ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( B.A.P ) SF | BANGZELO SHOP ♡

    ลำดับตอนที่ #5 : THE SEASON: TORMENT WINTER III PART 2

    • อัปเดตล่าสุด 25 ธ.ค. 56



     

    Title: TORMENT WINTER PART 2

    Couple: BANGZELO ( Bang Youngguk x Choi Junhong )

    Status : 3.5 / 4

    Author: wahneun

    Type: SHORT FICTION ( PROJECT )

    Rate: PG

     

    --------------------------------------------------------------

     

    กลิ่นยาปฏิชีวนะที่คละคลุ้งไปทั่วสถานที่แห่งนี้เป็นสิ่งที่คนตัวขาวชินกับมันเสียแล้ว... ตลอดสามวันที่ผ่านมากับการเป็นคนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยจริงๆ

    อากาศภายนอกดูเหน็บหนาวยิ่งนัก แต่ภายในตัวอาคารกลับไม่รู้สึกถึงความเยือกเย็นเลยสักนิด อบอุ่นกาย และอบอุ่นใจ...

     

     

                “พี่นานะ! อยากกินไก่ทอด!” เสียงอู้อี้อย่างคนป่วยของน้องชายดังขึ้น เรียกให้พี่สาวที่กำลังนั่งดูซีรีย์ผ่านจอใหญ่ของแท็บเล็ตอยู่ต้องกดพอสและหันไปมอง

     

                “ไม่ได้! ยังไม่หายดีเลยจะกินของทอดได้ไง” นานะตอบกลับด้วยท่าทีเด็ดขาด ก่อนจะกลับมาสนใจละครที่ตัวเองกดพอสไว้ในไอแพดต่อ

     

                “แต่ผมหิวอ่ะ!” เด็กยักษ์ยังคงงอแงไม่เลิก ยิ่งรู้ว่าพี่สาวจะต้องตามใจแน่นอนก็ไม่ยอมหยุดง่ายๆ

     

                “กินไม่ได้!” สายตาดุๆถูกส่งไปยังคนบนเตียงผู้ป่วย นานะจำเป็นต้องหยุดการดูสื่อบันเทิงเพื่อมาห้ามปรามคนเป็นน้อง

     

                “พี่นานะ ผมอยากกินจริงๆนะ สามวันมานี่ผมกินแต่อาหารของโรงบาลอ่ะ จืดชืด ไม่อร่อยเลย กินไม่ค่อยลง” เด็กหนุ่มตัวโตพยายามปั้นหน้าให้น่าสงสาร ส่งสายตาอ้อนวอนพี่สาวอย่างไม่ยอมแพ้

     

                “ก็แกป่วยอยู่เนี่ย ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ไม่ให้กินเด็ดขาด!!” ประกาศคำขาด ก่อนจะก้มลงกดไอแพดที่ตนใช้เมื่อครู่เพื่อทำงานเล็กๆน้อยๆที่พอจะทำได้เมื่ออยู่นอกบริษัท

     

                “พี่นาาาาานะ!” คนป่วยส่งเสียงเรียกแต่อีกคนก็ไม่สนใจ จุนฮงทำท่าฟึดฟัดก่อนจะยอมหยุดงอแงแล้วกลับไปซุกผ้าห่มนอนตามเดิม

     

                “เป็นไงบ้างครับจุนฮง หมอขอตรวจรอบค่ำหน่อยนะ” เสียงนุ่มทุ้มที่จุนฮงจำได้ดีว่าเป็นของแพทย์เจ้าของไข้ดังขึ้น ขายาวๆของนักศึกษาแพทย์ก้าวเข้ามาหาคนป่วยที่ข้างเตียง ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะเอื้อมมาแตะเบาๆที่บริเวณหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย

     

                “ช่วงนี้ยังมีอาการเบื่ออาหารอยู่ไหม? รู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้นบ้างหรือยังครับ?” พูดไปพลางใช้ไฟฉายกระบอกที่ถือเข้ามาด้วยส่องตาส่องคอของผู้ป่วยเพื่อตรวจอาการเบื้องต้นเล็กๆน้อยๆ

     

                “ก็ยังเบื่ออยู่อ่ะครับ อาจจะเพราะอาหารโรงบาลไม่อร่อย อย่างอื่นน่าจะกินได้”

     

                “ไม่มีไข้แล้ว อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ เดี๋ยวพี่ให้กลับบ้านพรุ่งนี้เช้าเลยดีไหม?”

     

                “ดีครับพี่หมอ! ดีมากๆเลย! ผมเบื่อโรงพยาบาลจะแย่แล้ว พี่นานะก็ดุ!

     

                “เดี๋ยวเถอะจุนฮง!” สาวสวยที่หยุดการกระทำทุกสิ่งอย่างแล้วมาสนใจอาการของน้องชายก็ได้แต่ค้อนใส่ไปหนึ่งที เธอไม่ได้ต้องการจะใจร้ายหรอกถ้าหากว่าจุนฮงยอมฟังกันดีๆบ้าง

     

                “นั่นไง! พี่หมอดูสิครับ แยกเขี้ยวอีกแล้ว ช่วยผมด้วยยยยยยยยย” ว่าแล้วก็คว้าตัวชายหนุ่มที่ยืนอยู่มาเป็นเกราะกำบังทันที

     

                “ให้มันน้อยๆหน่อย นายก็เหมือนกัน ไปเข้าข้างน้องมัน ได้ใจเลยเห็นไหม!

     

                “เราไปดื้ออะไรกับนานะล่ะ” เจ้าของเสียงนุ่มเอ่ยถามกับเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง

     

                “ผมก็แค่อยากกินไก่ทอดอ่ะ”

     

                “งั้นพรุ่งนี้ออกจากโรงบาลแล้วพี่เลี้ยง โอเคไหมครับ?”

     

                “คริส!!” เสียงหวานแว้ดขึ้นหลังจากฟังจบประโยค เป็นหมอแท้ๆ ทำไมยอมให้คนป่วยกินของทำลายสุขภาพนะ!

     

                “พี่หมอใจดีจังครับ เกรงใจ แต่ถ้าไม่รับไว้ก็จะน่าเกลียดเนอะ” จุนฮงยิ้มตาหยีให้ชายหนุ่มที่อายุมากกว่า

     

                “นานะใจเย็นๆ แค่กินไก่ทอด น้องไม่เป็นไรแล้ว ยิ่งช่วงฟื้นตัว ยิ่งต้องรีบกินเข้าไปเยอะๆ เพราะก่อนหน้านี้น้องเบื่ออาหาร ร่างกายจะยิ่งอ่อนแอนะ”

     

                “ฉันผิดสินะ โอเค ไปเป็นพี่น้องกันเลยไหมล่ะ!” ว่าอย่างงอนๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟา หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าหนีโลกภายนอก

     

                “พี่นานะ อย่างอนดิ โอ๋ๆ” จุนฮงพลิกกายหันมาหาพี่สาวเต็มตัว ส่วนคนเป็นหมอก็เดินไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ออกจากใบหน้าเรียวงาม

     

                “ระวังหายใจไม่ออกนะ” เอ่ยด้วยรอยยิ้มแสนดี แล้วเดินกลับไปหยิบแฟ้มผู้ป่วยที่วางไว้บนเตียงมาจดอะไรเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป

     

                “พี่เก็บของแล้วนะ พรุ่งนี้ก็จะไปแล้วนี่” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่ง เจ้าของขาเรียวยาวเริ่มก้าวเดิน คว้าเอาข้าวของที่ไม่ค่อยจำเป็นเก็บใส่กระเป๋าเป้ใบโต

     

                “แล้วพี่จะกลับบ้านเลยไหม?” คนตัวเล็กถามด้วยความสงสัยภายในใจ รู้สึกยังไม่อยากให้พี่สาวกลับไปในขณะที่ตัวเองยังไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่นัก

     

                “กลับ! ให้ไอ้หมอเป็นพี่ชายแกไปแล้วกัน ไม่อยู่ด้วยแล้ว” ว่าอย่างงอนๆกับคนเป็นน้อง เชิดหน้าสวยขึ้นอย่างไม่สนใจ

     

                “ไม่เอาอ่ะ อย่าเพิ่งกลับ พี่ต้องไปอยู่กับผมก่อนนะ” จากที่ปกติน้ำเสียงของเด็กหนุ่มจะเจือด้วยความขี้เล่นหากแต่ประโยคนี้กลับเต็มไปด้วยความวิตก

     

                “แต่ก็ลางานมาแล้วตั้งอาทิตย์นึงแหน่ะ กลับไปก็อยู่บ้านเฉยๆ น่าเบื่อเหมือนกัน” เอ่ยเสียงเรียบหากแต่ยังคงเชิดหน้าไว้ดังเดิม เพียงตั้งใจจะแกล้งน้องชายเล่นเท่านั้น

     

                “พี่นานะ! ทำไมต้องมาทำให้ผมใจเสียด้วยเล่า!” เอ่ยอย่างงอนๆบ้าง ก่อนจะหันตัวหนีคนเป็นพี่สาวบ้าง

     

                “งอนไปเหอะ ไม่ง้อหรอกย่ะ!” ว่าอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะไปสนใจกับของต่างๆที่อยู่ตรงหน้า

     

                “พี่นานะ...” เสียงของคนป่วยเอ่ยขึ้น เจือด้วยความเศร้าสร้อยบางเบา ก่อนจะค่อยๆพลิกตัวกลับมาหาพี่สาวคนสำคัญ

     

                “ว่าไง อยู่ดีๆมาทำเสียงเศร้าทำไม?”

     

                “พี่ว่าผมควรจะทำยังไงดี หลังจากนี้... คงไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม?” คนอายุน้อยเอ่ยถามด้วยความลำบากใจ เมื่อต้องคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

     

                “...” หญิงสาวเงียบไปชั่วครู่... เธอรู้ว่าน้องของเธอรู้สึกเช่นไร รู้ดีว่าจุนฮงหมายความว่าอะไร และแน่นอนว่ารู้ว่าจุนฮงรักยงกุกอะไรนั่นมากแค่ไหน... เพียงแต่ เธอยอมไม่ได้ หากจะปล่อยให้คนๆนั้นมาทำร้ายน้องชายเพียงคนเดียวของเธอแบบนี้ หากแต่การปล่อยให้จุนฮงเจ็บปวดก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน...

     

                “แกรักมันมากเลยหรอจุนฮง คนที่ทำร้ายแกแบบนี้ แกยังรักมันลงอีกหรอ?

     

                “ไม่รู้สิ...”

     

                “ลองมองรอบๆตัวสิ ว่ายังมีใครที่ดีกว่ามันอีกหลายเท่า มีคนที่รักแกอีกหลายคน มีความสุขหรอที่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกแบบนี้”

     

                “เจ็บจนชาแล้วแหละ.. เขาห่างเหินกับผมมาก เขารักคนอื่นมากกว่าผมแล้ว ผมป่วยแบบนี้เขารู้หรือเปล่า จนวันสุดท้ายเขาก็ไม่คิดจะมาใช่ไหม...” น้ำเสียงที่เริ่มสั่นคลอนของน้องชาย ดึงสติพี่สาวให้รีบตัดบทสนทนานี้ลง

     

                “นอนได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าจะได้กลับบ้าน” พี่สาวเอ่ยก่อนจะเดินไปห่มผ้าให้แน่นหนา เพิ่มความอบอุ่นให้กับคนไข้ ลูบเส้นผมนิ่มเบาๆเพื่อกล่อมเข้าสู่ห้วงนิทรา

     

               

     

     

     

     

                เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น ร่างขาวบนเตียงผู้ป่วยค่อยๆขยับกายรู้สึกตัว เสียงป่วยๆที่เริ่มกลับมาใสดังเดิมเอ่ยเรียกสาวสวยที่ยังคงนอนหลับอยู่ให้ตื่นขึ้น

     

                “พี่นานะ! ตื่น! กลับคอนโดกัน!!

     

                “ฮะ..?” คนเพิ่งตื่นตอบรับด้วยความงัวเงีย ก่อนจะค่อยๆพยุงตัวขึ้นจากโซฟาที่ใช้หลับนอนตลอดคืน

     

                “โอ้ย ยังไม่ทันจะหายดีก็โหวกเหวกเชียวนะ เพิ่งกี่โมงเองเนี่ย” ปากบ่นหากแต่ก็จัดการพับผ้าห่มผืนใหญ่ให้เข้าที่ เหลือบดูเวลาก็พบว่าเพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าเท่านั้น

     

                “รอหมอมาตรวจก่อนอีกรอบถึงจะไปได้ ตอนนี้ก็เปลี่ยนชุดก่อนแล้วกัน” ว่าแล้วก็ก้มลงค้นเสื้อผ้าในกระเป๋าเป้ส่งให้คนเป็นน้องไปจัดการธุระส่วนตัวและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดสีขาวๆของโรงพยาบาลเป็นชุดไปรเวทธรรมดา

     

                “พี่ก็โทรตามพี่หมอเลย โอเคตามนั้น” ว่าก่อนจะรับเสื้อผ้าจากมือพี่สาวมาและเดินเข้าห้องน้ำไป

     

                “นั่นเป็นน้องหรือเป็นพ่อเนี่ย” บ่นอุบอิบก่อนจะกดโทรศัพท์ไปหาแพทย์เจ้าของไข้

     

                “ว่าไงครับ”

     

                “รีบๆมาตรวจจุนฮงเร็วๆ มันอยากกลับจะแย่แล้ว” พูดเสร็จก็กดวางสายทันที ไม่รอคำตอบของอีกฝ่าย บทสนทนาที่ดูไม่ใช่ประโยคบอกเล่าแต่เป็นเหมือนประโยคคำสั่งมากกว่า

     

                “พี่ไปจัดการค่าใช้จ่ายก่อนนะจุนฮง” เอ่ยบอกคนเป็นน้องที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่และเดินออกจากห้องไป

               

     

                หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ผู้ป่วยที่อยู่คนเดียวรอเพียงไม่นานนัก นักศึกษาแพทย์รูปหล่อก็เดินเข้าห้องพักมาพร้อมกับพยาบาลสาวและแฟ้มประวัติคนไข้ ขายาวภายใต้กางเกงเสล็คสีดำของชุดนักศึกษาแพทย์เดินเข้าไปหาคนที่เป็นเหมือนน้องชายซึ่งรอรับการตรวจอยู่

     

                “อยากกลับแย่แล้วสิเรา” คริสเอ่ยพร้อมกับนำหูฟังแบนฟังเสียงชีพจรของคนไข้ไปพลาง

     

                “ใครจะอยากอยู่ที่นี่นานๆล่ะครับพี่หมอ” คนไข้ในความดูแลเอ่ยด้วยเสียงเหงาหงอย รู้สึกหดหู่ไม่น้อยที่ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานานๆ

     

                “เดี๋ยวเอาเข็มที่มือคนไข้ออกเลยนะครับ” หันไปพูดกับพยาบาลแล้วส่งแฟ้มประวัติคืนให้ หลังจากน้ำเกลือหมดไปสองถุง แพทย์เจ้าของไข้ก็ให้นำสายน้ำเกลือออก แต่ที่ต้องทิ้งเข็มไว้ก็เพื่อถ้าหากต้องให้น้ำเกลือหรือยาทางเส้นเลือดจะได้ไม่ต้องเจาะใหม่อีกครั้ง

    พยาบาลสาวค่อยๆนำเข็มที่เจาะทิ้งไว้เพื่อรอดูอาการออก และบรรจงกดสำลีปิดรอยแผลไว้เพื่อให้เลือดหยุดไหล ด้านคนป่วยเองแม้จะเจ็บแต่ก็ยังเป็นเด็กมอปลายที่โตแล้ว ไม่มีการร้องโวยวาย และรู้จักควบคุมตัวเอง

     

                “เสร็จแล้วค่ะ” หญิงสาวกล่าวหลังจากจัดการกับงานตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว

     

                “ที่เหลือฝากด้วยนะครับพี่ซูยอน ผมออกเวรแล้ว ขอไปส่งเพื่อนกับน้องกลับบ้านนะครับ” เอ่ยพร้อมรอยยิ้มชวนหลงใหล พยาบาลสาวได้แต่ยิ้มรับบางๆก่อนจะถือแฟ้มประวัติและขยะติดเชื้อออกไปจากห้อง

     

                “ตอนนี้เป็นอิสระแล้วนะเด็กน้อย” รอยยิ้มยังคงถูกส่งมาจากคนตรงหน้าเสมอ จุนฮงยิ้มตอบก่อนจะโทรเรียกพี่สาวที่ไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้กลับมาในห้องเพื่อเตรียมตัวกลับคอนโด

     

                “พี่หมอจะไปส่งผมกับพี่นานะใช่ไหม” เด็กน้อยถามด้วยความสงสัยจากประโยคที่ได้ยินก่อนหน้า ตาใสจ้องมองไปยังนักศึกษาแพทย์ที่ดูสมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจรดเท้า

     

                “ครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง ว่าแต่พี่สาวเราขับรถมาหรือเปล่า” คนเป็นเพื่อนของพี่สาวเอ่ยถามอย่างใจดี ก่อนจะถอดเสื้อกาวน์ และหูฟังซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ออกจากตัวแล้วนำมาพาดไว้ที่ท่อนแขนแข็งแรง

     

                “รู้สึกว่าจะขับกลับไปจอดทิ้งไว้คอนโดเมื่อคืนมั้งครับ เพราะหิมะตก พี่เขากลัวตอนเช้าขับกลับไม่ได้”

     

                “เก็บของหมดหรือยัง? พี่ช่วยไหม?” ว่าแล้วก็หันไปมองซ้ายขวาตรวจดูความเรียบร้อยของห้อง ค่อยๆวางสัมภาระไว้บนโต๊ะใกล้ๆกับโซฟา ก่อนจะคว้านู่นหยิบนี่ไปพลาง

     

                “พี่นานะเก็บไปเยอะแล้วล่ะครับ รอคุณนายเขากลับมาเก็บต่อเอาเองเถอะ” ว่าเสียงเรียบก่อนจะพิงแผ่นหลังลงกับเตียงผู้ป่วยอีกครั้ง รอการกลับมาของพี่สาวแท้ๆของตน

     

                “ผ้าห่มไม่ใช่ของที่นี่ หนังสือก็ไม่ใช่นะ” นักศึกษาแพทย์เอ่ยเบาๆ ก่อนจะหยิบข้าวของต่างๆใส่กระเป๋าที่คาดว่าเป็นของคนไข้จนหมดเรียบร้อย

     

                “กลับกันได้หรือยัง?” หญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาภายในห้องเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าถือของตนเพื่อเก็บกระเป๋าสตางค์ที่ถูกหยิบออกมาใช้

                หมอหนุ่มพยักหน้าเบาๆหนึ่งครั้งก่อนจะหยิบกระเป๋าสัมภาระของผู้ป่วยและเพื่อนของตนมาถือไว้ในมือ เดินนำออกไปโดนไม่ฟังเสียงทักท้วงจากคนเป็นเจ้าของเลยสักนิดเดียว

     

                “พี่หมอนี่เป็นคนดีจังนะครับ” น้องชายเอ่ยกับพี่สาวเบาๆ ก่อนขายาวๆจะเริ่มก้าวเดินตามหลังของแพทย์ฝึกหัดที่เดินนำไปก่อนหน้าเพื่อเดินทางกลับที่พักอาศัย

     

     

     

     

     

                รถยนต์ของนักศึกษาแพทย์หนุ่มเลี้ยวเข้าจอดภายในอาคารจอดรถของคอนโดฯที่ร่างขาวจัดใช้พักอาศัย สายลมเย็นที่ถูกพัดเข้ามาจากด้านนอกสร้างความหนาวเหน็บได้มากเหลือเกิน

     

                “หนาววววววๆๆๆ หนาวมากๆ” เด็กหนุ่มเอ่ยหลังจากก้าวขามายืนข้างยานพาหนะที่พาตนกลับมาที่นี่ แขนเล็กโอบกอดตัวเองไว้ พลางลูบมือไปมาบนเนื้อผ้าของเสื้อกันหนาวที่สวมใส่อยู่

               

    “บอกให้สวมเสื้อโค้ทไว้ก็ไม่ยอมฟัง” เสียงดุๆจากหญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะกำลังลงจากรถคันงาม คนเป็นพี่สาวถือโค้ทสีแดงหม่นตัวโปรดของน้องชายไว้ในมือ ก่อนที่จะนำไปคลุมกายของคนที่อายุน้อยกว่าเพื่อเพิ่มความอบอุ่น

     

    “เดินไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวเราตามไป” เสียงทุ้มเอ่ยก่อนแขนยาวจะเอื้อมไปหยิบข้าวของจากเบาะหลังและผลักปิดประตูรถเบาๆ  

     

    “รีบๆตามมานะ”

    นานะออกแรงดันแผ่นหลังบางของจุนฮงให้ก้าวเดิน เพราะกังวลว่าอากาศจะหนาวเย็นเกินไปสำหรับคนเพิ่งฟื้นไข้

    ทางด้านหมอคริสที่อาสาถือกระเป๋าสัมภาระของเพื่อนไว้อีกครั้ง ก็จัดการกดล็อครถและตรวจสอบความเรียบร้อย ก่อนจะเดินตามหลังคนทั้งสองไปยังประตูกระจกบานใหญ่ที่ใช้เข้าสู่อาคาร

     

     

                ขาเรียวของจุนฮงที่เดินนำพี่สาวชะงักการก้าวเดินเมื่อเห็นคนทั้งสองตรงหน้า ชายหนุ่มและหญิงสาวที่เคียงข้างกันอาจจะเป็นภาพที่ใครหลายคนเห็นแล้วประทับใจในความเหมาะสม หากแต่เพราะฝ่ายชายคือผู้ที่ตนมอบความรักให้ ร่างขาวจึงไม่สามารถที่จะรู้สึกดีกับสิ่งที่ปรากฏได้

     

                จุนฮง นานะ และคริส กำลังเดินเข้าสู่อาคารพักอาศัย

                ยงกุก และจีอึน กำลังเดินออกสู่อาคารจอดรถ

     

                วินาทีที่เดินสวนกัน ช่วงเวลาที่สายตาของคนทั้งสองสบประสาน หากแต่หนึ่งคนไร้ซึ่งความความรู้สึก สายตาที่ว่างเปล่าเป็นเหมือนคมมืดที่บาดเข้ามาซ้ำทับรอยแผลเดิม ในขณะที่อีกหนึ่งคนเต็มไปด้วยแววตาที่แสนเศร้า ไร้ซึ่งคำพูด แต่แสดงออกด้วยหยดน้ำตาเม็ดโตที่ไหลริน...

                หากแต่มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆของการเดินสวนทางกันก็เท่านั้น คนที่ไม่ใส่ใจ ย่อมไม่มีวันสังเกตเห็น ไม่ว่าจะเป็นหยดน้ำตา หรือว่าความรู้สึกที่แหลกสลายไป

     

    ในเมื่อความรู้สึกของเราไม่เท่ากัน ความเจ็บปวดของผมย่อมไม่เท่ากับของคุณ...

     

     

     

     

     

     

                “จุนฮง...” เสียงหวานของหญิงสาวเอ่ยภายในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นที่พักอาศัย เรียกสติของน้องชายที่นั่งเหม่อลอยจมอยู่ในห้วงความคิดพร้อมกับหยาดน้ำตาที่หยดลงจากดวงตาสวยที่แสนเศร้าสร้อย

     

                “พี่อยู่นี่นะ...” ปลายนิ้วเรียวยาวค่อยๆลูบเบาๆที่ฝ่ามือขาวเพื่อปลอบโยนและให้รู้ว่าเธอไม่ได้ทิ้งไปไหน

               

    หลังจากที่ร่างขาวจัดเดินสวนกับพี่ชายคนที่เคยสนิท ความรู้สึกมากมายก็หลั่งไหลเข้ามา ยิ่งได้เห็นทั้งสองเคียงคู่กันแล้วยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปเท่าทวีคูณ เมื่อถึงห้องจุนฮงก็เอาแต่นั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟา ไม่ได้ร้องไห้ปานจะขาดใจ หากแต่ก็ไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะห้ามน้ำตาไว้ได้

     

    “นานะ.. เราว่าเราน่าจะกลับก่อนดีกว่า ให้จุนฮงได้อยู่กับพี่สาวตามลำพังคงดีกว่ามีคนนอกครอบครัวอย่างเราอยู่ด้วยน่ะ” หมอคริสเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจะออกไปจากการเป็นคนนอกของสถานการณ์นี้

     

    “จุนฮง พี่ไปแล้วนะ ไว้เจอกันใหม่นะครับ ดูแลตัวเองดีๆล่ะ” ฝ่ามืออุ่นเอื้อมไปลูบเส้นผมของคนอายุน้อยกว่าเบาๆอย่างเอ็นดูและห่วงใยเป็นการบอกลาก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องไป

     

     

     

    ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ ไออุ่นจากเครื่องทำความร้อนที่กลับมาใช้ได้ดีดังเดิมช่วยให้ไม่รู้สึกเหน็บหนาวอย่างเวลาที่ต้องเผชิญกับอากาศของเหมันต์ฤดูด้านนอก หากแต่ภายในจิตใจกลับรู้สึกเหน็บหนาวและโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งสิ่งใดจะช่วยเยียวยา...

     

    “พี่ไม่อยากให้แกเป็นแบบนี้เลยนะจุนฮง...” นานะค่อยๆขยับเข้าไปหาน้องชาย เรียวแขนค่อยๆยกขึ้นโอบกอดไว้ด้วยความรัก น้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือเพราะที่จุนฮงเป็นอยู่ตอนนี้มันก็ทำให้เธอรู้สึกแย่ไม่แพ้กัน

    ท่อนแขนยาวของน้องชายที่สุดแสนจะรักและห่วงใยยกกอดตอบคนเป็นพี่สาวแน่น ราวกับต้องการที่พึ่งพิง รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน...

     

    “ทำไมผมถึงต้องรักเขามากขนาดนี้นะ...”

     

    “พี่ขอล่ะ.. พอเถอะนะ หยุดได้แล้ว พี่ขอร้องจริงๆ” สาวสวยเอ่ยพร้อมน้ำตาที่ไหลริน เจ็บปวดและสงสาร ถ้าหากว่าจุนฮงยังคงติดอยู่ในความรู้สึกนั้น ก็จะไม่มีทางเลิกเจ็บปวดได้ ความเศร้าใจจะไม่มีวันหายไป และจะตามติดไปทุกวันคืน...

     

    “พี่บอกแล้วไง ว่าอะไรที่ทำให้เจ็บก็ให้ทิ้งมันไปซะ อย่าทำให้ตัวเองต้องเป็นแบบนี้เลยจุนฮง”

     

    “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าแกจะเชื่อคำพูดของพี่ไหม แต่อย่างน้อย แกต้องถอยออกมา แกต้องรู้จักที่จะปีนขึ้นมาจากหลุมที่แกตกลงไปและยังขุดต่อเองจนลึกขนาดนี้...”

     

    “คิดว่าอยู่ต่อไปแล้วมันจะรักแกหรอ คิดว่าเป็นแบบนี้แล้วมันจะสนใจไหม...”

     

    “คนที่เสียก็มีแค่แกคนเดียว ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด มีแต่จะทำให้ชีวิตแย่ลงเปล่าๆ...”

     

    “คิดดูแล้วกันนะ... พี่รู้ว่าแกไม่ใช่คนโง่... ในเมื่อไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่ แล้วทำไมแกถึงไม่ไปสักที...”

     

    ระหว่างที่นานะพูด อีกฝ่ายเพียงแค่นั่งนิ่งๆและโอบกอดคนเป็นพี่สาวไว้แน่น แผ่นหลังบางที่กำลังสั่นไหวเรียกให้ฝ่ามือเรียวยกขึ้นลูบเบาๆเพื่อปลอบโยน

    ที่เธอพูด เธอไม่ได้ต้องการซ้ำเติม เพียงแต่ต้องการให้คิดได้เสียที...

     

    “นั่นสินะ... ทำไมผมต้องอยู่ด้วย ในเมื่อเขาไม่ต้องการ...” คนในอ้อมกอดเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้อง

     

    “คนที่โง่ที่สุด คือคนที่ไม่รักตัวเอง รู้ไหมจุนฮง...” พี่สาวค่อยๆดันไหล่ของคนเป็นน้องชายให้ออกห่างจากตัว นิ้วเรียวสวยบรรจงเช็ดคราบน้ำตาบนดวงหน้าหวาน ดวงตากลมสวยที่ตอนนี้กำลังจะบวมช้ำอีกครั้งทอดมองมายังพี่สาวคนเดียวของตน

     

    “พี่ก็อย่าร้องไห้ด้วย” มือขาวจัดถูกยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้กับตัวเองบ้าง ส่วนคนที่อายุมากกว่าก็ใช้นิ้วเรียวของเธอปาดน้ำตาหยดเล็กๆที่กำลังไหลจากดวงตาของตนออกอย่างลวกๆ 

     

    “ก็เห็นแกเจ็บขนาดนี้ พี่ก็เสียใจเหมือนกันนะ”

     

    “แล้วผมจะต้องเริ่มยังไงดีล่ะ ผมต้องทำยังไงถึงจะเลิกรู้สึกเสียใจแบบนี้ได้” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างวิตก สายตาที่มองไปยังพี่สาวเต็มไปด้วยความกังวลใจมากมาย

     

    “กลับบ้านเราไหม? อย่างน้อยก็จนกว่าฤดูหนาวจะผ่านไป”

     

    “ผมยังกลับไปไม่ได้หรอก ผมยังต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกนะ”

     

    “งั้นพี่จะย้ายมาอยู่สาขาที่โซลกับแกเอง โอเคไหม หื้ม?” ฝ่ามืออุ่นทั้งสองข้างของพี่สาวคนเดียวเอื้อมมาจับมือบางของน้องชายไว้ด้วยความรักและห่วงใย บีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจ ให้น้องรู้ว่าเธอไม่เคยทิ้งไปไหน ไม่ว่าอย่างไรเธอจะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆเสมอ

     

    “ทั้งๆที่ผมเป็นน้องชายพี่แท้ๆ แต่กลับต้องมาให้พี่ลำบากดูแลอยู่เรื่อยเลย” จุนฮงเสียงสั่นอีกครั้งเมื่อคิดถึงสิ่งที่พี่นานะทำให้มาเสมอ เขาควรจะต้องดูแลพี่สาวคนเดียวสิ ไม่ใช่เป็นเด็กไม่รู้จักโตคอยแต่รอความช่วยเหลือจากผู้หญิงคนนี้

     

    “ฉันเป็นพี่แกนะ ก็ต้องดูแลแกให้ดีที่สุด แกเป็นน้องชายคนเดียวของพี่นะ”

     

    “พี่ก็เป็นพี่สาวคนเดียวของผมเหมือนกันนั่นแหละ”

     

    “เฮ้ออออ ต้องเข้มแข้งนะ!” ถอนหายใจให้กับคำพูดน้องชายตัวดีหนึ่งที แล้วเอื้อมมือมาลูบผมเบาๆด้วยความเอ็นดู รอยยิ้มบางๆค่อยผุดขึ้นจากริมฝีปากของคนเป็นน้อง ซึ่งนั่นก็สามารถเรียกร้องยิ้มจากคนเป็นพี่ได้เช่นเดียวกัน

     

                “พี่อาจจะใช้เวลาทำเรื่องย้ายสักสองสามวัน ระหว่างนี้พี่จะให้ไอ้หมอมาอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน”หญิงสาวพูดก่อนจะกดโทรศัพท์หาคนที่เอ่ยถึงทันทีโดยไม่รอฟังคำคัดค้าดของคนเป็นน้องเลยสักนิดเดียว

     

                “พี่นานะไม่ต้อง!” ร่างบางพยายามจะคว้าโทรศัพท์เพื่อให้พี่สาวหยุดติดต่อรบกวนพี่หมอที่ตนเคารพ แต่หญิงสาวก็เบี่ยงตัวหลบได้ทัน และมันก็สายสำหรับการขัดขวางไปเสียแล้ว

     

                “คริส ช่วงสองสามวันนี้นายช่วยมาอยู่คอนโดกับจุนฮงได้ไหม พอดีว่าฉันจะทำเรื่องย้ายมาอยู่โซลน่ะ จุนฮงยังไม่ค่อยดี ฉันไม่อยากทิ้งน้องไว้คนเดียว”

     

                “พี่นานะ ไม่เอา ผมเกรงใจพี่เขา” เด็กหนุ่มยังไม่ยอมแพ้ที่จะส่งเสียงห้ามปรามการกระทำของพี่สาว

     

                “ถ้าไม่มีธุระอะไรจะมาวันนี้เลยก็ได้นะ ฉันจะได้กลับไปทำเรื่องที่บริษัทเลย ขอบคุณมากนะ”

    กล่าวประโยคสุดท้ายก่อนจะกดวางสายไป แล้วหันมาพูดกับน้องชาย

     

                “ทำไมต้องขัดล่ะ! พี่ไม่ปล่อยให้แกฟุ้งซ่านอยู่ในห้องคนเดียวหรอกนะ ก็มีแค่พี่หมอคริสของแกคนเดียวเนี่ยแหละที่พอจะช่วยได้”

     

                “อีกครึ่งชั่วโมงคริสคงถึง พี่ไปก่อนนะ” กอดลาเบาๆก่อนขาเรียวยาวของหญิงสาวจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้คนที่สภาพจิตใจอ่อนแอต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง...

                หากแต่ตอนนี้เขาจะต้องไม่อ่อนแออีกแล้ว ยิ่งการที่ได้ฟังพี่สาวพูดเตือนสติก็ยิ่งช่วยให้จุนฮงคิดได้ขึ้นมาบ้าง

     

    คนที่ไม่รักตัวเอง คือคนโง่...

                และจุนฮงก็คงจะต้องฉลาดเสียที...

     

     

     

     

             

     

     

                “ยงกุก!

     

                “หื้ม?!” ร่างแกร่งสะดุ้งตัวเบาๆจากเสียงของหญิงสาวที่ดังขึ้นข้างๆหู เรียกสติคนที่กำลังขับรถให้เหลือบสายตาไปหา

     

                “ทำไมต้องเสียงดังล่ะครับ ผมตกใจนะจีอึน” เอ่ยดุๆกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนสาว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างที่เป็นมาตลอดทาง สร้างความสงสัยให้กับคนรักได้ไม่น้อย

     

                “เราเรียกยงกุกเป็นสิบรอบได้แล้วมั้ง คิดอะไรอยู่หรอ?” เพราะรู้ว่าที่ชายหนุ่มเป็นแบบนี้เพราะกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

     

                “เปล่าหรอก... ไม่มีอะไร...” บังยงกุกเอ่ยตอบก่อนจะตั้งใจมองถนนด้านหน้า ให้ความสนใจกับพื้นดินจนดูมากเกินไป แน่นอนว่าผู้หญิงอย่างเธอย่อมดูออก และผู้ชายข้างๆเธอเป็นแบบนี้ตั้งแต่ออกจากคอนโดมา... ตั้งแต่ที่หันหลังกลับไปมองเด็กผู้ชายตัวขาวๆที่ดูอ่อนแอคนนั้น...

                หากแต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่มีอะไร เธอก็จะเชื่อและไม่ซักถามอะไรต่อให้มากความ ในเมื่อเขาไม่อยากบอก เธอก็คิดว่าคงไม่จำเป็นที่จะต้องอยากรู้...

     

     

                ยานพาหนะจอดสนิทที่หน้าบ้านของแฟนสาว หลังจากไปทานมื้อเช้าด้วยกันมาเรียบร้อยตามคำขอของฝ่ายหญิง ยงกุกก็พาเธอกลับมาส่งบ้านอย่างเช่นที่เคยทำตลอดสามเดือนที่ผ่านมา

                “รีบๆเข้าบ้านล่ะ อากาศหนาว ดูแลตัวเองดีๆนะครับ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยลาก่อนจะรีบร้อนขับรถออกไปโดยไม่รอคำลาของอีกฝ่าย จีอึนเองที่กำลังจะโบกมือลาก็ได้แต่มองตามรถสปอร์ตคันนั้นไปจนสุดสายตา ก่อนจะหันหลังเดินเข้าสู่บ้านของเธอ

     

     

                หลังจากเหยียบคันเร่งออกมาจากบ้านของจีอึนตามความคิดภายในใจโดยไม่ได้สนใจคนที่ตนไปส่งเลยสักนิด ภายในห้องโดยสารแคบๆของยานพาหนะราคาแพง มีหนึ่งคนที่กำลังปล่อยให้ความคิดมากมายตีกันอยู่ในหัว ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาด เขาเห็นจุนฮงร้องไห้... ถ้าไม่ได้เข้าใจผิดไป ไอ้ผู้ชายตัวสูงที่ดูมีความรู้คนนั้นก็ต้องมากับจุนฮง...

                ส่วนลึกในใจเรียกร้องที่จะพูดคุยกับคนที่อยู่ข้างห้องให้รู้เรื่องและไม่ต้องการให้จุนฮงจากไป

    หากแต่อีกความรู้สึกกลับบอกเขาว่าไม่มีเหตุผลจำเป็นอะไรที่จะต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม...

    การแข่งขันระหว่างความคิดของตนเอง ยากเหลือเกินที่จะตัดสินใจ...

     

     

    Knock knock

                เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าห้อง เรียกให้จุนฮงที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ต้องลุกขึ้นไปเดินประตูต้อนรับแขกที่มาเยือน

     

                “ครับ” เสียงหวานเอ่ยก่อนจะปลดล็อคประตูและเปิดออกโดยไม่สนใจจะมองผ่านกล้องอินเตอร์คอมหน้าห้อง เพราะรู้อยู่แล้วว่าผู้ที่มาหานั้นเป็นใคร

     

                “สวัสดีครับพี่หมอ เข้ามาได้เลย” เจ้าของห้องเอ่ยเชิญแขกให้เข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตูห้องลง

     

                “ลำบากหน่อยนะครับ พี่เพิ่งจะกลับไปเอง”

     

                “ไม่เป็นไรหรอก ถือซะว่าพี่กลับไปเอาของนะครับ ต้องรบกวนเราแล้วล่ะ”

     

                “เอาของไปไว้ในห้องนอนผมก่อนไหม เอกสารพวกนี้วางไว้บนโต๊ะนี้ก็ได้ครับ” จุนฮงชี้ไปตามที่ต่างๆตามคำพูดของตน ก่อนจะหยิบกองกระดาษที่คิดว่าคงเป็นเอกสารประกอบการเรียนของคนเป็นหมอไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของตน

     

                หลังจากจัดการกับสัมภาระที่นำมาด้วยเรียบร้อย นักศึกษาแพทย์รูปงามก็จัดการหยิบกองกระดาษที่ตนนำมาด้วยจากที่บ้านและนั่งลงบนโซฟาที่มีคนเป็นเจ้าของนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ฝ่ามือหนาค่อยๆเปิดหากระดาษแผ่นที่ตนจำได้ว่าเขียนรายงานคนไข้ทิ้งไว้เมื่อตอนก่อนจะได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะลงมือทำงานต่อ

                “อู๋อี้ฟาน?” จุนฮงถือวิสาสะหยิบชีทที่เต็มไปด้วยศัพท์ทางการแพทย์ขึ้นมาดู หัวมุมของกระดาษถูกเขียนชื่อที่แสดงความเป็นเจ้าของไว้ด้วยภาษาอังกฤษ หากแต่ก็ไม่ใช่ชื่อของนายแพทย์หนุ่มข้างๆกายที่ตนใช้เรียก

     

                “ชื่อจริงของพี่น่ะครับ คริสเป็นชื่อที่คนที่นี่ใช้เรียกกัน” คนที่กำลังนั่งเขียนอะไรยุกยิกลงกระดาษรายงานเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตอบคนที่จู่ๆก็พูดชื่อจริงของตน

     

                “อ๋อ ใช่สิ พี่คริสไม่ใช่คนเกาหลีแต่เป็นลูกครึ่งใช่ไหม”

     

                “จีนแคนนาดาครับ” เรียวปากยกยิ้มแสนใจดีส่งให้น้องชาย เป็นรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครก็ตามคงจะต้องหลงไหล

     

                “ถ้างั้นผมขอเรียกพี่ว่าอู๋ฟานนะครับ”

     

                “ตามใจเราเลย” ยิ้มบางๆให้อีกครั้งก่อนจะก้มหน้าลงเขียนรายงานต่อจากที่ตนเขียนไว้ ชีวิตของนักศึกษาแพทย์ไม่ได้ว่างและไม่ได้สะดวกสบายเลยสักนิด

     

     

    Knock knock

                เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผู้เป็นเจ้าของห้องไม่รู้ว่าแขกในคราวนี้เป็นใคร ในใจคิดว่าอาจจะเป็นพี่สาวที่ลืมของไว้จึงกลับมาเอา จึงอาสาไปเปิดประตูเอง

     

                “ครับ” เอ่ยรับก่อนจะจัดการปลดล็อคประตูอีกครั้ง หากแต่บุคคลที่ปรากฏตัวตรงหน้าทำให้จุนฮงประหลาดใจมากจนถึงที่สุด

     

    “พี่ยงกุก...” เอ่ยออกมาเบาๆด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างบางจะรีบปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม

     

    “อืม พี่เอง” ทางด้านผู้ที่มารบกวนเองก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าไปชัดเจนว่าภายในความคิดความรู้สึกนั้นตนรู้สึกอย่างไร... อยากจะกล่าวขอโทษ หากแต่ก็รู้สึกหวาดหวั่นเกินกว่าที่จะเอ่ยออกไป...

     

    “มาทำไมหรอครับ? ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆคุณอยากจะมาเมื่อไหร่ก็ได้นะครับ” ตอบกลับอย่างประชดประชัน สรรพนามที่ตั้งใจเปลี่ยนเพื่อให้ห่างเหินจากกันทำให้คนฟังรู้สึกแปลกหูไม่น้อยเมื่อได้ยิน หากแต่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของคนตัวเล็กกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าใจ...

    ไม่เข้าใจว่าจะมาให้เห็นหน้าอีกทำไมกัน ในเมื่อเกลียดกันขนาดนั้นแล้วล่ะก็...

     

    “ตกลงใครมาหรอจุนฮง?” คนเป็นผู้อาศัยชั่วคราวเดินออกมาดูเหตุการณ์เพราะเห็นว่าน้องไม่เดินกลับเข้าไปเสียที อีกทั้งเสียงที่ได้ยินก็เป็นเสียงผู้ชาย ไม่ใช่เสียงของนานะอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก แล้วก็พบกับบังยงกุกที่ยืนมองหน้าจุนฮงด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนที่สายตาที่ดูดุร้ายคู่นั้นจะทอดมองมายังผู้อาศัย

     

    “ไอ้นี่ใคร?” พี่ชายคนที่เคยสนิทแสดงความขุ่นเคืองออกมาทางน้ำเสียง บ่งบอกว่าไม่พอใจ

    ไม่พอใจที่มีใครมาเข้าออกห้องนี้ได้อย่างง่ายดาย ไม่พอใจที่จุนฮงพูดจากับเขาแบบนั้น ไม่พอใจที่เห็นคนอื่นอยู่ข้างๆจุนฮง

     

    “ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ กลับไปเถอะครับ เราไม่มีเหตุผลที่ต้องเจอ ทักทาย หรือพูดคุยกัน”

     

    “เดี๋ยว..” เสียงทุ้มที่ตั้งใจแย้งขึ้นมาเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดและรับฟัง หากแต่คนที่อายุน้อยกว่าไม่สนใจและไม่คิดจะฟังอะไรอีกแล้ว

     

    “ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ผมเองจะไม่ลืมความรู้สึกดีๆที่ผมเคยมีให้คุณ แต่นับจากวันนี้ไป ได้โปรดอย่ามาเจอกันอีกเลย...นะครับ...” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดหรือห้ามอะไรทั้งนั้น จุนฮงรีบคว้าประตูและปิดลงกลอนทันที ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะทรุดลงพิงกับประตูและร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

     

    “จุนฮงครับ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ...” อู๋ฟานค่อยๆทรุดตัวลงนั่งข้างๆร่างขาวจัด ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดจุนฮงไว้อย่างพี่ชายปลอบน้องชายคนหนึ่ง 

     

    “เขามีค่ามากพอที่จะทำให้เสียน้ำตามากมายขนาดนี้หรอ ถ้านานะรู้จะเสียใจแค่ไหนที่เรายังจมอยู่ในความรู้สึกนี้ไม่ยอมขึ้นมาสักที”

     

    “ครั้งสุดท้ายแล้ว ครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆครับพี่หมอ...” แขนเล็กโอบแผ่นหลังกว้างตอบ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง การที่ได้พบเจอกับเขา การที่เผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองกำลังพยายามจะละทิ้งออกไปจากความรู้สึก และการที่พูดทำร้ายจิตใจตัวเองไปขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

     

    “ครับ ครั้งสุดท้ายแล้ว...” ฝ่ามืออุ่นของคนอายุมากกว่าบรรจงลูบเบาๆบนแผ่นหลังที่สั่นสะท้านเป็นการปลอบโยน ในเวลานี้นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่แพทย์หนุ่มพอจะให้การรักษาได้...

     

    ไม่มีเสียงคำพูดใดๆหลุดจากปากของคนทั้งสองภายในห้อง มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของร่างบางภายในอ้อมกอดของคนที่เป็นเหมือนพี่ชาย เสียงของความอ่อนแอที่กำลังทำร้ายเด็กหนุ่มให้มีบาดแผลมากขึ้น หากแต่บาดแผลในวันนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้เข้มแข็งขึ้นในวันข้างหน้า รอเพียงแต่เวลาที่จะช่วยรักษาเยียวยาให้กลับมาดีดังเดิม...

     

     

    หลังจากที่โดนอีกฝ่ายปิดประตูใส่ ด้วยความขุ่นเคืองในใจบังยงกุกจึงไม่คิดจะยืนอยู่ต่อ ได้แต่เดินกลับเข้าห้องด้วยความหงุดหงิดก่อนจะปิดกระแทกประตูห้องอย่างแรงระบายความอัดอั้นใจที่เกาะกุม

    จากนี้ไป คงไม่มีแล้วจริงๆ... จากนี้ไป ทุกอย่างจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเคยอีกแล้ว...

    ความรู้สึกที่ชายหนุ่มไม่เคยรู้ว่ามันคืออะไรกำลังก่อมากขึ้น... เสียใจที่ในตอนนี้จุนฮงพูดออกมาว่าไม่ต้องการจะพบเจอกันอีก เสียใจ ในตอนที่มันสายไป. . .

     

     

     

    -To be continue-

    .

     

    BRIGHT SPRING

     

     

     

    wahneun:
    ไม่ต้องงงนะคะ เพราะนี่แต่งเองยังงงเองเลยว่ามันมาจากไหน ถถถถถถถถถถถถถถ
    ไม่รู้จริงๆว่าโผล่มาได้ไง คือหลุดพล็อต นอกเรื่อง คือไม่ได้วางไว้
    งงเหมือนกันว่ามาแต่งได้ไง แต่คือเหมือนเดินเรื่องต่อไปอีกนิดนึงเพื่อไปเข้าใบไม้ร่วงค่ะ
    อยู่ดีๆมันก็เกิดอยากต่อเรื่องไปอีกนิด รู้สึกว่าพาร์ทแรกมันยังไม่เคลียร์อ่ะ 
    เลยโผล่แบบสามจุดห้าขึ้นมาอีกหน่อย (เอาจริงๆมันไม่หน่อยนะคะ ;-;)
    แล้วอากาศหนาวด้วยงะ เลยแบบ โอ้ยยยยนี่มันฟีลฟิคฤดูหนาวชัดๆ มันได้เลยยยยยยย มันบรรยากาศนี้เลยยยย
    เลยเอ้า เอาก็เอา คือรู้สึกจูอ่อนแอเว่ออออออออออ เอะอะก็ร้องไห้ คือทำไมมันขี้แยงี้วะะะะะ
    แต่งเองยังรู้สึกน้องอ่อนแอเกิ๊น แต่ก็แบบ เออคือเจ็บไง เสียใจอ่ะ ;_;
    เอาจริงนะ คือรักและหลงพี่หมอมาก ทำไมพี่หมอดีงี้อ่ะคะ ทำไมละมุนงี้อ่ะคะ อยากไดดดดดด้ TvT
    ละคือไม่ได้รีไรท์ด้วย พรุ่งนี้มิดเทอม คือก็ประสาทชอบแต่งฟิคอัพฟิคตอนสอบ TT________TT
    (131224 ตอนนี้รีไรท์แล้วนะคะ 55555555555)
    นิสัยไม่ดีเลยอย่าเอาเป็นแบบอย่างนะคะ อนาคตจะต้องดับวูบแน่นแน่ TT____________TT
    ใบไม้ผลิจะพยายามทำให้เสร็จภายในสิ้นปีนะคะ รัก
     
    ปล. ถ้าจะรวมเล่มเดอะซีซั่น มีใครสนใจไหมคะ? 5555555555555555555555555
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×