ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Heroic Saga

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 ดวงตาโครนอส

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 49


                   สงคราม อันเป็นที่มาแห่งความสูญเสีย ซึ่งต้นเหตุมาจาก ผู้รุกราน และ ผู้ถูกรุกราน สงครามมิอาจเกิดขึ้นได้เมื่อไร้สองสิ่งนี้ แต่เมื่อพระเจ้าสร้างจิตวิญญาณมนุษย์ที่มี รัก โลภ โกรธ หลง ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นต้นเหตุให้เกิดสงคราม และเมื่อมันสิ้นสุดลง นั่นก้อคือการสูญเสีย และ ความเสียหายต่างๆ อันเป็นลูกโซ่ เชื่อมต่อไปยังสงครามอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน



                   ภายหลังจึงมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้รวบรวมผู้คนเพื่อยุติสงครามลูกโซ่นี้ ทำให้โลกใบนี้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง แต่ความเคียดแค้น ความโกรธ ความเกลียดชัง ของมนุษย์นี้เอง ทำให้ก่อเกิดจิตวิญญาณแห่งความมืด ซึ่งนับวันยิ่งทวีมากขึ้นเรื่อยๆ และแล้วสงครามระหว่างปีศาจกับ สิ่งมีชีวิตบนโลกกำลังจะเกิดขึ้น โดยที่ไม่มีใครรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ สงครามที่จะสร้างความสูญเสียมากกว่าครั้งที่ผ่านๆมา หากแต่จะมีผู้กล้าคนใดยุติสงครามนี้ ก่อนที่มันจะสายเกินไป. . .



                   ณ แดนดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งบนโลก ที่เผ่าต่างๆและสรรพสัตว์ อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เนื่องจากการห่างหายสงครามมานานนับพันปีแล้ว ดินแดนแห่งนี้จึงมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆแบ่งเขตที่อยู่อาศัยกันในแต่ละภูมิประเทศ และความหลากหลายทางอารยะธรรมของสิ่งมีชีวิต ที่สามารถอยู่ร่วมกันนี้เอง ทำให้ดินแดนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีความท้าทายต่อนักล่า และนักผจญภัยต่างๆ ให้เข้ามาหาของหายากไม่ว่าจะเป็น สมบัติหรือ สมุนไพรหายาก และได้รับการขนานนามให้ดินแดนแห่งนี้ว่า   ทวีป ครอนนิเซีย (Chronisia) ดินแดนแห่งตำนานและคำเล่าขาน



                   "เฮ้ คลิฟ . . . นั่นนายจะนอนไปถึงไหนกัน วันนี้นายนัดกับฉันว่าจะไปเที่ยวกันไม่ใช่หรือไง !!" เสียงเด็กสาวท่าทางแก่นแก้วตะโกนขึ้น เพื่อเรียกเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังนอนหลับอยู่ในบ้าน



                   "แล้ว. . จะ. . ตามไป . . .นา ไปรอ . .ที่ ท่า . . .น้ำ ละกัน . . ." เสียงของเด็กหนุ่มตะโกนบอกกลับอย่างงัวเงีย จนเด็กสาวบ่นอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินจากไป  



                   "เช้าอีกวันแล้วหรอเนี่ย. . ." คลิฟกล่าวกับตัวเองแล้วเดินไปที่ห้องน้ำ "จริงสิวันนี้เราต้องพายายนั่นไปชายหาดอีกนี่นา ! !หวา แย่แล้ว ว ว ว" เขาทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ และแต่งตัวอย่างรวดเร็ว



                   คลิฟเป็นเด็กหนุ่มวัย 16 ผมประบ่าสีน้ำตาลเข็ม  ดวงตาสีดำสนิท หน้าตาคมสันได้รูป และมีอย่างหนึ่งที่แปลกไปจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ติดริมทะเลคือ คลิฟเป็นคนผิวค่อนข้างขาว ครอบครัวของคลิฟอยู่กับแม่สองคน ตั้งแต่คลิฟยังจำความได้ ทำให้เขารักแม่มาก แม่ของเขาไม่เคยเล่าเรื่องของพ่อคลิฟให้ฟัง แต่คลิฟก็ไม่เคยถามเช่นกัน บ้านของคลิฟอยู่ในหมู่บ้าน คลูน่า เป็นหมู่บ้านเล็กๆริมทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพประมง ถ้าเป็นพวกผู้หญิงก้อจะทำเกษตรกรรม การกินอยู่ของชาวเมืองคลูน่าเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อ ทำให้เป็นหมู่บ้านที่สงบ แม้จะไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากก็ตาม



                   "แม่คร้าบบบ ฝากให้อาหารโกจี้ ด้วยนะคร้าบ แล้วผมจะกลับมาตอนเย็นๆ แม่ไม่ต้องรอกินข้าวนะคร้าบบบ"

    คลิฟรีบวิ่งลงบันไดมาตะโกนบอก แม่ที่รดน้ำแปลงผักอยู่หลังบ้าน แล้วจึงรีบวิ่งไปยังท่าเรือที่นัดเด็กสาวไว้



                   "จริงๆเลยนะ ทิ้งให้แม่กินข้าวคนเดียวอีกแล้ว" ลอร่า แม่ของคลิฟถอนหายใจพลางยิ้มมองตามหลังลูกชายที่เพิ่งวิ่งออกไปจากบ้านด้วยความเอ็นดู



                   คลิฟออกมาตามทางเดินของหมู่บ้านที่ทำด้วยหินอ่อน วางไม่ค่อยเป็นระเบียบสักเท่าไหร่ แต่ก็ดูสวยงาม ชาวบ้านต่างก็ทำงานของตนเอง เด็กๆวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส แต่กลับไม่ร้อนมาก ฝูงฮัมมี่ มอนเตอร์รูปร่างคล้ายกระต่าย ลำตัวสีขาว มีหูขนาดใหญ่เหมือนปีกนก กำลังบินออกอาหารกินในตอนเช้า



                   คลิฟวิ่งมาเรื่อยๆจนถึงท่าน้ำ ที่เลยออกนอกเขตหมู่บ้านไป บริเวณนี้เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ รอบๆแอ่งน้ำเป็นป่าไม้ขึ้นหนาทึบดูร่มรื่น แสงแดดอ่อนๆสอดส่องเข้ามาบริเวณท่าน้ำ ทำให้บริเวณนี้ดูสวยงามมาก ปลายทางที่คลิฟกำลังวิ่งไปเป็นท่าน้ำเล็กๆที่ยื่นออกไปพอให้แก่วงขาเล่นในน้ำได้



                   ซึ่งขณะนี้มีเด็กสาวคนหนึ่งยืนร้องเพลงอยู่ มีฝูงนกตัวเล็กๆสีฟ้าบินมาเกาะที่ตัวเธอพร้อมกับส่งเสียงร้องราวกับเป็นทำนองให้เด็กสาว ทำเอาคลิฟที่กำลังวิ่งไปหา ค่อยๆเดินเหมือนถูกมนต์สะกด เสียงเพลงที่เด็กสาวร้องขึ้นเป็นบทเพลงที่สื่อถึงความอบอุ่นของผืนป่า และบวกกับเสียงที่ใสกังวานของเธอจึงทำให้บทเพลงนี้เป็นเพลงที่ไพเราะมาก เมื่อเธอร้องเพลงจบ นกต่างๆก็บินกลับไปยังต้นไม้ คลิฟรู้ตัวอีกที ตอนนี้เขาก็มายืนอยู่ข้างหลังเธอแล้ว



    ! ! พลั่ก ! !



    เด็กสาวหันมาต่อยคลิฟอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่ทันระวังตัว



                   "โอ้ย ทำอะไรของเธอเนี่ย ลูน่า" คลิฟร้องถามพลางเอามือลูบแก้มที่โดนต่อย ตอนนี้มันเป็นรอยแดงระเรื่อแล้ว



                   "คิก คิก สมน้ำหน้า มาช้ากว่าเวลาตั้ง ครึ่งชั่วโมงแน่ะ" เด็กสาวหน้าตาน่ารัก ผมยาวสีน้ำเงินเข้มที่ถูกมัดไว้กลางหลัง ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ผิวขาวอมชมพู ถ้าจะเปรียบเทียบกับผู้หญิงในหมู่บ้าน ลูน่า คือคนที่สวยที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย ขณะนี้เธออยู่ในชุดเสื้อพอดีตัวแขนกุดและกระโปรงยาวสีครามลายดอกไม้ "นี่ก้อสายแล้วนะ ฉันอยากไปเที่ยวแล้วล่ะ"



                   "เอ้าๆ ตามมาละกัน รับรองว่าเธอต้องชอบที่นั่นแน่ๆ. . . . ผู้หญิงบ้าอะไรไม่รู้ต่อยหนักชะมัด" คลิฟแอบบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินนำลูน่าออกจากท่าน้ำ



                   "เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ" ลูน่าถามพลางวิ่งเข้ามาหาคลิฟ



                   "อ้อ ปล่าวจ้า ฉันหมายถึงลูน่าน่ะ เสียงเพราะมากเลยนะตอนร้องเพลง" คลิฟถึงกับสะดุ้งเมื่อลูน่าวิ่งเข้ามาถาม



                   "ของมันแน่อยู่แล้ว ฉันน่ะเรื่องร้องเพลงไม่มีใครเกินอยู่แล้วล่ะย่ะ โฮะ โฮะๆ ๆ" พูดจบลูน่าหัวเราะอย่างร่าเริงก่อนจะเดินนำคลิฟไปทางชายหาด โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเพื่อนหนุ่มของเธอทำหน้าเซ็งชีวิตแค่ไหน



                   ทั้งคู่เดินมาจนถึงชายหาดแห่งหนึ่งบริเวณนอกเขตหมู่บ้าน เนื่องจากชายหาดบริเวณหมู่บ้านเต็มไปด้วยเรือประมงไปหมด และเด็กในหมู่บ้านเล่นน้ำกันเสียงโวยวาย พลอยจะทำให้ลูน่าแปลงร่างไล่จับเด็กกินอีก จึงเป็นเหตุผลที่ดีที่คลิฟพาลูน่ามาเดินเล่นชายหาดนี้ ซึ่งเรียกกันว่า หาดละอองดาว



                   "โห สวยจังเลย ทำไมนายถึงไม่เคยพาฉันมาที่นี่เลยนะ" ลูน่ากล่าวอย่างประทับใจเมื่อเห็นชายหาดละอองดาว น้ำทะเลเป็นสีฟ้าครามใสจนเห็นปะการังน้ำตื้นหลากสี หาดละอองดาวเป็นหาดเล็กๆครึ่งวงกลม ถูกล้อมรอบไปด้วยโขดหินที่มีพุ่มไม้เล็กๆ ทรายที่ชายหาดละเอียดและมีประกายระยิบระยับสมดังกับชื่อ ชายหาดละอองดาว เลยทีเดียว



                   "อื้ม ฉันกะว่าจะพาเธอมาในวันเกิดครบ 15 ปีน่ะ"คลิฟตอบ พลางเดินตามเด็กสาวที่ตอนนี้เดินลงไปเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน "นี่เธอฟังที่ฉันพูดบ้างมั้ยเนี่ย" คลิฟร้องบอก เพราะเห็นลูน่าไม่สนที่เขาพูดเลย



                   "นี่ เพล่มอะไรอยู่ได้ ลงมาเล่นกันได้แล้ว"ลูน่าบอกพลางวิ่งขึ้นมาฉุดแขนคลิฟลงไปเล่นน้ำ ทั้ง2เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะขึ้นมาพักเหนื่อยที่โขดหินในเวลาบ่ายๆ และนั่งกินข้าวกล่องที่ลูน่าเตรียมมาจากบ้าน



                   "นี่ๆ กับข้าวอร่อยมั้ย" ลูน่าถามพลางตักข้าวผัดที่เต็มไปด้วยผักหลายชนิด และ อาหารทะเล



                   "อร่อยนะ ว่าแต่เธอหัดทำกับข้าวเป็นกับเค้าด้วยหรอ" คลิฟกินอย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกือบโดนอีกหมัดแล้ว



                   "นี่ตาบ้า ฉันทำอาหารมันแปลกมากหรือไงยะ" ลูน่าบอกพลางกินข้าวต่อโดยไม่สนใจคำพูดของเด็กหนุ่ม



                   ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังกินข้าวกลางวันอยู่นั้น คลิฟเองรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง สายตาของเขาไปสะดุดกับวัสดุบางอย่างใต้ผืนน้ำ ลักษณะคล้ายกับลูกแก้วสีแดงเปล่งประกายสดใส อยู่บริเวณปะการัง



                   "เดี๋ยวมานะ" คลิฟบอกกับลูน่า พลางกระโดดลงไปในน้ำ



                   "นี่เธอเป็นอะไรอีกเนี่ย กินอาหารฉันจนกระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้ว.  .  ."ยังไม่ทันที่ลูน่าจะพูดจบคลิฟก้อโผล่ขึ้นจากน้ำพลางชูวัตถุสีแดงประหลาดนั้นให้ลูน่าดู มันส่องประกายสีแดงประหลาด

        

                                                                ********************



                   "มีคนหามันเจอก่อนเราจะไปถึงแล้วสินะ"เสียงผู้หญิงในชุดคลุมสีม่วงเข้ม ยืนพูดพลางยืนมองกระจกบานหนึ่งซึ่งตอนนี้มันเป็นรูปคลิฟและลูน่า กำลังพินิจพิเคราะห์มองลูกแก้วนั้นด้วยความตื่นเต้น



                   "ทำยังไงดีครับท่าน รีเดล คนของเรากำลังจะไปถึงแล้ว ถ้าเกิดเหตุเข้าใจผิดได้จะเป็นเรื่องใหญ่นะครับ" ชายหนุ่มพูดขึ้น พลางมองไปที่กระจกด้วยความเป็นห่วง



                   "อืม เห็นที่ข้าต้องไปเองซะแล้วล่ะ ข้าเกรงว่าเรื่องนี้มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด เพราะตอนนี้. . ."รีเดลพูดจบ ก็มีกระจกอีกบานหนึ่งโผล่ขึ้นด้านข้างของกระจกบานแรก เป็นภาพทหารใส่เกราะเหล็กสีดำสนิทรูปร่างผอมสามคนขี่ม้าสีดำที่กำลังวิ่งมาตามทางด้วยความเร่งรีบ หมวกของทหารทั้งสามมีสัญลักษณ์รูปผู้หญิงหูแหลมยาวคล้ายพวกเอลฟ์แต่สีหน้าดูหม่นหมอง ยืนหันข้างมือประสานไว้กลางอก มีปีกคล้ายค้างคาวสี่ปีก "เจ้าพวก ดาร์คเอลฟ์ คงรู้แล้วว่ามันอยู่ที่นี่ ช้าไม่ได้แล้ว เรียก มิว มาหาข้าด่วน" รีเดลสั่งอย่างเร่งรีบก่อนจะหันกลับมาดูที่กระจกบานแรก



                   "รับทราบครับ" ชายดังกล่าวรับคำสั่งเสร็จก้อหายตัวไปในความมืด ตอนนี้เหลือแต่รีเดลที่ดูกระจกอย่างเร่งร้อน



                   "ความหวังแห่งมวลมนุษย์ จะจบสิ้นง่ายๆเพียงแค่เริ่มต้นงั้นหรือ" รีเดลพึมพำกับตัวเองก่อนก่อนจะเดินหายเข้าไปในความมืด



                                                                ********************



                   "โห เอาไปขายได้กี่ G (gold) เนี่ย ท่าทางแพงน่าดู" ลูน่าตาลุกวาวทันทีที่เห็นลูกแก้วสีแดงซึ่งตอนนี้มันเปล่งประกายเพลิงภายในเป็นสีแดงเข้ม



                   "ฉันว่ามันแปลกๆนะอยู่ดีๆมีใครมาเอามาโยนเล่นแถวนี้ล่ะ ไม่แน่มันอาจเป็นลูกแก้วเวทย์มนต์ ที่แม่เคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนฉันยังเด็กๆก็ได้นะ" คลิฟพูดแต่ตายังไม่ละจากลูกแก้วนั้นเลยแม้แต่น้อย



                   "อื้อ งั้นเรากับไปให้พ่อฉันดูให้กันเถอะ เผื่อเขาจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้" ลูน่าบอกซึ่งคลิฟเองก้อเห็นด้วยเพราะพ่อของลูน่าเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านคลูน่า จึงน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเวทย์มนต์ต่างๆ คลิฟจึงนำลูกแก้วใส่ห่อผ้าก่อนจะช่วยลูน่าเก็บของแล้วเดินกลับมาพร้อมๆกับลูน่า



                   "พวกเจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นแหละ แล้วส่ง ดวงตาแห่งโครนอส มาให้เราเดี๋ยวนี้ ถ้ายังอยากมีชีวิตรอดอยู่" เสียงเด็กผู้ชายที่คาดว่าน่าจะอายุไม่เกิน 12 ขวบ ดังมาจากด้านหลังทั้งสองยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะหันกลับไปดูเจ้าของเสียงก้อมาปรากฏตัวด้านหน้าขวางทางไว้แล้ว



                   "นี่มันอะไรกัน พวกเราเป็นคนหาเจอนะ นี่เป็นเด็กเป็นเล็ก ก็เริ่มทำตัวอันธพาลแล้วหรือไง!" ลูน่าบอกพร้อมกับเดินมาด้านหน้าของคลิฟ



                   "นี่ฉันว่าเราค่อยๆคุยกันก็ได้นะลูน่า" คลิฟกระซิบบอกลูน่า เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยอยากจะไปมีเรื่องกับคนที่อายุอ่อนกว่า



                   "ยัยป้านี่ไม่รู้เรื่องจริงๆเลย นั่นมันของอันตรายมากนะ ถ้าตกไปอยู่ในน้ำมือของพวกวิชเชียส (Vicious) บ้านของพวกเจ้าก้ออย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นอีก รีบส่งมาให้เราเร็วเข้า อย่าให้ต้องใช้กำลังเลยนะไม่งั้นพี่สาวและพี่ชายเจ็บตัวแน่" เด็กชายในชุดคลุมสีดำ สูงประมาณหน้าอกของคลิฟร้องบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง  



                   "หนอยจะมากเกินไปละ" ลูน่าพูดด้วยน้ำเสียงโกรธมากพลางเดินเข้าไปหาเด็กชาย ทันใดนั้น เสียงม้าวิ่งก้อเริ่มดังขึ้นจนพื้นดินสั่นสะเทือน น้ำในทะเลเริ่มเกิดเป็นวงคลื่น หรือแม้กระทั่งท้องฟ้าเริ่มมีเมฆครึ้มสีดำอย่างประหลาดค่อยๆลอยเข้ามา



                   "มันมาแล้ว" เด็กหนุ่มรีบหันไปยังทางเดินที่อยู่ด้านหลังซึ่งตอนนี้เมฆสีดำได้ปกคลุมทั่วท้องฟ้า จนดูเหมือนเป็นยามรัตติกาล ลูน่าเองก้อตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเธอรีบจูงคลิฟมาบังหน้าเอาไว้



                   "นี่มันอะไรกันเนี่ย"ลูน่ากระซิบบอกคลิฟซึ่งตอนนี้เขามองไปต้นทางด้วยความรู้สึกตกใจไม่แพ้กับเธอเลย

    เสียงม้าค่อยๆมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนเริ่มเป็นร่างเงาของม้าสามตัวที่มีคนขี่อยู่เป็นคนในชุดเกราะดำสนิท



                   "ในนามแห่งข้า เนโร สายลมจงแปรเปลี่ยนทำลายอริข้าให้มลายสิ้น ! ! วินด์ คัตเตอร์" ผ้าคลุมของเด็กชายนามว่าเนโรโบกสะบัดอย่างรุนแรง พื้นที่โดยรอบตัวของเนโรเกิดลมหมุนหลายสิบลูก ก่อนจะพุ่งออกไปดุจดั่งใบมีดใส่ม้าทั้งสามตัวนั้น จนพื้นที่ที่ม้าทั้งสามยืนอยู่เกิดระเบิดอย่างรุนแรง



                   "สำเร็จ!"เนโรร้องอย่างดีใจเมื่อเห็นพื้นที่ด้านหน้าถูกทำลายอย่างรุนแรง



                   คลิฟและลูน่าทั้งคู่ยังอยู่ในอาการตะลึงสุดขีดเพราะตั้งแต่เกิดมา ทั้งสองก็เพิ่งเคยเจอเวทย์มนต์จะจะแบบนี้ครั้งแรก ขณะที่เนโรกำลังหันกลับมานั้นเองทันใดนั้นเอง ลูกธนูสีเงินสามดอกก้อพุ่งออกมาจากเงามืดนั้น เหลืออีกไม่กี่เมตรมันก้อจะปลิดชีวิตของเนโรแล้ว



    ! ! วิ้ง วิ้ง! !



                   ลูกธนูทั้งสามลอยข้างอยู่กลางอากาศ อยู่ห่างจากเนโรไม่ถึงสิบนิ้ว เนโรหันมาเหงื่อแตกพลั้ก ก่อนจะรีบกระโดดถอยหลังหลบออกมา ลูกธนูทั้งสามก้อสลายเป็นละอองระยิบระยับแทน



                   "อ่ะ ท่านรีเดล ขออภัยที่กระผมไม่สามารถทำตามที่ท่านสั่งไว้ได้ทันเวลาครับ" เนโรรีบหันไปกล่าวกับผู้หญิงในชุดคลุมสีม่วง



                   "ข้าไม่เอาผิดหรอก ตอนนี้เธอต้องรีบหนีก่อนดีกว่า . . .มิว"รีเดล หันไปสั่งกับผู้ชายผมยาวสีทองใบหน้าหมดจดคล้ายผู้หญิง ใส่ผ้าคลุมสีดำเช่นเดียวกับเนโร



                   "ครับ . . ." จากนั้นมิวก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะสะบัดเบาๆ หลุมสีดำขนาดล้อรถยนต์ก้อพุ่งออกไปจำนวนสามวง ไปครอบตัวคลิฟ ลูน่า และ เนโรไว้ ก่อนทั้งสามจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย



                   "ทีนี้ ก้อเหลือแต่พวกแกสินะ. . ."รีเดลหันมาช้าๆ ก่อนจะประสานมือไว้ด้านหน้าของเธอทั้ง2ข้าง แล้วกระดิกนิ้วเบาๆ จนเงาทั้งสามในมุมมืดเริ่มรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเข้ามาถึงตัว จึงรีบหันหัวม้าปีศาจของตนเองเตรียมวิ่งหนี



                   "มิลเลอร์ คอนแทกซ์! ! !" ทันใดนั้นพื้นที่ที่ริเดลยืนอยู่ ก้อเกิดวงกลมโปร่งใสสามวง ก่อนมันจะพุ่งไปหาทหารดาร์คเอลฟ์ทั้งสามและปิดผนึกมันไว้ในกระจก ริเดลค่อยๆเดินเข้ามาใกล้กระจกเหล่านั้น ซึ่งตอนนี้พวกมันพยายามที่จะทำลายกระจกนี้ออกไปให้ได้



                   "กลับไปบอกเจ้านายของแกซะ ถ้ายังมีฉันอยู่ พวกแกไม่มีทางทำลายโลกใบนี้ได้" พวกดาร์คเอลฟ์กรีดร้องอย่างโหยหวนก่อน กระจกที่ขังพวกมันจะแตกสลาย เป็นละอองหายไปทันที



                   "กลับกันเถอะมิว วันนี้พวกเราคงต้องอธิบายให้เด็กพวกนั้นฟังเยอะหน่อย" รีเดลหันมาพูดกับมิวที่ยังมีท่าทีนิ่งเฉย "นี่มิว ฉันมีอีกเรื่องนึง เมื่อกี้ตอนเธอส่งพวกนั้นไป เธอรู้สึกอะไรบ้างมั้ย"



                   "ครับ จิตวิญญาณอันแข็งกล้าหนึ่งดวง และ . . อีกหนึ่ง ข้าไม่ทราบครับ" มิวตอบสีหน้าปกติ แต่รีเดลยิ้มอย่างมีหวัง



                   "ไม่น่าเชื่อนะว่าพระเจ้าจะเข้าข้างเราเหมือนกัน"รีเดลพูดจบ ทั้งคู่ก้อหายไปรวมทั้งเมฆสีดำเมื่อครู่



                   ความสงบกลับคืนสู่เขตหมู่บ้านคลูน่าอีกครั้ง ชาวเมืองทั้งหลายที่ต่างออกมาดูเมฆประหลาดเมื่อครู่ต่างแยกย้ายกันทำงานของตนเองต่อ ก้อจะมีแต่ลอร่า แม่ของคลิฟที่ยังยืนอยู่ที่หน้าบานมองด้วยความเป็นห่วงไปยังบริเวณที่มีเมฆสีดำเมื่อครู่ . . . .



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×