ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Heroic Saga

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 ป้อมปราการ Sentry

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 49


                    คลิฟตื่นขึ้นมาอีกทีเขาพบว่ามาอยู่ในกลางหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง สถานที่นี้เต็มไปด้วยไอเย็น และน้ำแข็งราวกับว่ามันคือภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลกเลยก็ว่าได้หากแต่ที่นี่ดูลึกลับและวังเวงกว่าภูเขาน้ำแข็งในที่อื่นๆ



                    ท่ามกลางหุบเขา มีบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไว้อยู่ภายใต้ชุดที่ขาดรุ่ย ดูน่าเวทนานักถ้าคนที่สวมใส่มันคือ คน แต่ตอนนี้ใบหน้าที่ผิดรูปคล้ายโครงกระดูกที่ไม่มีหนังหุ้มนั้น กำลังท่องภาษาโบราณบางอย่าง และเบื้องหน้าของมันคือ ผลึกทรงหยดน้ำขนาดใหญ่ สิ่งที่อยู่ด้านในนั้นไม่อาจมองเห็นได้ชัดว่าคืออะไรขณะนั้นเองโครงกระดูกตัวนั้นได้หันหน้ากลับมาส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับเป็นเสียงหัวเราะของภูตผีในนรกอเวจีก็ว่าได้



                    ทันใดนั้นเองดวงตาสีแดงเลือดของบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในแท่งผลึกนั้นก้อเบิกโพลงขึ้น เหลือกมองมาคลิฟที่แอบจ้องดูอยู่ก่อนจะมีเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ดังก้องกังวาลในโสตประสาทเขาจนเขาคิดว่าถ้าเป็นฝันร้าย ก้ออยากให้มีใครมาช่วยปลุกเขาทีในตอนนี้



                    "นี่ ! ! คลิฟ" เสียงลูน่าตะโกนใส่คลิฟที่นอนเหงื่อท่วมตัวอยู่ เขาสะดุ้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คลิฟหอบหายใจทำหน้าซีดเผือด



                    "แฮ่ก แฮ่ก เมื่อกี้มันน่ากลัวมากเลยลูน่า เธอไม่ปลุกฉันต้องตายแน่ๆ มันเหมือนจริงมากๆ" คลิฟพยายามอธิบายให้ลูน่าฟัง ถึงฝันร้ายเมื่อครู่นี้



                    "เธอคงจะคิดมากเรื่องเหตุผลที่ชายหาดมากกว่านะ เอ้าๆลุกขึ้นได้แล้ว ทำหน้าซีดเป็นไก่ต้มไปได้"ลูน่ากล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืนข้างเตียงเขา ตอนนี้คลิฟพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนแห่งหนึ่ง ผนังห้องเป็นหินสีเทาเก่าๆบ่งบอกถึงความเก่าแก่ของมัน ภายในห้องเป็นเพียงห้องโล่งๆมีเพียงเตียงเขาและโต้ะเล็กๆที่มีแจกันใส่ดอกไม้ประหลาด ที่กลีบของมันเป็นคริสตัลส่องประกายวาววับ



                    "นี่กี่โมงแล้วหรอลูน่า" คลิฟถามพลางลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินไปสำรวจรอบๆ



                    "ไม่รู้สิ ดูจากข้างนอก ตอนนี้ก็น่าจะประมาณ สอง สามทุ่มแหละ" ลูน่าบอกพลางเดินไปที่หน้าต่างพลางรูดม่านออก เผยให้เห็นบรรยากาศในยามค่ำคืน และดวงจันทร์ดวงใหญ่ข้างขึ้นที่ดูสวยงามยิ่งนัก เสมือนอยู่ท่ามกลางหมู่ทะเลดาวของค่ำคืนนี้



                    คลิฟเดินไปที่หน้าต่างที่ลูน่ายืนอยู่ มองไปรอบๆก้อพบว่าห้องที่เขาอยู่นี้สูงมาก ราวเขากำลังอยู่ในหอคอยของปราสาทแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ด้านล่างมีเพียงคบเพลิงเล็กๆ และบ้านรูปทรงแปลกๆที่ชาวเลอย่างเขาไม่เคยเห็น บ้านแต่ละหลังทำมาจากหินเช่นเดียวกับผนังห้องที่เขานอนอยู่หลังคาหลากหลายรูปร่าง บ้างก้อครึ่งวงกลม บ้างก้อเป็นหน้าจั่ว แต่ที่น่าแปลกนั่นก็คือ บ้านแต่ละหลังไม่มีประตู ก้อจะมีแต่เพียงแสงสีขาวที่ส่องจากเขตอาคมเวทย์ที่อยู่หน้าบ้าน คลิฟคาดว่าพวกชาวบ้านต้องใช้เขตอาคมเวทย์นั่นในการเข้าบ้านมากกว่าปืนเข้าทางปล่องไฟแน่ๆ



                    "สวยจังเลยลูน่า ตั้งแต่อยู่ที่หมู่บ้านฉันไม่เคยเห็นอะไรแปลกๆแบบนี้เลย อ้อแล้ว. . ."คลิฟกำลังที่จะหันมาถามอะไรบางอย่างกับลูน่า แต่ถูกเธอเอานิ้วชี้ขึ้นมาประทับริมฝีปากเขาไว้เสียก่อน

    "ฉันก้อไม่รู้อะไรเหมือนกัน ฉันก้อเพิ่งตื่นเมื่อครู่ แล้วเจ้าเปี๊ยกเนโรนั่นเข้ามาบอกฉันว่านายอยู่ห้องนี้  ฉันก้อเลยเดินมาหา แล้วก้อบอกว่าถ้านายตื่นให้ฉันพานายออกมาข้างนอกห้องน่ะ แล้วจะมีคนมารับมั้ง" ลูน่ากล่าวก่อนจะเดินไปที่ประตู แล้วกวักมือเรียกคลิฟ



                    "ป่านนี้แม่จะเป็นยังไงมั่งนะ" คลิฟแอบคิดในใจลึกๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตู เพราะตอนนี้เขากลัวว่าแม่เขาจะเป็นห่วงที่เขายังไม่กลับบ้าน ลูน่าเองมองหน้าคลิฟก็เข้าใจความรู้สึกของเขาดี เพราะเธอเองก็คิดถึงครอบครัวเธอเช่นกัน ลูน่าได้แต่แตะบ่าคลิฟแล้วพยักหน้าให้ จนทำให้คลิฟรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง



                    "ไม่ว่ายังไงเราก็กลับบ้านได้อยู่แล้วน่า" ลูน่าพูดอย่างยิ้มแย้ม จนทำให้คลิฟรู้สึกดีขึ้นเพราะอย่างน้อย เพื่อนสาวห้าวของเขาก็ให้กำลังใจเขาทุกสถานการณ์มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว จนบางครั้งทำให้ชาวบ้านมองว่าลูน่าเป็นพี่สาวของคลิฟเลยด้วยซ้ำ



                    ทั้งคู่เดินผลักประตูออกมาจากห้อง และพบว่ามีคนในชุดคลุมสีดำแต่ไม่ได้ปิดบังหน้ามายืนรอรับอยู่แล้ว ใบหน้ารูปไข่ กับผมยาวสีทองคล้ายผู้หญิง มิว  ที่มาช่วยพวกเขาไว้ที่ชายหาดละอองดาวนั่นเอง เมื่อคลิฟดูใกล้ๆ เขากลับดูหนุ่มมาก คาดว่าน่าจะประมาณไม่เกิน 20 เป็นแน่



                    "โห ตรงเวลาจังเลยนะคะ ออกจากห้องปุ๊บก็มารับปั๊บเลย แล้วจะพาพวกเราไปทดลองอะไรเหมือนในหนังสือหรือเปล่าคะ?" ลูน่าพูดจาไร้เดียงสาสุดๆ พลางทำหน้ากวนๆ



                    "คงไม่หรอกครับ เอ่อ . .ผมมายืนรอเมื่อสิบนาทีที่แล้ว. . . ขออภัยนะครับ" ยังไม่ทันที่ลูน่าจะต่อล้อต่อเถียงอะไรต่อ มิวก็วาดมือเป็นวงกลมก่อนจะมีมิติสีดำปรากฏขึ้นใต้เท้าของทั้งสามและดูดพวกเขาลงไป



                    ตอนนี้ทั้งสามมาอยู่ที่ห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง พื้นห้องถูกปูด้วยพรมสีน้ำตาลที่ดูนุ่มอย่างประหลาด ผนังห้องประดับด้วยผ้าม่านสีขาวบางโยงระย้ายไปส่วนต่างๆของห้อง และคบเพลิงเล็กๆที่มีดวงไฟเป็นสีน้ำเงิน แต่ทำให้ห้องกลับดูสว่างจนน่าแปลกใจ เพดานของห้องเป็นรูปวงกลมถูกแต่งแต้มอย่างวิจิตร เป็นภาพคล้ายสงครามบางอย่าง จนทำให้คลิฟที่เงยมองภาพนั้นอย่างสนอกสนใจเหมือนต้องมนต์สะกด ลูน่าเองก็เช่นกัน



                    "สนใจเพดานนั่นหรอ" เสียงของผู้หญิงที่เคยช่วยพวกเขาไว้ดังขึ้นด้านหน้าของพวกเขา  "สวัสดี ฉันรีเดล เมอร์ซิวรี่ ผู้บัญชาการขั้นสูงสุดที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักพวกเธอทั้งสอง คลิฟ ไดแลนเซอร์ และลูน่า โอนิลดรีน" เธอพูดแนะนำตัวเองก่อนจะทักทายพวกคลิฟ ขณะนี้มีโต๊ะสีน้ำตาลเข้มดูเหมือนทำจากไม้ ไม่มีขาโต้ะ แต่มันลอยได้ อีกฝั่งของโต้ะนั้นคือผู้หญิงในชุดคลุมสีม่วง ผมสีน้ำตาล ดวงตาสีเช่นเดียวกับผมของเธอ และผิวที่ขาวหมดจด ริมฝีปากได้รูปชวนหลงใหล ดูจากภายนอกแล้วเธอคงอายุไม่เกิน 30 แน่นอน



                    "ครับมันดูสวยงามมาก แต่ดูเหมือนแฝงความหมายอะไรบางอย่างไว้" คลิฟหันมาพูดกับรีเดลก่อนจะหันไปมองอีกครั้ง ลูน่าเองก็หันไปมองรอบๆก้อเพิ่งรู้สึกตัวว่ามิวหายไปแล้ว



                    "มีไม่กี่คนหรอกนะ ที่ดูภาพนี้ครั้งแรกแล้วจะรู้สึกถึงความหมายของมัน เอาล่ะ พวกเธอไม่คิดจะมานั่งคุยกับฉันหน่อยหรือ" รีเดลพูดด้วยรอยยิ้มพลางนั่งลงบนเก้าอี้สีน้ำตาล



                    เมื่อคลิฟและลูน่าหันมามองรีเดลอีกครั้งก็ต้องแปลกใจเพราะตอนนี้มีเก้าอี้ไม้สีน้ำตาล คู่หนึ่งปรากฏขึ้นฝั่งตรงข้ามของโต้ะนั้น ลูน่าหันมามองคลิฟก่อน ทั้งคู่จะเดินไปนั่งสนทนากับรีเดล คลิฟพยายามมองเข้าไปในดวงตาของรีเดลเพื่อหยั่งรู้ว่าเธอประสงค์ร้ายหรือดีกันแน่



                    "งั้นหนูไม่เกรงใจนะคะ คือว่าจับพวกหนูมาทำไม แล้วที่นี่ที่ไหน จะปล่อยพวกหนูกลับบ้านได้มั้ยคะ แล้วก็ตัวประหลาดที่เราเจอเมื่อตอนบ่ายนั่นมันตัวอะไร แล้วทำไมเจ้าเปี๊ยก อุ้ย เนโร ถึงมาแย่งของที่เราหาได้ล่ะคะ สุดท้ายคือ . . . .หนูหิวค่ะ!" ลูน่าสูดลมหายใจก่อนจะพูดราวกับท่องมนต์ที่ยาวที่สุดในโลกออกมา จนคลิฟเองก็อดตกใจไม่ได้ เป็นเพราะเขาคงเกรงใจรีเดลเหมือนกันที่ลูน่าถามไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ เพราะเธอเป็นตรงๆ ไม่อ้อมค้อมอะไรอยู่แล้ว นี่อาจเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของเธอก็ได้มั้ง



                    รีเดลไม่มีท่าทีตกใจอะไรเพียงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเริ่มอธิบายให้ลูน่าและคลิฟฟัง



                    "คำถามแรก พวกเธอมาที่นี่เพราะเธอนำของสำคัญนั่นคือ1ในศาตราวุธแห่งสวรรค์ (Heaven weapon)ไป คำถามที่สอง ที่นี่คือ ป้อมปราการ Sentry แห่งนครหลวง เดลมิน่า (Delmina) คำถามที่สาม เราสามารถปล่อยเธอกลับบ้านได้ หากแต่ฟังฉันอธิบายก่อน คำถามที่สี่ สิ่งที่พวกเธอเจอเมื่อกลางวันนั่นคือ ดาร์คเอลฟ์ (Dark elf) คำถามที่ห้า เนโรได้รับคำสั่งฉันให้ไปรวบรวมศาตราวุธแห่งสวรรค์ที่เราเพิ่งตรวจเจออยู่บริเวณหมู่บ้านของเธอ ซึ่งเขาได้รับมอบหมายปฏิบัติภารกิจอยู่ คำถามสุดท้าย เมื่อการสนทนาสิ้นสุด เราจะพาเธอไปทานอาหารของที่นี่เอง หรือเธอจะพักที่นี่ก็ได้นะ" รีเดลตอบครบถ้วนทุกอย่างที่ลูน่าถาม จนลูน่าและคลิฟต่างตะลึงในความสามารถจดจำคำพูดของคนได้ด้วยการฟังเพียงครั้งเดียว



                    รีเดลส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้พวกเขา ก่อนจะหันมาทางคลิฟ



                    "ฉันว่ามีอะไรนอกจากนี้ที่เธออยากรู้แน่ ถามฉันมาได้เลยจ้ะ" รีเดลหันมาถามคลิฟ



                    "เอ่อ ศาตราที่คุณบอก มันมีความสำคัญยังไงหรอครับ" คลิฟถามสิ่งที่เขาอยากรู้และสิ่งที่เขาเอะใจเมื่อครู่ ตั้งแต่ภาพสงครามบนเพดานห้องแล้ว



                    "ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะสนใจเรื่องนี้ด้วย ฉันจะอธิบายให้ฟังนะ คือเราได้รับคำสั่งมาจากนครหลวงให้รวบรวมศาตราวุธโดยเร็วที่สุด และเรื่องนี้มีผลกระทบต่อโลกมาก เนื่องจากนครเหนือได้ค้นพบข้อมูลว่าตอนนี้ ทัพปีศาจและอสูรเริ่มบุกเมืองต่างๆอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น และ คำทำนายแห่งวิหารฟาโอร่า (Faora)  ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่แปลออกมาได้ว่า ต้องรีบหาศาตราวุธแห่งสวรรค์โดยเร็วที่สุด ก่อนมันจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวก วิชเชียส กองทัพปีศาจที่ตั้งตัวขึ้นมาอย่างลับๆ โดยเผ่าปีศาจต่างๆและมอนเตอร์ดุร้าย ตอนนี้เราหาศาตราวุธเทพได้สามชิ้นแล้วและหนึ่งในนั้นคือดวงตาแห่งโครนอสที่พวกเธอเจอ ตอนนี้เราต้องขออภัยที่นำมันไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยตอนที่พวกเธอหลับ หวังว่าพวกเธอคงเข้าใจนะ" รีเดลพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆต่างจากในตอนแรกอธิบายให้คลิฟและลูน่ารู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น



                    คลิฟกับลูน่าเองก็หน้าเสียด้วยกันทั้งคู่ รีเดลเห็นว่าบรรยากาศเครียดเกินไป จึงอธิบายให้ทั้งสองฟังต่อ

    "แหม มันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก ใช่ว่าพวกนั้นมันจะรู้ตำแหน่งของศาตราวุธแต่ละอันซะที่ไหน เพราะถ้ามันรู้ มันคงไม่ใช้วิธีกวาดล้างเมืองทีละเมืองเพื่อตามหาแบบนี้หรอกจ้ะ มาฟังฉันอธิบายเรื่องของพวกเธอมั่งดีกว่านะ"รีเดลพูดผ่อนคลายความตรึงเครียดของบรรยากาศลง ก่อนจะเริ่มพูดขึ้นต่อ



                    "ที่นี่ถึงจะเรียกว่าป้อมปราการ แต่มันก้อคือเมืองเมืองหนึ่ง แต่คนในเมืองนี้เราจะรวบรวมผู้คนที่มีฝีมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้เวทย์มนต์ นักรบ หรือแม้กระทั่ง พวกต่างเผ่าอย่างพวก เงือก ที่สามารถปรากฏในรูปของมนุษย์ได้ หรือ เซนทอร์ คนครึ่งม้า ที่มาร่วมเป็นพันธมิตรกับเรา สถานที่นี้จึงเป็นสถานที่ฝึกการสู้รบให้กับพวกเขา เพื่อที่จะเตรียมพร้อมเมื่อพวกวิชเชียสเข้ามาบุกนครเดลมิน่า ถึงจะพูดว่าเราฝึกคนเหล่านั้น แต่ที่นี่มันไม่ใช่ค่ายทหารอย่างที่เธอคิดนะ เธอจะได้การดูแลอย่างสะดวกสบายราวกับอยู่ในวิหารของวาลฮัลลา*(วิหารของเหล่าวัลคีรี่ทั้ง 12 ที่พาวิญญาณของนักรบที่ตายอย่างกล้าหาญ และเขาเหล่านั้นจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด) เลยทีเดียว รวมทั้งเธอสามารถเลือกฝึกทักษะต่างๆ โดยทางเราจะไม่บังคับสิทธิในการใช้ชีวิตของเธอ" คลิฟและลูน่าต่างสนใจสิ่งต่างๆที่รีเดลพูดจนเกือบลืมไปเลยว่าเขากำลังจะเจอกับอะไร



                    "แต่พวกเราไม่มีเงินติดตัวมาเลยนะคะแล้วจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร" ถึงลูน่าจะพูดแบบนั้น แต่เธอก้ออดใจไม่ได้ที่จะได้พบกับเวทย์มนต์ต่างๆที่เป็นเหมือนความฝันจริงๆ



                    "ทางรัฐบาลของนครเดลมิน่าจะออกค่าใช้จ่ายให้ทุกคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ทั้งค่ากินค่าอยู่ และ ของใช้ต่างๆที่จำเป็น ส่วนพวก ของจากพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาเร่ขายในเมืองนั้น เธอสามารถหาเงินได้จากการรับจ้างจากผู้คนในเมืองในเดลมิน่า หรือ ทางป้อมปราการจะประกาศรับสมัครผู้คนให้ทำภาระกิจต่างๆได้ที่หน้าปราสาท ซึ่งจะมีคำชี้แจงให้อยู่" รีเดลพูดทำให้ลูน่ายิ่งสนอกสนใจมากขึ้นจนแทบกรี้ด



                    "เอ่อ แล้วครอบครัวของเราล่ะครับ ผมยังไม่ได้บอกแม่เลย . . . คือผมกลัวท่านจะเป็นห่วง และกลัวว่าหมู่บ้านของผมจะถูกรุกรานจากพวกนั้นด้วยครับ" คลิฟพูดความในใจออกมา ถึงเขาจะดีใจมากเช่นเดียวกับลูน่า แต่ก็อดคิดถึงแม่ของเขาไม่ได้ และจากเหตุการณ์เมืองตอนบ่าย ทำให้เขาได้รู้ถึงความน่ากลัวของพวกวิชเชียส ลูน่าเองก็เพิ่งฉุกคิดถึงเรื่องนี้ได้ จึงเกิดความลังเลในใจขึ้นมาเหมือนกัน



                    "ไม่ต้องห่วงจ้ะ ทางเราได้ส่งคนไปคุ้มกันหมู่บ้านของเธอเรียบร้อยแล้ว และฉันได้ทำการขออนุญาติครอบครัวของพวกเธอ"รีเดลหยุดพูดก่อนจะหันไปมองลูน่า



                    "พ่อของเธออนุญาติในเรื่องที่เธอเข้ามาอาศัยในป้อมปราการแห่งนี้ ฉันคิดว่าเขาคงอยากให้เธอเข้มแข็งมากกว่านี้แน่จ้ะ เพราะพ่อของเธอดูจะเชื่อมั่นในตัวของเธอมากนะ" รีเดลพูดชมจนลูน่ารู้สึกดีใจจนอดยิ้มไม่ได้ที่พ่อของเธอภูมิใจในตัวเธอขนาดนี้



                    "ส่วนแม่ของเธอ. ."รีเดลพูดพลางทำสีหน้าเคร่งขรึม คลิฟเดาได้เลยว่า แม่ของเขาไม่ยอมให้มายุ่งเรื่องอันตรายแบบนี้เด็ดขาดอยู่แล้วจึงทำใจไว้เรียบร้อย



                    "ในตอนแรกแม่ของเธอปฏิเสธอย่างไม่ยอมฟังอะไรเลย จนเราอธิบายเหตุผลต่างๆให้เธอฟัง และสัญญาว่าให้เธอตัดสินใจว่าจะกลับ หรืออาศัยอยู่ที่นี่ เพราะยังไง ถ้าเธออยากกลับบ้านไปหาแม่ เราก็สามารถทำได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว แม่ของเธอจึงอนุญาติ พร้อมกับฝากมอบสิ่งของนี้มาให้เธอด้วย" รีเดลยิ้มอย่างเป็นมิตร ก่อนจะยื่นห่อผ้าที่เรียวยาวบางอย่างมาให้กลับคลิฟ เมื่อเปิดออกดู มันเป็นดาบเรียวยาวสีเงินส่องประกาย สลักด้วยภาษาโบราณซึ่งเขาเองก็ยังอ่านไม่ออก แต่เขาคิดว่าดาบเล่มนี้คงมีความหายสำหรับแม่มาก จึงให้เขามาในยามที่ต้องห่างไกลกัน



                    "เอาล่ะ ถึงตอนนี้ ฉันจะให้พวกเธอเลือกทางเดินชีวิตหลังจากนี้นะ จะอยู่ที่นี่ช่วยพวกเราปราบพวกวิสเชียส หรือกลับไปหมู่บ้านของเธอแล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุข" รีเดลตอบพร้อมกับลุกขึ้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวังที่จะให้พวกเขาเลือกที่จะอาศัยที่นี่ ลูน่าและคลิฟหันมามองหน้ากันก่อนจะยิ้มให้กันอย่างมีความหมายและตอบพร้อมกัน



                    "พวกเราตัดสินใจแล้วว่า จะอยู่ที่นี่ครับ / ค่ะ"



                                                                    ********************



                    "พวกดาร์คเอลฟ์ทำงานพลาดแล้วขอรับท่าน" เสียงแหบพร่าของร่างหนึ่งในเงามืดนั่งคุกเข่ากล่าวกับ ร่างหนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังค์ในปราสาทที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง



                    "อืม ไม่เป็นไรหรอก แบบนี้ยิ่งดี ให้พวกมันรวบรวมของพวกนั้นไว้ให้หมด แล้วข้าจะชิงลงมือทีเดียวโดยที่ไม่ต้องเสียแรงออกตามหาเลย ฮ่า ๆ ๆ ๆ" ร่างนั้นหัวเราะเบาๆด้วยเสียงสูงชวนน่าขนลุก



                    "ขอรับ แล้วท่านมีคำสั่งอะไรเพิ่มเติมอีกบางหรือเปล่าขอรับ" ชายในเงามืดเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง



                    "ตอนนี้เราก็เพียงแค่ไล่ต้อนพวกมันไปเรื่อยๆ แล้วเราจะรู้เองว่าสิ่งที่เราต้องการมันอยู่ที่ใด เจ้าไปสั่งการพวกระดับ Bloodlust General ให้เตรียมการบุกทางตอนเหนือของครอนนิเซีย ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี" แม้จะเป็นเพียงการสั่งเบาๆ แต่ความหมายของมันช่างน่ากลัวยิ่งนัก



                    "แต่ระดับ Bloodlust General ในตอนนี้มีแค่แปดคนเท่านั้น นะครับ ข้าเกรงว่า . . . . อ้ากกกกก" เขาร้องโอดครวญเสียงแสบแกบหูราวกับเป็นเสียงของสัตว์นรก ร่างของชายในเงามืดถูกศรน้ำแข็งพุ่งทะลุท้องไปเสียบติดกับผนังปราสาท



                    "อย่าได้ดูถูกแม่ทัพแห่งท่านคูรอนดัม เด็ดขาด!!!จำใส่หัวของเจ้าไว้ ครั้งต่อไปศรน้ำแข็งข้ามิใช่จะทะลุตัวเจ้า แต่เป็นหัวเจ้า!! ไปสั่งตามที่ข้าบอกเดี๋ยวนี้" เสียงของปีศาจที่นั่งบนบัลลังค์กล่าวเบาๆเช่นเดิม แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีฆ่าฟันอย่างรุนแรง



                    "อั่ก . . .ครับ นายท่าน" ร่างเงานั่นขานรับด้วยความลำบาก ก่อนจะหายตัวไปกับความมืด



                    "หึหึ เจ้ามนุษย์เอ๋ย จงดิ้นรนต่อไป อีกไม่นานข้าจะรุกฆาตแล้ว ฮ่า ๆๆๆๆ"ร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังค์หัวเราะอย่างบ้าคลั่งก่อนจะเลือนหายไป



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×