ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( B.A.P ) SF | BANGZELO SHOP ♡

    ลำดับตอนที่ #13 : ( OS ) อกหัก ( รัก 100% )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 110
      0
      24 มี.ค. 57

    Title:  อกหัก

    Author: wahneun

    Type: ONE SHOT

    Rate: PG

    Note: ฟิคตามบัญชาพี่กลอย @kyosama91 ค่ะ XD

     

    --------------------------------------------------------------

     

                แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบหน้าต่างบานใหญ่ของห้องๆหนึ่งบนชั้นห้าหอพักที่สามของโรงเรียนมัธยมปลายชายล้วนขนาดใหญ่แถบชานเมือง เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่ซึ่งปลุกให้ร่างสูงที่นอนหลับอยู่บนเตียงตื่นขึ้น ไม่รู้เพราะเป็นเช้าวันวาเลนไทน์หรือเปล่าถึงทำให้รู้สึกว่าอากาศดีกว่าวันอื่นประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์

    บังยงกุกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกค่อยๆพาร่างตัวเองลุกขึ้นจากเตียงนอนฝั่งขวาและและก้าวต่อไปยังเตียงอีกฝั่งซึ่งมีใครอีกคนที่ยังไม่ตื่นนอนอยู่

     

    “ยงนัม ตื่น!” เสียงทุ้มเข้มเปล่งไม่ดังนักแต่ก็คิดว่าน่าจะพอที่จะปลุกใครอีกคนให้ตื่นได้ไม่ยาก หากพี่ชายร่วมสายเลือดที่อายุห่างกันหกนาทีก็ยังคงไม่มีการตอบรับใดๆ

     

    “ลุกไปอาบน้ำได้แล้วเว้ย!” เพิ่มระดับเสียงขึ้นไปอีกให้อีกคนตื่นขึ้น ขายาวเหยียดไปสะกิดแรงๆที่ร่างนั้น แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

     

    “ไปสายแล้วอย่ามาด่ากูนะ” ยงกุกล้มเลิกความตั้งใจก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวซึ่งตากอยู่ที่ระเบียงห้องเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำไปเรียนตามปกติ มือหนาจัดการเอาผ้าเช็ดตัวพาดไว้บนบ่า หยิบอุปกรณ์อาบน้ำเพื่อไปที่ห้องอาบน้ำรวม ขณะที่ฝ่ามือเอื้อมไปจับลูกบิดประตูหน้าห้อง หากแต่ยังไม่ทันจะได้สัมผัสมัน ประตูก็ถูกเปิดออกเสียก่อน

     

    “ลุง!

     

    “เฮ้ย!” เจ้าของห้องตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น จู่ๆเด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่เรียกเขาว่าลุงเมื่อกี้นี้ก็เป็นคนเปิดประตูออกแล้วผลักร่างๆหนึ่งส่งมาให้ ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามาภายในห้องพักโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูลงให้เรียบร้อย

     

    “ฮื่ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ!!” ร่างของคนที่กำลังกอดเจ้าของห้องไว้แน่นปล่อยโฮออกมาอย่างไม่เกรงกลัวว่าใครอีกคนที่หลับอยู่จะลุกขึ้นมาด่าเลยแม้แต่น้อย

     

    “เหนื่อยชิปเป๋งเลย ลุงรู้ป่ะว่าพี่จุนฮงมันตัวหนักขนาดไหนเนี่ย” เด็กหนุ่มบ่นและปาดเหงื่อที่ซึมตามไรผมเพราะความเหนื่อยจากการกึ่งลากกี่งพยุงพี่รหัสตนเองมาจากหน้าหอจนถึงห้องสายรหัสอีกหนึ่งเดียวที่มีอยู่

     

    “พี่ยงกุกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ช่วยด้วยยยยยยยยยยยยยย ฮื่อออออออออออออออ”

     

    “เฮ้ย ใจเย็นๆโว้ย อยู่ดีๆก็โผล่มากอดกูเนี่ย ไอ้แบม เล่าดิ้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

     

    บังยงกุก ผู้ซึ่งอยู่ปลายสุดของสายรหัสในรุ่นนี้ พูดง่ายๆก็คือเป็นลุงรหัสของแบมแบมเด็กมอสี่ที่เป็นน้องรหัสของจุนฮงอีกที สายรหัสที่ประกอบไปด้วยยงกุก จุนฮง และแบมแบม

     

    “ใครมาแหกปากอะไรตอนนี้วะ คนจะนอนโว้ยยยยยย!” บังยงนัมผู้ซึ่งทนไม่ไหวกับเสียงฟูมฟายที่ดังอยู่ข้างๆหูลุกขึ้นโวยกับคนที่ทำให้เวลานอนอันแสนมีค่าของเจ้าตัวต้องหมดลง

     

    “น้องรหัสกูเองอ่ะ ตื่นได้ก็ดี ไปอาบน้ำไปเรียนไปสัสสสส” ยงกุกว่าก่อนจะเอื้อมหยิบผ้าเช็ดตัวที่ไหล่ตัวเองโยนให้พี่ชาย ยงนัมเองก็รับไว้แล้วเดินออกจากห้องไปทันที

     

    “ปล่อยก่อนดิ้ นั่งลงบนเตียงนี่ แบมมาช่วยหน่อยโว้ย” คนอายุมากสุดออกคำสั่ง ก่อนที่ร่างของชเวจุนฮงจะถูกปล่อยให้นอนลงบนเตียงซึ่งเจ้าของเพิ่งลุกออกไปเมื่อครู่

     

    “ฮือออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ” เด็กหนุ่มยังคงฟูมฟายต่อไปโดยไม่สนใจคนรอบข้าง ยงกุกมองหน้าหลานรหัสอย่างต้องการคำอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้น แบมแบมเองที่ยืนพักจนหายเหนื่อยหอบแล้วก็เริ่มพูดขึ้น

     

    “พี่จุนฮงมันอกหักมาอ่ะ”

     

    “ฮะ!?” ยงกุกเอ่ยถามย้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง น้องรหัสที่อยู่ในสายตามาตลอดนี่นะอกหัก มันไปแอบรักใครตอนไหนวะ?

     

    “แบมอย่าเล่านะโว้ยยยยยยยยยยยยย ฮื่อออออออออออออออออออออออออ”

     

    “พี่ซูจองโรงเรียนข้างๆน่ะ หวังเด็ดดอกฟ้าก็ต้องเจ็บเงี้ยแหล่ะ พี่เขายังมีแฟนแล้วแถมอยู่โรงเรียนเดียวกันอีกต่างหาก” เด็กหนุ่มยืนกอดอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆให้รุ่นพี่ฟัง

     

    “โรงเรียนข้างๆเราเป็นโรงเรียนหญิงล้วนไม่หรือไงวะ?”

     

                “โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!!” ทันทีที่คำพูดของอีกคนสิ้นสุด เสียงร้องไห้ก็ดังระงมขึ้นอีกครั้ง ทั้งคนเป็นพี่และคนเป็นน้องต่างก็ตกอกตกใจไม่แพ้กัน

     

                “พี่ยงกุก! ไปพูดจี้ใจพี่จุนฮงมันทำไมเล่า!” แบมแบมรีบกล่าวออกไปทันทีเมื่อได้ยินลุงรหัสพูดอะไรที่ไม่ดีออกมา คนอายุน้อยที่สุดก้มดูนาฬิกาก่อนจะเริ่มทำท่าลุกลี้ลุกลน เพราะรู้ว่าตนเองกำลังจะสาย

     

                “ผมต้องไปสอบซ่อมเคมีก่อนนะพอดีครูนัดเช้า เลยพาน้องรหัสลุงมาส่ง บาย!

                เด็กชายตัวเล็กว่าก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง ทิ้งไว้เพียงเจ้าของห้องและผู้มาเยือนเท่านั้น

     

                “น้องรหัสกูก็พี่รหัสมึงไม่ใช่หรือไงวะ” ร่างสูงบ่นตามหลังรุ่นน้องไป แต่ก็ไม่ได้ถือโทษเพราะจุนฮงก็คือน้องรหัสเขาที่ต้องดูแลเช่นกัน

     

                “ไหนลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ” คนเป็นพี่ลงนั่งบนเตียงที่น้องนอนอยู่ ดึงตัวคนที่ซุกหน้าลงกับหมอนหนุนหัวของพี่ชายของตนให้ลุกขึ้นนั่ง พยายามพูดจาดีๆให้อีกคนรู้สึกดีขึ้น

     

                “พี่ยงกุก ฮืออออออออออออ พี่...โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ”

     

                “เฮ้ย หยุดร้องก่อนได้ไหมวะ” เจ้าของห้องเองก็ทำอะไรไม่ถูก ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่จุนฮงมาฟูมฟายใส่ก็เถอะ แต่ครั้งนี้นี่มันเสียสติจริงๆ

     

                “ซูจอง... ซูจองงงงงงงงงงงงอ่ะพี่ ฮืออออออออออออออออออออออออออออออ”

     

                “จุนฮง ถ้ามึงไม่หยุดร้องไห้กูฟังมึงพูดไม่รู้เรื่องนะโว้ย”

     

                “แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!” ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งบอกให้หยุดร้องก็ยิ่งร้องหนักกว่าเก่า คิดว่าเขามีเวลาว่างมานั่งรอมันหยุดร้องไห้ทั้งวันเลยหรือไง ไอ้แบมแบมนี่ก็แทนจะเอามันไปโยนไว้ในห้อง เสือกเอามาโยนไว้ห้องเขา ภาระมาเลยครับ ภาระใหญ่ด้วย

     

                “ปัดโธ่! จะเล่าดีๆหรือจะเล่าด้วยน้ำตา”

     

                “นี่ก็ร้องอยู่ไม่ใช่หรือไงเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย ฮื่ออออออออออออออออออออออออออออ”

     

                เห็นท่าว่าคนที่ร้องไห้เอาโล่อยู่ตอนนี้คงไม่หยุดร้องง่ายๆ บังยงกุกเลยจำเป็นที่จะต้องเริ่มทำการเดาสุ่ม(?)เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไอ้น้องรหัสตัวดี

                “คือไปสารภาพรักกะคุณหนูซูจองโรงเรียนนู้นมา?”

     

                “ฮือออออออออออออ” เสียงครางที่เป็นเหมือนการตอบรับดังขึ้นหลังจบประโยค คนเป็นพี่จึงเริ่มเดาต่อไปตามสิ่งที่ได้ยินมาอีกที

     

                “แต่โดนเขาปฏิเสธ? เขามีแฟนแล้ว?”

     

                “ฮื่อออออออออออออออออออออออออออออ”

     

                “แล้วแฟนเขาก็เป็นผู้หญิง?”

     

                “โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!!” เสียงสะอื้นระลอกใหญ่ดังอีกครั้งทันทีเมื่อพี่รหัสพูดคำที่สุดแสนจะทำร้ายจิตใจออกมา จุนฮงที่ทนไม่ไหวก็เริ่มเปิดปากพูดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับฟังออกมาบ้างเพราะยิ่งนึกก็ยิ่งเจ็บใจ

     

                “พี่ก็คิดดูนะ ฮึกกกกก... โดยปฏิเสธว่าเจ็บแล้ว แต่นี่เขายังไปคบผู้หญิงด้วยกันอีกนี่มันโคตรของโคตรเจ็บ รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าด้วยรองเท้าส้นเข็มกลางสี่แยกอ่ะ โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ”

     

                “ก็แค่ผู้หญิงไม่รับรักนี่มันต้องเป็นบ้าขนาดนี้เลยหรือไงวะ” มือใหญ่เอื้อมไปโยกหัวอีกคนแรงๆ เรียกสติที่กระเจิดกระเจิงไปเมื่อครู่ให้กลับคืนมา หัวทุยหัวสั่นคลอนจนจุนฮงรู้สึกมึนงงเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นปัดมือพี่ชายออกแล้วเริ่มโวยวายอีกครั้ง

     

                “พี่จะไปเข้าใจอะไรเล่า! วันๆอยู่แต่กับกลิ่นสีและกาวแป้ง เมียพี่คือกระดาษร้อยปอนด์ กิ๊กพี่คือดินสออีอี ชู้พี่คือโคปิค พี่จะมาเข้าใจหัวอกจุนฮงคนนี้ได้ยังไงงงงงงงงงงงงงง”

     

                “ผู้ชายเค้าไม่ร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้เพราะอกหักผู้หญิงไม่เอาหรอกโว้ยยยยยย” ชายหนุ่มกลอกตาไปมาอย่างหน่ายๆ อยู่เป็นพี่รหัสมันมาก็เกือบจะตั้งสองปีเข้าไปแล้ว เขามั่นใจว่ารู้จักมันดีพอๆกับที่รู้จักพี่ชายฝาแฝดตัวเองด้วยซ้ำ

     

                “แล้วพี่ร้องไห้เพราะอีอีหักหรือไง!

     

                “ไอ้ยงกุกอ่ะหรอ ก็ร้องไห้เพราะเห็นคนที่รักร้องไห้ไง” เสียงทุ้มของอีกคนที่เพิ่งเปิดประตูห้องเข้ามาเอ่ยขึ้น บรรยากาศรอบตัวหยุดนิ่ง เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะหนึ่ง อยู่ดีๆฝาแฝดคนพี่ก็พูดจาอะไรชวนขนลุกออกมาซะอย่างนั้น ทั้งยงกุกทั้งจุนฮงมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองตามคนที่เดินไปตากผ้าเช็ดตัวตรงระเบียงด้วยสายตาที่ประหลาดใจยิ่งนัก

     

                “มึงจะไปรู้อะไรจุนฮ๊งงงงงง ไอ้ยงกุกมันเคยร้องไห้ให้มึงเห็นด้วยหรอ มีแต่มึงเนี่ยที่มาร้องไห้กับมัน”

     

                “มึงจะไปรู้ได้ไงว่ามันรักใคร จริงไหมไอ้น้องชาย” ยงนัมมองใบหน้าที่เหมือนกันกับตนด้วยสายตามีเลศนัย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่จุนฮงมักใช้มันแยกแยะฝาแฝดสองคนนี้ปรากฏขึ้น บังยงนัมคว้าเอากระเป๋าเป้ขึ้นมาก่อนจะเดินออกจากห้องไปเสียอย่างนั้น

     

                “หมายความว่าไงวะพี่ยงกุก ไอ้พี่ยงนัมมันยิ้มอะไรของมัน”

     

                “ปะ..เปล่า! ไม่มีอะไร มันก็ยิ้มของมันแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่มีอะไรๆ” คนตัวสูงอึกอักตอบและด้วยคำพูดสุดท้ายที่เผลอขึ้นเสียงสูงเล็กน้อยทำให้อีกคนรู้สึกสงสัยได้ไม่ยาก

     

                “เสียงสูงทำไมวะ โกหกใช่ป่ะเนี่ย” ดวงตาหวานจ้องมองคนอายุมากกว่าด้วยสายตาจับผิด ความสงสัยทำให้รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่นัก

     

                “จุนฮง มึงก็มองคนใกล้ๆตัวบ้างดิ้ กูสงสารว่ะที่เห็นคนอื่นต้องมานั่งซึมเศร้าเพราะมึง”

     

    “มึงไปเรียนเถอะไอ้สัสสสสสส”

    ยงนัมที่โผล่หน้าเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับประโยคสุดท้าย ยงกุกหยิบหมอนมาขว้างใส่พี่ชายเป็นการไล่ ทิ้งไว้เพียงความเคลือบแคลงใจให้กับจุนฮงว่าไอ้คนใกล้ตัวที่ฝาแฝดของพี่รหัสพูดถึงเป็นใคร?

     

    หรือจะเป็นรูมเมท? ชานยอล? นั่นใกล้สุดๆเลยนะ แต่ก็รู้สึกว่าฝ่ายนั้นมีคนที่ปลื้มอยู่แล้วนะ เอ๊ะ แล้วใครล่ะคนใกล้ตัวน่ะ? หรือพี่ยงกุก? อย่างพี่ยงกุกน่ะนะ ก็บอกไปแล้วไงว่ารายนี้มีเมียเป็นกระดาษร้อยปอนด์ สองปีมานี่ไม่เคยเห็นสนใจใครสักคน เพราะงั้นมันเป็นไปไม่ได้ปะ?

     

    “เฮ้ย แปดโมงแล้ว!!” เสียงเพลงชาติที่ดังขึ้นภายในอาคารที่พักเป็นตัวบอกเวลาว่าตอนนี้ทั้งคู่กำลังสาย ยงกุกรีบวิ่งไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบนักเรียนโดยที่ไม่สนใจแล้วว่าจะต้องอาบน้ำในเช้านี้หรือไม่

    โดยที่ไม่ทันรู้ตัว มือหนาก็เผลอปัดม้วนกระดาษที่เคยใช้วาดรูปหล่นลงมาจากมุมหนึ่งของตู้เสื้อผ้า จุนฮงที่อยู่ใกล้ๆกันจึงถือวิสาสะหยิบขึ้นมา มือขาวค่อยๆคลี่กระดาษออกด้วยความสงสัยว่ารูปที่พี่รหัสวาดอยู่บ่อยๆคือรูปอะไร

     

    แต่ร่างบางก็ต้องตกใจเมื่อลายเส้นดินสอนั้นรวมกันออกมาเป็นรูปของเขาเอง... ไม่ว่าจะตอนกำลังยิ้ม หัวเราะ หน้านิ่งๆ หรือกระทั่งร้องไห้...

     

    มุมกระดาษที่ลงชื่อจิตกรกำกับเอาไว้ทุกแผ่นว่าใครเป็นผู้วาด และยังมีข้อความสั้นๆที่เขียนเอาไว้ในใบที่เป็นรูปเขากำลังร้องไห้อีกว่า

    อย่าร้องไห้สิวะ เห็นแล้วมันรู้สึกไม่ดีนะรู้ไหม

     

    ความสงสัยเมื่อครู่ถูกคลี่คลายจนหมดสิ้น สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นหลักฐานชิ้นดีที่ใช้ชี้ตัวผู้ต้องหาได้อย่างแม่นยำ... หัวใจกระตุกหวิว รู้สึกตกใจแต่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีเลยแม้แต่น้อย

     

    “พี่ยงกุก...” ร่างบางเอ่ยเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนที่คำพูดถัดมาจะทำให้ยงกุกหยุดชะงักสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้ทันที

     

    “รูปหล่น...”

     

    “รูปผม ที่พี่วาดน่ะ...”

    หัวใจของคนตัวสูงเหมือนหล่นวูบลงไปอยู่ที่พื้น รูปภาพที่เขาคอยวาดมาตลอดสองปี... ทั้งๆที่ไม่เคยคิดว่าจะให้อีกฝ่ายเห็นเลยด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้โมเดลของเขาก็เห็นมันหมดเสียแล้ว...

     

     

    รักของบังยงกุกคือรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน แค่เพียงได้รัก ได้ดูแลชเวจุนฮงเขาก็พอใจแล้ว...

    ถึงแม้ว่าบ่อยครั้งที่จะโดนพี่ชายแท้ๆตำหนิว่ารักเขาแต่ทำไมถึงไม่กล้าบอก จะเป็นพระเอกไปถึงเมื่อไหร่ แต่ว่าเขาก็มีความสุขที่มันเป็นแบบนี้...

    บางที...จริงๆแล้วที่บังยงกุกไม่กล้าพูดออกไป น่าจะเป็นเพราะว่ารู้คำตอบอยู่แก่ใจแล้วมากกว่า...

     

    “คือ...” เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง มองหน้าอีกคนด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา จุนฮงเป็นคนเดาใจยาก ข้อนี้เขารู้ดี...

     

    “อีกเดือนนึงค่อยมาบอกแล้วกัน ขอทำใจก่อน” รอยยิ้มแสนอบอุ่นถูกส่งมาให้ ก่อนเจ้าของผลงานจะเดินเข้ามาหยิบรูปภาพเหล่านั้นออกจากมือขาวไปเก็บไว้ยังที่เดิม

     

    “อื้อ”

     

    “ไปเรียนได้แล้วเว้ย สายแล้ว” แขนแกร่งดึงร่างน้องรหัสออกมาจากห้องพักของตน มือหนาขยี้เบาๆบนเส้นผมของเด็กตัวแสบอย่างที่เคยทำเป็นประจำ บังยงกุกจะรักษาความเป็นพี่น้องนี้ไว้เหมือนเดิม จะทำตัวให้เหมือนเดิม จุนฮงจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจที่รู้ว่าเขาคิดเช่นไร

     

    แต่ฝ่ายที่เพิ่งรับรู้ความจริงเมื่อครู่ก็ยังคงเรียกสติกลับมาได้ไม่ครบถ้วนเท่าไหร่นัก จากที่ตอนแรกเสียสติเพราะถูกคนที่ตัวเองแอบชอบปฏิเสธมาทำให้เจ็บปวด แต่ตอนนี้จุนฮงกลับรู้สึกเสียศูนย์ที่มารู้ว่าพี่ชายที่ตนรักและเคารพรู้สึกกับตนมากกว่าน้องชายคนหนึ่ง...

     

    จิตใจคนเราเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และเราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าความรู้สึกของใครจะเปลี่ยนไปไหม เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน รวมทั้งไม่มีใครคาดเดามันได้เลย...

     

     


     






    รัก

     

     

                ไวท์เดย์ วันแห่งคำตอบ...

                ตามธรรมเนียมแล้ว มันเป็นวันที่ผู้ถูกสารภาพรักในวันวาเลนไทน์ต้องตอบรับความรู้สึกนั้น ว่าจะรัก หรือไม่รัก...   

     

    ครบกำหนดนั้นแล้ว...

     

     

     

    “จุนฮง มึงจะออกไปกินข้าวด้วยกันไหม?” เสียงรูมเมทดังขึ้นภายในห้องพักเล็กๆของหอที่สาม คนถูกถามละสายตาจากการบ้านตรงหน้าก่อนจะหันไปส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบให้กับเพื่อนร่วมห้องอย่างปาร์คชานยอล

     

    “เออๆ งั้นเดี๋ยวกูมานะ ไปหาไรกินหน้าโรงเรียนแปบ”

    เมื่อผู้ร่วมอาศัยออกไป ภายในห้องจึงเหลือชเวจุนฮงเพียงคนเดียว ร่างเล็กย้ายตัวจากโต๊ะเขียนหนังสือมานั่งที่เตียงนอน มือบางควานหาโทรศัพท์ที่จำได้ว่าวางทิ้งไว้บนนี้ก่อนจะต่อสายหาน้องรหัส เพื่อขอคำปรึกษาครั้งสุดท้าย ปลายสายปล่อยให้รอเสียงสัญญาณเพียงไม่นานก็รับ

     

                “ว่า?”

     

                “มันจะดีหรอวะแบมแบม” เสียงหวานที่แฝงไปด้วยความไม่มั่นใจเอ่ยขึ้น สายตามองปฏิทินที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ รอยปากกาสีแดงที่วงเอาไว้ในวันที่สิบสี่มีนาคมพร้อมกับตัวหนังสือเล็กๆที่เขียนไว้ด้วยลายมือของเขาเองว่า ‘White day’

     

              “จะถามอะไรผมมากมายวะพี่จุนฮง พี่ก็ถามหัวใจพี่ดูดิ แล้วก็ให้มันเป็นคนตอบ”

     

              “ลุงนี่ยังทำตัวเหมือนเดิมได้ไงก็ไม่รู้ ดูพี่ดิ้ โคตรจะเปลี่ยนไปเลย ทีตอนไปสารภาพรักกะพี่ซูจองโรงเรียนนู้นไม่เห็นจะปรึกษาอะไรใครสักคน”

     

                “นี่มันไม่เหมือนกันโว้ยยยยยย” โวยก่อนจะเบนสายตาไปยังกล่องขนมที่คนเป็นพี่รหัสเพิ่งให้มาเมื่อวันก่อน มันก็จริงอย่างที่น้องรหัสว่า พี่ยงกุกยังทำตัวเหมือนเดิม ไม่ได้ทำให้เขาต้องรู้สึกอึดอัดเลยสักนิดที่มารู้เรื่องที่ไม่ควรรู้

     

              “ไม่เหมือนตรงไหน นี่ล่ะน้า ที่เขาพูดกันว่าข้อเสียของการรับรู้ คือกลับไปไม่รู้ไม่ได้แล้ว”

                ปลายสายเอ่ยหยอกๆกับคนที่ตนรักราวกับพี่น้องแท้ๆ แบมแบมผู้รู้เหตุการณ์และความสัมพันธ์ของรุ่นพี่ในสายรหัสทั้งสองคนเป็นอย่างดี

     

     

    Knock knock

                เสียงเคาะประตูดังขึ้น เรียกให้ผู้ที่อยู่ภายในต้องลุกจากเตียง มือบางถือโทรศัพท์แนบหูไว้แต่ก็อดบ่นกับผู้รับฟังด้วยความประหลาดใจไม่ได้

                “ก็ไม่ได้ล็อคไม่ใช่หรอ ทำไมไม่เปิดเข้ามาเลยวะ”

     

    “ลืมกระเป๋าตั...?” เสียงใสขาดห้วงเมื่อมือเล็กแง้มประตูออกเพราะคนที่ยืนอยู่ไม่ใช่รูมเมทอย่างที่เจ้าตัวคิด

     

                “พี่ยงกุกมา!” ด้วยสัญชาตญาณทำให้จุนฮงรีบปิดประตูลงทันที เด็กหนุ่มลนลานเหมือนหนูติดจั่น น้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเพราะไม่ทันคาดคิดว่าใครอีกคนจะมาโดยที่ไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้

     

              “เอ้า มาหาถึงห้องงี้เลยหรอ งั้นก็แค่นี้แหล่ะ โชคดีนะ”

                ปลายสายเอ่ยแค่นั้นก่อนจะกดวางไป จุนฮงทำอะไรไม่ถูก ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าอีกคนวางสายไปแล้วจริงๆ ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขาและพี่รหัสที่ห่างกันเพียงแค่บานประตูกั้น

     

                “จุนฮง! ปิดประตูหนีทำไมวะ”

                แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรกั้นแล้ว... เพราะบังยงกุกเป็นคนถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาเองเนื่องจากเจ้าของห้องอย่างเขาไม่ทันได้กดล็อค

     

              โอ้ยยยยยยย ขอเวลาตกใจแปบดิ ใครใช้ให้โผล่มาแบบนี้ล่ะวะไอ้พี่บ้า!

     

    ร่างเล็กนึกอยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆสักทีโทษฐานที่สัพเพร่าไม่ลงกลอนประตู แต่ก็ได้แค่จิ๊ปากอย่างรู้สึกเสียดายเท่านั้น

     

                ยงกุกผลักไหล่บางให้ถอยออกไปแล้วก้าวเท้าเข้ามาภายในห้อง จุนฮงจึงได้แต่ปิดประตูแล้วพ่นลมหายใจออกมายาวๆหนึ่งทีเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนหันมาเผชิญหน้ากับคนที่บุกรุก

     

     

                “มันครบเดือนนึงแล้วนะเว้ย” เสียงทุ้มเปิดประเด็นทันทีอย่างไม่รอช้า ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ยงกุกเชื่อว่าจุนฮงรู้ถึงเหตุผลที่ทำให้เขามายืนตรงนี้อยู่แก่ใจแล้ว

     

                “คือเอ่อ... คือ...”

     

                “ไม่เป็นไร พูดๆมาเถอะ ทำใจมาแล้ว” ร่างสูงเอื้อมดึงคนตัวเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ฝ่ามืออุ่นลูบเบาๆบนแผ่นหลังบาง ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ...

     

                จุนฮงผละตัวถอยออกจากวงแขนแข็งแรงด้วยความเสียดาย ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนริมฝีปากบางจะประทับลงเบาๆที่ปากของคนตรงหน้า สัมผัสที่บางเบาแต่เด่นชัดในความรู้สึกของผู้ได้รับ หากแต่ยังไม่ทันจะเคลิบเคลิ้มกับมันได้นานนักร่างบางก็ถอยออกไปเสียก่อน

     

                “......” บังยงกุกยืนนิ่งค้างไปชั่วครู่ ไม่คิดว่าจุนฮงจะกล้าทำอะไรแบบนี้กับตน ใบหน้าที่แดงไปจนถึงใบหูเป็นตัวบอกได้อย่างดีว่าอีกคนเขินอายมากเพียงใด

     

                “ก็ไม่มีของขวัญอะไรจะให้อ่ะ” เด็กหนุ่มพูดขณะที่ก้มหน้าจนคางชิดอกเพราะความประหม่า ก่อนจะต้องตกใจเมื่อร่างทั้งร่างถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปหา ฝ่ามือยกขึ้นยันอกแกร่งไว้เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างกัน กลัวเขาจะรู้ว่าหัวใจดวงนี้มันเต้นแรงขนาดไหน

     

                “ก็นี่แหล่ะของขวัญ” ร่างสูงกล่าวก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง

    มือหนาประคองใบหน้าของอีกคนไว้ให้รับจูบนั้น มือเล็กกำเสื้อที่ร่างสูงสวมใส่ไว้แน่น ดวงตาหวานหลับลง ใช้หัวใจรับความรู้สึกทั้งหมดที่ถูกส่งมอบให้...

     

    เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง

    เหมือนเห็นสายรุ้งขึ้นกลางแจ้ง

    เหมือนลมหนาวเดือนเมษา

    เหมือนใจอ่อนล้ากลับแข็งแกร่ง

    เหมือนคนกำลังมีรัก

    เหมือนคนหลงทางพบคนรู้จัก

    เหมือนเจอของสำคัญที่หล่นหาย

    เหมือนร้ายนั้นกลายเป็นดีมาก

    นี่แหล่ะ รัก...




    -THE END-





     
    wahneun:
    มาละค่าาาาาาาาาาาา XD
    โอ้ยจะโดนตีมั๊ยอ่ะจบแบบนี้ เอาจริงๆตอนแรกนี่จะให้จบแค่น้องบอกพี่ว่ารูปหล่น 555555
    แต่คิดว่าน่าจะโดนฟาด มันยังต่อได้อีก มันต้องรักหน่อยดิ 55555555555555555555555
    ขี้เกียจเปิดตอนใหม่เนอะมันไม่ได้ยาวไรเล้ย ยัดไปตอนเดียวกันเลยดีกว่า
    ขอบคุณที่อ่านค่า 


    © Tenpoints!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×