ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( B.A.P ) SF | BANGZELO SHOP ♡

    ลำดับตอนที่ #11 : THE SEASON: BRIGHT SPRING IV ( end )

    • อัปเดตล่าสุด 14 มี.ค. 57




    Title: BRIGHT SPRING

    Couple: BANGZELO ( BangYoungguk x Choi Junhong )

    Status : 4 / 4

    Author: wahneun

    Type: SHORT FICTION ( PROJECT )

    Rate: PG

    Note: พาร์ทนี้ไม่ข้ามไปอีกปีแล้วนะคะ เป็นใบไม้ร่วงที่ต่อจากฤดูหนาวที่ผ่านมาเลย :)

    ยาวพอๆกะฤดูหนาวพาร์ทหนึ่งเลยค่ะ เผลอๆยาวกว่าด้วยมั้ง 555555 ค่อยๆอ่านกันนะคะ XD

     

    ฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม เดือนพฤษภาคม

    อุณภูมิเฉลี่ยประมาณ 5 – 18 องศาเซลเซียส อากาศกำลังดี ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไปค่ะ

     

    --------------------------------------------------------------

     

    ว่ากันว่าฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่ทุกคนรอคอย บรรยากาศของใบไม้แรกผลิ ความสดชื่นหลังจากลมหนาวผ่านพ้นไป

    วูบหนึ่งของความคิด บังยงกุกพาลนึกถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มักจะมาสร้างรอยยิ้มและความวุ่นวายให้กับชีวิตของพี่ชายข้างห้องอย่างเขาเสมอ เด็กคนที่ทำตัวบ๊องๆแล้วก็ต้องการความช่วยเหลือจากเขาบ่อยๆ เด็กคนที่ทำให้ชีวิตเขามีสีสันมากกว่าตอนนี้

    เด็กคนนั้นหายไปแล้ว...

    ทั้งๆที่เป็นคนผลักไสอีกฝ่ายออกไปเองแท้ๆ. . . แต่กลับรู้สึกคิดถึง. . .

                คิดถึงมาตั้งแต่ตอนที่จุนฮงหายไป. . .

     

                “เหม่ออะไรอยู่วะ” เสียงเข้มดังขึ้นข้างๆกาย บอกการมาถึงของเพื่อนสนิทในช่วงชีวิตปริญญาตรี และนี่เป็นวันแรกของปีการศึกษาสุดท้ายภายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้

    ร่างโปร่งเพียบพร้อมด้วยใบหน้าหล่อคมทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวประจำแถวคณะของเพื่อนสนิท ข้างกันกับคนที่นัดให้ออกมาพบในวันนี้

     

                “ก็...แค่คิดอะไรนิดหน่อย” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำเอ่ยก่อนจะยื่นกระป๋องกาแฟอุ่นๆส่งให้ผู้ที่เพิ่งมาถึงได้ดื่มแก้กระหายและเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย

     

                “คิดถึงจีอึนล่ะสิ” มือหนาเอื้อมไปคว้าเครื่องดื่มมาจากมือของเพื่อนแต่ก็ไม่วายเอ่ยล้อเลียนเล็กน้อยด้วยความสนุกปากตามประสาคนเป็นกันเอง

     

                “เปล่า..” สีหน้าที่เปลี่ยนไปสร้างความฉงนให้กับฮิมชานได้ไม่น้อย ถ้าหากว่าบังยงกุกไม่ได้คิดถึงแฟนสาวของตัวเอง แล้วจะคิดถึงใคร...?

     

                “แล้วที่เรียกมานี่มีอะไร” เริ่มเปิดประเด็นถามเพราะไม่อยากให้เสียเวลา ยิ่งได้เห็นใบหน้าจริงจังที่น้อยครั้งเจ้าตัวจะแสดงออกมาด้วยแล้วก็ยิ่งสร้างความรู้สึกกังวลใจเล็กๆให้คนเป็นเพื่อนสนิทอย่างฮิมชานได้ไม่ยาก

     

                “ก็เปล่า...ไม่มีอะไรมากหรอก”

     

                “งั้นกูกลับ ไอ้เหี้ยพูดแต่เปล่าๆอยู่นั่นแหละ กูก็อุตส่าห์วิตกว่ามึงเป็นอะไร เสียเวลานอน” คิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดใจ ทั้งๆที่วันนี้คณะตนไม่มีเรียน แต่กลับต้องออกมาจากหอ ถ้าไอ้คนที่เรียกเขาให้มาหามีเรื่องจะพูดแค่นี้ก็โทรคุยกันน่าจะง่ายกว่า

     

                “มึงจำได้ไหม เรื่องตั้งแต่ฤดูหนาว ตอนนั้นน่ะ” กว่าเริ่มพูดปัญหาขึ้นมาได้ก็ทำเอาผู้รับฟังหัวเสียอยู่ไม่น้อย

                คิมฮิมชานโอเคกับการเป็นที่ปรึกษาให้กับใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่คณะหรือเพื่อนสนิทอย่างบังยงกุก หรือแม้แต่ซงจีอึน แฟนสาวของไอ้เพื่อนตัวดีคนนี้ก็เช่นกัน ทุกคนล้วนเคยปรึกษาปัญหากับฮิมชานนิติศาสตร์มาแล้วทั้งนั้น

     

                “ตอนไหนล่ะวะ” การที่อีกฝ่ายระบุเพียงแค่ช่วงเวลากว้างๆมาทำให้ผู้รับฟังอย่างฮิมชานยากที่จะนึกถึง เพราะมีแค่บังยงกุกคนเดียวที่มีปัญหากับฤดูหนาวเสียเมื่อไหร่กัน

     

                “จุนฮง...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยสั้นๆและไม่พูดอะไรต่ออีก คิดว่าพูดออกไปเพียงเท่านั้นก็น่าจะทำให้อีกคนนึกออก เพราะในเมื่อเป็นคนที่จำเหตุการณ์ทุกอย่างได้ดี ทั้งๆที่คนกระทำเป็นเขาเอง

     

                “อ๋อ ที่มึงไล่น้องเขาไปในคืนที่เมาใช่ปะ” เมื่อได้ยินชื่อของคนในเหตุการณ์ ความทรงจำต่างๆในวันนั้นก็คืนกลับมาทันที

     

                “กูไล่เขาไปจากชีวิตกูจริงๆว่ะ...”

     

                “แล้วยังไง? ก็แค่เด็กข้างห้องไม่ใช่หรอ?” ระหว่างที่ปากพูดแต่สายตาก็คอยจับสังเกตคนข้างๆไปด้วย สีหน้าที่เรียบเฉยแต่แววตาที่แสดงถึงความรู้สึกวิตกกังวล

                ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นบังยงกุกในมุมนี้...

     

                “กูก็คิดแบบนั้น...แต่...”

     

                “แต่..?”

     

                “กูรู้สึกไม่ดีเลยว่ะ ตลอดเวลาที่จุนฮงหายไป ตลอดเวลาที่รู้ว่าไม่มีเด็กคนนี้อยู่ใกล้ๆอีกแล้ว”

     

                “ก็กลับไปหาน้องเขาสิ ไม่เห็นจะยาก” คำแนะนำง่ายๆจากที่ปรึกษาส่วนตัว หากแต่มันยากเหลือเกินที่จะทำ...

     

                “นั่นคือสิ่งที่ยากที่สุดว่ะ”

                แม้พยายามจะพูดคุยเพื่อขอโทษแล้ว แต่ก็ได้รับความเย็นชาเฉยเมยตอบกลับมา ทั้งยังมีใครก็ไม่รู้ที่ยืนอยู่ข้างๆจุนฮง ไหนจะพี่สาวที่ยื่นคำขาดว่าไม่ต้องไปให้เห็นหน้า แค่นี้บังยงกุกก็หมดหวังแล้วล่ะ...

     

                “แล้วทำไมต้องทำอย่างกับว่าน้องเขาสำคัญนักหนาล่ะ หาเหตุผลมาสักข้อดิ แล้วกูจะช่วยแก้ปัญหา” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมคนที่ไม่ค่อยสนใจอะไรอย่างยงกุกถึงต้องให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้านมากเสียขนาดนี้

     

                “กูคิดถึงเวลาที่อยู่กับเขา กูไม่อยากให้เขามีความสุขกับคนอื่นเหมือนที่เคยเป็นกับกู กูแค่ไม่อยากเสียเขาไป...”

     

                “มึงแน่ใจนะว่ามึงรู้สึกแบบนั้นจริงๆ” ฮิมชานเอ่ยถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่ได้ยินจากปากคนข้างๆ สายตาคมหันมองหน้าเพื่อนสนิทอย่างจริงจัง

                เพราะคิมฮิมชานกำลังคิดว่านี่มันไม่ใช่แค่พี่ชายคนหนึ่งแล้วนะ...

     

                “กูคิดว่าอย่างนั้น” ถ้อยคำที่ไร้ซึ่งความลังเลถูกกล่าวออกมาอย่างง่ายดาย สีหน้าที่ดูไม่เหมือนคนโกหกเลยสักนิดยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับคิมฮิมชานได้อย่างดี

     

                “ยงกุก..กูว่า...มึงรักน้องเขาแล้วว่ะ”

     

     

                ทั้งสองคงไม่ทันสังเกตเห็นคนๆหนึ่งที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนี้ ชายหนุ่มไม่อาจเห็นหญิงสาวซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมานานพอที่จะได้ยินทุกประโยคสนทนาที่ถูกกล่าวออกมา

    ฝ่ามือบางถือกระดาษที่ตั้งใจเขียนข้อความบางอย่างเอาไว้ เตรียมจะมอบให้ชายหนุ่มที่เป็นคนรักเพื่อละทิ้งสิ่งที่ผ่านมาและเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าที่เคย หากแต่เมื่อได้ยินทุกอย่างเช่นนี้แล้ว ความตั้งใจนั้นก็คงจำเป็นจะต้องหายไป...

     

     

                ขาเรียวเดินอ้อมจากด้านหลังคนทั้งสองไปยังอีกฝั่งของโต๊ะ ยื่นแขนออกไปข้างหน้าแล้วกระดาษสีขาวแผ่นเล็กๆก็ถูกวางลงบนฝ่ามือของคนตัวสูง สร้างความตื่นตกใจและประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ดวงตาคมเหลือบไปเห็นรอยน้ำหมึกที่เรียบเรียงกันเป็นประโยคข้อความภาษาอังกฤษเขียนด้วยลายมือสวยที่คุ้นตาและจำดีได้ว่าเป็นของใคร...

     

    ‘ Everyday is a new start and a chance to make right what went wrong yesterday. ‘

     

                “หมายความว่ายังไงครับ?” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกระดาษแผ่นนั้นหลังจากอ่านจบ ด้านหน้าตนคือเจ้าของลายมือที่คุ้นเคยนี้

     

                “อ้าว แค่นี้ยงกุกแปลไม่ออกหรอ ง่ายออกนะ” หญิงสาวยิ้มรับและตอบกลับอย่างไม่จริงจังนัก เธอไม่ได้รู้สึกโกรธ หรือเสียใจ อาจมีความรู้สึกใจหายเล็กน้อยที่ตัดสินใจทำสิ่งนี้ลงไป

     

                “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อยจีอึน” เสียงทุ้มต่ำเจือไปด้วยความจริงจังเอ่ยถามกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า

     

                “ทุกๆวันเป็นการเริ่มต้นใหม่ และเป็นโอกาสที่จะแก้ไขสิ่งผิดพลาดในอดีต...”

     

                “เข้าใจที่เรากำลังบอกไหม?”

     

                “มันยังไม่สายไปหรอกนะยงกุก... “

     

    “ถ้ารักเขาก็ไปเถอะ...” รอยยิ้มยังคงถูกส่งให้พร้อมกับประโยคที่แฝงความหมายบางอย่างซึ่งถูกเอ่ยจากหญิงสาวผู้ที่อยู่ในสถานะที่ไม่ถูกต้องมาตลอด การบอกให้จากไปที่เป็นทั้งประโยคคำถามและประโยคบอกเล่า...

    เป็นคำถามที่ให้คนรักถามใจตนเองว่ารู้สึกเช่นไร ความรักที่มีนั้นถูกมอบให้ใคร และถ้าหากว่ามันไม่ใช่เธอ ก็ไปหาคนๆนั้นดีกว่า...

     

    ชายหนุ่มมองรอยยิ้มบางๆที่ยังคงไม่หายไปจากเรือนหน้าสวยของอดีตคนรัก เธอไม่ร้องไห้ และเธอก็ไม่ได้เสียใจกับการกระทำนี้...

     

                ไม่ใช่ว่าไม่รักกันเสียเมื่อไหร่...

                รัก... หากแต่ไม่ใช่แบบที่คนทั้งสองพยายามให้เป็นมาโดยตลอด...

     

                “ขอบคุณนะครับ ผมรักจีอึนนะ”

    ร่างแกร่งลุกขึ้นเดินเข้าหาและดึงร่างของหญิงสาวเข้ามากอดหลวมๆ ส่วนอีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นกอดตอบเช่นกัน ก่อนจะพูดออกมาบ้าง

                “ไม่เป็นไรหรอก เราก็รักยงกุกเหมือนกันนะ” 

     

                จะบอกว่าเป็นความรู้สึกโล่งใจก็คงไม่ผิด ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งเขาและเธอก็เหมือนยืนอยู่บนเวทีที่ทุกคนจัดฉากให้คิดว่าต้องเป็นเช่นนั้น หลอกลวงและบิดเบือนความรู้สึกที่แท้จริงและปิดทับมันด้วยคำว่าเหมาะสม ผู้คนรอบกายต่างก็คาดหวังในความรักที่ไม่เคยเกิดขึ้นนี้ ความจริงที่ว่าทั้งสองคือคู่รักแต่ไม่ใช่คนที่คู่ควรของใจ...

     

                “ตอนเข้ามากูว่ากูเห็นน้องจุนฮงอยู่แถวๆประตูสาม รีบไปดิวะ” เพื่อนสนิทผู้ที่มองเหตุการณ์มาตลอดเอ่ยขึ้น เรียกให้บังยงกุกละจากหญิงสาวและรีบร้อนวิ่งออกไปจากบริเวณนี้

     

                เมื่อเหลือเพียงสองคน ชายหนุ่มที่ยังคงอยู่ที่เดิมอย่างฮิมชานก็เอ่ยถามสิ่งที่ข้องใจขึ้น

     

                “ไม่เสียดายหรอ” เสียงทุ้มของคนรูปหล่อดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในจิตใจของหญิงสาว

     

                “เสียดายอะไรล่ะ” จีอึนทอดสายตาว่างเปล่าออกไปข้างหน้าโดยไม่ได้หันกลับมามองหน้าคู่สนทนาอย่างที่ควรทำ

     

                “เวลา ความรู้สึก ไอ้ยงกุก หรืออะไรก็ตามในตลอดเวลาที่ผ่านมาน่ะ”

     

                “ตอนนั้นฉันก็มีความสุข ตอนนี้ฉันก็ยังคงมีความสุข เพราะงั้น ไม่มีอะไรต้องเสียดายหรอกฮิมชาน”

                รอยยิ้มหวานปรากฏให้เห็นแก่สายตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆไม่ใช่เพียงเสแสร้งแกล้งทำเพื่อให้ตนดูเข้มแข็งหรือเพื่อให้ใครสบายใจ

     

                “ถ้าฉันรู้ว่าเรื่องทั้งหมดจะลงเอยแบบนี้ ฉันไม่เสียเวลาไปปรึกษานายหรอก” เสียงหวานเอ่ยขำๆ รอยยิ้มนั้นยังคงมีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา พลางคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อนเปิดเทอมระหว่างเธอกับชายหนุ่มที่เป็นเพี่อนร่วมคณะและเป็นที่ปรึกษาให้กับคนเกือบทั้งมหาวิทยาลัย

     

     

     

                ภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่งปรากฏร่างเพรียวของหญิงสาวผู้พร้อมทั้งหน้าตา กริยามารยาท และฐานะ การแต่งตัวที่เรียบง่ายและเส้นผมยาวสวยที่ถูกดัดลอนยิ่งรับกับใบหน้าหวานให้ดูเรียบร้อยขึ้นไปอีก เธอกำลังรอคอยการมาถึงของใครบางคนที่เธอต้องการพบในเวลานี้ฝ่ามือชื้นเหงื่อกุมกันไว้หลวมๆหลังจากยกถ้วยกาแฟร้อนตรงหน้าขึ้นจิบเบาๆ สายตาคู่สวยถูกทอดมองออกไปยังท้องถนนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่กำลังผลัดใบเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ

                อีกเพียงแค่สามวันเธอก็ต้องกลับสู่ชีวิตการเป็นนักศึกษาอีกครั้ง และก่อนที่จะไปสู่สังคมนั้น อดีตเดือนคณะอย่างซงจีอึนก็อยากจะไขข้อข้องใจที่เก็บไว้มาตลอดสองเดือนให้ชัดเจนขึ้นบ้าง

     

                เสียงลากเก้าอี้เรียกให้คนที่นั่งเหม่อมองออกไปที่ด้านนอกสะดุ้งตัวเล็กน้อย เบือนสายตากลับมาหาบุคคลที่เพิ่งนั่งลงบนที่นั่งลงตรงข้ามเธอ

    ร่างสูงแต่งกายด้วยเสื้อยืดสีขาวแสนธรรมดา สวมทับด้วยเสื้อโค้ทสีดำ เส้นผมสีเข้มที่ไม่สั้นไม่ยาวถูกเซ็ตมาอย่างลวกๆ กางเกงยีนส์สีเข้มตัวโปรดถูกหยิบมาใช้เสมอเมื่อเร่งรีบ คิมฮิมชานไม่ใช่คนหรูหราอะไร แต่ก็รู้ว่าต้องแต่งตัวอย่างไรจึงจะออกมาดูดี

     

    มือหนาเอื้อมมาหยิบถ้วยกาแฟซึ่งวางอยู่ตรงหน้าหญิงสาวขึ้นดื่ม แน่นอนว่านี่คือสิ่งไร้มารยาทมากหากเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน แต่ด้วยความที่จีอึนรู้จักฮิมชานมากพอสมควรจึงไม่ได้ติดใจอะไร เพราะรู้ดีว่านี่คือนิสัยที่เป็นกันเองของเพื่อนคนนี้

                “มาถึงนานหรือยัง ผมมาสายรึเปล่าเนี่ย” ริมฝีปากหยักละจากถ้วยกาแฟที่ตนโปรดปราน เอ่ยถามทีเล่นทีจริงกับคนตรงหน้า พอจะดูออกว่าเธอก็คงเพิ่งถึงได้ไม่นาน สังเกตจากความร้อนของกาแฟในถ้วยและปริมาณเครื่องดื่มที่แทบไม่พร่องไปเลย

               

                “คิดซะว่าฉันมาก่อนเวลาแล้วกัน” ตอบกลับด้วยคำพูดติดตลกก่อนจะตีหน้านิ่งอีกครั้งจนคนมองก็รู้สึกแปลกใจ

     

                “ฮิมชาน...รู้ไหมว่ายงกุกเป็นอะไรไป?” เริ่มเปิดประโยคสนทนาด้วยการถามถึงใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คนที่เธอควรจะรู้จักดีที่สุด คนที่เป็นคนรัก...

     

                “ทำไมหรอ?” เสียงเข้มถามด้วยความข้องใจกับท่าทีจริงจังที่น้อยครั้งจะได้เห็นของเพื่อนร่วมคณะ

     

                “ยงกุก ดูแปลกไป...ตั้งแต่ช่วงฤดูหนาวน่ะ”

     

                “ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา แม้ว่ายงกุกจะปฏิบัติตัวกับฉันดีเหมือนเดิม แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาเปลี่ยนไป... มันไม่เหมือนเดิม”

     

                “แล้วอะไรล่ะที่มันไม่เหมือนเดิม” ฮิมชานถามย้ำในสิ่งที่ต้องการจะรู้ เผื่อว่าจะสามารถให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลืออะไรผู้หญิงคนนี้ได้บ้าง

     

                “ฉันก็พูดไม่ถูกหรอกนะว่าอะไรที่เปลี่ยนไป ในเมื่อยงกุกก็ยังทำทุกอย่างเหมือนเดิม ดูแลฉันดีเหมือนเดิม ความความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง แต่เหมือนว่าจะเป็นตัวเขาเองที่เปลี่ยนไป”

     

                “เขาเหม่อเหมือนคิดถึงใครอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มที่เคยมีก็ลดน้อยลงจนแทบไม่มีเลย ชอบขมวดคิ้วเหมือนคนที่ใช้ความคิดอยู่บ่อยๆน่ะ”

     

                “ตั้งแต่ที่เขามองตามเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เดินสวนกับเราทั้งสองคนเข้าไปในคอนโดฯ...”

               

                “ไอ้ยงกุกอาจจะคิดถึงเพื่อนบ้านมันก็ได้ เห็นว่าทะเลาะกันตั้งแต่ฤดูหนาวจนป่านนี้ก็ยังไม่คุยกันเลย”

     

                “ใช่คนที่ตัวเล็กๆ ผิวขาว ดูบอบบางแล้วก็อ่อนแอหรือเปล่า? คนนั้นใช่ไหม?” ภายในสายตาของจีอึนเริ่มแสดงถึงความวิตกกังวลออกมาให้เห็น ทำให้ผู้รับฟังปัญหาต้องพยายามจะจบบทสนทนาก่อนที่เธอจะปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองจนใหญ่โต การคิดมากและคิดไปเองคือความสามารถพิเศษของผู้หญิงทุกคนบนโลกนี้

     

                “ผมก็บอกไม่ได้ชัดเจนหรอกนะว่ายงกุกมันเป็นอะไรไป แต่เดี๋ยวจะลองคุยกับมันดู จีอึนเองก็แค่เตรียมตัวกลับไปเรียนแล้วก็กลับไปเป็นแฟนสาวของบังยงกุกที่ผู้หญิงและผู้ชายค่อนมหาลัยอิจฉาเถอะ”

                ว่าก่อนจะยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้งอย่างไม่กังวลใจกับเรื่องใด ยกมือขึ้นเรียกบริกรของร้านให้มารับออเดอร์ขนมนมเนยและเครื่องดื่มอีกเล็กน้อยก่อนจะพูดคุยเรื่องราวเล็กๆน้อยๆกับจีอึนตามประสาเพื่อน

     

                หากใครจะรู้ว่านั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของความสัมพันธ์ที่หลอกลวงหัวใจตนเองของยงกุกกับจีอึนมาตลอดเวลาของการคบกันที่ผ่านมา...

               

     

     

     

     

     

                ที่ด้านหน้าตึกคณะภายในมหาวิทยาลัยอันกว้างใหญ่ ปรากฎร่างสูงโปรงของหนุ่มนักศึกษาแพทย์ที่ก้าวลงจากรถท่ามกลางความสนใจของผู้คนโดยรอบ สายตาดุจเหยี่ยวคู่นั้นกำลังมองหาคนที่เป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ซึ่งได้รับมอบหมายจากพี่สาวของเจ้าตัวให้มารับไปร่วมมื้อเย็นในวันนี้

     

                จุนฮงเริ่มการศึกษาใหม่ที่มหาวิทยาลัยรัฐฯชั้นนำของประเทศที่แสนสะดวกสบายในการใช้ชีวิตเพราะไม่ห่างไกลจากที่พักอาศัย ซึ่งเจ้าตัวสอบแข่งขันเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ภายในคณะนิติศาสตร์

    ...และแน่นอนว่านี่คือมหาวิทยาลัยเดียวกับคนที่ทำร้ายจิตใจเขาเมื่อฤดูหนาวที่เพิ่งผ่านพ้นไป...

     

                “พี่หมอ!” เสียงใสๆปนความประหลาดใจดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งเข้ามาหาคุณหมอร่างสูงโปร่งที่ยืนหล่อรออยู่

     

                “มารับผมหรอ?” เด็กปีหนึ่งเอ่ยถามกับพี่หมอคนดีของตนที่ในตอนนี้ควรจะขึ้นวอร์ดเข้าเวรอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่ามายืนรอเขาอยู่ตรงนี้

     

                “นานะไม่ได้บอกเราหรอว่าให้พี่มารับไปกินข้าวเย็นด้วยกัน” นายแพทย์ฝึกหัดเอ่ยถามด้วยความสงสัย หากแต่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร ก่อนจะถามประโยคใหม่กับคนเป็นน้อง

     

                “แล้วเปิดเทอมวันแรกเป็นไงบ้างครับ?”

     

                “ก็ดีครับ เพื่อนๆพี่ๆที่คณะก็น่ารักดี” คนอายุน้อยกว่าตอบกลับด้วยความสดใสร่าเริง จนคริสอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม ฝ่ามือหนายกขึ้นขยี้ผมน้องเบาๆด้วยความเอ็นดู

     

     

                เสียงฝีเท้าจากการวิ่งด้วยความรีบร้อนดังขึ้นไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก ก่อนที่ร่างของคนที่จำได้ดีว่าคือคนที่รักสุดหัวใจจะหยุดลงตรงหน้า สร้างความประหลาดใจกับร่างขาวจัด ลมหายใจของคนตรงหน้าหอบถี่เพราะวิ่งมาด้วยระยะทางที่ค่อนข้างมาก เม็ดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าหล่อ และฝ่ามือหนาก็ทำเพียงแค่ปาดมันออกอย่างลวกๆ

     

                “พี่ยงกุก..” สายตาเจ้าของเสียงจับจ้องไปยังใบหน้าที่ตนไม่ได้เห็นมาตลอดระยะเวลาสามเดือนของการเปลี่ยนแปลง ทั้งฤดูกาล วิถีชีวิต และความรู้สึก...

               

                พี่ชายคนเดิมก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะหน้าตา ท่าทาง น้ำเสียง ทั้งหมดนี้คือบังยงกุกที่คนตัวเล็กเฝ้าคอยคิดถึงอยู่เสมอมา...

     

                “พี่เอง...บังยงกุกเองครับ จุนฮง...” เจ้าของเสียงทุ้มค่อยๆก้าวเดินเข้าใกล้ร่างบาง โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถอยหนี ทั้งยังหันมาเผชิญหน้ากับคนอายุมากกว่าอย่างไม่หวั่นเกรง

     

                “พี่มาทำไมครับ... จะกลับมาให้ผมเห็นอีกทำไม...” เสียงใสเอ่ยเบาๆราวกับสติหลุดลอยไปไกล ความรู้สึกที่กดเก็บไว้มาเนิ่นนานกำลังจะหลั่งไหลออกมาอีกครั้ง

     

                “พี่มาเพื่อขอโทษ... ขอโทษทุกอย่างที่พี่ทำลงไป ขอโทษที่ทำให้นายต้องร้องไห้ ขอโทษที่ทำร้ายนาย...” สายตาคมจ้องมายังดวงตาของคนตัวเล็ก แววตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังและจริงใจจนรู้สึกได้ชัดเจนนั้นกำลังจะหลอมละลายหัวใจที่ถูกแช่แข็งด้วยความหนาวเหน็บของเหมันต์ฤดูที่ผ่านพ้นไป หัวใจที่ถูกปิดตายด้วยความรู้สึกเจ็บปวดจนไม่อาจจะรู้สึกรักใครได้อีก...

     

    “พี่มาเอาป่านนี้ ไม่คิดหรอครับว่าบางทีมันอาจจะสายไป...” ร่างเล็กพลันหลบสายตาที่แสนจริงจังนั้นด้วยการเบือนหน้าหนี ประโยคที่บั่นทอนกำลังใจคนที่ต้องการอภัยทำเอาร่างแกร่งใจเสียไม่น้อย...

     

    “...” ยงกุกไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ วูบหนึ่งที่สีหน้าของคนตัวสูงเปลี่ยนไป ในแววตาแสดงให้เห็นถึงความวิตกเล็กๆ แต่ก็เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนจะกลับมาเป็นปกติที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเหมือนอย่างตอนแรก ฝ่ามือหนาค่อยๆเอื้อมไปจับมือบางเอาไว้ ส่งผ่านความรู้สึกที่ต้องการจะเอื้อนเอ่ย

     

    นักศึกษาแพทย์ที่เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆซึ่งยืนอยู่นั้นเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงตัดสินใจจะพาจุนฮงออกมาและกลับไปยังที่พักอาศัย

    การเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้พูดคุยกันเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง การจะให้คนที่ทำร้ายน้องชายกลับมาทำเช่นเดิมอีกครั้งเป็นสิ่งที่อู๋อี้ฟานจะไม่มีทางยอมเด็ดขาด

                ...เพราะกว่าคนตัวเล็กจะผ่านวันเวลาที่เลวร้ายที่สุดนั้นมาได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

     

                “ถอยไปด้วยครับ จะพาจุนฮงกลับ” ขายาวก้าวเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง มือหนาจับมือที่กอบกุมกันไว้ให้ปล่อยออก ก่อนจะหันหน้าไปหาคนตัวขาวจัดและเอ่ยประโยคคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด

     

                    “จุนฮง! กลับกับพี่เดี๋ยวนี้เลยนะ” แขนแกร่งดึงร่างบางให้ถอยห่าง แยกคนทั้งสองให้ออกจากกัน ร่างเล็กตกใจไม่น้อยกับการกระทำที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อนของพี่หมอที่ตนเคารพรัก

     

                “พี่หมอ! เดี๋ยว!” คนตัวบางขัดขืนแรงของคนอายุมากกว่า แต่ด้วยอายุและร่างกายที่เหนือกว่าจึงไม่ทำให้อี้ฟานปล่อยมือได้ง่ายๆคนตัวสูงรีบดันจุนฮงให้นั่งลงในรถ กดล็อคเพื่อไม่ให้อีกคนลุกออกมาได้

     

    “เฮ้ย! ทำงี้ได้ไงวะ!” หลังจากตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เจ้าของเสียงทุ้มต่ำก็ดึงไหล่หนาให้หันกลับมา ง้างหมัดและต่อยลงบนหน้าหล่อของชายหนุ่มอายุมากกว่าเข้าเต็มแรง เสียงหมัดที่กระทบกับผิวเนื้อดังจนเรียกความสนใจจากผู้คนโดยรอบได้มากโข และยิ่งกับจุนฮงที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ผ่านกระจกใสในรถก็ตกใจมากไม่แพ้กัน

    แรงที่ส่งมาทำเอาร่างสูงโปร่งของคริสเซถอยหลังไปสองสามก้าว นิ้วเรียวยกขึ้นสัมผัสเบาๆที่มุมปากตนเอง เลือดสีสดปรากฏให้เห็นสร้างความไม่พอใจให้กับคนถูกกระทำได้ไม่น้อย

    ใช่ว่าเขาจะยอม...

     

    ร่างโปร่งของนักศึกษาแพทย์ก้าวเท้าเข้าหาคู่กรณี จัดการส่งหมัดหนักๆกลับไปยังคนที่เริ่มทำร้ายร่างกายตนก่อน อาจจะเพราะอีกฝ่ายตั้งรับไม่ดีหรือเพราะแรงที่กระทำ ทำให้ผู้ถูกกระทำในครั้งนี้อย่างยงกุกพลาดล้มลง อี้ฟานที่ได้โอกาสจึงรีบก้าวเดินไปยังที่นั่งคนขับ เปิดประตูรถออกก่อนจะหันกลับมามองด้วยสายตาเย้ยหยัน มุมปากกระตุกยิ้มอย่างผู้ที่เหนือกว่าและเสียงทุ้มเอ่ยเพียงประโยคสุดท้ายทิ้งไว้

    “จำที่นานะบอกไม่ได้หรือไง อย่ามายุ่งกับชีวิตของจุนฮงอีก”

     

                ขายาวก้าวขึ้นรถก่อนจะขับออกไปจากบริเวณมหาวิทยาลัยทันที เหลือไว้เพียงบังยงกุกที่เพิ่งลุกยืนขึ้น มือแกร่งยกขึ้นเช็ดเลือดที่ซึมออกมาจากรอยแผล ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วจนเกินกว่าใครจะตั้งรับได้ทัน

               

                “ยงกุก เป็นอะไรมากไหม?!” หญิงสาวที่เพิ่งมาถึงจุดเกิดเหตุรีบวิ่งพุ่งตรงเข้ามาหาอดีตคนรักและเอ่ยด้วยความเป็นห่วงในฐานะเพื่อน

     

                “มึงไปทำอะไรมา มาง้อน้องจุนฮงไม่ใช่หรอ แล้วทำไมเลือดกบปากแบบนี้วะ” ฮิมชานเอ่ยด้วยความตกใจที่เห็นร่องรอยการถูกทำร้ายบนใบหน้าคมของเพื่อนสนิท

     

                “ไม่มีอะไรทำกันหรือไงคะ? มายืนมุงกันอยู่ทำไม” เสียงหวานเอ่ยขึ้นทำให้มวลคนที่ยืนล้อมวงอยู่สะดุ้งตัวกันเป็นแถบ ก่อนจะเริ่มแยกย้ายกันออกไปจนเหลือแค่เธอ ยงกุก และฮิมชาน

     

                “สุดยอดเลยว่ะ เด็ดขาดจริงๆพี่จีอึนปีสี่” ฮิมชานว่าก่อนจะกึ่งฉุดกึ่งลากไอ้เพื่อนตัวดีที่เพิ่งก่อเรื่องไว้เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

     

                “พายงกุกไปทำแผลที่ใต้คณะก่อน เร็ว! ฉันจะไปหากล่องปฐมพยาบาลมาให้” ขาเรียววิ่งนำหน้าผู้ชายตัวโตทั้งสองไปยังตึกคณะที่ใกล้เคียงที่สุดเพื่อให้เพื่อนได้รักษาบาดแผลฟกช้ำจากการโดนหมัดกระแทกหน้า

                การกระทำของหญิงสาวไม่ได้ทำให้ผู้ชายที่เพิ่งโดนเธอบอกเลิกได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรู้สึกว่าเศร้าเสียใจเลย หากแต่ยงกุกกลับรู้สึกอบอุ่นใจที่ทั้งเธอและเขาจากกันมาโดยที่ความรักยังคงอยู่...

               

    ความรักไม่ได้ถูกกำหนดตายตัวว่าจะต้องคบหาดูใจกันนั่นจึงจะเรียกว่าความรัก หากแต่ความรักมีมากมายหลายรูปแบบที่จะเข้ามา บางครั้งอาจจะไม่มีคำจำกัดความที่สวยงามและแน่นอน บางครั้งมันก็เป็นแค่ความรู้สึกรัก ที่ไม่ว่าอยู่ในรูปแบบไหนก็สามารถรับรู้ได้ว่ามันคือรัก...

     

     

     

     

     

                ภายในห้องโดยสารรถยนต์ส่วนตัวของนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายอย่างอู๋อี้ฟาน มีเสียงสะอื้นเบาๆของเด็กอายุสิบเก้าดังขึ้นเป็นระยะ สร้างความเป็นห่วงให้กับคนเป็นพี่ชายได้ไม่น้อยเลย

     

    คุณหมออู๋คนดี ระหว่างที่ไปมาหาสู่กับสองพี่น้องอยู่ตลอดสามเดือน ในที่สุดก็ตัดสินใจตกลงปลงใจคบกับพี่สาวคนสวยของคนที่ตนเคยเป็นเจ้าของไข้ หลังจากที่แอบชอบพอกันมานานพอสมควรตั้งแต่ในวัยมัธยม แต่ด้วยชีวิตที่ต่างกันทำให้ต้องห่างกันออกไป จนดูเหมือนไร้โอกาส แต่สุดท้ายชะตาก็พาให้คนทั้งสองได้มาลงเอยกันสักที

    น้องชายอย่างจุนฮงผู้เฝ้ามองความรักของพี่สาวกับหมอหนุ่มที่ค่อยๆเติบโตขึ้นทีละนิดก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร ออกจะเห็นดีด้วยซ้ำที่พี่สาวได้คนดีๆอย่างพี่หมอมาดูแลนับแต่นี้ไป

     

                “ไหนจุนฮงบอกว่าจะร้องไห้เพราะไอ้นั่นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วไงครับ” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยวามขุ่นเคืองใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกเจ็บแปลบที่มุมปากส่งผลให้ใบหน้าหล่อแหยเกเวลาเอ่ยคำพูดแต่ละคำออกมา

     

                “ผมก็ไม่ได้ร้องไห้เพราะพี่ยงกุกสักหน่อย ผมร้องไห้เพราะตกใจต่างหาก”

     

                “อย่ามาโกหกพี่เลย” คนตัวสูงเอ่ยเสียงเรียบ หันหน้ามามองน้องชายสลับกับมองถนนข้างหน้า

     

                “ผมร้องไห้เพราะพี่นั่นแหละ พี่หมอทำแบบนี้ทำไม พี่หมอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ!” เพราะอารมณ์หลายหลากที่กำลังปะทุอยู่ทำให้จุนฮงเผลอขึ้นเสียงใส่คนอายุมากกว่าไปอย่างเสียมารยาท หากแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถือโทษ

     

                “แน่ใจแล้วหรอที่จะฝากความรักไว้กับคนนี้น่ะ” แฟนพี่สาวยังคงพูดทุกคำด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ไร้ซึ่งการแสดงออกทางอารมณ์ใดๆ

     

                “แล้วผมได้พูดอะไรออกไปสักคำหรือยังล่ะ?! ทีพี่หมอกับพี่สาวตัวเอง ผมยังไม่เคยห้ามเลยนะ!” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ หากแต่ก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงที่ว่าไม่เคยขัดขวางความรักของใคร

     

                “ค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านนะครับ” อี้ฟานรีบตัดบทก่อนจะเพิ่มน้ำหนักที่ปลายเท้ากดลงบนคันเร่งเพื่อให้รถพุ่งตรงไปยังจุดหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

               

     

     

                “อธิบายพี่มาสิจุนฮง” เสียงเรียบเด็ดขาดของชเวนานะดังขึ้นหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากแฟนหนุ่ม เมื่อกลับมาถึงและเห็นจุนฮงร้องไห้ คนรักน้องอย่างเธอก็แทบจะกระชากคอเสื้อคุณหมอถามหาความจริงที่เกิดขึ้น อะไรที่ทำให้ลูกชายคนเล็กของบ้านต้องมีน้ำตา

                และเมื่อคนเป็นพี่สาวรู้ว่าบังยงกุกเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของจุนฮง ความโกรธเกลียดก็ปะทุขึ้น นานะไม่ต้องการให้ผู้ชายคนนั้นมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของน้องชาย ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างเดิมอีก การปล่อยให้ใครคนนั้นมาทำร้ายจุนฮงจนบอบช้ำไปทั้งกายและใจ เพียงแค่ครั้งเดียวก็เกินพอ!

     

                ทั้งสามคนนั่งอยู่บนโซฟาภายในห้องห้าศูนย์แปด โดยคนเป็นพี่สาวอยู่ตรงกลางระหว่างน้องชายและชายหนุ่มคนรัก หันหน้าหาคนที่อายุน้อยที่สุดรอฟังคำตอบ

     

    “ก็พี่ยงกุกมาขอโทษ”

     

    “แล้วแกก็ใจอ่อนใช่ไหม”

     

    “แล้วถ้าผมจะใจอ่อนแล้วมันทำไมล่ะ ถ้าผมจะคบกับเขาแล้วพี่เดือดร้อนอะไรหรอ!” น้องชายพูดเสียงแข็งใส่พี่สาวโดยที่ไม่ทันได้คิดว่าที่นานะทำไปทั้งหมดก็เพราะรักและห่วงใยจุนฮงมากกว่าใคร ไม่อยากให้น้องที่ตนรักมากต้องมาเศร้าโศกเสียใจและจมอยู่กับความเจ็บปวดทรมานอย่างที่ผ่านมาอีก

     

    “ทำไมถึงพูดกับพี่เขาแบบนั้นล่ะครับจุนฮง ไม่ดีเลยนะรู้ไหม” หมอคริสเอ่ยปรามน้องชาย ด้วยความที่กลัวว่าคำพูดที่เป็นเหมือนดาบสองคมจะมาทำร้ายความรู้สึกและจิตใจของคนที่ตนรัก แต่ก็เป็นเหมือนเสียงลมพัดผ่านที่สองพี่น้องไม่สนใจ

     

    “ต้องไม่ใช่คนนี้!” เสียงแหลมของหญิงสาวกล่าวอย่างหนักแน่นกับน้องชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดที่ทิ่มแทงของน้องชาย ถ้าหากทั้งสองจะคบกัน แน่นอนว่าเธอไม่เดือดร้อน แต่เธอหมดความไว้เนื้อเชื่อใจที่จะฝากให้คนๆนั้นมาดูแลชีวิตและหัวใจของจุนฮงไปแล้ว

     

    “พี่นานะ! ผมพอเข้าใจว่าพี่รักผม แต่เรื่องพี่กับพี่หมอผมก็ยังไม่เคยห้ามเลยนะ!” คนตัวเล็กเริ่มขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ของวัยรุ่น คำพูดแบบเดิมที่พูดกับฝ่ายพี่ชายถูกยกขึ้นมาพูดกับพี่สาวอีกครั้ง นานะเองพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอทำร้ายจิตใจน้องชายหัวแก้วหัวแหวนก็ทำเพียงแค่กำหมัดเบาๆสงบสติอารมณ์ที่พร้อมจะเหวี่ยงวีน

     

    “นานะ” เสียงทุ้มนุ่มของหมอหนุ่มเอ่ยขึ้น พลางเอื้อมมือหนาไปลูบเบาๆคลายฝ่ามือของคนที่กำลังตึงเครียด กอบกุมมือบางของหญิงสาวไว้ด้วยความห่วงใย

     

    “อย่าเข้าข้างกันนะ เรื่องนี้ฉันไม่ยอมแน่!” ดวงตาเฉี่ยวคมของหญิงสาวจับจ้องที่ดวงตากลมโตของน้องชายไว้มั่น แสดงความรู้สึกทั้งรักห่วงใยและโกรธเกรี้ยวออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ หากแต่เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษากลับหลบสายตานั้นและลุกหนีไป

     

    “จะไปไหน กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนนะจุนฮง! ชเวจุนฮง!!” เสียงแหลมสูงตะโกนตามหลังน้องชายที่เดินเข้าห้องพร้อมกระแทกปิดประตูเสียงดังสนั่นห้องและกดล็อคทันที

     

    “ทำไมต้องเสียงดังใส่น้องขนาดนั้นด้วยล่ะครับ” อี้ฟานพูดเตือนสติหญิงสาวให้ลดระดับความโกรธลง อารมณ์เป็นตัวแปรสำคัญของเหตุการณ์ไม่ดีมากมาย เขาไม่อยากให้เกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับคู่พี่น้องสองคนนี้

     

    “ทำไมจุนฮงถึงได้ดื้อแบบนี้ก็ไม่รู้นะ” ชเวนานะถอนหายใจออกมายาวๆ อย่างคนพยายามระงับอารมณ์โกรธ ก่อนจะพิงร่างใส่ชายหนุ่มคนรัก แขนแกร่งยกขึ้นโอบไหล่ของหญิงสาวไว้ด้วยความรักและห่วงใย

     

    “ทำมื้อเย็นเถอะ ฉันกับจุนฮงน่ะเดี๋ยวก็ดีกัน คุยกันเหมือนเดิม เราเป็นพี่น้องกันนะคริส” นานะหันมายิ้มให้กับหมอคริส แล้วดึงร่างใหญ่ให้ลุกขึ้นเดินเข้าครัวเพื่อประกอบอาหารมื้อเย็นรอคนอายุน้อยที่สุดออกมากินพร้อมกัน

     

     

     

     

     

    6 : 00 PM

    Friday, March 8

    Messages

    P’Yongguk: ออกมาหาพี่ได้ไหมครับ?

     

    Slide to reply

     

    ข้อความจากเบอร์ที่ไม่เคยลบปรากฏขึ้นบนหน้าจอเครื่องมือสื่อสารราคาแพงของร่างขาวที่นั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน ประโยคคำถามกึ่งขอร้องทำเอาคนตัวเล็กนั่งแทบไม่ติด

    มือเล็กหมุนลูกบิดประตูที่ไม่ทันรู้ตัวว่าลุกขึ้นมาจับมันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ขาเรียวก้าวออกมาจากห้องนอนส่วนตัวและเจอกับพี่สาวคนสวยที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาสีอ่อนริมหน้าต่างภายในส่วนของห้องนั่งเล่น ข้างๆกันนั้นคือคนที่เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆนั่งเป็นหมอนอิงให้กับพี่สาวได้พักพิง จุนฮงอดยิ้มบางๆไม่ได้กับภาพที่ได้เห็น

    พี่นานะกับพี่คริสเหมาะสมกันมาก... และทั้งสองคนก็รักกันมากเช่นกัน...

     

    เมื่อจุนฮงได้เห็นหน้าของผู้หญิงที่ตนรักและรักตนมากก็อดจะรู้สึกไม่ได้ว่าทำไมต้องกลับไปเจ็บปวดเพราะพี่ชายใจร้ายคนนั้นอีก... คราวที่ตนเจ็บเจียนตาย เขาก็ไม่เคยสนใจใยดี เขามีคนที่พร้อมจะอยู่ข้างๆเขามากมายอยู่แล้ว แล้วทำไมชเวจุนฮงต้องกลับไปจมปรักอยู่กับความรักโง่ๆนี้อีก...

    เพียงแค่ข้อความเดียวสั้นๆ หรือคำขอโทษอีกกี่ร้อยครั้ง ก็คงไม่ทำให้หัวใจที่บอบช้ำกลับมาดีดังเดิม...

     

    “พี่นานะ..” เสียงหวานเอ่ยหวั่นๆขึ้น

     

    “ว่าไง” หญิงสาวละความสนใจจากรายการโทรทัศน์ตรงหน้า ขยับกายจากการนั่งพิงตัวแฟนหนุ่มลุกขึ้นนั่งตรงและหันมาหาเจ้าของคำพูดนั้น รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเมื่อเห็นว่าจุนฮงไม่ได้ร้องไห้ตาบวมอย่างที่แล้วมา

     

    ขาเรียวของน้องก้าวเดินเข้าไปหาและทรุดตัวลงนั่งข้างพี่สาวอีกฝั่งที่ไม่มีพี่หมอนั่งอยู่ ก่อนจะเอ่ยคำพูดด้วยเสียงเศร้า

    “ขอโทษนะ”

     

    “อืม... ไม่เป็นหรอก พี่เข้าใจแกเสมอ แล้วก็อยากให้แกเข้าใจพี่บ้างว่าที่ทำลงไปเพราะรักทั้งนั้น”

     

    “อืม จะพยายาม...” ความหมายของคำว่าพยายามของน้องชายนั้น ไม่ใช่พยายามเข้าใจพี่สาว แต่เป็นการพยายามหักห้ามใจไม่ให้รักใครอีกคนไปมากกว่านี้แล้ว...

     

    “กินข้าวกัน เตรียมรอตั้งนานแล้วเนี่ย” ร่างเพรียวของผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในห้องลุกขึ้นเดินนำหน้าทุกคนไปยังส่วนครัว จัดแจงที่นั่งให้น้องชายและแฟนหนุ่มก่อนจะเริ่มมื้อเย็นที่พร้อมหน้ากับคนที่ตนรัก

     

    อย่างน้อยชเวจุนฮงก็ยังมีชเวนานะและอู๋อี้ฟานที่ยังคงรัก ห่วงใย และพร้อมจะอยู่เคียงข้างเสมอ ไม่ว่าจะอ่อนแอมากเท่าไหร่ สองคนนี้คือคนที่มีค่าและมีความหมายมากในชีวิตของเขา...

    แม้พี่ยงกุกจะทำร้ายเขาจนอ่อนแอมากเพียงใด จุนฮงก็ยังมีใครที่คอยอยู่ข้างๆกัน...

     

     

     

     

     

    กว่าสามชั่วโมงที่ล่วงเลยหลังจากกดส่งข้อความนั้นออกไป ไร้ซึ่งข้อความตอบกลับ และไร้ซึ่งบุคคลใดที่จะเข้ามา...

     

    “พี่มาเอาป่านนี้ ไม่คิดหรอครับว่าบางทีมันอาจจะสายไป...”

     

    “พี่มาเอาป่านนี้ ไม่คิดหรอครับว่าบางทีมันอาจจะสายไป...”

     

    “พี่มาเอาป่านนี้ ไม่คิดหรอครับว่าบางทีมันอาจจะสายไป...”

     

    ประโยคเดียวที่ยังคงดังก้องอยู่ภายในความคิดของคนที่ฟัง แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นยากที่จะให้อภัยได้เพียงแค่คำขอโทษโง่ๆของผู้ชายที่ชื่อบังยงกุกคนนี้

    อาจจะเพราะเป็นผู้ถูกวิ่งตามมาตลอด จึงไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่วิ่งเข้าหา

    กระทั่งวันนี้...วันที่จุนฮงเป็นฝ่ายวิ่งหนี ยงกุกถึงเข้าใจ...

    เข้าใจว่ามันท้อแท้และเหน็ดเหนื่อยมากเพียงใด...

     

    แต่เขาจะต้องไม่ท้อถอย และยังคงจำได้ดีในประโยคที่อีกฝ่ายกล่าวไว้เมื่อสองเดือนก่อน ประโยคที่ขอร้องไม่ให้เจอกันอีก และถึงแม้เขาจะพลาดล้ำเส้นนั้นไปแล้วก็ตาม...

    หากถ้าจุนฮงไม่ต้องการจะพบเจอ เขาก็ยอมที่จะไม่ไปให้เห็น...

    แต่นับจากวันนี้ จะเป็นการขอโทษและขอความรักจากเขา หวังเพียงแค่อีกฝ่ายจะยอมรับมันอย่างไม่นึกรังเกียจกันก็พอ...

     

                หน้าจอโทรศัพท์ที่ร่างสูงวางอยู่ข้างตัวสว่างขึ้นเพราะมีหนึ่งการแจ้งเตือนจากเพื่อนสนิทต่างคณะที่ไลน์มาเพื่อบอกอะไรบางอย่าง

     

    Himchan Law.: sent you a photo.

    นี่ตารางเรียนนิติฯปีหนึ่ง เผื่อมึงอยากได้เลยหามาให้

    ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าจุนฮงจะเป็นน้องคณะกูเอง

     

    คิมฮิมชานผู้กว้างขวาง ด้วยทั้งหน้าตาหล่อเหลาและคารมที่เหลือร้าย ทั้งยังเป็นประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์นักศึกษาอีกด้วย ไม่แปลกที่ชายหนุ่มจะเป็นที่รู้จักของนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย ถ้าหากอยากได้ความช่วยเหลืออะไร เพียงแค่พูดไม่กี่คำก็พร้อมมีคนยื่นมือเข้ามาหา

                และในครั้งนี้ ยงกุกก็คงต้องเลี้ยงขอบใจฮิมชานเป็นการใหญ่ที่ทำประโยชน์ให้เพื่อนมากขนาดนี้

     

     

     

     

     

     

     

    Monday, March 11

     

    แสงแดดที่ส่องเข้ามาปลุกให้ร่างขาวที่นอนอยู่ตื่นขึ้นจากนิทรา เด็กหนุ่มลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะเข้าห้องน้ำไปทำภารกิจส่วนตัว เช้าวันจันทร์ที่จุนฮงมีเรียนแปดโมงครึ่ง การตื่นเจ็ดโมงครึ่งก็ไม่ได้ถือว่าสายมากนัก

    ปกติแล้วพี่สาวอย่างนานะจะออกไปทำงานแล้วตั้งแต่เจ็ดโมง เวลาแบบนี้จึงมีแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเก้าที่อยู่ภายในห้องเพียงคนเดียว

    จุนฮงตั้งใจว่าจะอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปหาข้าวเช้าเป็นขนมปังสักชิ้นกับนมจืดสักกล่องที่ร้านสะดวกซื้อแถวคณะก็คงพอใช้ได้ แต่ระหว่างที่กำลังแต่งตัวอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนของโปรแกรมแชทยอดนิยมก็ดังขึ้น เรียกให้เจ้าของโทรศัพท์ต้องไปกดดู เผื่อว่าจะเป็นเพื่อนที่คณะไลน์มาบอกว่าแคนเซิลคลาสในเช้านี้

     

    หากแต่มันกลับเป็นข้อความของคนใจร้ายที่ส่งมา...

     

    7 : 52 AM

    Monday, March 11

    -P’Yongguk: ออกมาดูหน้าห้องหน่อย ก่อนไปเรียนอย่าลืมกินข้าวล่ะ

     

    คนตัวเล็กเลือกที่จะไม่ตอบกลับ ก่อนวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะกินข้าวและไปเปิดประตูห้องของตนตามที่ข้อความนั้นบอก

    กล่องพลาสติกสำหรับใส่อาหารถูกวางอยู่บนพื้นตรงหน้าห้อง คนตัวขาวก้มลงหยิบมันขึ้นมาก่อนจะรู้ว่าภายในคือข้าวผัดกุ้งหน้าตาน่ากิน กลิ่นหอมๆที่เล็ดลอดออกมาจากกล่องเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ส่งเสียงดังโครกคราก เด็กหนุ่มหันมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่เจอใคร จุนฮงจึงถอยกลับเข้ามาและปิดประตูห้องลงดังเดิม

    ภายในมือขาวถือกล่องอาหารเอาไว้และนำไปวางบนโต๊ะข้างๆกันกับโทรศัพท์ที่ถูกวางก่อนหน้า ขายาวเดินไปหยิบช้อนเพื่อใช้จัดการมื้อเช้าในวันนี้

    เด็กหนุ่มรู้ดีว่าใครเป็นคนเอามาวางไว้... เพราะก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น...

     

    รสชาติของอาหารฝีมือใครคนนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนกับความรู้สึกของคนๆนี้ ที่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร มันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้เสียที...

    ความรู้สึกรักยังคงมีจนล้นหัวใจ หากแต่ความหวาดกลัวและความเชื่อใจที่ลดลงจนเกือบจะเป็นศูนย์ทำให้จุนฮงไม่กล้าจะเผชิญหน้าและพัฒนาความสัมพันธ์ไปในทางใดทั้งนั้น

    ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน เป็นความรู้สึกที่ตรงกันและพร้อมจะดูแล เชื่อใจกันไปตลอด ถ้าหากตัดสินใจที่จะตกลงและใช้คำว่าคนรัก คนทั้งคู่ก็ต้องมองข้ามสิ่งที่ไม่ดีออกไปให้หมด ให้อภัยกันในทุกเรื่องเสียก่อน ความรักจึงจะเริ่มต้นขึ้น...

     

    ซึ่งจุนฮงยังคงทำไม่ได้... แม้ว่าจะรักมากเพียงใด แต่ความไว้ใจไม่มีอยู่เลย ทั้งยังมีอดีตที่แสนเศร้าคอยตอกย้ำอยู่ทุกวันคืน ทั้งหมดนั้นยังคงเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่าอุปสรรคในความรักของเจ้าตัวและอีกคนที่กำลังทุ่มเท..

     

     

    อีกฝั่งหนึ่งของผนังที่กั้นระหว่างสองห้อง ร่างสูงเจ้าของห้องห้าศูนย์เก้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอ่านข้อความนั้นแล้วจึงออกไปดูด้วยหวังว่ากล่องข้าวที่ตนตั้งใจทำและนำไปวางไว้นั้นจุนฮงคงไม่ได้วางทิ้งไว้ที่เดิม...

    เมื่อเห็นว่าหน้าห้องไม่มีอะไรวางอยู่ ยงกุกก็เข้าใจว่าเด็กคนนี้คงจะได้กินมื้อเช้าแล้ว... ต้องขอบคุณตารางเรียนของจุนฮงจากฮิมชานที่ทำให้เขาได้มีโอกาสทำอะไรเพื่อจุนฮงบ้างเสียที

     

    การที่อีกคนไม่ละทิ้งสิ่งที่เขาต้องการมอบให้ เป็นการที่บ่งบอกได้ว่า ชเวจุนฮงนั้นคงไม่ได้เกลียดบังยงกุกมากเท่าไหร่นัก...

     

     

     

    Wednesday, March 13

     

    ภายในโรงอาหารที่กว้างใหญ่ของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเหมือนศูนย์กลางของนักศึกษากว่าค่อนสถาบัน ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่จนทำให้หญิงสาวอดีตเดือนคณะนิติศาสตร์ตาลาย

    สายตาคู่สวยสอดส่องมองหาเด็กหนุ่มที่เธอเคยเห็นเพียงผ่านตา หากแต่ก็จำลักษณะของคนร่างเล็กได้อย่างดี

    ฉับพลันสายตาก็กวาดไปเจอกับคนที่เธอกำลังตามหาซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะกับกลุ่มเพื่อนอีกสี่ห้าคน

     

    “น้องจุนฮงคะ?” เสียงหวานของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง เรียกให้ร่างบางที่กำลังลอกแลคเซอร์จากเพื่อนร่วมคณะเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นกระดาษ

    “ครับ?”

     

    “มีคนฝากขนมมาให้ค่ะ ลองกินดูนะ อร่อยมาก” รอยยิ้มหวานที่ไม่ได้เสแสร้งของคนตรงหน้าทำให้จุนฮงรู้สึกอบอุ่นและรับรู้ถึงความจริงใจที่รุ่นพี่คนนี้มีให้

    เด็กปีหนึ่งอดคิดไม่ได้ว่าคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน แต่กลับนึกไม่ออกว่าเธอเป็นใคร...

     

    “ใครฝากมาหรอครับ?”

     

    “พี่บอกไม่ได้หรอกค่ะ เขาสั่งห้ามไม่ให้พูด ลองนึกดูนะคะว่าเป็นใคร แต่ไม่ใช่พี่รหัสของเราหรอกนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกันค่ะ” สาวสวยอธิบายด้วยรอยยิ้มและสายตาที่แสนเอ็นดูคนตรงหน้า แต่สายตาที่เหมือนตั้งคำถาม เรียกให้รุ่นพี่คนนี้ต้องเอ่ยปากแนะนำตัวกับรุ่นน้องร่วมคณะ

     

    “พี่ชื่อจีอึนค่ะ ซงจีอึน นิติศาสตร์” ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ร่างบางก็ชะงัก สายตาที่ดูไร้เดียงสาและไม่มีพิษภัยค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย

    ผู้หญิงคนนี้... คนที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดปางตาย... ความทรมานที่แสนเศร้ายังคงตราตรึงอยู่ในความรู้สึกเสมอ...

     

                “อย่ามองพี่แบบนั้นสิคะ พี่ไม่ได้จะมาทำร้ายเรานะ แล้วเราก็เป็นพี่น้องร่วมคณะด้วย” ซงจีอึนรีบกล่าวบอก เพราะกลัวว่าความรู้สึกที่เด็กคนนี้มีให้เธอจะแปรเปลี่ยนเป็นเกลียดชังเสียก่อนทั้งๆที่เพิ่งจะรู้จักกัน

     

                “พี่แค่อยากจะบอกกับจุนฮงว่าพี่กับยงกุกไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะคะ ยงกุกมีคนที่เขารักจริงๆอยู่แล้ว และรักมากกว่าที่รักพี่ รักมากจนเปรียบเทียบไม่ได้เลยล่ะ”

     

    “อย่าใจร้ายกับเขามากเลยค่ะ ถือว่าพี่ขอร้อง” ฝ่ามือบางของเด็กหนุ่มถูกมือเล็กของหญิงสาวจับไว้เบาๆ จีอึนเอ่ยประโยคนั้นเป็นประโยคสุดท้ายและเดินจากไป

     

    ความจริงที่ว่าแฟนเก่าของบังยงกุกนั้นเป็นคนดีเป็นความจริงที่ชเวจุนฮงปฏิเสธไม่ได้ แต่แน่นอนว่าการจะให้ลบอคติที่มีนั้น ในตอนนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกิน...

    ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่าง จุนฮงเชื่อแบบนั้นเสมอมา...

     

    ขอให้เวลาช่วยเปลี่ยนความรู้สึกแย่ๆที่มีต่อหญิงสาวคนนั้นให้เป็นความรู้สึกดี และขอให้เวลาช่วยเพิ่มความมั่นใจที่จะใช้รักใครสักคนขึ้นมาเสียที...

     

     

     

    4 : 48 PM

    Monday, March 17

    -P’Yongguk: อยู่ปีหนึ่งแล้วก็ลองกินกาแฟดูบ้างนะ มอคค่าเป็นกาแฟที่มีเอสเปรสโซ่ผสมกับช็อคโกแลต มันไม่ได้ขมอย่างที่คิดหรอก

     

    ประตูห้องห้าศูนย์แปดถูกเปิดออก ก่อนที่ร่างบางผู้เป็นเจ้าของห้องจะก้มหยิบแก้วกระดาษที่ภายในบรรจุเครื่องดื่มสีเข้มกลิ่นหอมอยู่ จุนฮงค่อยๆสูดลมหายใจรับกลิ่นที่อบอวลของเมล็ดกาแฟผสมกับกลิ่นหวานๆช็อคโกแลตที่แสนลงตัว รู้สึกผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเรียนในวันแรกของสัปดาห์อยู่ไม่น้อยเมื่อได้ดมกลิ่นกาแฟในถ้วยนี้

    ริมฝีปากสีชมพูได้รูปค่อยๆเป่าลมออกมาเบาๆเพื่อคลายความร้อนของเครื่องดื่ม และค่อยๆยกขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยเพื่อชิมรสชาติของสิ่งที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง

     

    รสหวานละมุนของช็อคโกแลตที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นเป็นอย่างแรกและรสชาติขมเปร่าของกาแฟก็ค่อยๆแทรกเข้ามา ความนุ่มละมุนของวิปครีมที่ผสมกับความกลมกล่อมของมอคค่าในแก้ว และกลิ่นที่หอมหวนช่วยทำให้การรับรสดีขึ้น ความอุ่นร้อนของมันช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และรู้สึกอบอุ่นไปจนถึงหัวใจ...

                ไม่เคยรู้มาก่อนว่ากาแฟจะมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลถึงเพียงนี้... จากวันนี้ไปจุนฮงคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วล่ะ...

     

     

     

    9 : 23 AM

    Wednesday, March 19

    -P’Yongguk: เรียนยากไหม? พี่หาหนังสือมาให้เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้างน่ะ

     

                เช่นเดิมกับทุกครั้ง เมื่อได้รับข้อความจากพี่ยงกุก จุนฮงก็จะต้องไปดูหน้าห้องว่าคราวนี้จะมีอะไรมาวางอยู่

                คราวนี้เป็นเท็กซ์บุ๊คกฎหมายเล่มโตที่นอนแน่นิ่งอยู่ หน้าที่ของเขาก็คือหยิบมันเข้าห้องและเปิดอ่านผ่านๆสองสามหน้า ก่อนจะพบว่านี่เป็นหนังสือกฎหมายที่แทบทุกคนในคณะนิติศาสตร์ต่างต้องการ เพราะมันเป็นตำราเรียนที่ครบครันและสมบูรณ์มากที่สุดในเวลานี้ หากแต่เลิกตีพิมพ์ไปได้เกือบจะสี่ปีแล้ว จะมีเพียงรุ่นพี่ปีสี่เท่านั้นที่ยังพอจะมีไว้ในครอบครอง 

     

    ร่างขาวจัดอดที่จะรู้สึกขอบคุณไม่ได้ เมื่อคนๆนั้นพยายามหาของที่ดีและหายากมาให้ถึงขนาดนี้...

     

     

                เมื่อคนตัวสูงนำความตั้งใจของตนออกไปวางไว้หน้าห้องห้าศูนย์แปดให้คนที่รักแล้วก็กลับมาพิมพ์ข้อความหาเพื่อนสนิทผู้เป็นคนช่วยเหลือเขาเรื่องความรักในทุกๆครั้ง

     

    BANG: ขอบคุณสำหรับเท็กซ์บุ๊คเล่มใหญ่เท่าบ้านนะเว้ย กูเชื่อว่ามันคงเป็นประโยชน์ให้กับจุนฮงมากกว่าตอนที่อยู่กับมึง

    Himchan Law.: กูเสียสละหนังสือเรียนให้แล้วยังจะมาด่ากูอีกนะมึง!

     

     

     

    Friday, March 21

     

                แสงแดดของฤดูใบไม้ผลิที่สาดส่องช่วยเพิ่มความอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่ความหนาวเย็นที่ยังคงมีอยู่เรื่อยๆก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องเอามือซุกลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทสีเทาที่พี่สาวเป็นคนเลือกซื้อให้เมื่อเดือนก่อน

     

                “น้องจุนฮงครับ!” เสียงทุ้มดังขึ้นเรียกให้ร่างบางต้องหันไปหาเจ้าของเสียง

    นี่เป็นอีกครั้งที่มีรุ่นพี่มาทักเขาก่อน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาควรจะเป็นฝ่ายทักทายแสดงความเคารพกับรุ่นพี่ก่อน

     

                “ครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยขานรับ แต่ยังคงมองหาเจ้าของเสียงไม่เจอ และขณะนั้นเองก็มีแก้วเครื่องดื่มอุ่นๆมาสัมผัสที่ใบหน้าขาวเนียน

     

                “อ๊ะ!” ร่างเล็กสะดุ้งตัวเล็กน้อยเนื่องด้วยความตกใจจากสัมผัสนั้น ก่อนจะพบว่าคนๆนั้นเป็นใคร           

    “พี่อยู่นี่ครับ จำพี่ได้ไหม?”

     

                “พี่ฮิมชาน...”

     

                “ดีใจที่จุนฮงจำพี่ได้นะ นี่ช็อคโกแลตอุ่นๆครับ” แก้วเครื่องดื่มถูกเปลี่ยนมือไปสู่เจ้าของที่แท้จริง ก่อนรุ่นน้องคณะจะเอ่ยถามกับพี่ปีสาม

     

                “มีคนฝากมาให้ผมหรือเปล่าฮะ?”

     

                “โป๊ะเช๊ะครับจุนฮง! แล้วก็เป็นคนๆเดิมแหละครับ” คิมฮิมชานดีดนิ้วหนึ่งที ก่อนที่คนตัวเล็กจะตั้งคำถามกับรุ่นพี่ปีสี่ว่า

                “แล้วทำไมเขาถึงไม่มาเองล่ะครับ”

     

                “อันนี้พี่ก็ไม่รู้ครับ พี่ไม่ได้ถาม มันสั่งให้มาพี่ก็มาให้มัน ว่าแต่จุนฮงชอบช็อคโกแลตร้อนหรอครับ?”

     

                “เปล่าหรอกครับ...”

     

                “ตอนนี้ผมชอบมอคค่ามากกว่า...” เสียงใสเว้นระยะห่างในประโยคไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยคำลา

     

                “ขอบคุณที่ลำบากมานะครับพี่ฮิมชาน ผมต้องไปเรียนแล้ว โชคดีครับ” ร่างเล็กยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ฮิมชานยืนอยู่ลำพัง หนุ่มหล่อทำเพียงกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทเพื่อรายงานผลที่เกิดขึ้น

     

                “เฮ้ยยงกุก น้องบอกว่าชอบมอคค่ามากกว่า แล้วซื้อช็อคโกแลตให้น้องทำไมวะ”

     

                ปลายสายที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับชะงัก ทำไมจู่ๆเด็กคนนี้ถึงชอบมอคค่า หรือเป็นเพราะเขา...

    ยงกุกไม่ได้อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง หากแต่ทุกอย่างมันชี้ชัดว่าต้องเป็นเช่นนั้น หัวใจที่พองโตเพราะความรู้สึกดี รอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นเป็นตัวบ่งบอกความสุขที่ร่างสูงมีอยู่ในขณะนี้

     

    “ขอบคุณมากนะมึง ขอบคุณมึงจริงๆ”

     

                แม้ที่ผ่านมาจุนฮงจะไม่เคยตอบกลับข้อความเขาแม้แต่ข้อความเดียว แต่การที่อีกฝ่ายอ่านมันเสมอและรับของทุกชิ้นที่ให้ไปนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่ต้องวิ่งตามอย่างเขา...

                แม้ว่าจะทำได้เพียงแค่รอวันที่อีกคนจะพร้อมมาเดินเคียงข้าง แต่เขาก็พร้อมใจจะรอ...

     

     

     

    7 : 46 AM

    Tuesday, March 25

    -P’Yongguk: ไปดูหน้าห้องด้วยนะ

     

                หลังจากกดอ่าน ร่างเล็กก็เปิดประตูห้องออกมาเพื่อดูว่าในวันนี้จะมีอะไรถูกนำมาวางไว้อีก เมื่อก้มมองก็พบกับดอกทิวลิปสีแดงสดหนึ่งดอกซึ่งวางนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นพรม สร้างความประหลาดใจไม่น้อย เพราะปกติแล้วผู้ชายใจร้ายคนนี้ไม่เคยส่งของที่แสดงออกชัดเจนถึงความรักมาให้ ที่ผ่านมาเป็นเหมือนเพียงแค่ความห่วงใยเสียมากกว่า มือขาวจัดเอื้อมไปหยิบมาถือไว้ก่อนจะปิดประตูลง

                ดอกไม้งามถูกนำไปปักลงในแจกัน ก่อนร่างบางจะอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปเรียนที่มหาวิทยาลัยสำหรับวันนี้ โดยไม่ทันคิดถึงความหมายอะไรที่แฝงอยู่มันเลย...

     

     

     

    9 : 08 AM

    Thursday, March 27

    -P’Yongguk: จุนฮง

     

                เมื่อมีข้อความเข้ามาหน้าที่ของเจ้าของโทรศัพท์ก็คือออกไปดูหน้าห้อง เมื่อเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายนำมาวางไว้ก็ต้องแปลกใจ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อยๆ เพราะมันคือดอกทิวลิปสีแดงเช่นเดียวกับเมื่อวันก่อน มือบางของคนตัวเล็กค่อยๆหยิบพืชดอกขึ้นมาด้วยความทะนุถนอม สีของกลีบดอกที่ตัดกับสีของมือเล็กที่ถือมันไว้ ก่อนจะนำเข้าห้องมาและไปใส่ลงในแจกันเดิมที่มีดอกไม้ชนิดเดียวกันอยู่ภายใน สายตาคู่สวยจับจ้องด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งประหลาดใจ สงสัย และดีใจ...

                ดอกไม้เป็นตัวแทนของความรัก และจุนฮงไม่อยากคิดไปก่อนเองว่าคนที่ให้นั้นต้องการจะบอกอะไร...

     

     

     

    6 : 17 AM

    Saturday, March 29

    -P’Yongguk: รู้ความหมายของมันไหมครับ?

     

                ข้อความจากพี่ชายคนเดิมยังคงถูกส่งมาทุกวัน เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว และไม่มีเพียงสักครั้งเดียวที่ร่างเล็กจะตอบกลับ หากแต่คนๆนั้นก็ไม่เลิกล้มความตั้งใจ มีทั้งข้อความและสิ่งของที่ถูกส่งมาให้เขาไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ทั้งวางหน้าห้องและฝากคนอื่นมาให้

                ในวันนี้ก็เช่นกัน และเป็นของสิ่งเดิมที่ส่งมาซ้ำๆรวมสามครั้งแล้ว...

                ดอกทิวลิปสีแดง...

     

     

                ดอกไม้สีสดดอกที่สามถูกนำมาใส่ไว้ในแจกันภายในห้องนอนส่วนตัวเช่นเดียวที่ทำกับสองดอกก่อนหน้านี้ และในระหว่างที่กำลังจัดการกับดอกไม้พวกนี้อยู่นั้น พี่สาวแท้ๆก็เปิดประตูเข้ามาหา

     

    “เช้านี้จะกินอะไร?” สายตาของหญิงสาวกวาดมองไปเจอแจกันดอกไม้ที่ปกติไม่มีอะไรอยู่ภายใน แต่คราวนี้กลับมีดอกทิวลิปปักอยู่เสียอย่างนั้น ด้วยความสงสัยจึงเอ่ยถามน้องชายตัวดี

     

    “เอ๊ะ ทิวลิปสีแดงของใครน่ะจุนฮง?”

     

    “มันอยู่ห้องผม มันก็บอกอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่าต้องเป็นของผมน่ะ”

     

    “ใครให้มา? แกรู้ความหมายของมันหรือเปล่า?” พี่สาวเอ่ยพร้อมหยิบจับกลีบดอกของมันไปพลาง นิ้วเรียวสวยค่อยๆลูบเบาๆที่ดอกที่ดูสดใหม่ที่สุดในจำนวนสามดอกที่มีในแจกันบนหัวเตียงของน้องชาย ดอกไม้ที่ทั้งสวยงามและมีความหมายดึงดูดให้หญิงสาวหลงใหลอยู่สักครู่

     

    “ดอกทิวลิปสีแดงน่ะ หมายถึงความมั่นคงในความรัก ความจริงจังและจริงใจของคนให้ ความซื่อสัตย์ และรักจนหมดหัวใจ

     

    “ยิ่งจำนวนสามดอกแบบนี้ มันหมายความว่า ฉันรักคุณ...” หญิงสาวเว้นประโยคไว้ชั่วครู่อย่างคนใช้ความคิด นานะค่อนข้างมั่นใจในความหมายที่บอกไปกับน้องชายเพราะช่วงนี้เธอกำลังสนใจในเรื่องของดอกไม้อยู่พอดิบพอดี

     

    “ตกลงใครให้มา ห๊า!” พี่สาวเอ่ยเสียงดัง เรียกให้จุนฮงที่ตกอยู่ในภวังค์หลังจากประโยคล่าสุดที่เธอเอ่ยบอก

     

    “ฮ้ะ!? อ๋อออออ! พี่...พี่รหัส! พี่รหัสให้มา!” ท่าทางเลิกลั่กของคนเป็นน้องทำให้สาวสวยอดไม่ได้ที่จะสงสัยและจ้องมองด้วยสายตาจับผิด

     

    “ใช่หรอ? ดอกไม้ที่มีความหมายขนาดนี้เนี่ยนะพี่รหัสให้มา” กล่าวซักไซ้อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน เธอไม่คิดว่านี่คือสิ่งที่พี่รหัสจะให้น้องรหัส เพราะในเมื่อตนก็ผ่านประสบการณ์นี้มาก่อน ไม่มีพี่รหัสคนไหนเทคน้องรหัสด้วยดอกไม้ที่มีความหมายลึกซึ้งขนาดนี้

     

    “พี่เขาอาจจะไม่รู้ความหมายของมันก็ได้ คงให้เพราะมันสวยแค่นั้นแหละ พี่จะคิดอะไรมากมายเนี่ย” จุนฮงรีบกล่าวตัดบทก่อนจะดันให้พี่สาวเดินออกจากห้องมาพร้อมกัน

     

    มั่นคงในความรัก ความจริงจังและจริงใจของผู้ให้ ความซื่อสัตย์และรักอย่างหมดหัวใจ

    จำนวนสามดอกที่หมายความว่า ฉันรักคุณ...

     

    พี่ให้ผมเพราะรู้ความหมายของมันใช่ไหมครับ? พี่ยงกุก...

     

     

     

    Wednesday, April 2

     

    ภายในสถานที่ที่ถูกเรียกว่าบ้านของสองพี่น้องตระกูลชเว มีพี่สาวและน้องชายกำลังช่วยกันเตรียมมื้อเย็นสำหรับคนสามคนอยู่ วันพุธกลางสัปดาห์เช่นนี้ที่ชายคนสำคัญของสาวสวยจะแวะเข้ามาร่วมมื้อเย็นก่อนเข้าเวรที่วอร์ดคนไข้ตลอดคืน

     

    “อีกสิบนาทีหมอจะถึงแล้วนะ รีบๆหน่อยสิจุนฮง!

     

    “ก็รีบอยู่นี่ไง ก็พี่นั่นแหละมัวแต่โอ้เอ้น่ะพี่นานะ!

     

    “เอ๊ะ! อย่ามาว่าฉันนะ! แกนั่นแหละมัวแต่ไปเปลี่ยนน้ำดอกทิวลิปในห้องน่ะ!

     

    เด็กหนุ่มชะงักเมื่อได้ยินพี่สาวเอ่ยถึงดอกไม้ที่แสนสำคัญและมีความหมายนั้น ซึ่งหลังจากวันนั้นจุนฮงก็ไม่เคยได้ดอกทิวลิปเพิ่มจากสามดอกนั้นอีกเลย...

    คนที่มอบดอกไม้เหล่านั้นมา ตั้งใจจะให้ทั้งความหมายของตัวดอกไม้และความหมายในจำนวนของมัน...

    หัวใจที่อ่อนแอยากจะกลับไปเข้มแข็ง ยิ่งตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็ยิ่งทำให้จุนฮงตกลงไปในหลุมนั้นอีกครั้ง หลุมที่บังยงกุกขุดเอาไว้...

     

    ร่างบางตัดสินใจที่จะบอกความจริงทั้งหมดกับพี่สาว เพื่อให้เธอเข้าใจ และยอมให้ตนได้รักคนที่รักอย่างหมดหัวใจเสียที...

     

    “พี่นานะ จริงๆแล้ว ดอกทิวลิปพวกนั้นน่ะ...”

     

    “พี่ยงกุกเป็นคนให้...”

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนเป็นพี่สาวถึงกับหยุดชะงักในสิ่งที่กระทำอยู่และหันมามองหน้าคนเป็นน้องทันที ดวงตาคมสวยจ้องเข้าไปในตาของร่างบางที่ตัวสูงกว่าเพื่อค้นหาความจริง ได้แค่หวัง หวังว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเพียงเรื่องโกหก...

    แต่ความหนักแน่นและจริงจังที่เธอมองเห็นมันเป็นคำตอบที่แสนชัดเจนว่านี่คือความจริง... แน่นอนว่าการที่จุนฮงยอมพูดกับพี่สาวแบบนี้มันคือการสื่อความหมายอะไรบางอย่าง

    และเหมือนความหมายนั้นคือการที่ขอให้ยอมรับความรักที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆของน้องชายตัวเอง...

     

    “พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกรักคนแบบนั้น ทำไมถึงไม่เชื่อพี่บ้าง”

     

    “แล้วทำไมพี่ถึงไม่เปิดใจยอมรับพี่ยงกุกบ้างล่ะ” ความข้องใจของคนเป็นน้องที่ถูกเอ่ยถามออกมา และคนเป็นพี่ก็มีเพียงเหตุผลเดียวคือรัก...

     

    “มันทำให้แกเจ็บ ฉันไม่อยากให้มันมาทำร้ายแกอีกนะจุนฮง” พี่สาวเอ่ยเสียงเรียบ ไร้ซึ่งอารมณ์โกรธใดๆเข้ามาเจือปน มือเพียงความรัก ความห่วงใยและความหวังดีเท่านั้น

     

    “หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาก็ทำให้ผมเห็นแล้วว่าเขารักผมจริงๆ” จุนฮงพูดด้วยความมั่นใจที่เปี่ยมล้นจนคนได้ยินยังอดใจหายไม่ได้

     

    “ถึงมันจะรักแก แล้วฉันจะเอาความไว้ใจจากไหนให้มันดูแลแก จะเอาความเชื่อใจที่ไหนฝากแกไว้กับมัน” คนที่รักน้องมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงห่วงใยและหวงความรู้สึก ไม่อยากให้จุนฮงต้องเศร้าเสียใจ ไม่อยากให้น้องร้องไห้ ไม่อยากเห็นน้ำตาของเด็กหนุ่มที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เหมือนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆสำหรับเธอ

     

    “ผมว่าแล้วว่าพี่ต้องเป็นแบบนี้ แต่พี่จะให้ผมทำยังไงในเมื่อผมรักเขา” แววตาที่มั่นคงและน้ำเสียงที่หนักแน่นเป็นตัวยืนยันความรู้สึกทั้งหมดที่คนตัวเล็กมีได้อย่างดี

     

    “ค่อยคุยกันนะพี่นานะ” จุนฮงพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะทิ้งคนเป็นพี่ไว้คนเดียว ส่วนตัวเองเดินเข้าห้องนอนไป

    เด็กหนุ่มพยายามหลีกเลี่ยงการถกเถียงระหว่างพี่สาวแท้ๆ จีงเลือกที่จะเข้ามาอยู่เงียบๆคนเดียวภายในห้องของตน ความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณยิ่งทำให้รู้สึกเคว้างคว้างเหลือเกิน ความคิดมากมายเหมือนกับเสียงที่กำลังดังก้องอยู่ภายในความรู้สึก

     

     

    ด้านนอกนั้น เมื่อจุนฮงเดินหนีเข้าห้องไป เธอเองก็ไม่ตาม พี่สาวทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง เธอไม่มีสิทธิ์จะห้ามปรามน้องเลยใช่ไหม ความรักความห่วงใยที่เธอมีช่วยเหลืออะไรจุนฮงไม่ได้เลยหรือ...

    เสียงเปิดประตูที่บอกการมาถึงของใครอีกคน ทำให้สาวสวยที่นั่งอยู่รู้สึกราวกับมีที่พึ่งพิง

    ขอบคุณเหลือเกินที่อี้ฟานเลือกเดินเข้ามาในชีวิตของเธอ...

     

    “จุนฮงรักมันมากจริงๆนะคริส” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเบาๆเมื่อเห็นแฟนหนุ่มเดินเข้ามาหา อี้ฟานนั่งลงข้างๆกันและโอบกอดร่างเล็กของหญิงสาวไว้ด้วยความรัก

     

    “ฉันควรทำยังไงดี ฉันต้องทำยังไงต่อไปหรอคริส” น้ำตาแห่งความห่วงใยและความอึดอัดของคนที่ไร้ซึ่งทางออกกำลังไหลรินจากดวงตาสวยคม หมอฝึกหัดที่เพิ่งมาถึงทำได้เพียงแค่กระชับกอดแฟนสาวและคอยซับน้ำตาออกจากดวงหน้า

     

    “อย่าร้องไห้สิ”

     

    “จุนฮงโตแล้ว ลองให้โอกาสน้องได้เลือกเองดูสักครั้งนะ”

     

    “นานะจำตอนนั้นได้ไหมว่าจุนฮงเป็นหนักแค่ไหน” ร่างสูงโปร่งเอ่ยถามกับหญิงสาวในอ้อมกอด ฝ่ามืออุ่นยังคงคอยเช็ดน้ำตาให้และลูบหัวคนรักเพื่อปลอบประโลม

     

    “จำได้สิ! และเพราะว่ายังจำได้ดีนี่แหละถึงไม่ยอม!” ความอึดอัดใจทำให้เสียงหวานต้องดังขึ้นอีกครั้ง

     

    “แต่ลองมองอีกมุมสิครับ ตอนนี้จุนฮงรักยงกุกมากกว่าตอนนั้นเสียอีก แล้วถ้าเรายังห้ามน้องอยู่ น้องจะเป็นหนักกว่านั้นอีกกี่เท่าล่ะ” เสียงนุ่มทุ้มค่อยๆอธิบายให้คนรักยอมให้โอกาสกับจุนฮงและยงกุก ไม่ปฏิเสธว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากให้จุนฮงคบกับคนๆนี้ แต่เรื่องหัวใจ เขาไม่สามารถห้ามใครได้จริงๆ... และตัวเขาเองก็ไม่อยากต้องรักษาอาการเจ็บป่วยทั้งทางกายและทางใจของเด็กผู้ชายคนนี้อีกครั้งแล้ว เพราะความทุกข์โศกนั้นมันหนักหนาและทรมาณสำหรับคนๆหนึ่งมากจริงๆ

     

    “ไม่ต้องยอมรับก็ได้ เพียงแค่ให้โอกาสเขาทั้งสองคนก็พอแล้วนะ” อี้ฟานมองเข้าไปในดวงตาของผู้หญิงตรงหน้า ผู้หญิงที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบของเขา มือหนาค่อยๆเกลี่ยน้ำตาที่ไม่ควรอยู่บนหน้าสวยออก

     

    “ฉันจะพยายาม” นานะปาดน้ำตาออกเองอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆยกยิ้มให้คนรักเพื่อความสบายใจ รู้ดีว่าการร้องไห้อย่างนี้ต้องทำให้คริสรู้สึกไม่ดีมากแน่ๆ

     

    อี้ฟานค่อยๆประคองนานะให้ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โซฟาริมหน้าต่าง ก่อนชายหนุ่มจะลุกเดินไปยังอีกห้องที่อยู่ภายใน

    ร่างสูงโปร่งของแพทย์หนุ่มมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนของน้องชาย มือหนาเคาะประตูเบาๆ

     

    “จุนฮงครับ พี่เขาไปนะ” เมื่อลองหมุนลูกบิดแล้วพบว่าห้องไม่ได้ล็อคจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปเองโดยไม่รอคำอนุญาตของเจ้าของ

     

    บนเตียงใหญ่ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผิวขาวจัดที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง ดวงตาเศร้าสร้อเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง

    แรงยวบข้างๆเรียกให้ร่างเล็กต้องหันมามอง ก่อนจะพบว่าเป็นพี่หมอที่นั่งลงมาบนเตียงข้างๆเขา

     

    “ถึงแม้นานะจะยังไม่ยอมรับเราทั้งสองคน แต่อย่างน้อยพี่สาวเราเขาก็ให้โอกาสแล้วนะ” พี่ชายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าจุนฮงมีสติกลับมาแล้ว

     

    “ลองทำตามหัวใจตัวเองดูสักครั้งนะครับ พี่เชื่อว่าคราวนี้ทุกอย่างต้องดีแน่ๆ” รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของพี่หมอช่วยคลายความตึงเครียดของจุนฮงได้มาก ร่างขาวโผเข้ากอดคนเป็นพี่ชายไว้ด้วยความรู้สึกขอบคุณ ขอบคุณที่เข้ามาดูแลชีวิตพี่สาวแท้ๆของตน ขอบคุณที่ช่วยทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี

     

    “ขอบคุณนะพี่หมอ” มือหนายกขึ้นลูบหัวทุยเบาๆด้วยความรัก จุนฮงเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ และชีวิตน้องชายคนนี้ต้องทุกข์ทนมามากพอแล้ว...

     

     

    สำหรับชเวจุนฮงกับตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา แม้จะต้องเจ็บปวด เสียใจ ร้องไห้มากมายแค่ไหน แต่ความรู้สึกที่มีให้ใครอีกคนก็ไม่เคยลดน้อยลงไปเสียที... เมื่อรักไปแล้ว มันก็ยากที่จะแปรเปลี่ยน... ไม่เคยหมดรัก เพียงแต่ไม่พร้อมจะรัก จนมาถึงวันนี้ วันที่พร้อมจะก้าวผ่านทุกอย่างไปพบกับความสุขที่รออยู่ข้างหน้า...

     

     

    สำหรับบังยงกุกกับหนึ่งเดือนเต็มของการเฝ้ารอ หนึ่งเดือนเต็มที่ทุ่มเทและพยายาม พยายามให้จุนฮงรัก... และเขาก็จะไม่ท้อถอย แม้ว่าจะผ่านไปอีกสักกี่เดือนหรือนานนับปี ร่างสูงก็พร้อมที่จะวิ่งตามคนที่เป็นดั่งหัวใจ จนกว่าคนที่วิ่งอยู่ข้างหน้านั้นจะหันกลับมาหา และมาเดินเคียงข้างกันเสียที...

     

     

     

    Friday, April 4

     

    ขาเรียวกำลังก้าวออกจากประตูห้องห้าศูนย์แปดเพื่อไปหาใครคนนั้น มือเล็กกุมก้านดอกไม้ที่เตรียมมาไว้แน่นเพื่อลดความประหม่า สายตาคู่สวยจับจ้องไปยังบานประตูของห้องถัดไป จุนฮงค่อยๆย่างก้าวด้วยความหนักแน่นจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องแห่งความทรงจำที่สวยงามของวันวาน

     

    ความรู้สึกมากมายไหลเวียนอยู่ในจิตใจของชเวจุนฮง...

    วันที่มีความสุข วันที่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอยู่ภายในห้องเบื้องหน้านี้

    วันที่ความรู้สึกแปรเปลี่ยนไป วันที่เริ่มหวั่นไหวกับทุกการกระทำของอีกฝ่าย

    วันที่ความอบอุ่นที่บังยงกุกเคยมอบให้ ไม่อบอุ่นเหมือนอย่างเคย วันที่ความเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่ยากจะยอมรับ

    วันที่เศร้าเสียใจ วันที่น้ำตาต้องไหลริน...

    และวันนี้... วันที่น้ำตาจะเหือดแห้งหายไป วันที่จะได้รักใครด้วยหัวใจทั้งหมดที่มี

    วันที่ความรู้สึกจะถูกเติมเต็ม...

     

    ฝ่ามือเรียวค่อยๆยกขึ้น ง้างเตรียมจะเคาะบานประตูตรงหน้า แต่สิ่งที่เปรียบเหมือนกำแพงซึ่งกั้นคนทั้งสองถูกเปิดออกเสียก่อน ร่างแกร่งที่อยู่อีกฝั่งของประตูดึงคนอายุน้อยกว่าเข้ามากอดไว้แน่น

    แม้ว่าคนตัวเล็กจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่จุนฮงก็ค่อยๆยกมือขึ้นกอดตอบคนที่อายุมากกว่า ซบหน้าลงกับแผ่นอกอุ่นที่เฝ้าคิดถึง...

     

                “คิดถึง คิดถึงมากจริงๆ” คนตัวสูงพึมพำออกมาขณะที่อ้อมแขนแกร่งยังคงไม่ปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสระ จนแขนเล็กตีเบาๆที่แผ่นหลังกว้างเป็นเชิงให้ปล่อย

                เมื่อคนตัวโตคลายอ้อมกอด ร่างเล็กก็ยื่นดอกไม้ให้ร่างสูง แทนคำพูดทั้งหมดที่ต้องการจะเอ่ยบอก

     

                “ดอกทิวลิปสีชมพู...” เสียงเข้มดังขึ้นก่อนมือหยาบจะรับดอกไม้นั้นไว้ มือเล็กยกขึ้นจับมือใหญ่ของคนอายุมากกว่าไว้แน่น สายตาคู่สวยที่จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคมด้วยความจริงใจ ก่อนเสียงใสจะเอ่ยขึ้นมาว่า

     

    “แล้วพี่รู้ความหมายของมันไหม?”

     

    “ความหมายของดอกทิวลิปสีชมพูก็คือ ความสดใส ความสุขสมหวัง ความรักที่ลึกซึ้ง และความคิดถึง...”

     

                “จำได้ไหม ที่ผมบอกพี่ว่ามันอาจจะสายไปที่กลับมาหาผม ขอโทษผม...”

     

    “แต่ผมจะบอกให้ว่าแค่สามเดือนมันไม่นานไปหรอกกับการที่จะลืมใครสักคน ...แค่สามเดือนคิดว่าผมจะลืมพี่ได้หรอ คิดว่าจะทำให้หยุดรักใครสักคนได้หรอ?”

     

     

    “...เวลาแค่นั้นทำไม่ได้หรอกนะครับ...”

     

     

    “แต่ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา พี่คงไม่รู้หรอกว่าผมต้องอดทนแค่ไหน พยายามจะเข้มแข็งขนาดไหนพยายามจะลืมและเลิกรักพี่มากเท่าไหร่...”

     

     

    “...แต่สุดท้ายวันนี้พี่ก็ทำมันพังหมดแล้ว“ เสียงใสสั่นเครือ หากแต่ไร้ซึ่งหยดน้ำตา ดวงตาสวยหันกลับมาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างมั่นคงไร้ซึ่งความหวั่นใจใดๆ

     

    หากร่างเล็กกล้าที่จะพูดความรู้สึกนึกคิดของตัวเองออกไปขนาดนี้ เขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกแล้ว...

     

     

    “ถ้าลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องลืมหรอกนะ แต่เลิกเจ็บปวดแล้วสนใจแค่ตอนนี้ได้ไหม คนที่ควรจะเจ็บคือพี่ ไม่ใช่เรา...”

     

    “...ขอให้พี่ได้แก้ไขในสิ่งที่พี่ทำพลาดไป ขอโอกาสให้พี่ได้รักคนที่พี่รักจริงๆได้ไหมครับ”

     

    ฝ่ามืออุ่นของคนอายุมากกว่าค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายกอบกุมมือขาวที่เย็นเฉียบของจุนฮงเอาไว้ สายตาที่หนักแน่นและจริงจังจนรู้สึกได้ทำให้หัวใจของคนที่มองอ่อนยวบ

     

     

    “ถ้าผมให้โอกาส แล้วผมจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าพี่จะไม่ทำให้ผมต้องเสียใจเหมือนที่ผ่านมา” แม้จะไม่กลัวที่จะสารภาพความจริงของความรู้สึก แต่จุนฮงก็ยังคงกลัวกับการที่จะรักใครจนหมดหัวใจและสุดท้ายก็กลับมาทำร้ายตนจนเจ็บเจียนตาย

     

     

    “พี่ขอแค่ให้ได้แก้ไขสิ่งที่พี่ทำผิดไป ได้ไหมครับ แค่เชื่อใจพี่สักครั้ง” บังยงกุกแทบจะยอมคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนคนตรงหน้า เมื่อรู้หัวใจตัวเองชัดเจนแล้วก็ไม่อยากจะเสียคนที่ตนรักไปอีกครั้ง...

     

     

    “กี่สิบครั้งก็ได้... เพราะจุนฮงเป็นคนโง่ โง่ที่รักตัวเองไม่ได้สักที... โง่ที่รักแค่พี่ยงกุกมาตลอด...” ประโยคที่ดังขึ้นทำให้คนได้ยินต้องโผเข้ากอดคนที่เอ่ยออกมาอีกครั้ง

     

    “นับจากนี้ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว พี่จะไม่ทำให้จุนฮงเสียใจแบบที่ผ่านมาอีกแล้วจริงๆ จะไม่ทำให้ผิดหวังอีกแล้วครับ”

    “ไว้ใจพี่นะครับ พี่จะรักเราให้ดีที่สุด จะรักและดูแลไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็ตาม” อ้อมกอดแสนอบอุ่นที่เฝ้าคิดถึงกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่ตรงกันช่วยเติมใจให้เต็ม

     

    ความรักที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ก็เปรียบเหมือนกับใบไม้ที่เพิ่งผลิใบ แน่นอนว่าเมื่อผ่านไปในทุกฤดูก็ย่อมมีปัญหาและอุปสรรค แต่คนทั้งสองจะไม่กลัว และจะก้าวผ่านมันไปอย่างมั่นคง

     

    ความรักที่เส้นทางไม่ได้สวยงามแต่ทั้งสองก็ผ่านมันมาได้ นี่คงเป็นตัวพิสูจน์ความรู้สึกของคนทั้งคู่ หากวันข้างหน้าแม้จะเจอใครที่ดีกว่านี้ก็จะไม่เสียใจ เพราะนี่คือสิ่งที่ตนเลือก และรอคอยมาแสนนาน...

     

     
     

    -THE END-








    wahneun:
    จบแล้วค่า TT_________________TT
    ใจหายอ่ะ ยังไม่อยากจบเลย แต่มันก็สุดแล้ว ครบทั้งสี่ฤดูแล้วเนอะ TAT
    และไม่คิดว่าใบไม้ผลิจะยาวขนาดเนนนนนน้ ;-;
    จะว่าขี้เกียจก็ได้ค่ะน้อมรับเลย พูดไรไว้จะอัพตอนนี้ๆก็ทำไม่ได้ตลอดเลย พูดไปก็แก้ตัวอ่ะ TT^TT
    ตอนที่มันยังไม่เสร็จ ยังแค่เพิ่งร่างโครงเรื่องก็อยากให้มันเสร็จๆจบๆสักที
    แต่พอมันจบจริงๆก็แบบ โหทำมาตั้งเยอะอ่ะ ใจหายเลยนะ 5555555555 
    ยังไม่อยากบอกปิดโปรเจคเลย แต่มันก็คิดมาแค่นี้แหละค่ะ TT^TT
    นี่แอบมารีไรท์สวีทซัมเมอร์ไปนะคะ งานไม่ดีเลย ว่างๆไปอ่านใหม่ได้ค่ะ 55555555555
    รักทุกคนเยยยย รักปังเจล รักคนอ่าน รักทุกกำลังใจที่ให้กัน
    อยากให้ทุกคนรักโปรเจคนี้เหมือนที่เรารัก ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนครบสี่ฤดูค่ะ รัก 
     
     
    ปล.ถามอีกรอบ ถ้าจะรวมเล่ม สนใจกันปะคะ 5555555555555555555555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×