ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( B.A.P ) SF | BANGZELO SHOP ♡

    ลำดับตอนที่ #4 : THE SEASON: TORMENT WINTER III PART 1

    • อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 56


     
     
     

    Title: TORMENT WINTER

    Couple: BANGZELO ( Bang Youngguk x Choi Junhong )

    Status : 3 / 4

    Author: wahneun

    Type: SHORT FICTION ( PROJECT )

    Rate: PG

    BGM: 그리고 하나 (And One)

    ต้องฟังนะ! สักรอบ ก่อนอ่าน TT _ TT

     

    Note:  

    มันยาวมากๆเลยค่ะ ไม่อยากตัดตอนก็เลยมาโบ้มเดียวเลย TT^TT

    ขอความกรุณา ค่อยๆอ่านด้วยความใจเย็นนะคะ

    ทำธุระทุกอย่างให้เสร็จก่อนเพราะน่าจะใช้เวลานานพอสมควรกับฟิคเรื่องนี้

     

    ฤดูหนาว เดือนธันวาคม เดือนกุมภาพันธ์

    อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 5 - 10 องศาเซลเซียส ต่ำสุดคือขั้นอากาศติดลบค่ะ อากาศหนาวและแห้ง

     

     

    --------------------------------------------------------------

     

                เข้าฤดูหนาว อากาศที่หนาวเย็นจนทำให้ปวดไปถึงกระดูก ทุกอย่างรอบกายเย็นยะเยือกไปหมด หนาวจนทรมานอย่างสุดจะทน ไม่รู้จะหลีกเลี่ยงมันอย่างไร เพราะความหนาวสามารถเข้ามาหาเราได้ทุกทิศทาง . . .

     

                ฤดูที่ผมไม่ชอบที่สุดผ่านเข้ามาอีกแล้ว นี่นับเป็นฤดูหนาวที่สามแล้วที่ผ่านมาระหว่างที่ผมรู้จักกับพี่ยงกุก แต่นี่เป็นฤดูหนาวแรกที่ผมรู้สึกว่าความหนาวนั้น ทำร้ายผมเหลือเกิน . . .

     

    ชเวจุนฮงโตพอที่จะต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเองให้มาก ต้องตั้งใจกับอนาคตที่ตัวเองตัดสินใจเลือกไว้ ต้องเข้มแข็งพอที่จะฟันฝ่าช่วงเวลาที่แสนกดดันและยากลำบากนี้ไปให้ได้ ช่วงเวลาที่ใกล้จะจบมอปลายปีสาม และการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม้ว่าเขาจะเตรียมตัวมาตั้งแต่ช่วงปีสองก็ตาม แต่มันก็อดจะกังวลไม่ได้เมื่อคิดถึงอนาคตของตัวเองที่ขึ้นอยู่กับคะแนนในกระดาษคำตอบของข้อสอบคัดเลือกเหล่านั้น

     

    จุนฮงไม่ชอบฤดูหนาว เหตุเพราะตัวเองเป็นคนขี้หนาวและอ่อนแอ ช่วงปลายปีแบบนี้จะต้องป่วยแทบทุกครั้งไป ในตอนเด็กๆก็จะมีครอบครัวคอยดูแลอยู่ไม่ขาด มีพ่อและแม่ จุนฮงเคยบอกไปหรือยังว่าตัวเองก็มีพี่สาวแท้ๆที่อายุห่างกันห้าปีอย่างพี่นานะ

    พี่นานะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยหญิงล้วนแห่งหนึ่ง ปัจจุบันทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ในบริษัทที่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่นัก คนเป็นพี่สาวจึงอยู่ที่บ้านคอยดูแลพ่อแม่ และคอยดูแลน้องชายอย่างเขาอยู่ห่างๆ...จะว่าไปก็คิดถึงเหลือเกิน สิ่งที่เรียกว่าครอบครัว...

     อากาศหนาวจัดอย่างนี้ ถ้าได้กลับบ้านไปหาบ้างก็คงดีไม่น้อย แต่ชีวิตของคนร่างบางดูจะวุ่นวายไปเสียหมด เวลาจะดูแลตัวเองยังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำไป...

     

                ส่วนพี่ชายห้องข้างๆ. . .

    . . .แทบจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ส่วนหนึ่งมันก็เพราะว่าเป็นจุนฮงเองที่ชีวิตยังไม่ค่อยลงตัวกับการศึกษาและไม่มีเวลามากพอจะมาสนใจอะไร แต่ใจของร่างบางรู้ดี เหตุผลที่สำคัญที่สุด...

    บังยงกุกคนนั้น ไม่ใช่พี่ยงกุกของเขาอีกต่อไปแล้ว...

     

    พี่ชายคนนี้อาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าที่คอนโดของตัวเอง ยังมีเด็กมอปลายคนเดิมคอยอยู่ทุกวัน รอให้มาใช้เวลาร่วมกันอย่างที่เคยทำ คนที่สนิทกันถึงขนาดที่แต่ละคนมีคีย์การ์ดสำหรับผ่านเข้าออกห้องของอีกคนได้ง่ายๆ

    ชเวจุนฮงคนนี้น่ะ...

     

    ตอนช่วงแรกที่พี่ชายคนสนิทก้าวเข้าสู่ชั้นปีที่สามของการศึกษาในมหาวิทยาลัย จุนฮงเองก็พยายามเข้าใจว่าคงเพราะระดับที่สูงขึ้น จึงทำให้การเรียนการสอนเข้มข้นขึ้น คงจะต้องมีสังคมของมหาวิทยาลัยที่ซึ่งไม่มีเด็กมัธยมอย่างเขาอยู่ในนั้น

    แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ดีๆที่เคยมีให้กันก็ยิ่งถูกละเลย ทั้งๆสถานที่ที่คนเป็นน้องจะสามารถเจอกับพี่ชายได้ก็คือที่พักอาศัยของตัวเอง แต่มันช่างดูห่างไกลเหลือเกิน . . .

     

    จนกระทั่งมารู้ว่า ถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้อยู่ร่วมคณะเดียวกันแต่พี่ยงกุกกับพี่ฮิมชานก็สนิทกันมาก เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ร่วมกัน ทั้งไปนอนหอของอีกฝ่าย ในขณะที่มีห้องชุดสุดหรูในคอนโดเป็นของตัวเอง น้อยครั้งที่พี่ชายเจ้าของห้องจะกลับมา แต่เด็กหนุ่มก็ไม่เคยมีโอกาสได้ทักทายหรือพูดคุยกับคนที่ตนรอคอยเลย บังยงกุก ทำเหมือนกับว่าคนๆนี้เป็นแค่ธาตุอากาศลอยผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเพียงเท่านั้น ในสายตาของพี่เขา คงมองไม่เห็นจุนฮง....

     

    และสิ่งเลวร้ายที่สุดที่รู้ คือการที่เพื่อนสนิทของชายหนุ่ม ได้นำพาหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในชีวิต อาจจะหวังให้คนที่ดูไร้หัวใจมีความรักบ้าง หรือไม่ก็คงหวังให้ผู้หญิงคนนั้นลงเอยด้วยดีกับพี่ยงกุก ซึ่งมันทำให้คนตัวขาวนึกโกรธแค้นได้ไม่น้อยเลย แต่เวลาที่บังเอิญพบกัน พี่ฮิมชานก็มักจะทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง และส่งยิ้มที่เป็นมิตรมาให้เสมอ พี่ฮิมชานคงไม่เคยจะคิดร้ายกับใคร แต่ก็คงไม่รู้ว่าความหวังดีบางอย่าง มันสามารถทำร้ายหัวใจของเด็กหนุ่มคนนี้ได้เช่นกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คนอายุน้อยกว่ารู้สึกไม่ดีกับคนๆนี้เอาเสียเลย

     

     

    ดวงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า แต่ที่สวนสาธารณะยังคงปรากฏร่างขาวๆที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ บรรยากาศรอบตัวแทบทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะ ต้นไม้ที่ดูเหมือนยืนต้นตาย ปราศจากใบและดูไร้ชีวิต พืชพรรณบางส่วนแห้งตายเพราะอุณหภูมิที่เย็นจัด

    ถนนหนทางเริ่มมีความสว่างจากแสงไฟข้างทาง ความเย็นยะเยือกแผ่มาปกคลุมมากขึ้น ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที เจ้าของผิวขาวดุจหิมะขยับแขนเข้ากอดร่างกายไว้หลวมๆ หวังเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับตัวเอง

     

    “หิมะอย่าตกเลยนะ” ใบหน้าขาวซีดเงยขึ้นพูดกับลมฟ้าอากาศ ยังไม่อยากขยับการไปไหน ร่างบางอยากนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าฟ้าจะมืดสนิท ให้สมองได้จัดการความคิดและเรื่องราวต่างๆที่เข้ามาพัวพันกันจนยุ่งเหยิง ให้ร่างกายได้ผ่อนคลายและเจ็บปวดจากลมหนาวไปในเวลาเดียวกัน...

     

    หูสองข้างใส่หูฟังจากไอพอดทัชเครื่องเก่าที่พี่สาวซื้อให้ก่อนจะเข้ามาอยู่ที่โซล เสียงเพลงที่เข้าสู่โสตประสาทมันช่างเข้ากับบรรยากาศที่เป็นอยู่เหลือเกิน ได้ยินแล้วมันรู้สึกหนาวเหน็บ เจ็บปวดไปทั้งหัวใจ. . .

    มือขาวถูไปมาเบาๆเพราะอากาศที่หนาวเย็น ก้มหน้าลงไปเป่าให้ลมหายใจอุ่นๆช่วยบรรเทา แล้วสอดมือข้างหนึ่งลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทสีแดงหม่นที่สวมอยู่ ก่อนจะทำให้นึกไปถึงวันแรกที่เขาได้โค้ทตัวนี้มาไว้ในครอบครอง

     

     

    “พี่ว่าโค้ทสีแดงหม่นๆตัวนี้เหมาะกับนายดี ซื้อเลยสิ” เสียงนุ่มทุ้มของร่างสูงเอ่ยขึ้น หลังจากที่ให้ร่างบางตรงหน้าสวมใส่โค้ทสีแดงตัวที่ว่า แล้วหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อดูความเหมาะสมของเครื่องแต่งกายที่ตนสะดุดตาตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

     

    “ไม่เอาหรอก นี่สิ้นเดือนแล้วนะ เงินหมดแล้ว” คนตัวบางว่าก่อนจะตีหน้าเศร้า ขณะที่ในใจจริงก็แอบชอบเจ้าโค้ทตัวนี้อยู่ไม่น้อยเลย

     

    “ที่บ้านส่งเงินมาให้ใช้เดือนละตั้งหลายแสนวอน ไม่รู้จักบริหารเงินเลย” พูดยิ้มๆ แล้วยกฝ่ามืออุ่นๆขึ้นขยี้เส้นผมอ่อนนุ่มของคนอายุน้อยกว่าเป็นเชิงหยอกล้อ รอยยิ้มที่มาจากใจ ดูอบอุ่นและมีความสุขในเวลาเดียวกัน รอยยิ้มที่ทำให้ความหนาวในหัวใจของคนตัวเล็กคลายลงได้อย่างง่ายดาย

     

    “โถ่พี่ แต่ผมก็อยากได้นะ นี่ก็จะเข้าหน้าหนาวแล้วด้วย” คนอายุน้อยพูดก่อนจะก้มหน้าซุกลงกับเสื้อโค้ทที่เพิ่งลองมา มือของคนเป็นพี่เอื้อมมาจับที่แขนบางแล้วดึงให้เดินไปบริเวณเคาท์เตอร์แคชเชียร์ด้วยกัน

     

    “เอาตัวนี้ครับ” เอ่ยเสียงทุ้มและส่งยิ้มหล่อๆไปให้พนักงานที่ยืนอยู่ ปลายนิ้วชี้ไปที่เสื้อโค้ทที่ร่างบางสวมอยู่ ล้วงมือหยิบกระเป๋าสตางค์ใบหรูขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีดที่สวมใส่ ก้มลงหยิบบัตรเครดิตสีดำแล้วส่งให้กับพนักงานที่รออยู่

     

    “เฮ้ย! นี่พี่ซื้อให้ผมหรอ? มันแพงนะ” เสียงหวานใสท้วงขึ้นมาทันทีที่เห็นพี่ชายตรงหน้าตวัดปากกาเซ็นชื่อลงในใบเสร็จ

     

    “รักษาดีๆก็แล้วกัน คิดซะว่าให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุครบสิบหก ของขวัญชิ้นแรกตั้งแต่รู้จักกัน” พูดแค่นั้นแล้วก็ยิ้มให้ร่างเล็กอีกครั้ง

    อีกแล้ว... รอยยิ้มนี้ รอยยิ้มที่จุนฮงเห็นแล้วอยากจะเก็บมันไว้แต่เพียงผู้เดียว รอยยิ้มที่อยากจะได้รับไปอีกนานเท่านาน

     

    처음 마주쳤던 그때 시간이 원망스러워 때도 있어요

    หลายต่อกลายครั้งที่ฉันนึกถึงตอนตอนที่เราพบกันครั้งแรก มีบางครั้งที่ฉันไม่พอใจ

    가끔은 이래요 그리움조차 허락 안되면 숨도 쉬면서

    แต่บางครั้งฉันก็ชอบช่วงเวลานั้น แม้มันจะทำให้ฉันไม่สามารถหายใจได้ เมื่อต้องฝืนตัวเองไม่ให้คิดถึงคุณ

     

     

    โค้ทตัวนี้... พี่ยงกุกเป็นคนซื้อให้เขาเมื่อฤดูหนาวแรกที่อยู่ด้วยกัน . . . ของขวัญวันเกิดชิ้นแรกจากผู้ชายที่ชื่อบังยงกุก . . .

     

    “ผมคิดถึงพี่มากนะ คิดถึงพี่ยงกุกคนเดิมคนนั้น” ก้มลงซุกหน้ากับเสื้อโค้ทอย่างที่ชอบทำ หลับตาซึมซับความหนาวเย็นที่แผ่มาปกคลุม มือและเท้าเริ่มชาเพราะความหนาวที่เริ่มทวีคูณ ความรู้สึกนึกคิดบอกกับเขาว่าควรกลับห้องได้แล้ว...

     

                ร่างบอบบางลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้สาธารณะที่ตนใช้นั่งพักพิงมานานพอสมควร สอดมือบางทั้งสองข้างลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท เสียงใสฮัมเพลงที่ฟังอยู่เบาๆแล้วเดินไปตามฟุตบาท

    สวนสาธารณะนี้เป็นที่ๆเขาและพี่ฮิมชานเจอกันครั้งแรก และสุดท้าย สิ่งที่เขากลัวก็เกิดขึ้นจริงๆ ...

     

    แม้ว่าที่ตั้งของสวนสาธารณะนี้จะอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ใกล้อย่างร้านกาแฟที่แค่เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึง อย่างน้อยคงต้องใช้เวลาเดินสักสิบห้าหรือยี่สิบนาที คนตัวบางเดินกอดตัวเองแน่นๆไล่ความหนาว แสงไฟตามทางที่ช่วยให้บรรยากาศไม่ได้น่ากลัวอะไรแม้ท้องฟ้าจะมืดมิดก็ตามที ถนนหนทางถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์ของหิมะและอากาศหนาวเย็นที่แสนจะน่ากลัว ร่างกายที่เริ่มสั่นระริกเพราะอุณภูมิที่ต่ำลงมาก ริมฝีปากบางที่สั่นจนเขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าตอนนี้มีคำพูดออกมาคงฟังไม่รู้เรื่องเป็นแน่ ความหนาวนี่มันช่างทรมานจริงๆ. . .

    แผ่นหลังเล็กยังคงสั่นสะท้าน จุนฮงได้แต่ยกมือขึ้นลูบแขนตัวเอง รีบก้าวเท้าให้ยาวขึ้นกว่านี้ เพราะอีกไม่นานเขาก็คงจะทนไม่ไหวแล้ว...

     

    รถสปอร์ตคันหรูคันหนึ่งขับชะลอลงใกล้ๆเด็กหนุ่ม หากแต่ร่างบางไม่รู้ตัว อาจจะเพราะเสียงเพลงที่ตัวเองฟังอยู่นั้นค่อนข้างดังจนกลบเสียงรอบข้างไปหมด มารู้ตัวอีกทีรถสปอร์ตสีขาวคันนั้นก็ขับผ่านหน้าเขาไปเสียแล้ว และคนตัวเล็กก็จำได้ดีว่านั่นคือรถของใคร ถึงแม้จะแค่ไม่กี่วินาที สายตาของคนอายุน้อยก็มองเห็นได้ดีว่าคนที่นั่งข้างคนขับนั้นคือใคร. . .

    แค่อากาศหนาวขนาดนี้ก็น่าจะทำร้ายผมได้มากพอแล้วไม่ใช่หรอ แล้วทำไมพี่ต้องมาทำร้ายผมแบบนี้ด้วยล่ะครับ พี่ยงกุก

     

     

     

     

    ภายในห้องโดยสารแคบๆของรถสปอร์ตคันงามมีเพียงเสียงเพลงที่เจ้าของรถเป็นคนเปิด ซึ่งคนที่ร่วมโดยสารมาด้วยก็ดูไม่ได้จะชอบฟังเท่าไหร่นัก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะคิมฮิมชานโดยสารรถของเพื่อนสนิทบ่อยจนชินกับเสียงเพลงประเภทนี้ไปแล้ว

     

    “เฮ้ยยงกุก! นั่นจุนฮงไม่ใช่หรอ?” เสียงเข้มของผู้ชายหน้าตาดีที่นั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับเอ่ยถามหลังจากเห็นร่างของเด็กผู้ชายตัวสูงที่กำลังเดินอยู่ริมทาง เสี้ยวนาทีหนึ่งที่คนตัวเล็กนั้นหันหน้ามา แม้ว่าที่เห็นจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของใบหน้าแต่เขาก็จำได้ทันทีว่านั่นคือเด็กชายข้างๆห้องของเพื่อนสนิท

     

    “ไม่ใช่หรอก เด็กนั่นไม่ออกมาในที่แบบนี้ เวลาแบบนี้ อากาศแบบนี้หรอก” ปากพูดไปสายตาก็ยังคงจับจ้องกับพื้นถนนตรงหน้า ไม่มีแม้แต่จะเหลือบมองไปดูตามคำพูดที่ได้ยิน

     

    “แต่กูมั่นใจว่าใช่นะเว้ย จริงๆ!” ไม่พูดเปล่า แขนยาวๆยังจะดึงใบหน้าของคนขับให้หันมาทางกระจกฝั่งของตน

     

                ปลายเท้าของร่างสูงถอนขึ้นจากคันเร่งเล็กน้อยเพื่อให้รถชะลอความเร็วลงเพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดอันตรายบนท้องถนนได้

    สิ่งที่ยงกุกเห็นคือแผ่นหลังสั่นๆของเด็กผู้ชายตัวสูงโปร่งคนหนึ่ง ใบหน้าคมชะงักไปชั่ววินาที... ร่างบอบบางที่ใส่เสื้อโค้ทสีแดงหม่นตัวนั้น. . .

     

     “เฮ้ยทำแบบนี้มันอันตรายนะเว้ย ถ้าใช่แล้วมันจะทำไมวะ ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือไง อย่าไปสนใจเลย รีบกลับคอนโดกูเหอะ หนาวจะแย่แล้ว” ร่างสูงหันใบหน้าให้พ้นจากการจับกุมของฮิมชาน ละสายตาออกมาจากคนนั้นๆแล้วกดเหยียบคันเร่งลงไปอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าสู่สถานที่พักอาศัยของตน

     

    มืดๆแบบนี้ อากาศหนาวขนาดนี้ จะออกมาเดินข้างนอกทำไมจุนฮง. . .

     

     

     

     

    ทันทีที่ถึงห้อง ผู้มาเยือนก็แทบจะหอบทุกอย่างที่อยู่ในตู้เย็นออกมาวางกองไว้ที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กข้างหน้าโทรทัศน์เครื่องใหญ่ ชี้นิ้วสั่งให้คนเป็นเจ้าของห้องไปเตรียมของมาแกล้มเหล้า จัดการเปิดช่องที่มีถ่ายทอดสดฟุตบอลแล้วนั่งเชียร์บอลอย่างสบายใจ พวกเขาเพิ่งสอบไฟนอลเทอมแรกเสร็จ ก็เลยอยากฉลองเบาๆพอหอมปากหอมคอ ก่อนที่วันพรุ่งนี้จะไปฉลองกันกับเพื่อนคนอื่นๆที่คณะใครคณะมัน

     

    “ไม่ชวนจีอึนมาด้วยวะ?” เสียงทุ้มถามขึ้นขณะที่กำลังเทเครื่องดื่มสีขาวใสที่ถูกบรรจุอยู่ในขวดสีเขียวลงแก้วใบเล็กแล้วส่งไปให้ผู้เป็นเจ้าของสถานที่

     

    “จะบ้าหรือไง นี่มากินเหล้า มาดูบอล ในห้องมีผู้ชายสองคนคือกูกับมึง ถ้าให้จีอึนมาเขาจะเสียหาย” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยพูดก่อนที่มือหนาจะยกแก้วโซจูกระดกเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว ภาพกีฬาในจอใหญ่ของโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าถูกเมินหลังจากคำถามที่เกี่ยวกับแฟนสาวถูกเอ่ยออกมาจากปากคนที่เป็นเพื่อนสนิท

     

    “แหมปกป้องจังเลยนะ” ส่งเสียงล้อเลียนกลายๆ ก่อนจะหยิบแก้วใสใบเล็กมาถือไว้ในมือ รอให้อีกฝ่ายรินแอลกอฮอล์ให้บ้าง

     

    “มึงไม่ใช่หรอที่เป็นคนพาให้เขามารู้จักกู เป็นพ่อสื่อ ทำทุกอย่าง” พูดจบฝ่ามือหนาก็รินเครื่องดื่มมึนเมาส่งให้อีกฝ่ายบ้าง เป็นการกระทำตามธรรมเนียมที่ต่างฝ่ายจะต้องผลัดรินเหล้าให้กัน

     

    “แล้วดาวคณะนิติศาสตร์ก็กลายเป็นผู้หญิงของบังยงกุก”

     

    “ใช้คำว่าแฟนเถอะว่ะ คำว่าผู้หญิงของกูมันลึกซึ้งเกินไป”

     

    “ถามจริงๆนะ สามเดือนที่คบกับจีอึน มึงรักเขาบ้างหรือเปล่า?”

    เป็นคำถามที่แทงใจคนตัวสูงได้ไม่น้อย เขาตอบไม่ได้จริงๆว่าความรู้สึกที่มีให้ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าแฟนของตัวเองนั้นคืออะไร

     

    “กู. . . ไม่รู้. . .” ตอบไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงนัก น้อยครั้งที่บังยงกุกจะมีอาการแบบนี้ จนฮิมชานยังอดแปลกใจไม่ได้ แต่ก็เพียงแค่ปล่อยผ่านไปเพราะไม่เห็นว่าจะดูเป็นเรื่องหนักหนา

     

    “กูรู้แค่จีอึนเป็นผู้หญิงที่ดี เพียบพร้อม ทั้งสวยทั้งฉลาดและฐานะ”

     

    “ซึ่งนั่นเหมาะสมกับมึงสุดๆ”

     

    “คนที่จะคิดว่าใครเหมาะสมคือตัวกูเองฮิมชาน” พูดแล้วก็คว้าขวดโซจูที่เปิดอยู่มากระดกเข้าไปอึกใหญ่

     

    “เฮ้ยเบาๆ! เดี๋ยวก็เมาหัวทิ่ม” ร่างที่สูงพอๆกันรีบเอื้อมมือไปคว้าขวดแก้วสีเขียวใสกลับมา แต่บังยงกุกก็ถดมือหนี ทำให้คิมฮิมชานไม่สามารถนำขวดเครื่องดื่มกลับมาได้

     

    “เมาก็เมาสิวะ” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวอะไร แล้วซดของมึนเมาเข้าไปอีกครั้ง

     

    “เออเอา เอาให้เมา เอาให้ตาย” ฮิมชานเองก็ไม่ยอมแพ้ เมื่อเห็นร่างสูงที่นั่งข้างๆเหม่อลอย ก็รีบคว้าขวดสีเขียวจากมือมาดื่มบ้าง

     

    “ทำไมต้องแย่งกูวะ มีอีกตั้งหลายขวด” คนเป็นเจ้าของห้องชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยที่โดนแย่งเครื่องดื่มไปจากมือของตน แต่ก็หยิบขวดโซจูขวดใหม่มาเปิดแทนขวดเก่าที่อยู่ในมือของฮิมชาน

     

    “เออน่า เออแล้วมึงกับน้องจุนฮงนี่เดี๋ยวนี้ไม่สนิทกันแล้วหรอวะ เห็นเมื่อก่อนนี่สนิทกันมากเลยนะ”

    บางทีฮิมชานอาจจะไม่รู้ ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรพูด. . .

     

    “อย่าพูดถึงเด็กนั่นเลยกูขอร้อง”

    เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้สำหรับจุนฮง เขาอยู่ในฐานะอะไร พี่ชายข้างห้องที่สนิทกัน หรือแค่คนข้างห้องที่เคยรู้จักกัน . . .

    เขายอมรับว่าเขาเองที่ไม่มีเวลามาคุยมาเล่นกับจุนฮงเหมือนเมื่อก่อน และเพราะแบบนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงถดถอยลงไปเรื่อยๆ จนอาจจะเหลือแค่ความทรงจำ. . .

     

                ฮิมชานไม่พูดอะไรต่อ และยงกุกเองก็เลือกที่จะรินโซจูแทนการดื่มจากขวดแบบที่ทำก่อนหน้านี้ ทั้งสองพูดคุยกันหลายๆเรื่องตามประสาผู้ชาย ฮิมชานเองก็ตั้งใจจะมานอนที่นี่อยู่แล้วจึงไม่มีลิมิตตัวเองว่าเมาเท่าไหร่ถึงจะพอ ก็แค่ดื่ม คุย และดูฟุตบอลที่ถ่ายทอดสดอยู่เป็นระยะเท่านั้น

     

     

     

     

    ในห้องภายใต้อาคารหรูบัดนี้ปรากฏร่างของเจ้าของห้องตัวขาวนั่งขดตัวอยู่ที่โซฟาริมหน้าต่าง เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วที่ร่างบางกลับมาจากการออกไปข้างนอก รอบกายของเด็กหนุ่มมีทั้งเสื้อโค้ทตัวโปรดที่ชื้นเล็กน้อยจากหิมะตามทาง ผ้าห่มผืนบางที่เคยนำมาร่างกายคลุมเวลาที่อากาศหนาวเย็น เสื้อสเวตเตอร์ที่สวมใส่อยู่หนึ่งตัว และยังจะเสื้อด้านในอีกสามชั้นอีกต่างหาก

    แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า...

    .. หนาว ..

     

    ภายในห้องมีฮีตเตอร์ที่เคยทำงานได้ดีในตลอดสามปีที่ผ่านมา แต่เหมือนกับว่าเขาจะใช้งานมันหนักเกินไปหน่อย ตอนนี้เครื่องทำความร้อนหนึ่งเดียวที่มีภายในห้องจึงดูทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น

     

    Rrrrrrrrr

     

    เจ้าของโทรศัพท์ไม่รอให้เสียงเรียกเข้าดังอยู่นานนักจึงหยิบมากดรับ สายตายังไม่ทันได้มองด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนโทรมา

     

    “ฮัลโหล..ครับ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นตอบรับกับคนปลายสายที่โทรเข้ามา

     

      “เป็นไงบ้าง วันนี้กินอะไรหรือยัง?”   เสียงหวานๆที่คุ้นเคยดังขึ้นจากคู่สนทนา ซึ่งสามารถเรียกรอยยิ้มจากเด็กหนุ่มได้ไม่ยากนัก...

    เพราะสิ่งที่ได้ยินคือเสียงพี่สาวของเขาเอง...

     

    “พี่นานะหรอ!” น้ำเสียงของร่างบางที่ดูตื่นตกใจไม่น้อยทำเอาคนที่โทรมาประหลาดใจ

     

    “ก็พี่น่ะสิ! ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้น! หน้าหนาวนี้เป็นไงบ้าง?”

     

    “ยังโอเคอยู่ครับ แต่เหนื่อยมากๆเลย อยากกลับบ้านไปหาทุกคนจัง” คนเป็นน้องชายเริ่มงอแงใส่พี่สาวเพียงคนเดียว มุมอ่อนแอของจุนฮงที่น้อยคนนักจะได้เห็น

     

    “พี่ก็คิดถึงเรา พ่อแม่ก็เหมือนกันนะ อยู่นู่นคนเดียวต้องดูแลตัวเองดีๆล่ะ”

     

    “ผมก็ทำได้มาตลอดเกือบสามปีแหล่ะน่า” คนอายุน้อยไม่วายอวดเก่งกับพี่สาว ทั้งนี้ก็เพื่อความสบายใจของคนที่ห่างไกล

     

    “จ้ะพ่อคนเก่ง”

     

    “แล้วพี่เป็นไงบ้าง งานที่บริษัทโอเคนะ?”

     

    “แน่นอน! นี่ชเวนานะเชียวนะ! ปัญหาอะไรที่ผ่านเข้ามา ฉันผ่านมันไปได้สบายอยู่แล้ว”

     

    “เก่งจริงๆเลยนะผู้หญิงคนนี้” รอยยิ้มผุดขึ้นจากริมฝีปากปาก จุนฮงรู้สึกมีความสุขและผ่อนคลายไม่น้อยเลยที่ได้คุยกับพี่สาวแท้ๆของตน รู้สึกเรื่องหนักอึ้งที่แบกอยู่ลดลงไปครึ่งหนึ่ง คงจะเป็นเพราะพี่นานะคือครอบครัว... และคนในครอบครัวคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต...

     

    กึก...

    เสียงแปลกๆดังออกมาจากฮีตเตอร์ ซึ่งคนตัวบางหวังว่ามันคงไม่ใช่เสียงสัญญาณบอกว่าเครื่องทำความร้อนภายในห้องนี้มีปัญหาหรืออะไรทำนองนั้น ใช่ไหม?

    แต่ไอร้อนที่เริ่มหายไปและความหนาวเย็นที่เข้ามาแทนที่ ทำให้จุนฮงมั่นใจได้ว่าสิ่งที่เขากลัวมันเกิดขึ้นจริงๆ

     

    “พี่... เหมือนฮีตเตอร์ห้องผมจะมีปัญหาเลย” เสียงใสที่ดูวิตกกังวลเอ่ยกับพี่สาวที่ฟังอยู่ปลายสาย

     

    “อ้าว ลองโทรไปถามคนดูแลตึกสิ ให้เค้ามาจัดการทันทีเลยนะเข้าใจหรือเปล่า ห้ามนอนในอากาศหนาวๆแบบนี้เด็ดขาด อากาศหนาวแห้งแบบนี้เชื้อไวรัสอยู่ในอากาศอย่างนานเลยแหละ... เอ้อพี่วางแล้วนะ ต้องไปเคลียร์งานต่อ”

     

    “อ่า..ครับ!” ตอบกลับอย่างหนักแน่นเพื่อไม่ให้คนในครอบครัวเป็นห่วง แต่ในเสียงที่ฟังดูมั่นคงนั้นกลับมาความกังวลใจแฝงอยู่ไม่น้อยเลย...

     

    หลังจากวางโทรศัพท์จากพี่สาวแท้ๆของตัวเองไป เจ้าของห้องตัวขาวจัดไม่รอช้าให้อุณภูมิลดต่ำลงไปมากกว่านี้ จึงรีบโทรไปหาคนดูแลตึกทันที

    ถ้าให้นอนหนาวทั้งคืน เขาตายแน่...

     

     

    “ฮัลโหลครับ ผมจุนฮงห้อง508นะครับ”

     

    “อ๋อ..ค่ะ สวัสดีค่ะน้องจุนฮง มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”

     

    “คือฮีตเตอร์ที่ห้องผมเหมือนมันจะเสียเลยอะครับ”

     

      “ค่ะ เดี๋ยวพี่จะติดต่อช่างให้นะคะ รอสักครู่ค่ะ”   ปลายสายเงียบไปประมาณห้านาทีได้ จุนฮงคิดว่าคงไปโทรหาช่างหรืออะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง

     

    “จุนฮงคะ?”

     

    “ครับ ฟังอยู่”

     

    “คือพี่ติดต่อช่างให้แล้วนะคะ อีกประมาณสองถึงสามวันช่างจะมาดูให้ค่ะ”

     

    “สองสามวันเลยหรอครับ มันไม่นานไปหน่อยหรอครับพี่?” น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตกใจและความกังวลเอ่ยถามขึ้นกับคู่สนทนาทางโทรศัพท์

     

    “พี่ก็พยายามคุยให้แล้วค่ะ แต่ช่างไม่ว่างเลย เร็วสุดก็คงมะรืนนี้แหล่ะค่ะ”

     

    “แล้วผมจะทำยังไงครับเนี่ย มันหนาวมากๆเลยนะครับ”

     

    “อ่า.. น้องจุนฮงสนิทกับเพื่อนร่วมชั้นหรือร่วมตึกนี้บ้างไหมคะ? ลองไปรบกวนเขาสักหน่อยก็แล้วกันนะคะ”

     

    “เอ่อ.. ครับ.. ขอบคุณนะครับ” เสียงใสเอ่ยจบแล้วก็วางสายไป

     

    จะบ้าหรอจะให้จุนฮงไปรบกวนใครได้ล่ะ ทั้งคอนโดนี้รู้จักใครที่ไหน รู้จักอยู่แค่คนเดียวคือพี่ยงกุก

    พี่ยงกุก...

     

    ครุ่นคิดอยู่นานจนความหนาวเริ่มแผ่กระจายมากขึ้น คนอ่อนแอรู้สึกปวดจมูกปวดหัวไปหมดจนเกือบจะทนไม่ไหวเลยเดินไปในห้องนอนแล้วขดตัวอยู่ในผ้าห่มบนเตียง พยายามหลอกตัวเองว่ามันไม่หนาวและเขาทนได้

    แต่มันยากเหลือเกิน. . .

     

    คีย์การ์ดห้องของคนๆเดียวที่ร่างบางสนิทสนมด้วยวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ไม่เคยหายไปไหน แต่ก็ไม่เคยถูกหยิบออกมาใช้เป็นเวลานานมากแล้วเช่นกัน ถ้าแค่จะไปรบกวนสักคืนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ในเมื่อจุนฮงเองก็มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องรบกวน

    เด็กหนุ่มตื่นเต้นและหวาดกลัวมากเกินไป ตื่นเต้นเพราะนี้เป็นการเจอหน้ากันในรอบหลายเดือน กลัวว่าคนที่เคยห่วงใยจะทำเหมือนทุกครั้งที่เห็นหน้ากัน กลัวถูกเมินเฉย กลัวว่าจะเป็นการกระทำที่น่ารำคาญสำหรับคนเป็นพี่

    แต่การตัดสินใจของตัวเองคืออำนาจสูงสุด และความหนาวเหน็บมันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที ยิ่งเวลาผ่านไปอุณหภูมิภายนอกก็ยิ่งติดลบ ยิ่งดึก ก็ยิ่งหนาว...

     

    “เพราะว่าเราเดือดร้อน เราเลยจำเป็นต้องพึ่งพี่เขา เราไม่ได้ทำตัววุ่นวายหรืออะไรสักหน่อย มันจำเป็น คิดแบบนี้สิจุนฮง มันจำเป็น” เสียงหวานพูดกับตัวเองยาวๆ มือเรียวหยิบคีย์การ์ดใบเดิมจากที่ๆมันถูกวางอยู่ ขาเรียวค่อยๆก้าวด้วยหัวใจที่เต้นรัวแรงจนแทบหลุดออกมา ภายในท้องรู้สึกวูบหวิวเหมือนมีผีเสื้อเป็นพันๆตัวโบยบินอยู่ ฝ่ามือเย็นเฉียบ แต่เจ้าของมือคู่นี้มั่นใจว่าไม่ได้มาจากอากาศหนาวอย่างแน่นอน

     

     

    เจ้าของผิวขาวจัดเดินมาหยุดอยู่หน้าห้อง 509 กดกริ่งหน้าห้องไปสองสามครั้งแต่ก็ไม่มีใครมาเปิดให้เสียที เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจส่งเสียงเรียกเจ้าของห้องพร้อมกับมือบางที่เคาะประตูบานตรงหน้าไปด้วย

     

                “ขอโทษนะครับ. . .?”

    แต่ก็เป็นเช่นเดิม คือไม่มีใครตอบรับ พี่ยงกุกหลับหรอ? หรือว่าทำอะไรอยู่เลยอาจจะไม่ได้ยินเสียงของเขา

     

    “พี่ยงกุกอยู่ไหมครับ? พี่ยงกุก” เสียงของคนที่กำลังเดือดร้อนเรียกอีกครั้งพร้อมกับเคาะประตูสองสามที

     

    “ถ้าไม่มีใครตอบ ผมขอเข้าไปนะครับ” พูดเป็นเชิงขออนุญาตก่อนที่มือขาวจะแนบคีย์การ์ดลงกับเครื่องอ่าน

     

    กลอนประตูถูกปลดล็อคแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็แค่หมุนลูกบิดและผลักเข้าไป ทักทายเจ้าของห้องแล้วก็บอกว่ามาทำไม เท่านั้นเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนยังเข้าออกห้องนี้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตได้เลย...

     

                ฝ่ามือชื้อเหงื่อผลักบานประตูเข้าไปในห้อง กลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งอบอวลอยู่ภายในทำเอาคนอ่อนแอเวียนหัวไม่น้อย

    “สวัสดีครับ” เสียงทักทายของเด็กหนุ่ม เรียกความสนใจจากฮิมชานที่ยังมีสติอยู่มากกว่าใครอีกคนได้ทันที

     

    “ใครมาวะฮิมชาน” เสียงพูดสำเนียงของคนเมาดังขึ้น บังยงกุกที่เมามากกว่า และยังคงไม่หยุดดื่มเลือกถามเพื่อนสนิทแทนที่จะเป็นฝ่ายทักทายตอบและหันไปดูเองว่าใครที่มารบกวนในเวลานี้ ร่างสูงที่ในขณะนี้มีสติสัมปชัญญะที่เหลือน้อยเต็มทีทำแค่ชะงักมือที่ถือแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เท่านั้น ก่อนจะดื่มของเหลวสีใสที่มีฤทธิ์มึนเมาลงไปอีกครั้ง

     

    “อ้าว! สวัสดีครับจุนฮง” เสียงเข้มของคนที่ร่างบางรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่ทักทายกลับเช่นกัน

     

    “จุนฮง? เด็กนั่นมาทำไมวะ?” ทันทีที่ได้ยินชื่อของเพื่อนบ้าน บังยงกุกที่ขาดสติก็เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว ทั้งๆที่ยังไม่หันหน้ามามองคนที่ยืนอยู่เสียด้วยซ้ำ

     

    “เอ่อ..คือ..ผม..” คนที่ตั้งใจจะมาขอความช่วยเหลืออึกอักและพูดอะไรไม่ถูก เขากลัว กลัวพี่ยงกุก เสียงห้วนๆและท่าทางที่หาเรื่องแบบนั้น จุนฮงไม่เคยเจอกับตัวเองมาก่อนเลย..

     

    “กูถามว่ามันมาทำไมฮิมชาน มึงตอบสิวะ!” เสียงทุ้มต่ำของคนเมาเริ่มโวยวายเมื่อไม่มีคำตอบตามที่ตนต้องการ

     

    “มึงใจเย็นๆก่อนได้ไหมวะ เมามากแล้วนะมึงน่ะ” ฮิมชานเองเลือกที่จะพูดเพื่อให้ร่างสูงโปร่งตั้งสติ เพื่อระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้นยามที่ไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ

     

    “เด็กนั่นมันคิดว่าตัวเองเป็นใครวะ อยากจะเข้าออกห้องนี้เมื่อไหร่ก็ได้หรือไง!” แต่คนเมายังไงก็คือคนเมา คนแก่กว่ายังคงพูดจาไม่น่าฟังสำหรับคนที่ยืนตัวสั่นเพราะความกลัวต่อไป และคำพูดที่ออกมาแต่ละคำ มันช่างทำร้ายหัวใจดวงนี้ของจุนฮงเหลือเกิน

     

    “เอ่อ.. ผมขอโทษนะครับที่มารบกวน...พอดีห้องผม..” เสียงหวานอ้ำอึ้งและตอบไม่ถูก ขอบตาร้อนผ่าว ลำคอก็แห้งผาก แต่เด็กหนุ่มพยายามรักษารอยยิ้มจางๆบนใบหน้าไว้ให้นานที่สุด เพื่อไม่ให้ใครอีกคนที่เหมือนเป็นคนนอกระหว่างเขากับพี่ยงกุกเห็นความอ่อนแอที่กำลังจะเกิดขึ้น

     

    “รู้ตัวว่ามารบกวนก็ดีแล้ว! ทีนี้จะออกจากห้องไปได้หรือยัง!” หันใบหน้ามามองคนผิวขาวจัดด้วยสายตาที่มีแต่ความรำคาญใจ

     

    “ผมไม่มีสิทธิ์จะมาที่ห้องนี้อีกแล้วหรอครับ พี่ยงกุก?” น้ำตาเม็ดโตที่พยายามกดกลั้นเอาไว้ไหลรินลงมาจากดวงตาสวย พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนดวงหน้าหวาน หากแต่น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ากลับร่วงหล่นลงกระทบพื้นพรมสีเข้ม สายตาตัดพ้อถูกส่งไปยังคู่สนทนาที่เคยสนิทใจ

     

    “แล้วคิดว่ามีสิทธิ์อะไรที่จะมารบกวนคนอื่นเขาตามใจชอบล่ะ!!” คนที่อายุมากกว่ายังคงเอ่ยคำพูดคำพูดที่ทำร้ายจิตใจของคนตัวบาง คำพูดที่เหมือนกับมีคนมาต่อยอัดเข้าที่หน้าท้อง ทำเอาจุกจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก

    คำพูดที่ออกมาจากปากของคนที่เขารัก...

     

    “พี่ลืมมันไปหมดแล้วหรอครับ ความสัมพันธ์ดีๆที่เรามีให้กัน ผมไม่มีความสำคัญอะไรกับชีวิตของพี่อีกแล้วใช่ไหม คนอื่นสำคัญกว่าผมมากเลยใช่ไหมครับ?!” น้ำเสียงที่สั่นคลอนและการพูดจาที่เริ่มรุนแรงจากอารมณ์ถูกกล่าวออกมาจากปากของคนตัวขาว

    เจ็บปวด... หากแต่ก็ตอบโต้...

     

    “จุงฮงใจเย็นๆก่อนนะ ยงกุกมันเมาหนักมาก” คนกลางอย่างฮิมชานที่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกได้แต่คอยพูดจาไกล่เกลี่ยให้สองคนใจเย็นกว่านี้ ทั้งคู่ล้วนควบคุมตัวเองไม่ได้... คนหนึ่งเมา ส่วนอีกคนโกรธ...

     

    “พี่ไม่ต้องมายุ่งหรอกครับ!!” คำพูดที่ฟังดูก้าวร้าวถูกส่งไปปิดปากคนที่มีสติมากที่สุดในตอนนี้ ฮิมชานที่ได้ยินคนอ่อนกว่าพูดแบบนั้นออกมาถึงกับทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะพูดประโยคนั้นออกมา เหมือนกับว่าเขาไปก้าวก่ายชีวิตของทั้งสองคน

     

    “ผมต้องเป็นผู้หญิงที่ชื่อจีอึนอะไรนั่นใช่ไหมพี่ถึงจะสนใจ! หรือผมต้องเป็นพี่ฮิมชานพี่ถึงจะให้ความสำคัญ!” คนจิตใจอ่อนแอยังคงเอ่ยถ้อยคำออกมา ถ้อยคำที่ออกมาจากความรู้สึกภายในใจ... มือบางกำคีย์การ์ดแน่น เขาไม่ได้โกรธ แต่จุนฮงกำลังเสียใจ. . .

     

    เสียใจที่คนที่ตัวเองรักทำแบบนี้ เสียใจที่ถูกต่อว่า เสียใจที่ตัวเองหมดความสำคัญ. . .

     

    “หยุดพูดจาแบบนั้นเดี๋ยวนี้นะจุนฮง! อย่าเอาจีอึนเข้ามาเกี่ยว!!” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำลุกขึ้นตวาดลั่น สร้างความตกใจให้กับคนทั้งสองที่ยืนอยู่ภายในห้องนี้ได้ไม่น้อย ฮิมชานที่น้อยครั้งจะเห็นยงกุกเป็นแบบนี้ ส่วนจุนฮงนั้น ไม่เคยเห็นยงกุกเป็นแบบนี้เลย...

     

    “ครับ! ผมขอโทษ ขอโทษที่เข้ามารบกวน ขอโทษที่เสร่อเข้ามาในห้องพี่ตามใจชอบ และหลังจากนี้ไป ผมจะไม่มาที่ห้องนี้อีก!” พูดก่อนจะขว้างคีย์การ์ดใบนั้นใส่หน้าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ผู้ชายใจร้ายคนนี้...

    ร่างขาวไม่รอฟังคำพูดที่แสนจะเจ็บปวดอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว หลังจากที่ขว้างคีย์การ์ดออกไป คนที่น้ำตาไหลไม่หยุดก็รีบหันหลังกลับแล้วก้าวขาเรียวเดินออกจากห้องนี้ไปทันที

     

    “มึง!!...ยงกุก!!.. ใจเย็นก่อน!” ฮิมชานเดินเข้ามาหาเพื่อนสนิท ผลักไหล่หนาแรงๆให้นั่งลงบนโซฟาอย่างเดิม ก่อนจะเดินไปหยิบคีย์การ์ดที่หล่นอยู่ใกล้ๆตัวเจ้าของห้องมาวางไว้บนมือยงกุก

     

    “น้องเขาไปแล้ว เขาขว้างไอ้นี่ใส่มึงไว้แล้วก็ออกไปเลย”

     

    “ไปได้ก็ดี นี่คีย์การ์ดห้องกูเอง ฝากมึงเอาไปวางไว้บนเตียงกูด้วยแล้วกันนะ” ร่างสูงพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะฟุบหลับไปตามอาการของคนเมาบนโซฟาสีเข้มกลางห้อง

     

    “มึงไม่มีสติ ทำลงไปโดยไม่ได้คิดอะไรเลย ระวังวันพรุ่งนี้ให้ดีแล้วกันนะ” เสียงเข้มบ่นก่อนจะนำคีย์การ์ดไปวางไว้ที่เตียงตามคำสั่ง หยิบกุญแจรถของคนที่นอนหลับติดมือมาด้วยก่อนจะกดส่งข้อความเข้าโทรศัพท์ของเจ้าของห้องไว้ ก่อนจะก้าวขายาวๆเดินออกจากห้องไป

     

     

     

     

                ภายในห้องนอนของจุนฮง เด็กหนุ่มนอนกอดก้อนผ้าที่ข้างในเป็นขวดน้ำร้อนขวดใหญ่เอาไว้ แล้วห่มทับด้วยผ้านวมหนาๆอีกหนึ่งชั้นเพื่อบรรเทาความหนาวที่กำลังทำร้ายเขาอยู่ คนอ่อนแอจำเป็นต้องแง้มหน้าต่างห้องให้อากาศถ่ายเทเพื่อไม่ให้ตัวเองขาดอากาศหายใจตายไปเสียก่อน

    ลมหนาวพัดเข้ามาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เช่นเดียวกันกับน้ำตาไม่ยอมหยุดไหล... แม้ว่าจะเช็ดออกไปเท่าไหร่ก็มีแต่ไหลลงมามากขึ้น เสียงสะอื้นถูกเก็บกักไว้ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาแม้ว่าภายในห้องนี้จะมีแค่เขาเพียงคนเดียว พยายามหยุดคิด หยุดฟุ้งซ่าน เพื่อที่จะหยุดร้องไห้เสียที อย่างน้อยๆก็ขอแค่ผ่านพ้นคืนนี้ไป พรุ่งนี้จุนฮงอาจจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสักคนที่โรงเรียนได้ อาจจะไปนอนบ้านใครสักคนในระหว่างที่รอให้อะไรเรียบร้อย

                แต่เด็กหนุ่มนอนไม่หลับ อาจจะเพราะอากาศที่หนาวเกินไป หรือเพราะน้ำตาที่ไหลอยู่ บางทีเพราะความเจ็บปวดภายในใจ ซึ่งคนจิตใจไม่เข้มแข็งก็ไม่สามารถควบคุมมันได้สักอย่าง มือบางคว้าอุปกรณ์ฟังเพลงเครื่องเดิมมาจากโต๊ะข้างๆหัวเตียง ต่อสายเข้ากับลำโพงอันเล็กแล้วนิ้วเรียวจึงกดเล่นเพลง เพียงหวังว่าเสียงเพลงอาจจะทำให้ลืมเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นไปชั่วขณะหนึ่ง และอาจจะสามารถช่วยกล่อมให้เคลิ้มหลับได้

    แต่เนื้อหาเศร้าๆที่เข้ากับทำนองได้เป็นอย่างดีของบทเพลงที่ดังขึ้น กลับเป็นตัวแปรที่ทำให้น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาที่เริ่มบวมช้ำอีกครั้ง มากขึ้น และเจ็บปวดมากขึ้น

     

     

    원하고 원해요 그리고 하나 아프고 아파도 그래도 한번

    ฉันต้องการคุณ ต้องการคุณเพียงคนเดียว แม้ว่าจะเจ็บปวดแต่ฉันก็จะอดทน

    닳고 닳아진데도 눈물이 마르지 않아도 처음으로 돌아갈 있다면

    แม้จะต้องทนทุกข์แค่ไหน แม้ว่าน้ำตาจะไม่แห้งหายไป หวังเพียงแค่เรากลับไปเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง

     

    ผมต้องการพี่นะ แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดมาเป็นปีๆผมก็ยอมทนมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าต้องร้องไห้ แค่ขอให้พี่กลับมาเป็นคนๆเดิมก็พอ...

     

    เสียงสะอื้นที่พยายามกดกลั้นไว้ สุดท้ายก็ไม่สามารถฝืนต่อไปได้อีก จุนฮงร้องไห้จนตัวโยน ทำแค่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาพร้อมกับเสียงสะอื้นมากมาย ไม่รู้ว่าร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านตอนนี้มาจากอากาศหนาวหรือว่าเพราะการร้องไห้กันแน่ นิ้วเรียวสวยถูกนำขึ้นมาปาดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า คัดจมูกจนรู้สึกลำบากในการหายใจ และยากที่จะนอนหลับ

    นึกโทษตัวเองกับการตัดสินใจแบบนั้น ถ้ายอมทนหนาวอยู่ที่นี่ก็คงไม่โดนทำร้ายกลับมาแบบนี้ และก็คงไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนี้...

     

                อากาศที่หนาวเหน็บทำร้ายร่างกาย แต่คนที่ใจร้ายทำร้ายหัวใจ...

     

     

     

     

    แสงตะวันสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้อง ส่งผลให้คนที่ไม่ได้หลับสนิทเท่าไหร่รู้สึกตัวได้อย่างไม่ยากนัก

     

    ปวดหัว...มาก...

     

    ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาเล่นเอาร่างบางลืมตาแทบไม่ขึ้น คนอ่อนแอนอนร้องไห้อยู่นานพอสมควร กว่าจะหลับได้ก็เกือบรุ่งเช้า พอรู้สึกตัวตื่น อาการแรกที่ต้องเจอในยามเช้านี้คือ ปวดหัว เจ็บคอและไม่มีแรง

    ความชื้นจากหิมะในสิ่งแวดล้อมที่ติดตัวมาเมื่อช่วงเย็นของเมื่อวานตอนที่ออกไปสวนสาธารณะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนอายุน้อยเจ็บป่วย เพราะสัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็นเป็นเวลานานพอสมควร เขารู้ตัวดีว่านี่คือสัญญาณของอาการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ที่ปวดหัวมากขนาดนี้ อาจจะคงเพราะร้องไห้หนักเกินไป...

    แม้ว่าตอนนี้อากาศจะอุ่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อยเพราะเป็นตอนเช้าที่มีแสงอาทิตย์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความหนาวลดลงไปเท่าไหร่นัก ฝ่ามือขาวซีดที่เย็นเฉียบพยายามประคองร่างให้ลุกขึ้น แต่ร่างบางก็ทำไม่ได้ อาการปวดหัวเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น และความอ่อนเพลียถาโถมเข้ามา จุนฮงทำได้แค่นอนขดตัวมากกว่าเดิมอยู่ภายใต้ผ้าห่มบนเตียงใหญ่ ภาวนาให้อาการทั้งหลายที่กำลังจู่โจมเขาทุเลาลงเมื่อตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเข้าสู่ห้วงนิทราไป

     

     

     

     

     

     

    ในขณะเดียวกันที่ห้องข้างๆ ชายหนุ่มที่เริ่มรู้สึกตัวหลังจากเมามายขาดสติไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็เริ่มขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟาสีเข้มกลางห้อง สิ่งแรกที่เห็นคือขวดโซจู3-4ขวดกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะและบนพื้นข้างหน้าเขา แขนยาวๆควานหาโทรศัพท์มือถือที่คิดว่าน่าจะอยู่แถวๆนี้เพื่อมาใช้ดูเวลา

     

    7 : 00

    Satruday, January xx

    Messages

    Himchanchan: กูขอยืมรถขับกลับบ้านนะ กูไม่ได้เมามา…      7h ago

     

    แต่สิ่งปรากฏให้เห็นบนหน้าจอล็อคสกรีนทำให้ร่างแกร่งที่เพิ่งสร่างเมาหัวเสียได้ไม่น้อย

     

    “เอารถกูไปเนี่ยนะ ออกไปเมื่อไหร่ก็ไม่มาลากูสักคำ ไอ้เพื่อนเวรเอ้ย” บ่นเล็กน้อยก่อนที่นิ้วเรียวจะกดเข้าไปอ่านข้อความเต็มๆ

     

    กูขอยืมรถขับกลับบ้านนะ กูไม่ได้เมามาก ไม่ต้องห่วงว่ากูจะเอารถมึงไปคว่ำ อีกสองวันจะเอามาคืน ส่วนมึง ถ้าตื่นแล้วก็ไตร่ตรองให้ดีว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไป คีย์การ์ดห้องมึงวางอยู่ในห้องนอนตามคำสั่ง มีอะไรอยากรู้ก็โทรมาถามเพราะกูอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างน้อยโซจูก็ไม่ทำให้เมาค้างล่ะนะ กู้ดมอร์นิ่ง

     

     

    เมื่อคืน...? เกิดอะไรขึ้น งั้นหรอ?

    แล้วคีย์การ์ด มันก็ควรวางอยู่ในห้องนอนเขาตามปกติอยู่แล้วไม่ใช่หรือยังไง?

    แล้วเหตุการณ์อะไรที่ฮิมชานมันกำลังพูดถึงอยู่?

    ทำไมมันต้องบอกให้เขาไตร่ตรองให้ดีว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปวะ?

     

    Rrrrrrrrrrrr

    เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้น ปลุกร่างโปร่งออกมาจากภวังค์ สลัดความคิดไตร่ตรองที่ว่าเมื่อคืนเขาทำอะไรทิ้งไป ก้มมองชื่อคนที่โทรเข้ามาก่อนริมฝีปากจะหยักยิ้มขึ้น

     

    Song Jieun

     

    คนตัวสูงไม่รอช้า ก่อนจะกดรับสายด้วยรอยยิ้มบางเบา ซงจีอึนแฟนสาวของเขา...

     

    “ครับ ว่าไง โทรมาแต่เช้าเลย”

     

    “ก็วันนี้ยงกุกชวนเราไปเดทไม่ใช่หรอ เราก็เลยโทรมาปลุกเฉยๆ”

     

    “อ่า! ใช่แล้ว วันนี้เราจะไปเที่ยวกันนี่เนอะ”

     

    “เมื่อคืนฉลองกับฮิมชานดึกล่ะสิ เสียงดูงัวเงียจัง”

     

    “รู้ทันผมตลอดเลยครับคนสวย เดี๋ยวผมไปรับที่บ้านนะ”

     

    “อื้อ! รับทราบ แต่งตัวหล่อๆนะ จะแต่งตัวสวยๆรอ”

     

    “ไม่ต้องเลย แค่นี้ก็หวงจะแย่แล้ว ไม่ชอบให้ผู้ชายหน้าไหนมามองแฟนของผม เข้าใจมั๊ย?!

     

    “ไร้สาระน่ะยงกุก ฮ่าๆๆ”

     

    “ไม่รู้ล่ะ! ถ้าไปถึงแล้วเห็นว่าสวยมากจะไม่ให้ออกจากบ้านเลยนะครับ! ผมไปอาบน้ำล่ะ เจอกันนะจีอึน”

    ร่างสูงรีบตัดบทสนทานาแล้วกดวางสายไป ก่อนที่จะคิดถึงข้อความของเพื่อนสนิทที่ส่งทิ้งไว้ว่า

     

    กูขอยืมรถขับกลับบ้านนะ

    กูขอยืมรถขับกลับบ้านนะ

    กูขอยืมรถขับกลับบ้านนะ. . .

     

    ฉิบหาย...

     

    “ไอ้ฮิมชาน มึงขับรถกูกลับมาเดี๋ยวนี้! เดี๋ยวนี้เลย! กูต้องการรถภายในไม่เกินหนึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ มึง! ไอ้เพื่อนเวรเอ้ยยยยยยยย”

    คนเป็นเจ้าของรถรีบต่อสายหาเพื่อนสนิท หลังจากอีกฝ่ายรับสายก็พูดข้อความแล้วรีบกดวางทันทีโดยไม่รอคำตอบของอีกคน ก่อนจะโกยขวดเครื่องดื่มมึนเมาที่วางระเกะระกะลงถังขยะ จัดการพื้นที่ในห้องให้เรียบร้อย แล้วรีบไปอาบน้ำแต่งตัวรอการกลับมาของรถสปอร์ตคันงามของตน

     

    โดยที่ก็ลืมไปเสียสนิทว่าก่อนที่โทรศัพท์สายนั้นจะโทรเข้ามา ตัวเองกำลังพยายามคิดถึงเรื่องอะไรอยู่. . .

     

     

     

     

     

    “ไปไหนล่ะ?” เสียงหวานๆเอ่ยถามขึ้นหลังจากมานั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับ รถสปอร์ตคันหรู ชายหนุ่มที่ดูดีมีสเน่ห์ และหญิงสาวที่สวยหวานมีชาติตระกูล ช่างเป็นภาพที่ดูเหมาะสมกันในสายตาของใครหลายๆคน

     

    หลังจากฮิมชานนำรถคืนมาให้ ยงกุกก็รีบขับตรงไปยังบ้านของแฟนสาว กล่าวทักทายคุณพ่อคุณแม่และขออนุญาตนำตัวจีอึนออกไปเที่ยวหนึ่งวัน สัญญาว่าจะรีบกลับมาไม่เกินเที่ยงคืน จะไม่พาไปมึนเมาที่ไหนแน่นอนเพื่อความสบายใจของที่บ้านของฝ่ายผู้หญิง

     

    “อืม.. ช่วงกลางวันก็แล้วแต่จีอึนเลยครับ แล้วค่ำๆเราไปฉลองกับเพื่อนๆที่คณะผมกัน โอเคไหม หื้ม?”

    จีอึนไม่ตอบอะไรเพียงแค่ส่งยิ้มมาให้ เป็นเชิงคำพูดว่า ตามใจยงกุกเลย อย่างที่มักจะทำเป็นประจำ

    ผู้หญิงคนที่นั่งข้างๆเขาตอนนี้ ตั้งแต่คบกัน เราไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยขัดแย้งกัน ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเลยสักนิด ซึ่งนั่นก็ดี แต่สิ่งที่เขายังคงค้างคาใจมาเสมอนั่นคือ แล้วเรารักกันหรือเปล่า?. . .

     

               

     

     

     

     

                ร่างขาวๆที่นอนขดตัวจนเป็นก้อนกลมๆอยู่บนเตียงเริ่มเคลื่อนไหว จุนฮงเอาแต่นอนนิ่งๆอยู่บนเตียงจนถึงเย็น อาจจะเพราะอาการป่วยทำให้ไม่สามารถลุกขึ้นมาทำอะไรเป็นการเป็นงานได้ และเพราะว่ารู้สึกไม่อยากอาหาร ตลอดทั้งวันจึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง อาการปวดหัวทุเลาลงแต่ไม่ได้หายไป และอากาศที่ค่อนข้างเลวร้าย บวกกับพิษไข้ทำให้หนาวสั่นมากกว่าที่ควรจะเป็น หนาวทรมานจนเจ็บไปถึงกระดูก. . .

    และจุนฮงเองก็ไม่ใช่คนเข้มแข็งที่จะต่อสู้กับอาการป่วยทั้งทางกายและใจบวกกับสภาพอากาศที่แสนโหดร้ายนี้ได้เพียงลำพัง เขาต้องการความช่วยเหลือ ...จากใครก็ได้ที่เต็มใจจะทำ

    แน่นอนว่าคนแรกที่เขานึกถึงคือพี่ชายห้องข้างๆ... ซึ่งนั่นก็ทำให้น้ำสีใสไหลลงมาจากดวงตาอีกครั้ง...

    แต่มีคนๆหนึ่งที่เขามั่นใจ ว่าไม่ว่ายังไงคนๆนี้จะรักและปกป้องเขาอย่างถึงที่สุด

    พี่นานะ. . .

    มือขาวลอดออกมาจากผ้านวมผืนใหญ่ เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ไม่ไกล พยายามกดหารายชื่อของพี่สาวคนเดียวแล้วโทรไปขอความช่วยเหลือ...

     

    “ว่าไงไอ้น้องชาย”

     

    “พี่..นานะ...” เสียงแหบแห้งพูดขึ้นตอบกลับอีกฝ่าย จุนฮงต้องใช้พลังงานมากพอสมควรในการพูดประโยคนี้ออกมาให้คนเป็นพี่สาวฟังรู้เรื่อง

     

    “จุนฮง!! เป็นอะไร!!เสียงของคนปลายสายตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยินเสียงราวกับว่ากำลังจะหมดลมหายใจของน้องชาย อาการป่วยที่ดูจะหนักหนาเหลือเกินสำหรับคนที่รักและเป็นห่วง จุนฮงเป็นคนในครอบครัว และเด็กเสมอสำหรับเธอ

     

    “ผ..ม..ผมไม่..ส..บาย..ผ..ม..ไม่ไห..ว..ละ..แล้ว..” คนป่วยพยายามเค้นคำพูดออกมาจากช่องท้องด้วยความยากลำบากที่สุดด้วยแรงกำลังที่พอจะมีในขณะนี้

     

    “พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ! รอแปบนะ!! หญิงสาวรีบกดวางสายไปทันทีหลังจบประโยค

     

    “มาเร็วๆนะครับ... ก่อนที่..ผมจะตายไปซะก่อน” เสียงแผ่วเบาจนฟังไม่รู้เรื่องเอ่ยออกมากับตัวเอง ก่อนที่จะนอนหนาวสั่นด้วยความทรมาน ส่งเสียงครางฮือเพราะพิษไข้อย่างคนไร้เรี่ยวแรง

     

     

     

    ทางด้านนานะ ที่หลังจากได้รับโทรศัพท์ เธอก็รีบลางาน และเขียนใบลาไว้หนึ่งอาทิตย์เต็ม ก่อนจะรีบร้อนขับรถเข้าโซลทันที จากปกติที่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบสองชั่วโมง ครั้งนี้เธอกลับใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเศษเท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาที่สั้นลงมาก มันก็นานราวกับหนึ่งวันสำหรับคนเป็นพี่อย่างเธอที่รู้ว่าน้องกำลังป่วยหนัก

    นานะเคยมารับจุนฮงกลับบ้านเมื่อปลายฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีที่แล้ว ทำให้เธอพอจะจำทางไปยังคอนโดของน้องชายได้ หลังจากจอดรถไว้ภายใต้อาคารเรียบร้อยแล้วเธอก็รีบรุดไปยังห้องหกศูนย์แปด ห้องพักของจุนฮงที่เธอจำเลขที่ห้องได้อย่างแม่นยำ

    มือเรียวสวยรีบร้อนหยิบคีย์การ์ดที่เก็บไว้ในกระเป๋าใส่บัตรเสมอขึ้นมา คนเป็นพี่สาวบังคับให้น้องชายส่งคีย์การ์ดสำรองมาให้เธอหนึ่งใบตั้งแต่ตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ เผื่อว่ามีปัญหาหรือเกิดเหตุการณ์อะไรเธอจะมาหาได้ แต่จุนฮงก็พูดประโยคที่ทุกวันนี้เธอยังจำได้ดีว่า

    ถ้าเกิดอะไรขึ้นพี่ก็มาช่วยผมไม่ทันอยู่ดี แต่ไม่ห่วงหรอกนะ ผมมีพี่ยงกุกอยู่ทั้งคน

     

    และสาบานว่าเธอไม่เคยได้ใช้มันเลยสักครั้งเดียว จนกระทั่ง... วันนี้...

     

    เมื่อสาวสวยเปิดประตูเข้ามาในห้องได้แล้วเธอก็รีบวางสัมภาระแล้วมองหาน้องชายทันที อากาศภายในห้องหนาวเย็นกว่าที่คิดไว้มากเลยทีเดียว ไม่แปลกเลยที่จุนฮงจะป่วย เพราะเด็กน้อยสุขภาพไม่ค่อยดีและป่วยง่าย แถมยังขี้หนาวมาก แต่สิ่งที่แปลก..คือตรงที่มันดูจะหนักกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น

    ร่างเพรียวเดินตรงไปยังส่วนที่คิดว่าคงเป็นห้องนอน และเจอร่างบอบบางของคนเป็นน้องนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา

    “จุนฮง!!” ขาเรียวยาวรีบพุ่งเข้าไปหาจุนฮงด้วยความรีบร้อน ยกมือขึ้นแตะผิวกายของน้องที่ลอดออกมานอกผ้านวมผืนใหญ่ แล้วก็ต้องตกใจกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงตรงข้ามกับสภาพอากาศอย่างสิ้นเชิง

     

    “ไข้ขึ้นสูงมากเลย!! พี่จะพาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้แหละ! ลุกไหวไหม?!

     

    ร่างขาวส่ายหน้าเบาๆแทนการบอกเล่าด้วยคำพูด ก่อนน้ำตาจะเอ่อล้นดวงตาที่บวมช้ำ

    “พี่นานะ.. ฮือออ พี่ยงกุก....ฮึก... พี่ยงกุก...” เสียงแหบแห้งยังคงพยายามที่จะเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา

    พี่สาวเริ่มทำอะไรไม่ถูกกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า เธอเคยดูแลร่างบางตอนยังเด็ก แล้วตอนนั้นน้องของเธอก็ไม่ได้มีท่าทีที่ดูแย่ขนาดนี้ แต่เพราะว่าเธอเป็นพี่ และจะต้องดูแลคนในครอบครัวให้ดีที่สุด เพราะในตอนนี้ที่นี่จุนฮงไม่มีใครแล้วนอกจากเธอ แต่ลำพังการที่จะให้ผู้หญิงอย่างเธอพาเด็กหนุ่มที่ส่วนสูงล้ำกว่าตัวเองพอสมควรไปโรงพยาบาลมันคงดูเป็นการกระทำที่เกินความสามารถไม่น้อยเลย

     

    “คิดสิคิด ใจเย็นๆ คิดว่าตอนนี้ทำอะไรได้บ้าง มีคนรู้จักคนไหนพอจะช่วยเหลือได้ไหม...นานะพยายามตั้งสติ พยายามพูดออกมาให้ตัวเองใจเย็นลง ก่อนจะนึกถึงเพื่อนสมัยมัธยมปลายที่ยังพอติดต่อกันอยู่บ้าง พอจำได้ว่ามีหลายคนที่มาทำงานในโซล แล้วก็มีบางคนที่กำลังเรียนหมออยู่ ซึ่งแน่นอนว่านั่นคือคนที่จะช่วยเหลือน้องเธอได้

     

    ขาเรียวรีบวิ่งออกมาจากห้องนอน ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายใบงามที่ถูกวางไว้เมื่อตอนเข้ามา นิ้วสวยเลื่อนหารายชื่อที่ต้องการแล้วกดโทรออกทันที

     

    “คริส! ตอนนี้นายอยู่ไหน ช่วยมาที่คอนโด X ได้ไหม? ขอร้องล่ะนะ! น้องชายฉันแย่แล้ว” นานะโทรศัพท์ไปหานักศึกษาแพทย์ที่เป็นเพื่อนคนหนึ่งของเธอ ขอให้เขามาช่วยพาจุนฮงไปโรงพยาบาล และช่วยหาหมอดีๆมารักษาจุนฮงที. . .

     

     

     

     

    ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่เป็นศูนย์รวมของผู้ป่วยมากมายหลายพันคน แม้มีคนมากมายรอรับการรักษาอยู่ แต่จะเรียกว่าร่างบางที่ป่วยอยู่ใช้สิทธิพิเศษก็ได้ ในเมื่อเพื่อนของพี่สาวเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกงานอยู่ที่นี่ เพื่อนเก่าของหญิงสาวช่วยอำนวยความสะดวกได้มาก ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาห้องพิเศษให้แอดมิด รวมไปถึงการรักษาพยาบาล

    “ขอบคุณมากนะหมอที่ช่วยดูจุนฮงให้” นานะที่นั่งมองการกระทำของคนเป็นหมออยู่กล่าวขึ้นหลังจากที่เห็นว่าเพื่อนตรวจเช็คอาการของน้องชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ภายในห้องพักพิเศษเสร็จเรียบร้อยแล้ว

     

    “เล็กน้อยน่ะ มันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว จุนฮงไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แค่ไข้หวัดใหญ่เพราะอยู่ในอากาศที่หนาวนานเกินไป แล้วก็พักผ่อนไม่เพียงพอจากความเครียดน่ะ เราให้ยาทางเส้นเลือดไปแล้ว น่าจะดีขึ้นเร็วๆนี้แหละ” ผู้ชายตัวสูงเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มประวัติของคนไข้เอ่ยออกมาด้วยโทนเสียงเข้มและส่งรอยยิ้มบางๆให้กับเพื่อนเก่าเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลกับอะไรมาก หมอคริสเป็นนักศึกษาแพทย์ที่กำลังฝึกงานภายในโรงพยาบาลแห่งนี้ และเป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายของหญิงสาวคนสวย

    “ยังไงก็ขอบคุณที่ไปช่วยพาจุนฮงมาโรงพยาบาลด้วยนะ”

     

    “ไม่เป็นไรหรอก เราต้องช่วยเหลือคนไข้อย่างสุดความสามารถอยู่แล้ว โชคดีที่เธอโทรมาตอนที่เรากำลังจะมาเข้าเวรพอดีก็เลยไปรับได้”

     

    “ความจริงฉันอยากให้นายหาอาจารย์หมอเก่งๆมารักษาจุนฮงมากกว่านะ แต่ก็เอาเถอะ เห็นว่าเป็นนาย อย่างน้อยก็พอช่วยได้เหมือนกัน”

     

    “คนไหนก็หมอเหมือนกันนั่นแหละ รักษาผู้ป่วยได้เหมือนกันครับ เพียงแต่เราประสบการณ์ยังน้อยน่ะ”

     

    “ยังไงก็ฝากน้องด้วยนะ” หญิงสาวยิ้มบางๆให้เช่นกัน ก่อนจะเดินเข้าไปหาน้องชายที่นอนหลับเพราะฤทธิ์ยาอยู่บนเตียงผู้ป่วย

     

    “จุนฮงโตขึ้นมากเลย จำได้ว่าเคยเจอตอนที่น้องอายุสิบขวบได้ล่ะมั้ง เกือบสิบปีแหน่ะ”

     

    ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่คนเป็นหมอจะกล่าวขอตัวออกไปทำงานของตนเพราะนี่เป็นเวลาเข้าเวรเฝ้าผู้ป่วยแล้ว

     

    ทันทีที่เพื่อนออกไป นานะก็แสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาที่คลอในตาสวยเพราะความเจ็บปวดที่เห็นคนในครอบครัวต้องมานอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้ นึกโทษตัวเองที่ไม่สามารถดูแลน้องได้ดีอย่างที่ตั้งใจมาตลอด

    “จุนฮงอ่า บอกพี่สิว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ บอกมาว่าทำไมถึงต้องมาป่วยแบบนี้...” หญิงสาวพูดเสียงสั่นเพราะความสงสารน้อง แค่ตอนที่มีพยาบาลเอาเข็มแหลมๆมาจิ้มที่แขนบาง เธอก็แทบจะทนดูไม่ได้แล้ว

     

    “พี่..ยะ..ยง..กุก...” จุนฮงพูดเบาๆเหมือนกับเพ้อ แต่คนเป็นพี่สาวที่ได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจไปแล้วว่าเจ้าของชื่อที่จุนฮงเอ่ยออกมาคือสาเหตุ...

     

    “จุนฮง พี่จะไปหาซื้อเสื้อผ้า แล้วก็กลับไปเอาของใช้จำเป็นที่ห้องนะ ตอนนี้ก็พักผ่อนซะนะ” หญิงสาวลูบหัวน้องชายเบาๆก่อนจะเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย

     

     

    เธอจะต้องติดต่อบังยงกุกอะไรนั่น จะต้องเอาเรื่องคนๆนั้นให้ได้!!

     

     

     

     

     

    หลังจากกลับจากการฉลองแบบเบาๆกับเพื่อนๆที่คณะ บังยงกุกก็ขับรถไปส่งซงจีอึนที่บ้าน  แล้วก็ขับรถมุ่งหน้ากลับคอนโดของตน

    ถนนหนทางเต็มไปด้วยสีขาวของหิมะ แต่ในเวลาที่ฟ้ามืดอย่างนี้ มันช่างดูอ้างว้าง แล้วก็หนาวเกินไปที่จะเดินไปตามทางเพียงลำพัง. . .

     

    Rrrrrrr

    เสียงโทรศัพท์เรียกให้เขาเบนความสนใจจากท้องถนน ซึ่งหลังจากเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามาก็ทำให้เขาหงุดหงิดได้ไม่น้อย

    มันใช่เวลาไหม?

     

    Choi Junhong

     

    “มีอะไร” เสียงทุ้มห้วนกล่าวออกมา

     

    “บังยงกุกใช่ไหม? ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย ฉันขอสั่งไปเจอกันที่ร้านกาแฟใต้คอนโดภายในสามนาที” เสียงหวานดุจากปลายสายสร้างความแปลกใจให้ไม่น้อย ทำให้มือหนาต้องยกโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อนำมาดูอีกครั้งว่าใครเป็นคนโทรมากันแน่

    นั่นไม่ใช่เสียงจุนฮง แต่กลับเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง. . .

     

    “แล้วทำไมผมต้องไปด้วย”

     

    “ฉัน ชเวนานะ เป็นพี่สาวแท้ๆของจุนฮง และต้องการคุยกับนาย! คนที่ทำให้น้องชายคนเดียวของฉันต้องเป็นแบบนี้!

    สิ้นน้ำเสียงที่ฟังดูเด็ดขาด คนที่บอกว่าตัวเองเป็นพี่สาวของจุนฮงก็ตัดสายไปทันที ไม่รอให้ยงกุกได้ถามหรือเถียงอะไรเลย

    “สรุปคือต้องไปใช่ไหมวะ?” ชายหนุ่มทำเพียงส่ายหน้ากับการมัดมือชกของหญิงสาวก่อนจะเร่งความเร็วของรถเพื่อให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น

     

                ทันทีที่ก้าวเท้าลงมาจากรถ นิ้วเรียวก็กดโทรหาเบอร์ที่เคยคุ้น รอเพียงไม่นานก็มีเสียงจากปลายสายตอบรับ และบอกตำแหน่งโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ บังยงกุกเดินเข้าไปในร้านอย่างปกติที่เคยทำ มองหาโต๊ะตามที่คู่สนทนาบอก

    “ชเวนานะ?” ยงกุกเอ่ยถามกับผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโต๊ะเพียงคนเดียว ซึ่งฟังดูไม่สุภาพเท่าไหร่ในการพูดกับคนที่อายุมากกว่าและเพิ่งเจอกันครั้งแรก

    หญิงสาวคนนี้มีเส้นผมยาวสลวยสีคาราเมลอ่อน ใบหน้าสวยคม ดวงตาโฉบเฉี่ยวด้วยเครื่องสำอาง รูปร่างผอมเพรียวและน่าจะสูงทีเดียว

    เท่าที่พอจะนึกได้ลางๆ คนที่อยู่ข้างห้องเคยบอกเมื่อนานมาแล้วว่ามีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง อายุห่างกันเท่าไหร่เขาเองก็จำไม่ได้ แต่ดูจากใบหน้าและรูปร่างแล้วคงไม่ห่างจากตัวเขามากเท่าไหร่นัก

    หญิงสาวก้มมองดูนาฬิกาข้อมือเรือนหรูก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบออกมาว่า “นายสายนะ”

     

    “นั่งสิ และกรุณาสุภาพกับฉันด้วย เพราะฉันอายุมากกว่าที่นายคิด” เจ้าของเสียงหวานแหลมเอ่ยขึ้นเพราะรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดและท่าทางของผู้ชายตรงหน้า

    คนๆนี้น่ะหรอ บังยงกุก...

     

    “แล้วคุณเรียกผมมาทำไม?” ร่างโปร่งไม่รอช้าและรีบเปิดประเด็นทันที

     

    “นายรู้ตัวบ้างไหมว่าทำอะไรลงไป! รู้ตัวบ้างไหมว่านายทำให้น้องชายคนเดียวของฉันป่วยจนเกือบตาย!” ฝ่ายหญิงสาวเองก็ไม่รอช้าเช่นกัน ในเมื่ออยากได้คำตอบ เธอก็จะทำให้คนนี้ๆรู้สึกผิดมากเท่าที่จะทำได้

     

    “นาย! เป็นคนที่จุนฮงสนิทและไว้ใจ แทบจะเป็นคนเดียวที่จุนฮงรู้จักนอกจากเพื่อนๆที่โรงเรียน ฉันเองก็ได้ฟังจุนฮงเล่าตลอดว่านายดีอย่างนั้นดีอย่างนี้!” สาวสวยตรงหน้าเริ่มใส่อารมณ์มากขึ้นในทุกคำพูด ทำเอาบังยงกุกเองสงสัยไม่น้อยว่าเขาไปทำอะไรให้เธอโกรธแค้นใจนักหนา

     

    “เดี๋ยวครับ คือช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมคุณถึงมานั่งต่อว่าผมปาวๆแบบนี้” เสียงทุ้มต่ำถามด้วยความฉงนและใบหน้าที่เรียบนิ่ง

     

    “ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าต้นสายปลายเหตุมันเป็นยังไง จุนฮงเอาแต่ร้องไห้แล้วก็พูดแค่ชื่อนาย พอฉันถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ก็บอกว่าพี่ยงกุก! แล้วตอนนี้น้องชายของฉันก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาล!!” นานะตอบกลับด้วยความเดือดดาล ไม่พอใจที่คนตรงหน้าไม่รู้สึกอะไรเลย อาจจะเพราะว่าทั้งเขาและเธอต่างไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงก็เป็นได้ นานะรู้แค่ว่ายงกุกทำให้จุนฮงต้องเสียใจ ส่วนยงกุกก็เหมือนถูกกล่าวหาในสิ่งที่ไม่ได้ทำ เพราะไม่รู้ถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

     

    “ถ้าน้องชายฉันเป็นอะไรไป ฉันไม่เอานายไว้แน่ บังยงกุก!” หญิงสาวพูดพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาสีรัติกาลของชายตรงหน้าอย่างไม่กลัวเกรง สายตาที่ดูดื้อรั้นนั้นดูเหมือนกับจุนฮงไม่มีผิด แต่ผู้หญิงคนนี้มีความดุดันแฝงอยู่ซึ่งเด็กคนนั้นไม่มี สายตาขอเธอเหมือนบอกกับเขาว่าเกลียดจนไม่อยากจะเจอหน้าเขาอีกแล้วตลอดชีวิตนี้

     

    “คือผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไปทำอะไรให้จุนฮงต้องเป็นแบบนี้น่ะ” เริ่มใส่อารมณ์บ้างเล็กน้อย การที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดแต่ต้องมาโดนคาดโทษแบบนี้เป็นสถานการณ์ที่ร่างสูงไม่ชอบเอาเสียเลย

     

    “นึกดีๆสิยงกุกว่าตัวเองเป็นยังไง ไตร่ตรองให้ดีว่าทำอะไรลงไป!” เสียงของหญิงสาวตวาดขึ้นหลังจากได้ฟังประโยคที่ฟังแล้วไม่เข้าหูเอาเสียเลย การที่พูดเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีความผิดนั้นมันทำให้อารมณ์โกรธของคนเป็นพี่สาวพุ่งสูงขึ้นจนเกือบจะถึงขีดจำกัดของความอดทน

     

    ถ้าตื่นแล้วก็ไตร่ตรองให้ดีว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไป . . .  มีอะไรอยากรู้ก็โทรมาถามเพราะกูอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ

     

    ฉับพลัน ข้อความของฮิมชานก็แล่นเข้ามาให้หัวของชายหนุ่ม

    ไตร่ตรองให้ดีว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไป. . .

     

    เมื่อคืน เขานั่งคุยกับฮิมชานมากมายหลายเรื่องเท่าที่พอจะนึกออก ณ เวลานั้น เท่าที่จำได้ก็คือเรื่องของจีอึน ซดโซจูไปเกือบสามขวดได้มั้ง แล้วเขาก็จำไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น. . .

    มันบอกว่าถ้าอยากรู้ก็ให้โทรไปถามใช่ไหม เขาก็คงจะต้องทำอย่างนั้น. . .

     

    “ผมขอตัวสักสิบนาทีนะครับ” ว่าก่อนจะลุกออกจากโต๊ะไปด้านนอกร้าน ต่อสายหาคนที่อยู่ในเหตุการณ์และน่าจะสามารถบอกทุกอย่างได้ดีในตอนนี้

     

    รอเสียงสัญญาณเพียงไม่นานปลายสายก็รับ “ว่าไงครับคุณบัง”

     

    “เล่ามาให้หมด เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น กูทำอะไร แล้วจุนฮงทำไม ตอนนี้พี่สาวเขากำลังจะฆ่ากูอยู่แล้ว โดยที่กูไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากูทำอะไรผิด!” คนที่ไม่รู้การกระทำของตนเอ่ยถามทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว

     

    “เรื่องมันยาวนะ...”

     

    “ไอ้เหี้ย อย่ามาลีลา มึงรีบๆเล่ามา ขอแบบรวบรัดภายในสิบนาที”

     

    “ทำไมมึงถึงชอบกำหนดเวลากับกูจังวะยงกุก”

     

    “ถ้ามึงไม่รีบเล่า..”

     

    “เออกูเล่าแล้ว! หลังจากที่เมื่อคืนมึงเมาเป็นหมา น้องจุนฮงก็เข้ามาในห้องมึง ท่าทางเหมือนจะมาขอความช่วยเหลืออะไรสักอย่างซึ่งกูก็ไม่รู้หรอกนะว่าคืออะไร...”

     

    “อืม...”

     

    “พอน้องเขาทักทาย กูก็ทักทายเขาไปตามมารยาทที่ดีของคนหล่อ”

     

    “กูขอเนื้อหาครับ”

     

    “มึงก็โวยวายเหมือนหมาบ้า ไปพูดว่าจุนฮงจะมาทำไม คิดว่าจะมาเมื่อไหร่ก็ได้หรือไง น้องเขาก็พยายามอธิบายนะ แล้วก็เหมือนจะบอกเหตุผลที่มาหามึงด้วย แต่มึงก็ไปตวาดใส่น้องเขาปาวๆ แล้วก็เอาแต่ไล่น้องออกไป หลังจากนั้นน้องเขาก็คงโกรธล่ะมั้งที่มึงไปพูดจาแบบนั้น พาดพิงถึงกูกับจีอึนอีกต่างหาก แล้วก็ขว้างคีย์การ์ดใส่หน้ามึงเลย แต่โชคดีที่มันมาไม่ถึง ไม่งั้นมึงอาจจะตาบอดไปแล้ว โหขอบอกว่าอย่างกับดูละครฉากดราม่าอะ.. เฮ้ยแล้วนี่ฟังอยู่หรือเปล่าวะ?... ฮัลโหล?..ฮัล.....”

     

    ยังไม่ทันที่จะฟังได้จบประโยคดี บังยงกุกก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในร้านเพื่อหาคู่สนทนาคนเดิม เธอยังคงนั่งอยู่ และรอคำตอบของคำถามนั้น ทันทีที่ยงกุกทรุดตัวนั่งลงหญิงสาวก็พูดออกมาว่า

    “อธิบายฉันมาว่าทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้น?” นานะยังคงจ้องหน้ายงกุกด้วยสายตาเอาเรื่อง เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงเรียบ ในตอนที่คู่กรณีออกไปโทรศัพท์เธอก็พยายามควบคุมสติให้สงบลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่ตอนนี้ยงกุกนั้นเริ่มมีอาการกระวนกระวายใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

     

    “มันเป็นความผิดของผมเองครับ.. ผม...ผมขอโทษ...”

     

    “หยุดพูดคำว่าขอโทษแล้วบอกฉันมาว่านายทำอะไรลงไป!!” เสียงหวานตวาดขึ้นทันทีหลังจากได้ยินประโยคที่เอ่ยขอโทษจากอีกฝ่าย

     

    “ผมคงเมามาก แล้วจุนฮงคงจะมาหาผมที่ห้อง อาจจะมาขอความช่วยเหลืออะไรสักอย่าง แต่ผม..ต่อว่าจุนฮง แล้วก็เอาแต่ไล่เขาออกไป..”

     

    “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วล่ะ...” เสียงเรียบของหญิงสาวเอ่ยขึ้น เธอเข้าใจทุกอย่างแล้ว และโกรธผู้ชายคนตรงหน้ามาก มากที่สุด โกรธจนอาจจะเกลียดเลยเสียด้วยซ้ำ

     

    “ฉันจะบอกอะไรให้อย่างนึงนะ เมื่อคืน ฮีตเตอร์ที่ห้องจุนฮงเสีย แล้วน้องชายฉันต้องทนหนาวอยู่ในห้องทั้งคืนจนป่วยแบบนี้ เพราะเขาขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้เลย...” นานะจ้องหน้ายงกุกด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาแล้วลุกออกจากร้านไป

     

    “ฉันไม่ยกโทษให้! และนับตั้งแต่นี้ไป นายอย่าได้มายุ่งกับชีวิตของน้องชายฉันอีก จำไว้!!

     

     

    หลังจากหญิงสาวคู่สนทนาลุกออกไป คนมีความผิดก็นั่งทบทวนการกระทำของตัวเองอยู่พักใหญ่

    เสียใจหรอ? ก็ไม่เท่าไหร่... ในเมื่อเขากับจุนฮงไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำไมจะต้องเสียใจด้วย แต่ความรู้สึกหน่วงๆภายในใจนี่มันคืออะไร เขาก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เสียที. . .

     

     

     

     

                ภายในห้องพักผู้ป่วย เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกตัว ความเจ็บแปลบที่มือซ้ายเรียกให้เปิดตาไปดูแล้วพบว่าเป็นสายน้ำเกลือที่ทิ่มเนื้อเขาอยู่ กลิ่นยาชวนให้เวียนหัวเจืออยู่ในอากาศ แต่ภายในห้องอบอุ่นเพราะการทำงานอย่างดีของระบบเครื่องทำความร้อนภายในโรงพยาบาลสำหรับหน้าหนาวนี้

    “อื้อ..” เสียงแหบแห้งครางเบาๆเรียกให้คนเป็นพี่สาวละความสนใจจากผลไม้ภายในมือที่กำลังปอกอยู่

     

    “เป็นไงบ้างจุนฮง” นานะเข้ามาถามไถ่อาการพลางลูบเส้นผมของคนเป็นน้อง จัดการรินน้ำใส่แก้วใสที่วางอยู่ใกล้ๆแล้วส่งให้ร่างขาวจัดที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ได้ดื่มดับกระหาย

     

    “โอเคขึ้นนิดนึงแล้วครับ” คนป่วยสามารถพูดตอบได้โดยไม่ต้องพยายามเค้นเสียงออกมามากอย่างที่เคยทำ ซึ่งนั่นทำให้คนเป็นพี่สาวรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย

     

    “แล้ว... พี่นานะอยู่เฝ้าผมคนเดียวเลยหรอครับ ไม่มีใครมาเยี่ยมผมบ้างเลยหรอ?”

     

    “ก็แน่นอนสิ พี่นอนเฝ้าแกทั้งคืน”

     

    “แล้ว.. พี่ยงกุก...”

     

    “ไม่ต้องพูดถึงชื่อนั้นให้พี่ได้ยินอีกนะจุนฮง พี่ขอพูดตรงนี้เลยว่าพี่เกลียดคนที่ทำให้น้องพี่ต้องเป็นแบบนี้!

     

    “มันไม่ใช่ความผิดของพี่เขาอย่างเดียวสักหน่อยนะครับ...”

     

    “ยังจะปกป้องมันอีก! ดูสภาพตัวเองหน่อยเถอะ รู้บ้างไหมว่าร้องไห้ไปมากเท่าไหร่?”

     

    “ผม...” เสียงแหบอ้ำอึ้งเพราะไม่สามารถจะแก้ตัวในสิ่งที่เกิดขึ้นได้

     

    “พักผ่อนเถอะนะ อะไรที่ทำให้ต้องเจ็บก็อย่าไปนึกถึงมันเลย” คนเป็นพี่สาวบีบมือน้องเบาๆเพื่อให้กำลังใจ เด็กหนุ่มเองก็ทำเพียงแค่มองใบหน้าเจ้าของฝ่ามือด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลออยู่

     

    จุนฮงเสียใจมากในสิ่งที่พี่ชายข้างห้องทำกับเขา ไม่เคยเจ็บปวดได้มากเท่าครั้งนี้ ความรู้สึกที่มันทั้งเจ็บปวดและทรมานจนเหมือนมีมีดมากรีดลงบนหัวใจ จากการกระทำและคำพูดของคนที่ตัวเองรัก...

    แต่ร่างบางก็ยังคงรักและคิดถึงคนที่เคยห่วงใย พี่ยงกุกที่อบอุ่นและใจดี. . . หวังว่าเขาคนนั้นจะกลับมาเป็นพี่ชายคนเดิมกับเมื่อตอนฤดูร้อนแรกที่เราทั้งสองคนพบกัน...

     

    ถ้าความรักทำให้ทุกข์ทรมานมากนัก จุนฮงก็ควรหยุดมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ แม้ว่ามันจะยากลำบากสักเพียงใด ก็คงจะดีกว่าการที่ต้องจมปลักกับความเจ็บปวดนี้ไปตลอดกาล. . .

     

    พ รุ่ ง นี้ . . . จ ะ เ ป็ น เ ห มื อ น เ ดิ ม . . .

    พ รุ่ ง นี้ . . . น้ำ ต า จ ะ ห ยุ ด ไ ห ล . . .

     

     

    그리고 하나 이것만 기억해요 그대만이라도 제대로 살아줘요

    และยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ฉันจะจดจำมันไว้ แม้ว่าคุณจะมีชีวิตอยู่โดยลืมทุกสิ่งไปแล้วก็ตาม

    혹시나 혹시나 그대도 한번 살다가 살다가 적어도 한번

    บางครั้ง อาจมีบางครั้งในชีวิตคุณก็รู้สึกเช่นเดียวกันฉัน ในช่วงชีวิตของฉัน ขอให้มีอย่างน้อยสักครั้ง

    가끔은 생각에 가슴 시린 날이 있나요 혹시나 살다가 적어도 한번쯤

    ที่หัวใจดวงนั้นของคุณจะเจ็บปวดเพราะคิดถึงฉัน ฉันขอโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตของคุณก็พอ





    -To be continue-

    .

     

    TORMENT WINTER PART 2



    wahneun:
    ยาวโคตร. . . =_=
    นี่เป็นความรู้สึกแรกหลังจากแต่งได้ครึ่งเรื่อง
    เมื่อไหร่จะเสร็จ. . . TT^TT
    นี่เป็นความรู้สึกหลังจากรีไรท์รอบแรกได้ครึ่งเรื่อง
    ในที่สุด...เสร็จแล้วนะ TT______________________________TT
    นี่เป็นความรู้สึกหลังจากกดโพสลงเด็กดี
    พูดเลยว่าพาร์ทนี้มันยากมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายให้สละสลวย การใส่ความรู้สึกลงไปในแต่ละประโยค แต่รักที่จะทำค่ะ ; A ;
    มีเพื่อนหลายคนที่ให้ความช่วยเหลือในการให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษา
    มีกำลังใจดีๆที่ทำให้ฮึดสู้ได้อย่างคอมเม้นและไรเตอร์ที่ตัวเองชอบ ;w;
    ขอกราบขอบพระคุณตรงนี้ค่ะ TTwTT
    ขอบคุณทุกๆคนที่รอคอยค่ะ และขอโทษถ้าเกิดว่าทำให้ผิดหวังนะคะ TT__TT
     
    รู้มั๊ยว่าเราต้องค้นหาบอยแบรนด์เกิลกรุ๊ปกี่คนกว่าจะได้คนที่ตรงคาเรคเตอร์พี่ของจูตามที่เราวางไว้ TT^TT
    แทบจิพลิกแผ่นกูเกิ้ล(?)!! มีหลายคนที่อิมเมจดูเหมาะ แต่ที่เป็นอิมนานะอาฟเตอร์สคูลด้วยเพราะความชอบส่วนตัวเล็กน้อยค่ะ ฮิ๊งงงงง ;w;
    เข้าใจกันใช่ไหมคะว่าทำไมถึงต้องเป็นชเวนานะ ก็เขาเป็นพี่น้องกันอะ –w-
    อย่าโกรธเกลียดเคียดแค้นจีอึนนะคะ ก็แค่เห็นนางออกเพลงใหม่ แล้วก็สวยดี
    แล้วคือนางมาดีนะคะนะ ;v;
     
    บีจีมิวสิคคือมีเป็นเพลย์ลิสค่ะบอกเลย เพลงไหนเศร้าขอให้บอก แต่ที่ยกคือรีโกฮานาขึ้นมาเพราะใช้เป็นเนื้อหาฟิคด้วย
    แล้วคือตัดสินใจแต่งเพราะเพลงนี้ค่ะ มันฟังแล้วเจ็บปวดจริงๆนะ ไม่รู้คิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า TTATT
    แล้วเรื่องคำแปลเพลงนี่คือมาจากหลายที่มากๆ ขออนุญาตตรงนี้เลยนะคะ


    ละโปสเตอร์ที่อยู่หน้าบ้านขอบอกเลยว่าทำนานมากอะมากจริงๆ ตั้งใจสุดๆเพราะไม่ได้จับงานโฟโต้ชอปมานานมากๆแล้ว
    ก็เอาแค่พอให้ดูมีอะไรอะค่ะ 5555555555555 ทอร์เม้นวินเทอร์เป็นพาร์ทสำคัญ ฉะนั้นมันต้องพิเศษ ;w;

     
    พาร์ทต่อไปจะแฮปปี้ จะมีความสุขแล้วค่ะ แต่ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่นะ นี่เป็นฟิคมาราธานค่ะบอกเลย TT____________________TT
    ขอให้มีความสุขกับฟิคค่ะ คิดเห็นยังไงติดแท็ก #ทมวท มาคุยกันในทวิตเตอร์ได้นะคะ ^^
     


    © Tenpoints!
      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×