ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( B.A.P ) SF | BANGZELO SHOP ♡

    ลำดับตอนที่ #3 : THE SEASON: BLUE AUTUMN II

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 57




    Title: BLUE AUTUMN

    Couple: BANGZELO ( Bang Youngguk x Choi Junhong )

    Status : 2 / 4

    Author: wahneun

    Type: SHORT FICTION ( PROJECT )

    Rate: PG

    BGM: COFFEE SHOP – B.A.P

    จะกดฟังก็ได้ ไม่ฟังก็ได้ค่ะ เพราะแต่งเสร็จก่อนที่เพลงมันจะปล่อยออกมาซะอีก 5555555555555

     

     

    Note: ช่วงเวลาในเรื่องคือผ่านไปแล้ว 1 ปี หลังจากสวีตซัมเมอร์นะคะ :^)

    ฤดูใบไม้ร่วง เดือนกันยายน เดือนพฤศจิกายน

    อุณภูมิเฉลี่ยประมาณ 6 – 20 องศาเซลเซียส คล้ายใบไม้ผลิ แต่ช่วงปลายฤดูจะหนาวกว่าใบไม้ผลิค่ะ

     

    --------------------------------------------------------

     

    ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่บรรยากาศดีที่สุดในสี่ฤดู ทั้งความสวยงาม และอากาศที่ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป แม้ว่าในช่วงปลายจะมีความหนาวเย็นไปบ้าง แต่มันก็ยังมีความสวยงามของธรรมชาติที่ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่  ใบไม้ที่ยอมร่วงลงสู่พื้นดิน เพื่อให้ต้นไม้ใหญ่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในเวลาที่ความหนาวปกคลุมกัดกินทุกสิ่ง ไม่ว่าจะพืชพรรณ

    ... หรือแม้กระทั่ง หัวใจ ...

     

    ตอนนี้จุนฮงอยู่มอปลายปีสองแล้ว . . .

    ยังคงอยู่ที่คอนโดเดิม ห้องเดิม มีพี่ชายข้างห้องคนเดิม ที่ไม่ค่อยเหมือนเดิม . . .

     

    เขาต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ช่วงนี้ ส่วนพี่ยงกุกเองก็เรียนหนัก แล้วแน่นอนว่าพี่เขาก็ต้องมีเพื่อนที่มหาวิทยาลัย เพื่อนที่รุ่นราวคราวเดียวกัน เรียนอะไรเหมือนๆกัน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือพี่เขาได้แทบทุกเรื่องที่จุนฮงคนนี้ ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ...

     

                พี่ยงกุกกลับห้องช้าแทบทุกวัน จากที่เมื่อก่อนเคยเจอหน้ากันอยู่เกือบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ทุกวันนี้ในหนึ่งสัปดาห์จะเจอสักสามหรือสี่วัน ทั้งยังไม่ค่อยมาที่ห้องเขาบ่อยๆอย่างแต่ก่อน  เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะต้องเอาเวลาไปทุ่มเทกับการเรียน การบ้าน รายงาน และการสอบย่อยที่มีเกือบจะทุกสัปดาห์ 

    จุนฮงเองก็มีเพื่อนนะ ไม่ใช่ต้องพึ่งพาพี่ยงกุกอยู่คนเดียวเสียหน่อย ...อากาศที่เริ่มเย็นลงทำเอาเด็กหนุ่มเกือบจะป่วย ด้วยความที่เขาไม่ใช่คนแข็งแรงเท่าไหร่นัก...

     

     

                ร่างบางปิดหนังสือเตรียมสอบที่ตัวเองกำลังอ่านอยู่ลง ก่อนจะลุกไปจากโต๊ะทำงาน จุนฮงคิดว่าต้องหาอะไรอุ่นๆมาดื่มเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

    ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะเอาคีย์การ์ดที่วางอยู่ใกล้มือบนโต๊ะนี่ไปเปิดประตูห้องข้างๆแล้วบอกเจ้าของห้องว่าอยากกินช็อคโกแลตร้อนสักแก้ว พี่ยงกุกก็จะจัดการหามาให้ภายในเวลาไม่นานนัก  แต่ตอนนี้ อะไรมันเปลี่ยนแปลงไปหมด...

                จุนฮงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในช่วงสองสามวันมานี้พี่ยงกุกได้กลับมาห้องบ้างหรือเปล่า อยู่ที่ไหน แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่  จะโทรหรือส่งข้อความไปถามก็กลัวว่าจะเป็นการรบกวนถ้าเกิดว่าพี่เขากำลังติวหนังสือสอบ หรือทำโปรเจคอยู่กับเพื่อนๆ

     

                ฉับพลันความคิดจะไปดูที่ห้องให้รู้เรื่องรู้ราวไปเลยก็แวบเข้ามาในหัว  มือขาวจัดหยิบคีย์การ์ดที่ถูกวางแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานของตนขึ้นมาถือไว้ในมือ

                แต่จะไปทำไม? พี่ยงกุกอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าเกิดว่าอยู่แต่พี่ยงกุกกำลังทำงานหรืออ่านหนังสืออยู่ล่ะ มันจะเป็นการรบกวนพี่เขาใช่ไหม? 

     

                จุนฮงกำคีย์การ์ดไว้แน่น สองความคิดตีกันอยู่ในหัวอยู่สักพัก 

    เขารู้ รู้ดีว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นแบบนี้ เขาเป็นแค่เด็กวัยรุ่น บ้าๆบ๊องๆเหมือนเด็กเล็กๆอย่างที่พี่ยงกุกบอก ไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมากมายอย่างเช่นตอนนี้ ถ้าเขาอยากไปหาพี่ยงกุก เขาก็จะไป ถ้าเขาอยากได้อะไรก็มักจะไปรบกวนพี่ยงกุกให้คอยจัดหามาให้เสมอ

    เหมือนกับว่า พอเวลาผ่านไป ถึงแม้จะแค่ปีเดียว จุนฮงเองก็เริ่มโตขึ้น เริ่มคุ้นชินกับบรรยากาศและสังคมในเมืองหลวง เริ่มเปลี่ยนความคิดให้โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และรู้ว่าการที่คอยไปวุ่นวายกับพี่ชายห้องข้างๆก็คงเหมือนการสร้างปัญหา สร้างเรื่องให้พี่เขาต้องมาใส่ใจ รังแต่จะรบกวนพี่เขาเปล่าๆ

    ความกล้าที่น้อยลง ความกลัวและความเกรงใจมีมากขึ้น เขาเองก็โตพอที่จะดูแลตัวเองให้ดีได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนใครให้เขาคนนั้นต้องมาลำบากเพราะตัวเองเสียหน่อย

     

    และแล้วในที่สุด ความกลัวก็เป็นฝ่ายชนะ. . .

     

    มือบางวางคีย์การ์ดของห้องข้างๆไว้ที่เดิม ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องเพื่อไปร้านกาแฟข้างหน้าคอนโดฯ  แต่พอร่างขาวๆเปิดประตูห้องออกมาก็เจอเจ้าของห้องข้างๆเดินผ่านหน้าห้องไปพอดี

    เด็กมัธยมแปลกใจไม่น้อยที่บังเอิญเจอพี่ชายคนสนิทในตอนนี้ ความตื่นตกใจส่งผลให้เปล่งเสียงเรียกออกไปโดยไม่ทันห้ามใจตนเอง

     

    “พี่ยงกุก...” เสียงใสที่เอ่ยเรียกเพียงแผ่วเบา และเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือเปล่า

     

    “ว่าไงเด็กแสบ” คนตัวสูงยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่คุ้นเคย ที่จุนฮงเคยได้รับตลอดมา

     

    “ยุ่งอยู่เปล่า? ไปร้านกาแฟกับผมไหม?” เอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ กลัวว่าจะเป็นการไปรบกวนเวลาพี่เขา กลัวทำให้พี่เขาลำบากใจ

     

    “ไปดิ ไม่ยุ่งหรอก ถึงยุ่งขนาดไหนพี่ก็สละเวลามาได้น่า ลืมไปแล้วหรอ นี่พี่เองนะเว้ย!” พูดก่อนจะโอบไหล่คนเป็นน้องไว้ข้างกาย

     

    อบอุ่น . . . สัมผัสของพี่ยงกุกอบอุ่นเสมอ . . .

     

    “สบายดีไหมจุนฮง ช่วงนี้อากาศเย็นลงเยอะนะ” ร่างแกร่งของพี่ชายถามก่อนจะกระชับวงแขนที่โอบรอบไหล่ของอีกคนไว้เป็นเชิงให้ความอบอุ่นกับคนข้างกาย

     

    “พี่ยงกุก... เราทักทายกันด้วยประโยคแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรอครับ?” จุนฮงเอ่ยถามเบาๆแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจมันเท่าไหร่นัก. . .

     

    “พูดงี้หมายความว่าไง พี่แค่เรียนเยอะ เราเองก็เหมือนกัน เลยไม่ค่อยได้คุยกันเท่านั้นเอง”

     

    “ก็คงงั้นแหล่ะครับ แหะๆ” จุนฮงพูดก่อนจะหัวเราะแห้งๆปิดท้ายเพื่อไม่ให้การสนทนาครั้งนี้ดูห่างเหินเกินกว่าที่ควรจะเป็น

     

    “ลิฟท์มาแล้ว” พูดแล้วก็ดึงแขนคนเป็นน้องเข้าลิฟท์ไปด้วย ยงกุกกดที่ชั้นล่างสุดก่อนจะกดปิดประตูลิฟท์โดยไม่รอให้ใครเข้ามาร่วมโดยสารด้วยอีก

     

    ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรออกมา จุนฮงถูมือไปมาเบาๆหวังเพื่อลดความเย็นที่นิ้วมือลงไปบ้าง เพราะเขารู้สึกว่ามันหนาวจนเริ่มที่จะปวดชาตามข้อนิ้วแล้ว  ยงกุกเองที่เห็นน้องทำแบบนั้นก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อเบสบอลตัวนอกที่สวมอยู่ แล้วหยิบถุงร้อนออกมายัดใส่มือเด็กตัวสูงข้างๆ

    จุนฮงเองก็ไม่ได้พูดอะไร แค่รับถุงร้อนนั้นมาแล้วนำขึ้นมาแนบไว้กับแก้มใส

     

    “ทำไมไม่หัดพกไว้เองบ้าง รู้อยู่ว่าตัวเองเป็นคนขี้หนาวน่ะ”

    ยงกุกพูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก แต่มันก็เป็นประโยคที่ทำให้จุนฮงรู้สึกหัวใจพองโตได้ไม่น้อยเลย  อย่างน้อยๆ พี่ยงกุกก็ยังจำรายละเอียดเกี่ยวกับเขาได้ อย่างน้อยพี่ยงกุกก็ยังมีความเป็นห่วงเป็นใยให้กับจุนฮงคนนี้

     

    คนสองคนเดินออกจากลิฟท์แล้วเดินตรงไปยังร้านกาแฟ จุนฮงเก็บถุงร้อนไว้ในกระเป๋าเสื้อกันหนาวตัวนอกก่อนจะซุกมือลงไปเพื่อให้อุ่นขึ้น  ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเพราะนี่ก็เย็นเต็มทีแล้ว ในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ท้องฟ้ามืดเร็วเป็นธรรมดา

     

    “ฮอตช็อคโกแลตสองแก้วครับ” ยงกุกเอ่ยกับพนักงานประจำเคาท์เตอร์ก่อนจะจัดการจ่ายเงินให้เรียบร้อยแล้วเดินนำจุนฮงไปที่โต๊ะมุมในสุดของร้าน  ถึงแม้ในตอนเย็นย่ำค่ำมืดแบบนี้ภายในร้านจะมีคนไม่มากนัก แต่ยงกุกก็ต้องการมุมที่สงบพอที่จะนั่งคุยกันได้มากกว่าที่จะไปนั่งริมกระจกใสให้เสียสมาธิเพราะคนที่เดินผ่านไปมา

     

    “ทำไมถึงสั่งมาตั้งสองแก้วล่ะ? ผมกินแก้วเดียวก็พอแล้วนะ” คนอายุน้อยกว่าถามด้วยความแปลกใจ

     

    “แล้วใครบอกว่าจะยกให้ทั้งสองแก้ว?”  พูดไม่ทันจบประโยคดีพนักงานของร้านก็นำแก้วเครื่องดื่มร้อนๆมาเสิร์ฟตรงหน้า ยงกุกพยักหน้าขอบคุณเล็กน้อยก่อนจะหยิบแก้วเซรามิคที่บรรจุของเหลวสีเข้มอยู่ภายในขึ้นมาไว้ในมือหนึ่งแก้ว เป่าเบาๆแล้วดื่มมัน

     

    คิ้วเรียวของคนตัวขาวเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจที่คนอย่างยงกุกเนี่ยนะจะดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ใช่กาแฟขมๆโดยที่เขาไม่ได้ขอหรือบังคับ เป็นไปได้ยังไง?

     

    “ทำไมต้องทำหน้าตาตื่นขนาดนั้น” เอ่ยถามเสียงเรียบ นึกขำกับใบหน้าไร้เดียงสาของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

     

    “ก็พี่ยงกุกกินช็อคโกแลตอ่ะ ปกติเคยกินที่ไหนถ้าผมไม่ขอให้กินแทนกาแฟ” อธิบายด้วยน้ำเสียงที่ตกใจไม่น้อย บวกกับใบหน้าที่ดูตกใจไม่น้อย เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากพี่ชายได้ไม่ยากนัก

     

    “เหนื่อยน่ะ งานเยอะ นี่ก็ใกล้ไฟนอล พี่ไม่ได้นอนมาสองคืนแล้ว อัดกาแฟไปเยอะ ถ้ากินอีกพี่คงตายแน่ๆ” ว่าก่อนจะค่อยๆหลับตาลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ก่อนยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกครั้ง

    จุนฮงมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเป็นห่วงและทั้งมองว่าการนั่งจิบเครื่องดื่มพี่ยงกุกมันช่างดูดีเหลือเกิน จนสะกดสายตาคู่นี้ไว้ได้ไม่ยาก

     

    “ทำไมมันสาหัสขนาดนั้นล่ะ? สองคืนเลยหรอ? ร่างกายพี่มันจะไม่ไหวเอานะพี่ยงกุก”  จุนฮงเองก็เพิ่งสังเกตุเห็นรอยคล้ำใต้ดวงตาของคนเป็นพี่ บวกกับสภาพใบหน้าที่อิดโรยพอดู  เพราะเขามัวแต่สนใจตัวเอง มัวแต่น้อยใจพี่ยงกุก จนลืมมองสภาพร่างกายของพี่ชายคนสำคัญไป

     

                “ทำไงได้ ก็งี้แหละ ชีวิตเด็กมหาลัย มีโปรเจค ต้องติวหนังสือสอบ เหนื่อยก็ต้องทน ถ้าได้เอฟมาก็จบเลยนะ”

     

                “พี่ก็หาเวลาพักผ่อนบ้างสิ แอบหลับซักครึ่งชั่วโมงก็ยังดีอ่ะ” พูดก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มรสหวานขึ้นดื่มคลายหนาวบ้าง  เขารู้สึกเป็นห่วงพี่ยงกุกจริงๆ  กลัว... กลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอะไรไป... กลัวว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนๆนี้...

     

                “คืนนี้ก็นอนพักผ่อนนะพี่ มานอนห้องผมก็ได้นะ เดี๋ยวจะเล่านิทานให้ฟัง”  รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนหน้าหวาน คำพูดที่ติดตลกเพื่อให้อีกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง จุนฮงไม่อยากให้พี่ยงกุกต้องเครียดไปมากกว่านี้

     

                “อืม เดี๋ยวคืนนี้พี่ขอไปนอนด้วยแล้วกัน” ยงกุกยิ้มให้คนอายุน้อยกว่าเบาๆแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ  เขาเหนื่อยมากจริงๆ รู้สึกล้าไปหมด สมองเริ่มเบลอเพราะขาดการพักผ่อนมาเกินกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว

     

                “กลับห้องกัน! ผมต้องกลับไปอ่านหนังสือสอบอีกหลายวิชาเลยเนี่ย ไหนจะหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก” จุนฮงที่เห็นพี่ยงกุกท่าทางอ่อนล้าเต็มทีจึงเอ่ยชวนกลับห้อง อ่านหนังสือสอบอะไรมันก็แค่ข้ออ้าง ให้พี่ไปพักผ่อนคงจะดีกว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ 

    จุนฮงผุดลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเอื้อมมือไปฉุดแขนยงกุกให้ลุกขึ้นด้วย  คนเป็นพี่เดินนำน้องออกไปเช่นเดียวกับตอนที่เข้ามา คนอายุน้อยกว่าได้แต่มองแผ่นหลังที่ดูจะเหนื่อยล้าเต็มทีแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะก้าวเท้าเดินตามไป

     

     

     

     

     

    ทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟาสีครีมภายในห้องของจุนฮง ก่อนจะขึ้นมาก็ซื้ออาหารสำเร็จรูปติดมือมาด้วย เพราะยังไม่มีใครได้ทานอะไรเป็นมื้อเย็นนอกจากช็อคโกแลตร้อนเมื่อสักครู่เท่านั้น  ยงกุกเองก็เหนื่อยมากแล้ว จุนฮงจึงเห็นว่านี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

    ร่างขาวจัดแจงนำอาหารไปใส่จานก่อนจะนำมาวางให้ตรงหน้าพี่ชายคนสำคัญ ทั้งคู่ต่างคนต่างทานมื้อเย็นไปอย่างเงียบๆ เพราะจุนฮงเองไม่อยากจะถามนู่นถามนี่ให้วุ่นวาย กลัวพี่ยงกุกจะหงุดหงิดใส่เอาได้  และภายในเวลาไม่นานมื้อเย็นที่ดูจะอึดอัดของทั้งคู่ก็สิ้นสุดลง

     

                “พี่ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง เสื้อผ้าอยู่ในตู้นะ หาเอาแล้วกัน อาจจะเหม็นอับหน่อยเพราะพี่ไม่ได้มาค้างห้องผมหลายเดือนแล้ว มันไม่มีใครใช้อ่ะ” จุนฮงบอกก่อนจะยกจานชามไปจัดการล้างเก็บให้เรียบร้อย ยงกุกเองก็ล้ามากจึงไม่ได้ขัดอะไรน้อง ถ้าจะทำก็ให้ทำไปตามสะดวก  แล้วจึงลุกไปอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อพักผ่อนเสียที

     

     

     

                จุนฮงเข้ามาในห้องนอนก็เห็นร่างของคนอายุมากกว่าในสภาพที่อาบน้ำสระผมเสร็จเรียบร้อยนอนอยู่บนเตียงของตน แต่ว่าเส้นผมที่ยังไม่ได้รับการเป่าให้แห้งนั้นอาจจะทำให้ไม่สบายได้ในสภาพอากาศและร่างกายที่อ่อนล้าแบบนี้ ขาเรียวเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าเช็ดผมผืนเล็กมาหนึ่งผืนก่อนจะเดินไปหาคนที่นอนอยู่

                “พี่ยงกุก นอนได้ไง ผมเปียกแบบนี้เดี๋ยวที่นอนผมก็ขึ้นราพอดี ลุกเลยนะ!” จุนฮงพูดก่อนจะฉุดยงกุกขึ้นนั่ง แล้วจัดการเอาผ้าผืนนั้นคลุมหัวอีกคนไว้ ตอนแรกว่าจะปล่อยให้เช็ดเองแล้วตัวเองก็ไปอาบน้ำมานอนบ้าง แต่พี่ยงกุกก็จะล้มตัวลงนอนท่าเดียว เขาก็พอเข้าใจว่าพี่ยงกุกเหนื่อยล้าขนาดไหน เพียงแต่เขาก็แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง...

                ฝ่ามือเล็กจัดการงัดคนเป็นพี่ขึ้นมานั่งอีกครั้ง หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาไว้ในมือแล้วค่อยๆบรรจงเช็ดผมให้อีกคน เส้นผมสีดำถูกขยี้เบาๆเพื่อให้แห้งเร็วขึ้น

    ถ้าเป็นเมื่อก่อนทั้งเขาทั้งพี่ยงกุกก็มักจะเช็ดผมให้กันอยู่บ่อยๆ จุนฮงเคยชินไปเสียแล้วกับการที่ต้องมาใส่ใจคนอีกคนอย่างเช่นตอนนี้

    ยงกุกเองก็นั่งนิ่งๆและไม่พูดอะไร เมื่อจุนฮงเช็ดผมให้พี่ชายจนแห้งดีแล้วจึงได้เดินไปอาบน้ำอย่างที่ตั้งใจไว้เสียที

     

     

    หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้วร่างเล็กก็ปิดไฟในห้องก่อนจะอาศัยความคุ้นชินกับแสงจันทร์ที่ส่องมาทางหน้าต่างเดินไปยังเตียงนอน นั่งลงและเปิดโคมไฟที่โต๊ะเล็กๆข้างเตียงแล้วหยิบหนังสือเตรียมสอบขึ้นมาอ่านไปพลางๆ สภาพตอนนี้คือจุนฮงนั่งเอาหลังพิงหัวเตียงไว้ ส่วนขาก็เหยียดยาวไปตามที่นอน โดยมีพี่ยงกุกอยู่ข้างๆ  คงเป็นเพราะเขาทำเสียงกุกกักก็เลยทำให้พี่ยงกุกตื่นขึ้นมาจนได้

     

                “อ่านอะไรตอนนี้ นอนได้แล้ว” เสียงทุ้มต่ำของยงกุกพึมพำเบาๆแต่เพราะทั้งห้องเงียบอยู่แล้วจึงทำให้ได้ยินได้ไม่ยากนัก จัดการหยิบหนังสือออกจากมืออีกคนแล้วเอื้อมไปวางไว้ที่เดิมของมัน ก่อนจะดึงคนข้างๆให้ลงมานอนด้วย

                “ไว้พรุ่งนี้เช้า พี่ตื่นแล้วจะช่วยติวให้”  พูดไว้แค่นั้นแล้วหลับตาลง ช่วงเวลาเหนื่อยๆของเขาไม่รู้จะจบสิ้นเมื่อไหร่ จะมีงาน โปรเจค ควิซ หรือเทสอีกกี่ครั้งก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ อย่างน้อยตอนนี้มีเวลาและโอกาสก็ขอพักก่อนดีกว่า

     

    จุนฮงที่นอนอยู่ข้างๆกันยังไม่ได้หลับ พอหลับตาลงในหัวก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดถึงวันที่มาโซลวันแรก เข้ามาในคอนโดฯครั้งแรก ใช้ชีวิตโดยที่ไม่รู้จักใครอยู่หลายวันจนในที่สุดก็มีพี่ชายห้องข้างๆที่เป็นฝ่ายมาทักทายเขาก่อน ทั้งๆที่พี่เขาอยู่มาก่อนที่จุนฮงจะเข้ามาอยู่เสียอีก เด็กหนุ่มเองก็รู้สึกว่าตัวเองเสียมารยาทไม่น้อยที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายไปทำความรู้จักทั้งๆที่เป็นฝ่ายที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่แท้ๆ 

    แล้วพี่ชายคนนั้นกลายมาเป็นคนที่เขาให้ความสำคัญมากคนหนึ่งในชีวิต คนที่นอนอยู่ข้างๆเขาตอนนี้. . . พี่ยงกุก. . .

                จุนฮงเอาผ้านวมผืนหนาแบ่งให้พี่ยงกุกไปครึ่งค่อนผืนเพราะกลัวว่าอีกคนจะหนาวแล้วไม่สบายไปเสียก่อน จุนฮงเองคงไม่เป็นอะไร เขาก็ยังห่มผ้า เพียงแต่พี่ชายข้างกายได้ผ้าห่มไปมากกว่านิดหน่อยเท่านั้น ห้องนี้ก็ยังมีเครื่องทำความร้อนที่ทำให้อบอุ่นอยู่จึงไม่ได้เลวร้ายอะไรสำหรับเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างจะป่วยง่ายคนนี้

                เขาสลัดความคิดที่ลอยไปมาในสมอง แล้วตั้งใจจะนอนหลับพักผ่อนบ้างเสียที

     

                “ฝันดีนะพี่ยงกุก...”  พูดเบาๆแล้วจึงเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกคน

               

     

     

     

     

                จุนฮงตื่นมาได้สักพักแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนเป็นพี่ขึ้นมาเพราะเห็นว่าหลับสนิทเลยไม่อยากจะกวนเวลาพักผ่อน  ร่างขาวจัดลงไปซื้อข้าวต้มที่หน้าคอนโดฯมาเทใส่ถ้วยไว้รอให้ยงกุกตื่นขึ้นมาทาน ส่วนตัวเองก็มานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงานด้านนอกห้องนอนอย่างเงียบๆ

    จุนฮงมักจะตื่นแต่เช้ามืดมาอ่านหนังสืออยู่บ่อยๆ ถ้าอีกครึ่งชั่วโมงพี่ยงกุกยังไม่ตื่นเขาเองก็ต้องออกไปเรียนแล้วเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเขาค่อยตัดสินใจว่าจะปลุก หรือจะปล่อยให้นอนพักผ่อนต่อ

     

     

     

    Rrrrrrrrr

    เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของบังยงกุกดังขึ้น ปลุกให้เจ้าของตื่นขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ยงกุกมองหน้าจอสลับกับคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานด้านนอกสองสามครั้ง เบนหน้าไปมองท้องฟ้าด้านนอกผ่านทางหน้าต่างของห้อง ก่อนจะกดรับสาย

     

    Kim Himchan Law.

     

    “ว่าไงครับคุณฮิมชาน”

     

    “มาติวอังกฤษให้หน่อยดิ้ เดี๋ยวจะติวกฎหมายให้เป็นการตอบแทน ตอนนี้อยู่หอ รีบๆมานะ!

     

    “เออ! รับทราบ!” ยงกุกวางสายไปด้วยรอยยิ้มที่เขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่ามันผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับยิ้มที่ให้เจ้าของเตียงนอนซึ่งใช้พักผ่อนตลอดคืนที่ผ่าน หากแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขมากเช่นกัน...

     

     

                “พี่ยงกุกตื่นแล้วหรอ? ใครโทรมาอ่ะ?” จุนฮงได้ยินเสียงพี่จึงเดินเข้ามาดูในห้อง แล้วก็พบว่ายงกุกกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับโทรศัพท์  หัวใจจุนฮงกระตุกวืด ทำไม? ทำไมรอยยิ้มนั่นมันช่างคล้ายกับรอยยิ้มที่เขาเคยได้รับมากขนาดนี้. . .

     

                “ฮิมชานน่ะ พี่กลับห้องแล้วนะ พอดีมีธุระต้องไป” เจ้าของประโยคไม่รออะไรทั้งสิ้น รีบคว้าเสื้อเบสบอลตัวเก่งของตนที่ถอดพาดไว้บนหัวเตียงมาสวมก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้อง โดยที่จุนฮงเองยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไปสักคำ

    “พี่ยงกุก เดี๋ยว…!” จุนฮงเปล่งเสียงเรียกหวังว่าจะยื้อพี่ชายไว้ได้ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ร่างแกร่งเดินออกจากห้องไปแล้ว...

     

                พี่ฮิมชานคนที่เขาเคยเจอเมื่อปีก่อนใช่ไหมที่พี่ยงกุกให้ความสำคัญมากขนาดนี้  พี่ยงกุกไม่แม้แต่จะฟังเสียงของเขา ลืมแม้กระทั่งคำพูดที่ตัวเองเพิ่งพูดเมื่อคืนว่าถ้าตื่นมาแล้วจะมาช่วยติวหนังสือให้เขา... ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้... ไม่ใช่เลย... 

     

                จุนฮงไม่กล้าที่จะเดินไปหาที่ห้อง ไม่กล้าเรียกร้องหรือถามอะไรทั้งนั้น เพราะจุนฮงเป็นแค่น้องชายห้องข้างๆ ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรเหนือใครอื่น. . .

     

                ร่างบางเจ้าของผิวขาวจัดทรุดตัวลงกับโซฟาสีอ่อน ยกเข่าขึ้นมากอดไว้ให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นบ้าง ทอดมองไปนอกหน้าต่าง สายตาเจอกับต้นไม้ใหญ่ในสวนสาธารณะที่ห่างไปไม่ไกล  ใบไม้กำลังร่วงหล่นลงสู่พื้น ก็คงเหมือนความรู้สึกของจุนฮง ที่กำลังร่วงหล่นลงมาจนเริ่มบอบช้ำ . . .

     

    อย่างที่ผมบอกว่าใบไม้ยอมที่จะร่วงลงสู่พื้น ยอมทอดทิ้งต้นไม้ใหญ่ เพียงเพื่อต้องการให้ต้นไม้ใหญ่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในความหนาว... จุนฮงเองก็เหมือนกัน ยอมที่จะโดนทอดทิ้งอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ เพื่อให้มีพี่ยงกุกเป็นพี่ชายคนสนิทข้างๆห้องเหมือนเดิม...

     

     

     

    -To be continue-

    .

     

    TORMENT WINTER

     

     

     
    wahneun:
    ขอโทษที่หายไปนานนะคะ :)
    ฟิคเรื่องนี้ลงสองที่ค่ะ คือเด็กดี กับ เอ็กทีน
    เจอกันทอร์เม้นวินเทอร์นะคะ

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×