คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1: ฮีโร่
ภายในใจกลาง ‘กรุงเทพมหานคร’ ตัวเมืองที่เจริญรุดหน้ากว่าแห่งไหน ๆ เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง พร้อมด้วยอาคารสถานที่และโรงเรียนมากมาย สะพานน้อยใหญ่พาดข้ามตึกนู้นตึกนี้ เป็นทางผ่านของยานพาหนะแปลกหูแปลกตาทั้งเก่าและใหม่ จนแทบจะไม่เหลือพื้นที่สีเขียวให้พักผ่อนได้อีกเลย ตรงกันข้ามกับปริมาณเทคโนโลยีที่นับวันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
วันนี้เองก็เช่นเดียวกัน ตลอดสองข้างทางถนนเต็มไปด้วยเหล่าผู้คนสัญจรไปทำงานมหาศาล รถราวิ่งวุ่นกันทั่ว เสียงบีบแตรดังขึ้นเป็นระยะ ๆ เมื่อพบว่าสัญญาณไฟจราจรยังคงแดงเหมือนเดิมหลังจากเวลาผ่านไปสิบนาที
ฝั่งทางเท้าก็ใช่ว่าจะน้อย...เสียงตึกตัก ๆ ของส้นรองเท้ากระทบกับพื้นที่พร้อมใจกันส่งเสียงประสาน ทำให้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีจำนวนประชากรล้นหลามมากแค่ไหน ร่างเป็นร้อยพันคนเบียดเสียดแย่งกันเดินไปยังจุดหมายที่ตนตั้งไว้ ดูเป็นภาพที่ปกติดีสำหรับการจราจรครั้งสิบปีที่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่า...
บัดนี้เป็นเวลาเพียงตีห้าครึ่งเท่านั้น!!
สายลมอ่อนละมุนพัดโชยโอบล้อมชายหญิงวัยทำงานที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ให้สดชื่นกระฉับกระเฉง ราวกับจะบรรเทาความร้อนซึ่งเกิดจากดวงสุริยาที่ขึ้นเร็วกว่าอดีตมากนัก น่านนภาอันแจ่มใสหากก็ดูสงบนิ่ง ดารดาษไปด้วยปุยเมฆสีขาวนวลดั่งสำลี ช่วยสร้างความรู้สึกดีคลายความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอดทุก ๆ วัน
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะกระปรี้กระเปร่ากับวันใหม่ หนึ่งในส่วนน้อยนั้นกำลังแหงนหน้ามองป้ายใหญ่ประจำศูนย์การค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มวัยประมาณสิบห้าปีเจ้าของนัยน์ตาสีนิลพึมพำบ่นถึงใครบางคนเบา ๆ เรือนผมสีน้ำเงินเข้มระต้นคอยุ่งนิด ๆ แต่อาจารย์ก็ไม่สามารถเอาผิดได้ เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการออกกฎให้นักเรียนสามารถไว้ผมยาว โดยไม่ผิดกฎ ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เด็กมีระเบียบวินัยไม่จำเป็นต้องไว้ผมสั้น’ ทำเอาเด็กวัยเรียนโห่ดีใจกันยกใหญ่ทีเดียว
เด็กหนุ่มยืนนิ่งอย่างครุ่นคิด มือขวาล้วงกระเป๋าอย่างเคยชิน พลางพิจารณาสภาพภายนอกจองจุดหมาย...
ศูนย์การค้ามีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากเสมือนตึก แต่มีเพียงแค่ชั้นเดียว ทำจากแก้วใสบางมองเห็นข้างในได้โดยง่าย ประดับตกแต่งไปด้วยชื่อและคำโฆษณาเก๋ ๆ มากมาย แลดูน่าเข้าที่สุดถ้าเทียบจากร้านขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ แถวนี้ ผิดกับสังคมที่เต็มไปด้วยอาชญากรซึ่งควรพึงระวังไม่ให้ล่อตาล่อใจจนเกินไป
คิ้วหนาคลายปมออกราวกับตัดสินใจได้ ก่อนจะถอนหายใจยาว แล้วก้าวไปยังทางเข้าศูนย์การค้านั้น
เมื่อเท้าซ้ายที่เริ่มออกเดินก่อนสัมผัสกับเซนเซอร์หน้าร้าน ก็เกิดเสียง ‘ปิ๊บ’ ขึ้นทีหนึ่ง บานกระจกใสแยกเปิดออกอัตโนมัติ ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปก่อนมันจะปิดลง...
ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศยักษ์เพียงตัวเดียวในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ทอดผ่านตัวของเด็กหนุ่ม ความหนาวเหน็บเกาะกุมร่างที่เพิ่งเดินเข้ามา หากก็ไม่สะทกสะท้านอุณหภูมิที่เปลี่ยนทันควันเลยสักนิด
เขาหยุดเดิน แล้วมองสำรวจทั่วทุกส่วนในตึกทรงสี่เหลี่ยมชั้นเดียว...
หากมองจากทางเข้าตรงไปจะสามารถแบ่งโซนได้สามส่วน โซนแรกเป็นโซนขายของสด ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้ หรือแม้แต่เนื้อสัตว์ โซนถัดมาเป็นโซนขายอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ จำพวกเครื่องเขียน น้ำปรุงรส และกระทะตะหลิว ส่วนโซนสุดท้ายเป็นโซนพักผ่อน ขายอาหารรองท้อง เครื่องดื่มหลากชนิด อีกทั้งยังมีโซฟาสำหรับนั่งทานอย่างสบายใจด้วย
คนเพิ่งเคยมาหยิบลิสต์รายการที่พี่สาวตัวดีฝากมาซื้อแต่เช้าก่อนไปเรียน ทำให้ต้องแหกขี้ตาตื่นอย่างจำใจ...
“ผักกาดขาว...ส้ม...ผักกาดแก้ว แล้วก็...แอปเปิล” เด็กหนุ่มปิดท้ายคำพูดด้วยน้ำเสียงซังกะตาย
เขาเริ่มออกเดินอีกครั้ง คราวนี้มุ่งตรงไปยังโซนแรกที่เล็งเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อหูได้ยินวาจาบางอย่างที่ทำให้ร่างสูงหันกลับไปมอง...
“น้องสาวจ๊ะ...ลองมากับพี่ดูมั้ย รับรองรับประกันความสนุกได้เต็มที่เลยนะจ๊ะ” คำพูดแทะโลมหญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนา ซึ่งตอนนี้เอาลิ้นมาเลียเบา ๆ อย่างถูกใจ
“มะ...ไม่เอาค่ะพี่...นะ...หนูไม่ชอบ” สตรีผู้รู้สึกถึงลางร้ายพูดติด ๆ ขัด ๆ น้ำคำในเสียงสั่นระริกด้วยความกลัว
“เถอะนะน้องจ๋า น่านะ” ไม่ว่าเปล่า ชายหนุ่มมากตัณหาขยับไม้ขยับมือโอบรอบเอวนารีหน้าตาสะสวยจนคนในอ้อมกอดเริ่มสะอื้น พร้อมออกแรงทุบคนฉวยโอกาส จนอกระบมไปทั่ว
ชายหนุ่มร่างใหญ่แสยะยิ้ม ความเจ็บปวดแล่นพล่าน ก่อนอารมณ์เย็นจะขาดสะบั้นลง ริมฝีปากหนาเริ่มซุกไซร้ไปตามซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย ท่ามกลางสายตาดูแคลนจากเหล่าประชาชนกลางศูนย์การค้า!!!
แต่ไม่ได้มีแค่คนเดียวที่ฟิวส์ขาดเท่านั้น ร่างในชุดนักเรียนหายวับไปจากคลองสายตาของผู้คน แล้วไปปรากฏอยู่ด้านหลังของชายผู้กำลังลวนลามหญิงสาว โดยไม่รู้ตัว แรงมหาศาลรัดเข้าที่ลำคอของเป้าหมายทันที
เขาเอ่ยเสียงเย็น “จะปล่อยพี่สาวคนนี้ดี ๆ หรือจะให้ต้องใช้กำลัง”
“หึ” เจ้าของเสียงปล่อยมือจากสตรีคนนั้น ก่อนจะใช้แรงจำนวนมากง้างแขนที่กำลังรัดคออยู่ออกจนสำเร็จ ร่างใหญ่แค่นยิ้ม
“จะมากเกินไปแล้วนะเจ้าหนู มาขวางความสุขของข้า รับรองแกเจอดีแน่!” ไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มกระโจนเข้าใส่ตรง ๆ หวังรัดลำตัวของคนอายุน้อยกว่า
“ช้าไป” น้ำเสียงเย็นดังขึ้น รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าคมคาย ร่างสูงขยับตัวเพียงนิดเดียวเอี้ยวหลบการโจมตีของคนตัวใหญ่กว่า แล้วหายวับไปข้างหลังอีกครั้ง ฟาดสันมือใส่จุดสลบตรงต้นคอทันที
ปึก!
ชายเป้าหมายหมดสติทรุดลงกับพื้น หญิงสาวเอ่ยขอบคุณเขาเป็นการใหญ่ พลางมองหาชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อนักเรียน และพบว่ามันอยู่ตรงหน้าอกฝั่งซ้าย เป็นตัวอักษรสีแดงเด่นหราตัดกับสีขาวของเนื้อผ้า
“เวษา เพชรรัตนจินดา เหรอ
” เธอเอ่ยพึมพำกับตนเอง แล้วหันมาพูดกับเขา “คุณเวษาคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ” หลังจากนั้นเธอก็ชวนคุยอีกไม่กี่คำ ก่อนจะขอตัวกลับบ้านไปทำกับข้าวให้ครอบครัวทาน
“เฮ้อ ทำเรื่องจนได้แฮะ”
เวษา เพชรรัตนจินดา หรือ เวส เป็นเด็กหนุ่มผิวขาวเนียนวัยสิบห้าปีผู้มีนัยน์ตาสีนิลดุจรัตติกาลแวววาว เรือนผมสีน้ำเงินเข้มระต้นคอรับกับใบหน้าคมคายอย่างลงตัว มาดที่ติดออกจะเย็นชา จนบางครั้งภาพของเจ้าชายผู้เงียบขรึมในนวนิยายมาซ้อนทับก็ไม่ปาน
ชุดนักเรียนของโรงเรียนXXX เป็นลักษณะเสื้อคอปกสีขาวทั่วไปเหมือนที่ใช้กันสมัยก่อน กับกางเกงขาสั้นสีดำพอดีเข่า ถุงเท้าสั้นสีขาว-เทาเลยตาตุ่มขึ้นมาพอสมควรและรองเท้าผ้าใบสีดำ แม้เวสจะอยู่ในชุดนักเรียน แต่ก็ไม่ได้ลดเกรดหน้าตาให้น้อยลงเลย
เขาถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก สองขาก้าวฉับ ๆ ไปยังโซนขายของสด ในใจก็ยังอดคิดเรื่องเมื่อสักครู่ไม่หาย ภาพฉากแล้วฉากเล่าวนไปเวียนมาอยู่ในหัวสมองตลอด
ไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงต้องทำกันแบบนี้ สังคมปัจจุบันมันแย่ขนาดนั้นแล้วเชียวหรือ?
เด็กหนุ่มตกอยู่ในภวังค์สักพักใหญ่ ก่อนจะรู้สึกตัว เมื่อเสียงเตือนเวลาหกโมงเช้าร้องดังจากนาฬิกา และพบว่าเขาเสียเวลาไปมากโขทีเดียว
‘แม้นคนเราจะมีนาฬิกามากกว่าคนอื่นสักร้อยเท่าพันเท่า แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้มีเวลามากกว่าคนอื่นเลยสักนิด’ ตอนนี้คนลืมเวล่ำเวลาชักเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้แล้ว
ในที่สุดคนคิดมากก็มาถึงส่วนที่ต้องการ ตรงหน้าเขาเป็นตู้ทรงสี่เหลี่ยมเต็มไปด้วยปุ่มกดมากมาย ส่วนบนมีคำว่า ‘คุณภาพดี ชีวีสดใส’ เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบกดไปที่หมวดผัก เครื่องบริการของสดร้อง ‘อี๊ด’ ขึ้นมาเบาๆ ก่อนชื่อผักชนิดต่าง ๆ จะผุดขึ้นมาให้เลือก นิ้วชี้ข้างขวาจิ้มลงไปในช่องผักกาดขาวและผักกาดแก้ว
สายตาเลื่อนมองไล่ไปตามจำนวนที่ต้องระบุ แล้วหยิบลิสต์รายการออกมาอีกครั้งหนึ่ง...
“ทั้งหมดอย่างละครึ่งกิโล...หรอ” เวษายักคิ้วซ้ายทีหนึ่งอย่างสงสัยว่าจะเอาไปทำอะไรนักหนา พร้อมกับออกแรงกดไปยังจำนวน ‘ครึ่งกิโล’ ตามที่ตู้แสดงข้อมูลมาให้ หลังจากเสร็จเรื่องผัก เขาก็ทำแบบเดียวกันกับส้มและแอปเปิล ก่อนจะกดยืนยันแล้วหยอดเหรียญเท่ากับจำนวนเงินที่ต้องจ่าย...เป็นอันจบภารกิจจากพี่สาว
แต่ไม่ทันไรกลับเกิดเรื่องให้ชวนปวดหัวอีกครั้ง เมื่อผู้ชายคนหนึ่งวิ่งฉกกระเป๋าถือของคุณนายเศรษฐีที่กำลังเดินเล่นอยู่ในศูนย์การค้า พลางเอามีดจ่อคอเหยื่อแล้วพาหนีไป
“กรี๊ดดด! ช่วยด้วย”
ของเหลวสีแดงข้นเริ่มไหลอาบคมมีดทำให้เขามีเวลาตัดสินใจได้ไม่นานนัก ก่อนจะรีบสาวเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ให้ผู้ถูกตามทั้งสองรู้ตัว
สามร่างเคลื่อนตัวผ่านฝูงชนที่ออกันหน้าศูนย์การค้าและพาตัวเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้กับถนน ใบหน้าซีดเซียวของคุณหญิงกับเลือดที่อาบลำคอ แม้จะในปริมาณไม่มาก แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เรียกนัยน์ตาสีนิลให้ไหววูบด้วยความกังวล พร้อมความคิดบางอย่างที่ผุดขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่วิธีนี้เขาน่าจะนึกออกตั้งแต่แรก
มือขวาเริ่มล้วงไปในกระเป๋ากางเกง แต่สายตายังคงจับจ้องไปข้างหน้าราวกับพลาดแม้วินาทีเดียวอาจทำให้ทั้งคนร้ายและเหยื่อหายไป ประสานงานกับขาทั้งสองซึ่งเดินตามแบบเว้นระยะไม่ให้สงสัยอย่างไม่หยุดหย่อน
ประจวบเหมาะกับแรงที่อ่อนลงของอาชญากร สองชายหญิงจึงยืนพิงผนังหยุดพัก ถือเป็นโอกาสดีของเวษา ซึ่งกำลังจะทำในสิ่งที่คิดไว้ แต่การกระทำบางอย่างทำให้เขาหยุดชะงัก พลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
คนร้ายพรมมือลงบนโทรศัพท์แบบปุ่มกดรุ่นเก่า ก่อนบทสนทนากับใครบางคนจะดังขึ้น
“นายครับ ตอนนี้นายอยู่ไหนแล้วครับเนี่ย”
ถามออกไปแล้วพยักหน้ากับเสียงปลายสายที่ตอบกลับมา ประมวลผลอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยออกไปอีกครั้ง
“ได้ครับนาย ถ้าเป็นสนามบินนั้น อีกสักยี่สิบนาทีก็คงถึงครับ”
บุคคลร่วมสนทนาเอ่ยชมและตัดสายไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ก่อตัวขึ้น
ซอยที่ว่าเกิดจากระยะห่างของสองตึกที่ติดกัน ด้านข้างซึ่งเป็นผนังสูงหลายสิบชั้น ด้วยความโทรมทำให้ที่เล็ก ๆ แคบ ๆ แห่งนี้ร้างผู้คน กลิ่นเหม็น ๆ จากกองขยะเน่าข้างหลังเขาโชยมาแตะจมูก เรียกสติให้ตื่นจากภวังค์
‘ช่วยไม่ได้ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว สนามบินก็สนามบินวะ’ แววตากลับมาฉายความเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง พร้อมคำตอบของสถานที่เป้าหมายผุดขึ้นมาในหัว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าเรียบนิ่งราวกับชมตัวเอง ก่อนจะเริ่มออกเดินตามคนร้ายหนุ่มที่เริ่มมีแรงฮึดต่อไปอีกครั้ง
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” เสียงแหบกังวานดังขึ้น เด็กหนุ่มสะดุ้งรีบไปแอบหลังเสาเหล็กต้นหนึ่งทันที
“ถามว่าใครอยู่ตรงนั้นไง ออกมาดิวะ ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว “ บัดนี้เขาแน่ใจแล้วว่าคนร้ายรู้ตัวว่าถูกตามอย่างแน่นอน
ใจหนึ่งก็อยากจะโผล่ออกไปลุยให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าควรจะติดตามไปอย่างนี้จะดีกว่า
ในเมื่อคนแบบนี้มีเจ้านาย มันก็คงไม่แตกต่างกันนักหรอก
เวษาคิด
“ถ้าไม่ออกมา พ่อจะไปเชือดเดี๋ยวนี้แหละ” คำขู่ส่งผลให้ร่างในอ้อมกอดตกใจหมดสติลง ทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังคงเป็นสีขาวซีด ชายหนุ่มทิ้งหญิงสาวไว้กับพื้น ร่างเตี้ยกว่ามาตรฐานชายไทยด้วยความสูงเพียงเกือบร้อยเจ็ดสิบเดินถือมีดเปื้อนเลือดเหยื่อคนก่อนที่นอนฟุบไม่ได้สติตรงมาทางเสาเหล็กที่เด็กหนุ่มหลบอยู่อย่างระแวดระวัง ลิ้นชุ่มน้ำลายเลียคมมีดซึ่งเต็มไปด้วยหยาดเลือดด้วยท่าทีกระหาย รอยยิ้มปีติยินดีที่ได้เข่นฆ่าดั่งมัจจุราชพรายไปบนใบหน้ากร้าน พร้อมกับย่างสามขุมเข้าหาเสาเป้าหมายในระยะทางที่เหลือไม่ถึงสามก้าว ขณะที่มือซ้ายกระชับอาวุธแน่น
“แกตาย!!”
ฉึก!!!
คมมีดเสียบทะลุแผ่นไม้ยาวราวเมตรแปดสิบที่พิงกับผนังตึกซึ่งฉาบด้วยปูนซีเมนต์ นัยน์ตาคมเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อ หากแต่ก็ยังไม่หมดความสงสัย จึงสาวเท้าไปยังเสาอีกต้นหนึ่งข้าง ๆ เสาต้นเดิม
“เมี้ยว!”
เสียงแมวร้องเรียกคนร้ายให้หันกลับไปมอง จนชายหนุ่มหัวเสียหงุดหงิด
“เฮอะ! ให้ตายสิวะ ฉันต้องมาเสียเวลาเพราะไอ้แมวตัวแค่นี้เนี่ยนะ พับผ่าสิ “ เสียงสบถคำแล้วคำเล่าดังขึ้นอย่างหยาบคายเพื่อระบายความโกรธที่คุกรุ่นใกล้ระเบิด อาชญากรหนุ่มรีบดึงมีดออกจากแผ่นไม้ แล้วหันมาทางเจ้าสัตว์ขนดกสีขาวตัวเล็กน่ารัก
ฉัวะ!!!
“ช่วยไม่ได้ อยากเสือกมาโผล่ตอนฉันกำลังรีบพอดี” บุรุษผู้ก่ออาชญากรรมขยับยิ้มเหี้ยมใส่ร่างที่ไร้หัวของเจ้าแมวน้อย แล้วโยนศีรษะขนาดเท่ากำมือออกไปให้พ้นตัว ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังร่างไร้สติของคุณนายเศรษฐี โดยไม่ลืมเช็ดเลือดออกจากมือและมีดเพื่อไม่ให้เป็นจุดเด่น ความสงสัยที่มีมาหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ตนรู้สึกว่าตามมา
เป็นแมวตัวนั้น!!!
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในคลองสายตาของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้ม ฝ่ามือทั้งคู่กำเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาสีดุจรัตติกาลฉายแววปวดร้าว
ใช่! เขาเองที่เป็นคนนำไม้ไปวางพิงไว้กับผนังอย่างนั้น มันอาจจะดูเป็นเรื่องตลก แต่มันก็สามารถเบนความสนใจจากคนร้ายได้จริงและถ้าไม่สำเร็จ ก็จะเป็นเขาที่ลุยเอง ซึ่งอาจจะเพลี่ยงพล้ำเมื่อไหร่ก็ได้ จะเรียกว่าโชคช่วยหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ที่รู้ ๆ คือ แมวตัวนั้นช่วยชีวิตเขาไว้ แม้ในสายตาของหลาย ๆ คนอาจจะดูไร้ค่า แต่แมวก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน คนเราก็ไม่มีสิทธิ์จะทำร้ายมันหากมันไม่ได้ทำอะไรเรา ไม่เข้าใจ ทำไมต้องทำกันแบบนี้ด้วย ระบายความหงุดหงิดหรือ? งี่เง่าสิ้นดี
เด็กหนุ่มปาดเหงื่อที่ไหลอาบทั่วหน้าตอนที่ระทึกใจออกไป ดูเหมือนเหตุผลในการจับคนร้ายครั้งนี้จะเพิ่มขึ้นมาอีกหลายข้อ และนั่นก็มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เขาตัดสินใจติดตามไป แม้มันจะไกลสักแค่ไหนก็ตาม ในตอนนี้แววตาที่เคยเย็นชากลับจางหาย แทนด้วยความมุ่งมั่น
มุ่งมั่นในสิ่งที่จะต้องทำ!!!
มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้นำสิ่งบางอย่างออกมาด้วย มันมีลักษณะเหมือนลูกปัดเล็ก ๆ มือหนาออกแรงกดลงไปเบา ๆ พร้อมเอ่ยรหัสยืนยันบางอย่าง
“น้ำแข็งเย็นไร้ซึ่งความลังเล”
ทันใดนั้นเอง
มันกลับขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนเท่ากับลูกส้ม ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นกล่องสี่เหลี่ยม รหัสเปลี่ยนรูปถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนาอีกครา
“F310”
ฝากล่องไม้เปิดอ้าออก เขาล้วงลงไปหยิบอะไรบางอย่างในนั้นออกมา แล้วปิดฝากล่องลง ก่อนมันจะกลับไปเป็นลูกปัดเล็ก ๆ เหมือนเดิม สิ่งที่นำออกมานั้นผู้คนทั่วไปเรียกมันว่า ‘เฮชไอพี’ หรือ ‘High Intelligent Phone’ เป็นอุปกรณ์สื่อสารรุ่นนิยมใช้ ตัวเครื่องเป็นแผ่นคริสตัลใส ๆ จะเน้นความสะดวกของผู้ใช้เป็นส่วนใหญ่ การทำงานเป็นระบบสื่อสารกับสมองกลในตัวเครื่อง ทำให้มีปุ่มกดอยู่เพียงหกปุ่มเท่านั้น อันแรกเป็นปุ่ม’โทรออก’ บอกที่อยู่หรือ ชื่อ-นามสกุลของปลายสาย ก็สามารถเรียนสายไปถึงได้อย่างรวดเร็ว อันที่สองเป็นปุ่ม ‘รับสาย’ บอกว่า ‘รับ’ เวลามีสายเข้า ก็สามารถคุยกันได้แล้ว อันที่สามเป็นปุ่ม ‘ส่งข้อมูล’ เพียงแค่ถ่ายโอนความคิดหรือคำพูดลงไป แล้วกด ‘ส่ง’ ไปยังที่หมายที่ระบุไว้ก็เรียบร้อย อันที่สี่เป็นปุ่ม ‘รับข้อมูล’ กด ‘รับ’ ข้อมูลที่ได้มาก็จะแสดงให้เห็นทันที อันที่ห้าเป็นปุ่ม ‘ค้นหา’ เมื่อใดที่ต้องการหาตัวบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายคนสำคัญ จะสามารถบอกตำแหน่งของบุคคลนั้น ๆ ได้ แต่จะต้องมีการยืนยันเป็นบุคคลสำคัญก่อนเท่านั้น จึงจะใช้ได้ และอันสุดท้ายคือปุ่ม ‘รายชื่อคนสำคัญ’ สามารถเรียกดูรายชื่อของบุคคลสำคัญ ซึ่งค้นหาตำแหน่งได้ โดยทั่วไปการส่ง-ยืนยันนั้น จะทำได้ในปุ่มส่ง-รับข้อมูล จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนปุ่มลงไป
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ประชากรส่วนมากเลือกใช้ ‘เฮชไอพี’ เพราะว่าเวลาสนทนาภาพของปลายสายจะฉายขึ้นมาเป็นภาพเสมือนจริง สามารถสนทนากันได้โดยตรงไม่ใช่มีเพียงแค่เสียงอย่างเดียว และ ‘เฮชไอพี’ จะมีรหัสที่ไม่ซ้ำกับคนอื่น ถึงแม้จะถูกขโมยไป แต่ถ้าหากไม่รู้รหัสก็ใช้ไม่ได้ ถือเป็นข้อดีที่สำคัญพอสมควร
เวษาเก็บลูกปัด แล้วหันมาสนใจแผ่นคริสตัลใสในมือ พร้อมขยับริมฝีปากหนาช้า ๆ “เมเนส ติดต่อสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดให้ที”
“ได้ค่ะนาย” เสียงใสจากสมองกลนาม ‘เมเนส’ ตอบรับ
ไม่ถึงนาที
ภาพของตำรวจนายหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตาเขา ร่างอ้วนท้วมเลิกคิ้วให้ทีหนึ่ง เป็นสัญญาณให้แจ้งเหตุร้าย ก่อนจะใช้นิ้วชี้ทำท่าเหมือนปาดคอตัวเอง พลางทำหน้าดุใส่ แทนคำพูดได้ว่า ‘รีบ ๆ พูดมาซะ ถ้าเหตุผลไม่ดีพอ แกเตรียมตัวตายได้เลย’
เวสขมวดคิ้ว แต่พอสังเกตเห็นชุดเครื่องแบบที่ไม่เป็นเครื่องแบบก็ถึงกับบางอ้อ นายตำรวจอยู่ในชุดกึ่งเครื่องแบบกึ่งไปรเวส ท่อนบนเป็นเสื้อสีกากีตามแบบฉบับตำรวจยุคก่อน ท่อนล่างเป็นกางเกงขาสั้นลายดอกสามส่วน ยศที่ประดับอยู่บนบ่าทำให้ทราบว่ากำลังดำรงตำแหน่ง ‘ร้อยตำรวจตรี’ ข้าง ๆ ตัวมีโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยขนมจุกจิกและน้ำชา
“มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เห็นหรือป่าวว่าคนเขากำลังยุ่งอยู่ กรอบ ๆ ” เสียงเคี้ยวขนมดังขึ้น แก้มตุ่ย ๆ กับหนวดข้างบนริมผีปาก ดูไม่รับกับผมสั้นเกรียนสีดำเลยสักนิด ท่าทางอุ้ยอ้าย ๆ สร้างความเอือมระอาใจให้กับเด็กหนุ่มไม่เว้นนาที เจ้าของการติดต่อเริ่มคิดจะออกคำสั่งให้เมเนสตัดการติดต่ออยู่กลาย ๆ
“ตัดการติด
”
“สมชาย!!” เสียงทุ้มต่ำแผดลั่น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความตำหนิจนล้น ร่างอ้วนสะดุ้งจนสุดตัว พาเอาสิ่งของรอบ ๆ ในรัศมีมือคว้ารวมถึงโต๊ะไม้พร้อมกับแก้วน้ำชาและขนมจุกจิกกระเด็นกระดอนลงเกลื่อนกลาดทั่วพื้น
ภาพตรงหน้าที่เห็นเรียกเสียงหัวเราะ ‘หึหึ’ ในลำคอเด็กหนุ่ม สภาพห้องที่เละระเนระนาดทำเอาเขาเบ้หน้าทีหนึ่งด้วยความสะใจลึก ๆ แต่ก็นับว่าโชคดีทีเดียว เพราะตอนนี้เวษาเลิกคิดที่จะตัดการติดต่อไปเรียบร้อยแล้ว
‘คนที่เพิ่งมาน่าจะพอใช้ได้ ลองขอให้เขาช่วยดูหน่อยคงไม่เสียหาย’ ความคิดเป็นงานเป็นการต่อยอดความคิดสมน้ำหน้าเจ้าคนร่างอ้วนที่กองอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าเหมือนเจอผี รอยยิ้มของผู้มองเหตุการณ์กระตุกขึ้นน้อย ๆ
“ตัดเงินเดือนครึ่งหนึ่ง!!” ประโยคถัดมาของชายหนุ่มวัยราวสี่สิบ ทำให้สมชายถึงกับผวาหน้าซีด
“ระ
ร้อยตำรวจเอก เรืองฤทธิ์” เจ้าของชุดที่กึ่งในกึ่งนอกเครื่องแบบเอ่ยเสียงสั่นเมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียง ร่างสูงสง่าสมส่วนในชุดเครื่องแบบสีกากีเต็มยศก้าวพ้นธรณีประตูมายังในตัวห้อง รองเท้าหนังหัวแหลมกระทบกับพื้นเสียงดังอย่างขัดใจ ใบหน้าคมเข้มย่นหน้าผากเลิกคิ้วขวาเป็นเชิงถาม ‘มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย’ สมชายส่ายหน้ายิกแบบที่ถ้าหัวหลุดออกมาได้คงหลุดออกมาเป็นที่เรียบร้อย ก่อนผู้ทรงยศศักดิ์สูงกว่าจะเดินเลียบผ่านร่างท้วมมาหยุดตรงหน้าเครื่องรับสื่อสารแจ้งเหตุประจำสถานี
“มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”
“เอ่อ
พูดธรรมดาก็ได้ครับ คือผมรู้สึกว่ามันแปลก ๆ น่ะ” เวษาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม เรียกรอยยิ้มจาง ๆ จากพันตำรวจเอกได้นานพอควร
“ก็ได้พ่อหนุ่มน้อย มีอะไรให้ช่วยล่ะ” ผู้อาวุโสกว่าเปิดประเด็นเรื่องสำคัญ เขาไม่รอช้ารีบเล่าเรื่องให้ฟังทันทีในขณะที่เท้าก็ยังสาวตามคนร้ายอยู่
เมื่อออกมาจากซอยแคบระหว่างตึก หนึ่งชายหนุ่มในคราบของอาชญากรก็รีบแสดงละครตบตาผู้คนแบบหน้าด้าน ๆ !!
“อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะครับคุณ ผมมาช่วยคุณแล้วนะ คุณจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน” บุรุษผู้เพิ่งก่ออาชญากรรมมาหมาด ๆ กอดหญิงสาวที่ไร้สติแน่น พลางเอ่ยคำปลอบเธอให้ไม่ต้องกังวล จนคนรอบข้างคิดไปว่า
ภรรยาถูกทำร้ายเลือดอาบ สามีสุดแสนดีจึงเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย ทั้ง ๆ ที่ความจริงมันช่างตรงกันข้ามกันมากเหลือเกิน
‘ตอแหลชะมัด’ เด็กหนุ่มย่นจมูก ปากก็เล่าเรื่องให้เรืองฤทธิ์ฟัง สองขาก็ไล่ตามไปเรื่อย ๆ ไม่ให้คลาดสายตา กระทั่งคู่สามีภรรยาจำเป็นโบกรถบริการรับ-ส่ง แล้วขึ้นไปประจำที่บนรถ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่นิยมขึ้น เพราะใช้เวลาในการเดินทางมากกว่ารถไฟฟ้า
ละครยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความสงสารของคนขับเปี่ยมล้น แต่พอชายเจ้าของรถจะพาไปส่งที่โรงพยาบาล สามีตัวปลอมก็รีบปฏิเสธทันควันและบอกที่หมายที่จะไปจริง ๆ
“สนามบิน? ไปทำไมล่ะครับ” โชเฟอร์หนุ่มทวนคำพูด
ไม่ขาดคำ
ชายผู้เคราะห์ร้ายกลับรู้สึกได้ถึงความเย็นของโลหะบางอย่างที่ทาบทับกับลำคอ พลางเหล่มองลงมา ก่อนจะหน้าซีดลงทันตาเห็น
“ฉันบอกให้ไป แกก็ไปสิ หรืออยากจะลองดี” คำขู่เหี้ยมดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มโหด คนร้ายเสมองไปทางมีดของตนสลับกับโชเฟอร์เจ้าของรถ แล้วพยักหน้าเบา ๆ ให้ทำตาม
และผลก็เป็นไปตามคาด สองหนุ่มกับอีกหนึ่งสาวออกทะยานไปตามถนนสายยาว มุ่งตรงไปยังจุดหมายที่ไม่มีใครรู้ ยกเว้นเขา
เพียงผู้เดียว
“
เอ่อ เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นอย่างนี้แหละครับ สารวัตร” เวษาปิดคำพูด กับตำแหน่ง ‘สารวัตร’ ที่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนชื่อเรียกไปตอนไหน
“อื้ม
ถ้าเป็นอย่างที่น้องบอก ก็แสดงว่าพวกของคนร้ายก็จะต้องมีมากกว่าหนึ่งล่ะสินะ” เรืองฤทธิ์ลูบคางอย่างใช้ความคิด แล้วเอ่ยขอเวลาในการวางแผนสักครู่ ซึ่งมีเวลาพอที่เด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินเข้มจะรีบโบกรถบริการรับ-ส่งอีกคันหนึ่งเพื่อตามนักแสดงจอมปลอมไป
พาหนะสีน้ำเงินตัดกับขาวแล่นมาจอดอยู่ตรงหน้าเขา ด้วยล้อเพียงแค่สามล้อทำให้คนในทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะหลายร้อยปีก่อนหรือปัจจุบัน เรียกรถโดยสารแสนจะฮิตแบบนี้ว่า ‘รถสามล้อ’ นัยน์ตาสีนิลพราวระยับด้วยความพอใจ ก่อนที่ร่างในชุดนักเรียนจะเข้าไปในยานพาหนะนั้น
“พี่ครับ ช่วยตามรถคันข้างหน้าไปที พอดีน้าผมโดนจับตัวไปน่ะครับ” น้ำเสียงร้อนรนและท่าทีกระวนกระวาย เป็นไม้เด็ดที่ถูกงัดขึ้นมาใช้ยามจำเป็น คนขับพยักหน้าให้ราวกับจะช่วยเหลือเต็มกำลัง แล้วหันกลับไป ทำให้ใบหน้าคมคายกลับมาเรียบนิ่งเป็นปกติ
‘ให้ตายสิ ชาตินี้จะไม่ขอทำอย่างนี้อีกเลยคอยดู’ เวสบ่นในใจ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองทางข้างหน้าอย่างมาดมั่น
“ว่าแต่
ที่หมายที่จะไปนี่เป็นที่ไหนกันล่ะ?” สองเสียงจากอุปกรณ์สื่อสาร ‘เฮชไอพี’ กับเสียงของโชเฟอร์สามล้อดังขึ้นประสานกันเป็นเสียงเดียว เรียกรอยยิ้มขัน ๆ จากเด็กหนุ่มได้เล็กน้อย
ถ้าถามว่ารู้หรือเปล่าว่าแหล่งที่รวมของพวกอาชญากรพวกนี้อยู่ที่ไหนจริง ๆ คงตอบว่าไม่รู้ แต่หากจะให้คิดตามหลักความเป็นจริงล่ะก็ ต่อให้อมพระมาพูดก็จะต้องใช่อย่างแน่นอน
สนามบินที่ใช้เวลาเพียงแค่ยี่สิบนาทีก็ถึง จะต้องอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นแน่แท้ ซึ่งในจังหวัดนี้ก็มีอยู่เพียงแค่ที่เดียวเสียด้วยสิ
เวษาตอบอย่างมั่นใจ “สนามบิน
ความคิดเห็น