทีอย่างไม่คิดจะยั้งมือ!!
เพียะ!! เพียะ!! เพียะ!! หมับ!!
ตามมาด้วยครั้งที่สามสี่และห้าจนเด็กหนุ่มเริ่มเดาทางออก ฝ่ามือของเขาจับหมับเข้าที่ข้อมือบางซึ่งเงื้อขึ้นหมายจะตบฉาด ๆ อย่างไม่เสียดายแรง คนชอบโปรยยิ้มบัดนี้ใบหน้าเหยเกไปทางปั้นยาก ของฝากจากเพื่อนสาวไม่ทำให้เขาดีใจ มีแต่จะทวีความหมั่นไส้ให้รู้สึกอยากกวนขึ้นทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
อย่างนี้ล่ะหนอที่เรียกว่าไม่กินเส้น
“ปล่อยนะ ๆ ไอ้โรคจิต อย่ามาทำอะไรฉันนะ ปล่อย!!” ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่รู้ ไอ้จอมแสบตัวดีของเราเลยทำการสวมบทอย่างแนบเนียน มือหนาหมายเอื้อมไปจับใบหน้าของเด็กสาวให้สมจริง แต่ไม่ทันที่จะถึงเป้าหมาย
หมัดลุ่น ๆ กลับพุ่งอัดกลางแสกหน้าแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเอาคนนึกอยากแกล้งร้องโวยสวนทันควันเมื่อเลือดกำเดาค่อย ๆ ไหลออกมาจากรูจมูก
“ฉันเองโว้ย!!”
กึก !
...ได้ผล...
เด็กหญิงชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่มันคุ้น ๆ ชอบกล เธอค่อย ๆ แหงนหน้าขึ้นสบกับนัยน์ตาสีเขียวมรกตซึ่งกำลังส่งสายตาคาดโทษกลับมาเต็มที่...
‘อึ๋ย เอาแล้วไง’ พีชกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นอกจากจะหาเรื่องเขาไม่ได้ อีหรอบนี้เธอก็ผิดเต็มประตู...
ประกอบกับเลือดกำเดาที่ไหลจ๊อก ๆ ไม่หยุด ทำให้คนทำรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ซึ่งมันก็น้อยจริง ๆ เพราะเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากคนสูงกว่าตรงหน้า มือเรียวที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดให้ถึงกับต้องเปลี่ยนหน้าที่ของมันด้วยความสะใจ...
“นี่เจ๊ คนเขาอุตส่าห์จะเรียกยังมาด่าฉอด ๆ แถมต่อยเข้าเต็มหน้าอย่างนี้อีก วอนแล้วมั้งเจ๊ ไม่รู้ฤทธิ์บัสคนนี้อย่ามาทำเป็นอวดดี ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้”
“เรื่องอะไรฉันต้องขอโทษคนปากเสียไม่รู้จักพูดอย่างนายด้วยล่ะยะ แค่เจอกันไม่เท่าไหร่ก็ทนเต็มกลืนแล้ว ขืนไปขอโทษนายอีก สงสัยปากฉันคงจะต้องรักษาไปอีกนาน” พีชเถียงกลับยืนชี้นิ้วด่าปาว ๆ
“กล้ามาว่าฉันขนาดนี้เลยหรอฮะ!! อย่ามาทำเป็นปากเก่...”
“แล้วจะทำไม...ทีนายยังเถียงฉันได้ ทำไมฉันจะเถียงนายไม่ได้ ฝีปากแค่นี้ยังสู้ฉันไม่ได้หรอก” ว่าพลางกระดิกนิ้วชี้ไปมา แล้วเชิดหน้าใส่อย่างไม่กลัวเกรง
แน่นอน...เรื่องฝีปากผู้หญิงมักได้เปรียบ และคราวนี้ก็เช่นกัน เธอถือไพ่เหนือกว่าเห็น ๆ
ฝ่ายคนเสียเปรียบถอนหายใจอย่างเริ่มปลงอนิจจัง มือขวาคว้าผ้าเช็ดหน้าในประเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็ดเลือดกำเดาที่หยุดไหลลง ส่วนปากก็ทำงานต่อโดยไม่คิดจะพัก เพราะเวลาที่เหลืออยู่มันน้อยลงทุกที ๆ บัสจึงเปิดบทสนทนาอย่างรีบเร่งเมื่อก้มลงมองนาฬิกาแล้วพบว่าพวกเขาเหลือเวลาในการจับคนร้ายอยู่เพียงไม่ถึงสิบนาที ก่อนที่เครื่องจะลงจอดบนสนามบิน
“ได้อะไรมาบ้างล่ะ?” ถ้อยคำห้วนสั้นที่กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปสำหรับการพูดกับเธอคนนี้
“ก็รู้มาว่า
มีคนยืมมีดไปทั้งหมดสามคนน่ะ ตอนยืมก็ยืมกับคนเป็น ๆ อยู่หรอก แต่ตอนคืนนี่สิมีสองเล่ม แถมมาวางไว้เฉย ๆ ไม่มีใครรับอีกด้วย คงจะยังจับไม่ได้เลย แต่ถ้าได้ตัวผู้ต้องสงสัยมาล่ะก็แม่ครัวคนที่ฉันไปถามจะต้องพอจำได้แน่นอน”
“ถ้าบอกว่าฉันหาเจอล่ะเธอจะว่ายังไง?” คำถามชวนตบถูกส่งมาเย้ยอีกรอบ เขาตั้งใจหาเรื่องนิดหน่อย เพราะคราวนี้เขาได้เบาะแสมามากกว่าคู่ปรับคนนี้ไม่น้อย
ไม่ทันที่พีชจะได้สงสัย คำเฉลยก็มาถึงตรงหน้าพวกเขา เมื่อชายสองหญิงหนึ่งที่ได้ขึ้นชื่อว่า ‘ผู้ต้องสงสัย’ เดินเรียงตัวเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ ๆ โดยมีสองสาวในชุดแอร์โฮสเตสขนาบข้างอย่างไม่ไว้ใจ
“สามคนที่คุณต้องการครบเรียบร้อยแล้วค่ะ” หนึ่งในสองสาวเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณมากครับ” เสียงนุ่มทุ้มที่คนฟังเข้าใจว่าทำไปเพื่อโปรยเสน่ห์เรียกใบหน้าหงิกงอจากเด็กสาวเพียงคนเดียว เธอแลบลิ้นใส่อย่างไม่สบอารมณ์กับความสามารถที่มากกว่าตน แล้วเอ่ยขอตัวไปดำเนินการบางอย่าง
“นายจะทำอะไรก็ทำไปแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปเรียกแม่ครัวมาให้” ว่าแล้วก็หายเข้ากลีบเมฆ
เครื่องหมายปรัศนีลอยขึ้นเหนือหัวของเด็กหนุ่ม
ผู้หญิงหนอผู้หญิง ทำไมถึงเข้าใจยากอย่างนี้หนอ
คิดแล้วก็ไล่มันออกไปอย่างไม่สนใจ ก่อนจะหันมาจดจ่อกับผู้ต้องสงสัยสามรายที่ไม่ได้อยู่ในที่นั่งตามช่วงเวลาที่เขาขอให้ลุงประจำห้องควบคุมช่วยหา
และแน่นอน
หนึ่งในสามคนนี้ไม่ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องเป็นคนร้ายอย่างแน่นอน!!
ความเงียบเริ่มแผ่ขยายอาณาบริเวณเข้าปกคลุมรอบ ๆ สิ่งที่เขาควรจะทำก็คือสอบปากคำผู้ต้องสงสัยมิใช่หรือ? เหตุใดเด็กหนุ่มจึงยังเงียบอยู่ล่ะ? นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจของแอร์โฮสเตสทั้งสอง และไม่ต้องรอคำตอบ
หนึ่งในสองชายหนุ่มผู้ต้องสงสัยก็โพล่งออกมาอย่างเดือดดาล
“แกจะเรียกพวกเรามาทำไม ถ้าแกแค่ยืนดูเฉย ๆ ไม่ทำอะไร เสียเวลาชะมัด!” คำตะคอกเสียดแทงเรียกได้เพียงรอยยิ้มบาง ๆ ของเขา เพราะเด็กชายได้คาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าต้องมีคนอารมณ์เสีย หากเวลาที่เสียไปมันไม่ได้สูญเปล่า บัสสำรวจการแต่งกายรวมถึงทุก ๆ สิ่งที่อาจทำให้เป็นประโยชน์ต่อการตามหาคนร้ายครั้งนี้
ซึ่งเหตุผลแรกเริ่มที่ทำให้ต้องมาพัวพันกับเรื่องที่ไม่จำเป็น ดูเหมือนเจ้าตัวจะลืมไปเสียหมด
ใครกันที่บ่นปวดฉี่?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ร่างสูงก็ถึงกับสะท้าน เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเล่นเอาตัวเขาไม่ได้สนใจความรู้สึกเช่นนี้เลย ใบหน้าขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวน้อย ๆ ก็เวลาที่ผ่านไปหลังจากตอนจะเข้าห้องน้ำมันน้อยเสียเมื่อไหร่กันล่ะ เป็นคนทั่วไปป่านนี้ท่อรั่วกันไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้วมั้งเนี่ย
เหมือนโชคจะช่วยคนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด สายตาพลันเหลือบไปเห็นเด็กสาวที่ไม่เคยญาติดีกันเลยสักครั้งกำลังมุ่งหน้ามาหา นับว่าเหมาะเจาะจนคนหน้าเขียวอยากจะวิ่งไปกราบแทบเท้าให้รู้แล้วรู้รอด
แต่มันยังคงไม่ถึงเวลานั้น
และสองคู่ปรับตลอดกาลก็ยังไม่เคยคิดดีต่อกัน เด็กหนุ่มหันหน้าไปทางอีกห้าคนที่กำลังงงกับการเปลี่ยนแปลงของเขา แล้วเอ่ยตัดบทโดยไม่คิดจะฟังคำค้านของใคร
“ผมต้องขอตัวสักครู่ ต่อไปเด็กสาวคนนั้นจะเป็นคนรับหน้าที่แทนตอนที่ผมไม่อยู่นะครับ” นอกจากจะทำตัวไร้ผิดชอบ คนถนัดกะล่อนไม่เลือกที่ยังชี้ไปที่พีชเป็นการระบุตัวคนสอบปากคำต่อไป ซึ่งสาวเจ้าก็ได้แต่ตีหน้าเอ๋อเพราะถูกโยนหน้าที่ให้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตกลง
“เธอจะทำอะไรก็ทำไปแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน” ฝากไว้เพียงคำพูดที่ได้ยินเพียงแค่สองคนกับยาชาซึ่งออกฤทธิ์เฉพาะใบหน้าอย่างเจ็บใจ แต่แค่นี้มันยังไม่เท่าความโกรธที่เริ่มเดือดจวนจะเผาปลาให้สุกได้ในพริบตา ส่วนไอ้ตัวดีมันใส่เกียร์หมาวิ่งหนีหางจุกตูดหายแวบไปยังห้องน้ำอีกแห่งนอกจากข้างหลังเธอเป็นที่เรียบร้อย
กลับมาแม่จะสวดยับเลยคอยดู
ทำได้แค่คาดโทษมันอยู่ในใจ ผิดกับสีหน้าอันยิ้มแย้ม หากก็แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น จนคนถูกสอบปากคำทั้งสามอดคิดไม่ได้ว่า
บางทีเด็กสาวคนนี้อาจจะดูเข้าท่ากว่าเจ้าหัวน้ำตาลคนเมื่อกี้ก็ได้
“ค่ะ งั้นหนูจะเริ่มเลยนะคะ เอ่อ
คุณแม่ครัว คุณพอจะจำหน้าของคนที่ขอยืมมีดปอกผลไม้ไปได้มั้ยคะ?” พูดจบก็มีการปรากฏตัวของหญิงแก่รูปร่างออกจะท้วมในชุดแม่ครัวสีขาว นางเดินทอดน่องใหญ่ ๆ มาทางพวกเธอ แล้วเอามือจับคางพลางทำสีหน้าครุ่นคิด
“จำได้สิ ก็ทั้งสามคนนี่แหละที่ยืมไป แต่ป้าไม่เห็นหน้าคนเอามาคืนหรอกนะ รู้แค่ว่ามันมีอยู่สองเล่มเท่านั้นเอง” ว่าเสร็จก็เปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นยืนกอดอกรอฟังคำถามต่อมา
“แล้วป้าเห็นอะไรหรือใครมีพิรุธบ้างหรือเปล่าคะ?”
“อื้ม
ก็ไม่มีนะ” นางตอบฉะฉาน
“โอเคค่ะ ขอบคุณคุณป้ามากเลย หนูคงหมดคำถามแล้วล่ะค่ะ” เธอไหว้อย่างสวยงามตามวัฒนธรรมประเพณีไทย สร้างความรู้สึกชื่นชมขึ้นในใจของแม่ครัวคนเก่ง
“จ๊ะ หาตัวคนร้ายให้ได้นะหนู ป้าขอตัวไปจัดการครัวก่อนนะ” คำให้กำลังใจที่เด็กสาวยิ้มรับด้วยหน้าตาเบิกบานราวกับพลังเพิ่มขึ้นอีกเป็นกอง นางหันมายิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเดินจากไปยังทิศที่ตนมา
เธอหันกลับมายังผู้ต้องสงสัยทั้งสาม พร้อมกับเอ่ยซัก “มีดที่พวกคุณยืมจากห้องครัวนี่
เอาไปทำอะไรกันหรือคะ?”
“กะ
ก็ เอามาปอกผลไม้น่ะสิ” เสียงตอบตะกุกตะกักอย่างพร้อมเพรียง ทำให้ต่างคนต่างมองกันด้วยความสงสัยระคนตกใจ
เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีบุรุษในชุดพนักงานของสายการบินเดินเข้ามาหา ในมือเขามีเสื้อคลุมสีดำอยู่หนึ่งตัว ดูเผิน ๆ อาจเหมือนเสื้อคลุมทั่วไป หากคำยืนยันที่ตามมาว่ามันไม่ใช่เสื้อคลุมปกติทำให้คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันทันที
“นี่เป็นเสื้อคลุมที่ผมพบใบถังขยะ ตามที่เด็กหนุ่มหัวน้ำตาลเข้ม ๆ วานมาน่ะครับ คุณรู้จักเขาหรือเปล่า? ถ้ารู้จักผมก็ขอฝากให้เขาที”
“ขอบคุณมากค่ะ เดี๋ยวฉันจะเอาไปให้เขานะคะ” เขาผงกหัวรับคำเด็กสาว ก่อนจะโค้งให้อย่างสุภาพแล้วเดินกลับไปทำงานของตนต่อ
หลังจากได้ไปทำธุระที่ค้างคามาเป็นเวลานานเสร็จเรียบร้อย คนปัดความรับผิดชอบกำลังมุ่งหน้ากลับไปยังที่จากมา ในหัวต่างมีเรื่องมากมายซึ่งมันเริ่มถักทอเชื่อมโยงกันทีละนิด ภาพที่เขาได้สำรวจแต่ละคนอย่างละเอียดผุดขึ้นมาราวกับตอไม้อีกครั้ง
เริ่มจากคนแรก
สาวหนึ่งเดียวในผู้ต้องสงสัย เธออยู่ในชุดกระโปรงลูกไม้สีชมพูขาวเลยเข่าแลดูน่ารักละม้ายคล้ายเด็ก ปอยผมสีน้ำตาลจากการถูกย้อมกวัดแกว่งไปมาอยู่ด้านหลัง เธอมัดผมด้วยหนังยางสีฟ้าอย่างลวก ๆ ที่ใครไม่สังเกตจริงคงจะไม่เห็น รองเท้าที่ใช้ใส่นั้นเป็นส้นสูงสีทองวิบวับ ซึ่งทุกอย่างดูรับกับใบหน้าเรียวสะสวยได้รูป
ถัดมา
ชายหนุ่มหน้าหวานดั่งหญิงงามผู้อยู่ในชุดสูทสีดำ-ขาว ท่วงท่าการยืนอันสง่าราวกับมีคุณหนูจากตระกูลใหญ่หลุดออกมายังไงยังงั้น ผมสีดำเรียบ ๆ ถูกหวีมาอย่างดี สร้างความประหม่าให้แก่เขาไม่น้อย รองเท้าหนังสีน้ำตาลราคาใช่หยอกที่กำลังถูกสวมใส่อยู่เคาะกระทบกับพื้นเบา ๆ เป็นการแสดงความหงุดหงิดใจ
สุดท้าย
ชายหนุ่มกร้านโลกซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดที่มีรูปกุญแจอยู่กลางหลังกับกางเกงยีนธรรมดาเซอ ๆ และรองเท้าผ้าใบสีดำคู่เก่า ดูไม่พิถีพิถันในการแต่ง หากแต่ผมสีแดงเพลิงที่ดูก็รู้ว่าย้อมยังคงเข้ากับใบหน้าดุกร้านอย่างเจนจัดมากประสบการณ์ ทำให้เขาคนนี้แผ่รัศมีความเกรงขามน่ากลัวออกมาข่มคนรอบข้างได้อย่างน่าประหลาด
เด็กหนุ่มร่างสูงหยุดยืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนสาวและเหล่าผู้ต้องสงสัย ใบหน้าของคนร้ายในข้อสันนิษฐานกำลังอยู่ตรงหน้าเขา...
เหลือหลักฐานอีกเพียงชิ้นเดียวที่จะมาไขปริศนาทั้งหมด
ตีแผ่ความจริงออกมาให้ทุกคนได้รับรู้
นำความถูกต้องยุติธรรมคืนแก่ผู้ที่เสียมันไป
และให้คนผิดได้รับโทษอย่างที่สมควร
กระแสกาลไม่เคยคอยใคร บัดนี้เหลือเพียงไม่ถึงห้านาทีก่อนเครื่องบินที่นำพาเหล่าผู้คนมากมายจะลงจอดโดยสวัสดิภาพ
คนร้ายไม่เคยรอให้ถูกจับ...แต่เขาจะจับมันโดยใช้ความถูกต้องเป็นของประกัน
เวลาแห่งการลุ้นระทึกใกล้จะมาถึงแล้ว!!
ความคิดเห็น