คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 05 Days ♡
05 Days ♡
#เพื่อนรักเตียงสั่น
ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเริงรมย์สนุกสนาน กลิ่นอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมแท้ๆลอยมาเตะปลายจมูกจนทำให้ใครหลายคนต่างทำหน้าเคลิบเคลิ้มเพราะกำลังมีความสุขกับอาหารแสนอร่อยมื้อเที่ยง อีกทั้งยังเสียงเพลงคลาสสิคเพราะๆฟังสบายๆที่ทางร้านเปิดบริการเพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ให้กับลูกค้า ทำให้บรรยากาศในร้านชิบูย่าในเวลานี้ช่างตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุขเสียเหลือเกิน..หรอ??
ใช่สิ! สำหรับคนอื่นอาจจะมีโดยเฉพาะคนตัวเล็กสองคนที่นั่งข้างๆเขาตอนนี้ที่ดูท่าว่าจะมีความสุขมาก!
แต่สำหรับปาร์คชานยอลแล้วบอกเลยว่ามันเป็นอะไรที่ห่วยแตกที่สุดในชีวิต..
ปาร์คชานยอลเกลียดอาหารญี่ปุ่น!
ปาร์คชานยอลไม่ชอบคำว่าร้านอาหารญี่ปุ่น!
และที่สำคัญที่สุดคือปาร์คชานยอลเกลียดอาหารญี่ปุ่นร้านนี้ที่สุด!
“ที่รักคะ~ ทานอันนี้เยอะๆนะคะเดี๋ยวอปป้าตักให้”
“อปป้าครับ~ ทานอันนี้เยอะๆนะครับ จะได้โตไวๆเดี๋ยวพยอนตัวเล็กป้อนนะครับ”
ครับ..ก็อย่างที่พวกคุณได้ยินนั่นแหละตอนนี้พยอนแบคฮยอนเพื่อนรักของผมกับปาร์คจินกิหรือเจ้าเด็กเลโอหลานชายสุดที่รักของผมกำลังนั่งป้อนเจ้าข้าวปั้นก้อนกลมๆหน้าตาหน้าเกลียดสลับกันไปมา
หึ..ก็แค่ข้าวปั้นหน้าตาประหลาดๆไม่เห็นจะน่ากินตรงไหน แต่เจ้าเด็กนั่นก็อ้าปากรับเอาๆคิดว่าผมอิจฉาหรือไงกันที่หมอนั่นได้นั่งตักพยอนแบคฮยอนแถมยังได้พยอนแบคฮยอนเป็นคนป้อนอีก..
บอกไว้เลยผมปาร์คชานยอลไม่เคยอิจฉาหรอกนะ!
“นี่ๆไอ้ประธาน ตะเกียบน่ะเค้ามีไว้ให้คีบอาหารเข้าปากนะครับ ไม่ได้มีไว้ให้มึงหักเล่นแบบนี้ ทรัพยากรอันมีค่ายิ่งของโลกก็ควรช่วยกันอนุรักษ์นะครับมึงไม่รู้หรือไง”
“เพราะตะเกียบมันทำมาจากต้นไผ่ แล้วถ้ามึงหักเล่นก็จะทำให้เราต้องตัดต้นไผ่เพิ่มมากขึ้น ทำให้แย่งอาหารของพวกแพนด้า แล้วแพนด้าก็จะต้องอดอาหารจนดับอนาถไปในที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าหวงหรือโมโหใครก็บอกเค้าไปตรงๆสิครับมึง ไม่ใช่มาลงกับตะเกียบที่ทำมาจากอาหารของแพนด้าจนหักเป็นกองภูเขาไฟฟูจิแบบนี้..”
โอเซฮุนวางตะเกียบในมือลงกับถ้วยข้าวเสียงดัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนรักตัวสูงที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความจริงจัง ก็ไอ้ประธานมาดขรึมเล่นหักตะเกียบดังเป๊าะๆไม่หยุดตั้งแต่มันหย่อนตูดนั่งลง จนทำให้พวกเขาต้องลำบากคอยเรียกพนักงานเอาตะเกียบมาเปลี่ยนให้ชุดแล้วชุดเล่า แล้วแบบนี้ใครมันจะไปทนไหวล่ะครับ..
โอเซฮุนก็เลยต้องหาเรื่องแกล้งเพื่อนรักจอมปากแข็งอย่างหมอนี่เสียหน่อย J
“หวงบ้านพ่องสิ! แค่หมาเตี้ยขาสั้นตัวเดียว แถมหน้าตาน่าเกลียดชะมัด มึงคิดว่าหล่อๆอย่างกูจะสนใจรึไง! อีกอย่างที่กูหักตะเกียบก็เพราะอยากเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อของนิ้วทั้งสิบของกู เพื่อเอาไว้ลูบไล้สาวๆอวบๆอึ๋มๆ กูผิดรึไง..”
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยใส่ใจกับมันเท่าไหร่นัก ก็แน่ล่ะจะไปใส่ใจทำไม ในเมื่อเรื่องของพยอนแบคฮยอนมันไม่ได้ทำให้ปาร์คชานยอลผู้หล่อเหลาคนนี้สะทกสะท้านได้เลยสักนิด จะไปอี๋อ๋อกับใครก็เรื่องของมันดิ
แค่หมาขาสั้นหน้าตาน่าเกลียดตัวเดียว บอกเลยว่าปาร์คชานยอลผู้หล่อเหลาไม่เคยแคร์!
“แน่ใจว่าไม่ได้หวง? เมื่อกี้รู้สึกว่าตอนถามมึงกูไม่ได้ระบุนะว่ามึงกำลังหวงใครไอ้ประธาน งั้นก็แสดงว่าจิตใจของประธานปาร์คผู้หล่อเหลาคงกำลังจดจ่ออยู่กับหมาขาสั้น หน้าตาน่าเกลียดอยู่ตลอดเวลาสินะ หึ ไม่เนียนแล้วมึงอ่ะ ไอ้ขี้เก็ก!”
โอเซฮุนยักคิ้วสองสามทีพลางยกยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างล้อเลียน อีกทั้งยังเพื่อนๆทุกคนที่นั่งอยู่รอบๆโต๊ะต่างก็ยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นหัวเราะกันยกใหญ่ นั่นทำให้ประธานมาดขรึมได้แต่กำหมัดกัดฟันกรอดๆก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดัง จนทำให้ซูชิที่เพื่อนๆพึ่งกินเข้าไปแทบพุ่งออกมาจากปาก
“เออถ้ากูจะหวงแล้วไงวะ!”
“ในเมื่อพยอนแบคฮยอนเป็นเมียกู กูที่เป็นผัวแท้ๆเนี่ยไม่มีสิทธิ์จะหวงรึไง!”
“แล้วมึง! ได้กูเป็นผัวแล้วยังจะกล้าไปอ่อยผู้ชายคนอื่นอีก แบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“หรือมึงจำไม่ได้แล้วว่าในรถเมื่อเช้าเราจัดไปกี่ท่าแล้วท่าอะไรบ้าง หึ คงอยากจะให้กูรื้อฟื้นความจำสินะ ได้เลยเดี๋ยวกูจะจัดให้แมร่งคลานไม่ไหวเลยคอยดู พยอนแบคฮยอน!”
“!!”
พูดจบก็ลากคนตัวเล็กที่ได้แต่นั่งหน้าเหวอออกมาจากห้องทันทีด้วยความโมโห หงุดหงิด หรืออะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ที่รู้ๆคือถ้าให้นั่งอยู่ในห้องนั้นต่ออีกแค่วินาเดียว ปาร์คชานยอลจะต้องอกแตกตายแน่ๆ
“เห้ย! ไอ้จอกแล้วนั่นมึงจะไปไหนวะ?”
“ตามไปดูไอ้ประธานกับหมาซัมบาราเห้กัน กูเตรียมกล้องมาด้วยนี่ไง..”
“!!”
ครับ..ในที่สุดอาหารญี่ปุ่นที่เตรียมจะพุ่งพรวดออกมาจากปากเพื่อนๆตั้งแต่รอบไอ้ประธาน คราวนี้มันก็ได้พุ่งออกมาจริงๆเพราะคำพูดและสีหน้าอันตื่นเต้นของคิมมินซอกนี่แหละครับ
ใครก็ได้บอกอู๋ที..ว่าเพื่อนของอู๋แต่ละคนมันยังปกติดีอยู่ -_____-
ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนจะสุนทรีย์ภายในปอร์เช่พานาเมร่า S 2010 สีดำสุดหรูในตอนนี้ช่างเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเสวนาของคนตัวเล็กสาม ทว่าสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆจ้องหน้ากันไปมา ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เพราะทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงรังสีอะไรบางอย่างที่แพร่ออกมาจากตัวโชว์เฟอร์สุดหล่อที่เอาแต่ตั้งใจบังคับพวงมาลัยรถอย่างเต็มที่โดยไม่คิดที่จะตอบคำถามของลูกเรือตัวน้อย แม้กระทั่งลูกหมาตัวน้อยที่นั่งกระพริบตาปริบๆอยู่ข้างๆที่พยายามใช้ลูกอ้อนต่างๆนาๆก็ไม่เป็นผล
“โย่ง~ หิวไหม? กูเห็นมึงยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ม่ะ อ่ะนี่แซนวิชเมื่อเช้ายังเหลืออยู่เดี๋ยวกูป้อนนะ”
ลูกหมาตัวน้อยกระพริบตาปริบๆพลางยื่นแซนวิชทูน่าไปจ่อที่ริมฝีปากอิ่มอย่างออดอ้อน ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้ใบหน้าคมคายมีปฏิกิริยาตอบกลับมาอยู่ดี จะมีก็แต่เสียงถอนหายใจออกมาหนักๆราวกับกำลังรำคาญเท่านั้น ซึ่งมันทำให้ลูกชายคนเล็กของเจ๊พยูนรู้สึกใจเสียไม่น้อย
เพราะปกติถ้าปาร์คชานยอลงอน แค่เขาง้อหรือเอาใจนิดหน่อยหมอนี่ก็หายแล้ว แต่นี่มันปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่ปาร์คชานยอลเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาแบบนี้ ท่าทางคราวนี้จะงอนหนักเอาการ..
แล้วลูกชายคนเล็กของเจ๊พยูนจะง้อยังไงดีล่ะที่นี้..
“โย่ง~ กูง่วงอ่ะ ขอนอนหน่อยนะ~”
ลูกหมาตัวน้อยเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มผืนเล็กลายหมาน้อยมาจากเบาะหลัง ก่อนที่จะยกขึ้นคลุมจนถึงไหล่แล้วค่อยๆเอียงหัวซบลงบนไหล่แกร่งเบาๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ปาร์คชานยอลสนใจได้เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งปรายตามองก็ไม่มีด้วยซ้ำ
“โย่ง~ กูจะนอนจริงๆแล้วนะ..”
เอ่ยเสียงเบาพลางเอียงคอจ้องหน้าอีกคนที่เอาแต่ทำหน้านิ่ง จ้องแบบนั้นอยู่สักพักจนแน่ใจแล้วว่าแผนง้อคราวนี้คงจะล้มเหลวอีกตามเคย ลูกหมาตัวน้อยจึงค่อยๆยกศีรษะขึ้นจากไหล่แกร่งทีละนิดๆพลางพรูลมหายใจออกมาเบาๆด้วยความกังวล ทว่า..
“อยากนอนก็นอนดิ ก็ไม่เห็นมีใครห้าม..”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาลอยๆในขณะที่ฝ่ามืออุ่นๆข้างซ้ายละออกมาจากพวงมาลัยรถแล้วยกขึ้นกดหัวทุยๆให้ซบลงกับไหล่ของตนเช่นเคยโดยที่หน่วยตาคมยังคงจดจ้องไปยังถนนตรงหน้าทำเป็นไม่ใส่ใจ ทว่าการกระทำที่สวนทางกับคำพูดราวฟ้ากับเหวนั้น มันกำลังทำให้ริมฝีปากระเรื่อแทบจะหุบยิ้มไม่ได้
“มึงก็รู้ว่ากูนอนไม่หลับถ้า.. / เออๆ ที่กูยอมทำเพราะกลัวว่าลูกหมาแถวนี้จะไม่โตหรอกนะ”
คำพูดที่ตรงข้ามกับการกระทำโดยสิ้นเชิงนั้นทำให้คนตัวเล็กแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เพราะตอนนี้ฝ่ามืออุ่นๆกำลังยกขึ้นลูบเรือนผมนิ่มเบาๆ ตามด้วยริมฝีปากอุ่นๆที่ประทับลงบนกระหม่อมบางอย่างอ่อนโยน ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ทาบทับอยู่นานเหมือนเช่นทุกๆวัน แต่คนตัวเล็กก็สามารถรับรู้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนที่อีกคนกำลังมอบให้ได้เป็นอย่างดี
และการกระทำแบบนี้มันก็ทำให้เขาหลับสนิทและฝันดีในทุกๆครั้ง..
“มึงหายงอนกูแล้วหรอ? กูขอโทษนะที่วันนี้.. / พอเถอะ..ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ถ้ากูมันสำคัญพอ วันนี้มึงก็คงไม่ทำแบบนี้ นั่นสินะ ถ้ากูสำคัญพอสำหรับมึง มึงก็คงไม่ลืมสัญญาของเรา..”
เอ่ยเสียงเบาราวกับกำลังตอกย้ำความรู้สึกน้อยใจของตัวเองให้มากขึ้นไปอีก แต่ถึงจะรู้สึกน้อยใจอีกคนมากแค่ไหนปาร์คชานยอลมันก็ทำได้แค่นี้แหละ ในเมื่อความรู้สึกอย่างอื่นที่มีให้กับอีกคนมันมากกว่า..
และที่สำคัญเขามันก็ลูกผู้ชายแมนๆคนหนึ่งซึ่งจะให้มาทำเป็นน้อยอกน้อยใจมันก็ไม่ใช่เรื่อง ถึงจะน้อยใจในตอนแรกที่คนตัวเล็กไม่ยอมทำตามสัญญาเรื่องนั่งตักบ้างก็เถอะ แต่แค่ลูกหมาตัวน้อยทำหน้าออดอ้อนแล้วพยายามหาวิธีง้อเขาไม่หยุดแบบนี้ มันก็ทำให้ปาร์คชานยอลหายงอนตั้งแต่แรกแล้วล่ะ แต่ว่าที่ทำเป็นงอนไม่เลิกแบบนี้..
ก็แค่ต้องหาผลกำไรให้หัวใจได้ชุ่มชื้นเสียหน่อย แค่นั้นเอง.. J
“ยอล~ ป๋ายขอโทษ.. ขอโทษจริงๆนะ”
กระซิบเบาๆที่ข้างใบหูพอให้ได้ยินเพียงแค่สองคนพลางยื่นริมฝีปากไปจุ๊บซอกคอหอมกรุ่นเบาๆอย่างออดอ้อน ทำให้ริมฝีปากหยักแทบจะกลั้นยิ้มไม่อยู่ ลูกหมาตัวน้อยของเขาทำตัวน่ารักเกินไปแล้ว..
นี่ถ้าเกิดอดใจไม่ไหว พาแวะข้างทางหรือไม่ก็จัดการบนรถต่อหน้าอี้ชิงกับมินซอกแล้วจะแย่..
“นี่จะไม่หายงอนจริงๆหรือไง? คนเค้าอุดส่าง้อตั้งนานไอ้บ้า!”
เมื่อคิดว่าแผนง้อของตัวเองไม่สำเร็จ ลูกหมาตัวน้อยจึงกระเด้งตัวลุกขึ้นจากไหล่แกร่งพลางทำปากคว่ำอย่างงอนๆแล้วยกหมัดขึ้นต่อยแขนแกร่งเบาๆสองสามทีด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันหลังให้คนใจร้ายแล้วเอนศีรษะซบลงกับเบาะ นั่นทำให้ปาร์คชานยอลถึงกับกลั้วหัวเราะเบาๆในลำคอ ยามที่เขาทอดมองไปยังแผ่นหลังบอบบางของลูกหมาตัวน้อยที่คงจะกำลังงอนเขาอยู่มากโข
ใครบอกว่ายอลยังไม่หายโกรธกัน..
แต่ที่ไม่ยอมเล่นด้วยเพราะกลัวว่าจะอดใจไม่ไหวต่างหากหมาน้อย..
“อ่อนว่ะ ตัวเองง้อไม่สำเร็จเองแล้วยังจะมางอนกลับอีก หึ”
เอ่ยหยอกเล็กน้อยพอให้ชุ่มชื้นหัวใจ ทำให้ลูกหมาตัวน้อยหันกลับมาทำตาค้อนใส่เบาๆก่อนจะหันหลังให้เช่นเดิม แล้วบ่นงุ้งงิ้งออกมาไม่หยุด..
“ไม่ต้องมาพูด ไม่อยากคุยด้วย ขับรถไปเลย กูจะนอนแล้ว~”
ลูกหมาตัวน้อยบ่นเสียงอู้อี้พลางซุกใบหน้าลงกับผ้าห่มลายหมาน้อยผืนนุ่มที่ปาร์คชานยอลซื้อเอาไว้สำหรับให้หมาน้อยห่มตอนนอนหลับในรถแล้วดิ้นยุกยิกไปมาไม่หยุด นั่นทำให้ปาร์คชานยอลได้แต่คลี่ยิ้มออกมาจนเห็นรอยบุ๋มของแก้มข้างซ้ายไม่หุบราวกับคนบ้า..
ไอ้ลูกหมาเอ้ย จะทำตัวน่ารักไปถึงไหนกันวะ..
“หึ พอกินอิ่มหนังตาก็หย่อนทันทีเลยนะพวกมึง..”
ไม่นานบรรยากาศภายในปอร์เช่พานาเมร่าก็เงียบสงบลง จะมีก็เพียงแค่เสียงแอร์ของรถที่ทำงานอยู่เคล้ากับเสียงของลูกหมาตัวน้อยที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนนุ่มครางหงิงๆอยู่ข้างๆ ทำให้ขายาวต้องเลื่อนไปเตะเบรคเบาๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปปรับเบาะแล้วจัดท่าให้ลูกหมาได้นอนหลับสบายๆ
“ฝันดีนะครับหมาน้อยของยอล..”
ยกผ้าห่มขึ้นคลุมร่างเล็กๆที่กำลังนอนหลับพริ้มครางหงิงๆอย่างน่ารักอยู่เบาะข้างๆพลางกดจูบลงบนเรือนผมนิ่มเบาๆแล้วกระซิบเบาๆที่ข้างหูเพื่อบอกฝันดี ทำให้ริมฝีปากระเรื่อถึงกับคลี่ยิ้มออกมาบางๆในขณะที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่เช่นเดิม..
เพราะลูกหมาตัวน้อยกำลังฝันหวานจากคำบอกฝันดีจากใครบางคน..
“ตื่นสิพวกมึง จะดูไหมหนังอ่ะ..”
เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเรียบนิ่งพลางยกมือขึ้นขยับเรแบนสีดำขลับบนดั้งโด่งให้เข้าที่นิดหน่อยก่อนที่จะเข้าไปในห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางกรุงโซล ที่พวกเพื่อนๆได้นัดกันเอาไว้เมื่อเช้าว่าจะมาดูหนังกันที่นี่ เนื่องจากตารางเรียนช่วงบ่ายของวันนี้งดการเรียนการสอนเพราะอาจารย์ต้องเข้าประชุม
“งืมๆ หาว~ ทำไมถึงเร็วจังวะ ยังนอนไม่อิ่มเลย..”
มินซอกกับอี้ชิงที่นอนหลับปุ๋ยอยู่เบาะด้านหลังงัวเงียตื่นขึ้นมาราวกับเด็กน้อย แถมยังทำหน้างงๆเหมือนกับสมองยังเริ่มประมวลผลไม่ได้ นั่นทำให้ประธานมาดขรึมแทบหลุดขำพรืดออกมา
“แล้วไอ้หมาอ่ะ มึงไม่ปลุกมันหรอ?”
“หมาตื่นสิ! หมาตื่นถึงแล้.. / ชู่ว..เบาๆสิเดี๋ยวมันก็งอแงหรอก พวกมึงลงไปหาไอ้พวกนั้นก่อนก็ได้ ทางนี้กูจัดการเอง แล้วเดี๋ยวตามไป..”
เสียงทุ้มเอ่ยปรามอี้ชิงกับมินซอกที่กำลังตะโกนเรียกลูกหมาตัวน้อยที่นอนขดตัวครางหงิงๆอยู่เบาะด้านหน้า ทำให้ลูกเรือตัวเล็กทั้งสองคนรีบพยักหน้าให้ก่อนจะก้าวลงไปจากรถอย่างเงียบๆ
เพราะทุกครั้งที่หมาน้อยตัวนี้นอนกลางวันแล้วถูกรบกวนเจ้าตัวจะงอแงไม่หยุดราวกับเด็กน้อยโดนแย่งอมยิ้ม และมีแค่ปาร์คชานยอลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถปลุกลูกหมาตัวนี้ได้โดยที่ไม่งอแง นั่นคงเป็นเพราะหมาน้อยอาจจะชินกับการปลุกของเขา..
เพราะปาร์คชานยอลใช้วิธีนี้ปลุกลูกหมาตัวน้อยมาตั้งแต่สมัยจำความได้..
“ป๋ายถึงแล้วนะครับ ลุกเร็วคนดีเดี๋ยวอดดูหนังนะ”
เอี้ยวตัวเข้าหาลูกหมาตัวน้อยที่นอนขดตัวครางหงิงๆไม่หยุดพลางก้มลงกระซิบที่ข้างใบหูนิ่มแล้วกดจูบลงไปเบาๆ ทำให้ลูกหมาตัวน้อยค่อยๆปรือตาขึ้นมาทีละนิดๆด้วยเสียงปลุกที่คุ้นเคย..
“อ่าห์..ไม่เอาไม่ขยี้ตาแบบนี้สิครับ เดี๋ยวยอลทำให้นะ..”
สองแขนแกร่งเอื้อมไปคว้าลูกหมาตัวน้อยที่นั่งทำหน้างงอยู่เบาะข้างๆขึ้นมานั่งบนตักอุ่นๆของตัวเอง จากนั้นจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองพวงแก้มเนียนเอาไว้เบาๆก่อนจะค่อยๆไล้ปรายนิ้วโป้งทั้งสองข้างลงบนเปลือกตาบางที่กำลังหลับพริ้มอย่างรู้งานด้วยความอ่อนโยน..
“เป็นไง ดีขึ้นบ้างไหม? หายง่วงรึยังครับหืม..”
เอ่ยถามลูกหมาตัวน้อยที่นั่งกระพริบตาปริบๆอยู่บนตักพลางยกมือขึ้นลูบเรือนผมนิ่มเบาๆด้วยความเอ็นดู ทว่าลูกหมาตัวน้อยที่พึ่งตื่นนอนกลับเอาแต่ส่ายหัวไปมาเบาๆและทำหน้างงๆอยู่เช่นเดิม นั่นทำให้ริมฝีปากหยักถึงกับคลี่ยิ้มขึ้นมาทันทีด้วยความเอ็นดู
“อ่าห์..งั้นแบบนี้ก็ต้องใช้คาถาปลุกหมาน้อยขั้นสุดท้ายแล้วงั้นสิ หลับตาเร็วเข้า เดี๋ยวยอลจะเสกคาถาให้หมาน้อยหายง่วงแล้วนะครับ..”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกพลางยื่นมือไปบีบปลายจมูกรั้นเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว ทำให้ลูกหมาตัวน้อยถึงกับหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจก่อนจะค่อยๆหลับตาพริ้มเพื่อรอรับคาถาปลุกหมาน้อยจากยอลยอลผู้ชำนาญด้านการปลุกหมาอย่างว่าง่าย..
“ยะ ยอล~”
เสียงหวานสั่นเครือเล็กน้อยด้วยความประหม่า เพราะหลังจากที่ริมฝีปากอุ่นๆประทับลงมาบนเปลือกตาทั้งสองข้างเบาๆเพื่อปลุกเขาเสร็จเรียบร้อยเช่นทุกครั้งแล้ว ทว่าครั้งนี้ใบหน้าคมคายกลับไม่ยอมละออกไปเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา แต่ฝีปากอุ่นๆกำลังคลอเคลียอยู่บริเวณมุมปากระเรื่อไม่ห่าง นั่นทำให้ลูกชายคนเล็กของเจ๊พยูนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
มันใกล้.. ใกล้เกินไป.. จนทั้งสองฝ่ายได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันอย่างชัดเจน..
“สัญญากับยอลได้ไหมว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก สัญญาได้ไหมครับ..”
เอ่ยเสียงนุ่มพลางทอดมองไปยังดวงตากลมมนคู่สวยอย่างร้องขอ ถึงจะบอกว่าไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องที่คนตัวเล็กผิดสัญญากับเขาเรื่องเมื่อกลางวันแล้วก็เถอะ แต่ยังไงปาร์คชานยอลก็ยังคงต้องการคำสัญญาจากปากคนตัวเล็กอยู่ดี
ว่าจะไม่ทำให้หัวใจของเขารู้สึกเจ็บแปลกๆแบบนี้อีก..
“อื้อ..ป๋ายสัญญา สัญญาว่าจะไม่..”
เสียงหวานขาดห้วงไปในทันทีเมื่อริมฝีปากอิ่มประกบลงบนกลีบเนื้อนุ่มเบาๆโดยไม่มีการรุกล้ำใดๆ สัมผัสของจูบในครั้งนี้บางเบาราวกับปุยนุ่น ทว่ามันกลับหอมหวานและทำให้หัวใจทั้งสองดวงเต้นแรงมากกว่าครั้งไหนๆ
จูบที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและหอมหวาน..
จูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายของคนทั้งสองที่เอ่อล้นออกมาอย่างปิดไม่มิด..
และมันคือจูบที่วิเศษที่สุด..ที่สามารถทำให้โลกของคนทั้งสองหยุดหมุน และความน้อยอกน้อยใจที่มีต่อกันก่อนหน้านี้พลันสลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้แค่ความรู้สึกใหม่ๆ ที่ทำให้หัวใจของทั้งสองฝ่ายเต้นแรงมากยิ่งขึ้น..
ก๊อกๆ!!
“เฮ้! พวกมึงสองคนมัวแต่ทำอะไรอยู่วะ! จะดูไหมครับหนังเนี่ย หรือจะเล่นหนังสดกันเอง พวกกูจะได้ไม่ต้องรอ..”
เสียงเคาะกระจกฝั่งคนขับดังขึ้นรัวๆทำให้คนทั้งสองที่ทอดสายตามองกันอย่างฉ่ำหวานอยู่ยิ่งหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ดีนะที่กระจกรถเป็นแบบคนข้างนอกไม่สามารถมองเห็น ไม่อย่างนั้นล่ะก็ได้โดนไอ้พวกนี้ล้อยันผนังบ้านผุพังเป็นแน่แท้ ถ้าพวกมันรู้ว่าที่ปาร์คชานยอลกับพยอนแบคฮยอนไม่ลงจากรถเสียทีเพราะมัวแต่ดูดปากกันอยู่หลายรอบ..
ย้ำว่าหลายรอบเพราะหลังจากที่จูบกันแค่เบาๆในตอนแรก แต่ในที่สุดปาร์คชานยอลก็อดใจไม่ไหว จัดการประกบริมฝีปากลงบนกลีบเนื้อนุ่มซ้ำแล้วซ้ำแล้ว จนกระทั่งริมฝีปากสวยในตอนนี้บวมเจ่อและเปลี่ยนเป็นสีแดงฉ่่ำ เนื่องจากถูกดูดหลายรอยจัด..
ช่วยไม่ได้นะครับ ก็ใครบอกให้ปากหมาน้อยนิ่มขนาดนี้..
ก็เลยต้องโดนดูดหลายรอบเป็นธรรมดา และเช่นเคยว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไร..
ก็แค่ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้ปากนิดหน่อยแค่นั้น บอกเลย..
“นี่มึงเดินไหวเปล่าวะหมา? ถ้าไม่ไหวบอกกูได้นะ”
“วันหลังกูจะได้ผลัดเวรกับมึงให้ไอ้ประธานซัมบาราเห้แทน”
“!!”
ครับ..พอก้าวลงจากรถปุ๊บคิมมินซอกผู้ตรงไปตรงมาประดุจไม้บรรทัดหรืออะไรสักอย่าง ก็เดินมาจับตัวเพื่อนรักแล้วหมุนๆดูความเรียบร้อยทันที พลางเอ่ยถามและทำสีหน้าเป็นห่วงประดุจแม่คนที่สองหรือไม่ก็พวกมูลนิธิปกป้องสตรีผู้ถูกกระทำชำเราหรืออะไรสักอย่าง จนทำให้เพื่อนๆทุกคนแทบสำลักน้ำลายตัวเองเพราะความซาบซึ้ง..
“อ้าว..แล้วทำไมซื้อตั๋วมาแค่สองใบล่ะ แล้วของพวกมึง..”
มือเรียวยื่นไปรับตั๋วหนังจากเพื่อนรักมาอย่างงงๆ เพราะอี้ชิงกับมินซอกเป็นคนอาสาไปซื้อตั๋วหนัง โดยให้พวกเขานั่งรออยู่บริเวณโซนอาหารแถวๆนั้นก่อน แต่อี้ชิงกลับได้ตั๋วหนังมาแต่สองใบมันหมายความว่ายังไงกัน?
“กูจะพาไอ้จอกไปทำสีผม ส่วนไอ้คริสกับไอ้ฮุนจะไปเดทกับสาว เพราะฉะนั้นก็เหลือแค่มึงสองคนที่ว่าง และมึงก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเพราะกูซื้อตั๋วมาแพง มึงต้องเข้าไปดูกับไอ้ประธานสองคน โอเค๊?”
ลูกหมาตัวน้อยได้แต่พยักหน้าอย่างงงๆ เพราะตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์จะเอ่ยปฏิเสธ เนื่องจากจางอี้ชิงกับคิมมินซอกกำลังดันหลังให้เข้าไปในโรงหนัง ในขณะที่โอเซฮุนกับรองประธานก็ไม่ต่างกันเพราะกำลังดันหลังประธานมาดขรึมเข้าไปในโรงหนังเช่นกัน นั่นทำให้คนทั้งสองที่โดนผลักเข้ามาได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างงงๆ
เพราะการที่เพื่อนๆนัดกันมาดูหนังวันนี้ นั่นก็เพราะอี้ชิงบอกว่ามีหนังเรื่องที่ตัวเองอยากดูเข้าฉาย ก็เลยทำให้ทุกคนตอบตกลง เพราะปกติก็จะไปไหนมาไหนด้วยกันครบแก๊งตลอด แต่เหตุไฉนวันนี้ถึงได้ปล่อยให้คนที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาดูเอาไว้สองคนแบบนี้ล่ะ และที่สำคัญปาร์คชานยอลกับพยอนแบคฮยอนยังไม่รู้เลยว่าหนังที่จะเข้าฉายคือเรื่องอะไร..
“ยอล~ ทำไมทั้งโรงมันมีแค่เราสองคนแบบนี้ล่ะ นี่เราเข้ามาผิดเวลารึเปล่า?”
เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ เนื่องจากตอนนี้ไฟในโรงหนังก็ถูกปิดลงแล้ว แถมยังตัวอย่างหนังก็เริ่มฉายแล้วด้วย แต่ว่าทำไมทั้งโรงยังมีแค่เขากับปาร์คชานยอลที่นั่งกันอยู่แถวที่นั่ง VIP แค่สองคน..
“ยอลว่าไม่ผิดหรอก แต่อาจจะเป็นเพราะหนังที่อี้ชิงอยากดูมันไม่สนุกล่ะมั้ง..”
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ เพราะปกติปาร์คชานยอลเป็นคนไม่ค่อยชอบความวุ่นวายอยู่แล้ว ยิ่งเขาได้อยู่กับคนตัวเล็กสองคนแบบนี้สิดีจะได้ไม่มีคนมาขัดจังหวะ อีกอย่างก่อนที่จะถูกพวกเพื่อนตัวดีผลักเข้ามาในโรงหนังหน่วยตาคมก็เหลือบไปเห็นโปสเตอร์หนังที่กำลังจะเข้าฉายได้ทันแถมยังทันเห็นตั๋วหนังที่อี้ชิงแย่งไปจากมือคนตัวเล็กข้างๆนี่อีก
ซึ่งมันทำให้ประธานคณะวิศวะผู้ชาญฉลาดสามารถรู้ได้ว่ามันเป็นแผนของจางอี้ชิง ที่ใจปล้ำเหมาตั๋วรอบนี้จนหมดเพื่อให้เขาได้อยู่กับหมาน้อยตัวกระเปี๊ยกนี่ตามลำพังเพียงสองต่อสองในยามดูหนังโรแมนติก
โดยที่หมาน้อยผู้ใสซื่อไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย..
“นี่หนังฉายแล้ว ยังไม่มีใครเข้ามาเลยป๋ายว่ามัน.. / มันก็ดีไงครับ เราสองคนจะได้นั่งดูสะดวกๆไร้เสียงรบกวน เหมือนดูอยู่ที่ห้อง หรือป๋ายว่ามันไม่ดี ถ้าไม่อยากดูเราออกไปก็ได้นะ..”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพลางเก๊กขรึมทำหน้าจริงจัง นั่นทำให้ลูกหมาตัวน้อยที่รู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆแล้วเอ่ยขึ้นเสียงใส
“ก็จริงอย่างที่ยอลว่า ดูแบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้เหมือนดูที่ห้องกับยอลสองคน..”
ลูกหมาตัวน้อยผู้ใสซื่อพยักหน้าหงึกหงักเบาๆอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองภาพเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ตรงหน้าต่อ ในขณะที่มือป้อมๆทั้งสองข้างก็อุ้มป๊อปคอร์นถังยักษ์เอาไว้แน่น แล้วริมฝีปากบางๆก็เคี้ยวเจ้าข้าวโพดคั่วตุ้ยๆไม่หยุดราวกับเด็กน้อย นั่นทำให้ริมฝีปากหยักถึงกับคลี่ยิ้มออกมาไม่หุบด้วยความเอ็นดูยามที่แอบชำเลืองหมาน้อยที่นั่งจุมปุกจ้องหน้าจอขนาดใหญ่ตาแป๋ว
น่ารักที่สุด โมเอ้ที่สุดเลยนะหมาน้อยของยอลยอล..
“เเดเนียล..ฉันไม่อาจหายใจต่อไปได้หากไม่มีคุณคอยอยู่เคียงข้าง ได้โปรดเถอะเเดเนียล ฮึก ได้โปรดลืมตาขึ้นมาฟังคำบอกรักจากฉันที ฉันรู้ว่าฉัน.. โอเค ฉันยอมรับว่าที่ผ่านมาฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคุณ แต่คุณรู้อะไรไหมว่าตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาหัวใจของฉันมันมีแค่คุณคนเดียวมาโดยตลอด และฉันมันแย่..ฉันมันแย่จริงๆที่มักเอาคำว่าเพื่อนมาบังหน้า ในขณะที่คุณพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะเปลี่ยนคำๆนี้ให้เป็นอย่างอื่น”
“แต่นั่นมันเป็นเพราะฉันไม่แน่ใจ ฮึก ฉันกลัว ฉันกลัวและรู้สึกสับสน ฉันกลัวว่าจะเสียคุณไปหากวันหนึ่งความรู้สึกของเราทั้งสองคนมันไม่ตรงกัน ฉันกลัว กลัวไปหมดเลยคุณรู้ไหม ฉันกลัวว่าหากสถานะของเราสองคนเปลี่ยนมันจะทำให้ฉันเสียคุณไปในวันที่เราสองคนเลิกกัน ฉันก็เลยไม่กล้าที่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้น เพียงเพราะคิดว่าคำว่าเพื่อนมันจะทำให้ฉันได้ใกล้ชิดกับคนที่ฉันรักไปตลอดทั้งชีวิตโดยไร้ซึ่งการสูญเสีย..”
“แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ฮึก ตอนนี้ฉันรู้แล้วจริงๆว่าฉันควรจะยอมรับความรู้สึกดีๆของเราทั้งสองคนตั้งแต่แรก และฉันรู้ดีว่าถ้าฉันยอมรับและบอกความรู้สึกในใจของฉันกับคุณไปตั้งแต่ตอนนั้น มันคงจะทำให้ฉันรู้สึกแย่น้อยลงกว่านี้ ฮึก ถ้าฉันกล้า..ถ้าฉันกล้าที่จะพูดคำว่ารักที่ฉันอยากจะบอกคุณมาเป็นสิบปีๆ คำว่ารักที่ฉันมีให้คุณคนเดียวมาโดยตลอด ถ้าฉันกล้าพูดมันออกไปทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้ ฉันรักคุณแดเนียล ฉันรักคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถรับรู้และได้ยินมันอีกแล้วก็ตาม แต่ฉันก็อยากจะบอก ว่าฉันรักคุณ ฮึก..”
ภาพของหญิงสาวสวมชุดเดรสสีดำที่กำลังกอดร่างไร้ชีวิตของผู้ชายที่เธอเรียกว่าแดเนียลร้องห่มร้องไห้ราวกับกำลังจะขาดใจอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ตรงหน้า ทำให้ลูกหมาตัวน้อยที่นั่งเคี้ยวป๊อปคอร์นตุ้ยๆอยู่ถึงกับนิ่งค้าง ในขณะที่หยดน้ำสีใสค่อยๆไหลลงมาอาบพวงแก้มเนียนทั้งสองข้างอย่างไม่ขาดสาย..
การบอกรักในวันที่สายไป..
การบอกรักในวันที่อีกคนไม่สามารถรับรู้มันได้อีกต่อไปแล้ว..
มันคงจะทำให้หัวใจของเราทรมานอย่างแสนสาหัสราวกับตายทั้งเป็นสินะ ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็คงจะเหมือนตาย และยิ่งเป็นคนที่ใจตรงกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่กลับไม่ยอมบอกและไม่กล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง เพียงเพราะเส้นบางๆที่กั้นระหว่างเราคือคำว่าเพื่อน แบบนี้มัน..
“ยอล..”
เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาในขณะที่ก้มหน้างุดมองถังป๊อปคอร์นไซน์ยักษ์ที่วางอยู่บนตัก ทำให้ชายหนุ่มที่ได้แต่นั่งเงียบมาสักพักค่อยๆหันไปตามเสียงเรียก โดยที่ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น เพราะกำลังรอให้อีกฝ่ายพูดในสิ่งที่อยากพูด..
“ถ้าวันหนึ่งป๋ายไม่ได้อยู่บนโลกนี้ ถ้าวันหนึ่งป๋ายไม่ได้อยู่กับยอ..อื้อ~”
มือหนาสองข้างเลื่อนไปกอบกุมใบหน้าสวยหวานที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเอาไว้แล้วประกบริมฝีปากลงบนกลีบเนื้อนุ่มทันที ก่อนที่ถ้อยคำที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดจะหลุดออกมาจากริมฝีปากระเรื่อ
“มันจะไม่มีวันนั้นครับ ไม่มีวันนั้นเด็ดขาด เพราะที่ไหนมียอลที่นั่นต้องมีป๋าย ทุกๆที่ยอลอยู่ ทุกๆที่ยอลไป ทุกๆที่ของยอลจะต้องมีป๋ายอยู่ด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นที่ไหน หรือเวลาใดก็ตาม..”
“เพราะพยอนแบคฮยอนเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นยิ่งกว่าสิ่งสำคัญในชีวิตปาร์คชานยอลคนนี้ จำไว้นะครับว่าสำหรับผู้ชายคนนี้ สิ่งๆนี้คือสิ่งที่ขาดไม่ได้และสำคัญที่สุดในชีวิต..”
มือหนาสองข้างเกี่ยวรั้งเอวบางเข้ามาแนบชิดพลางกดจูบลงบนเรือนผมนิ่มไม่หยุดเพื่อปลอบโยนลูกหมาตัวน้อยที่กำลังร้องไห้งอแงอยู่ในอ้อมกอด
“ยะ ยอลแล้วถ้า..อื้อ~”
ดวงตากลมมนคู่สวยที่กำลังแดงก่ำช้อนขึ้นมาสบตาในขณะที่ริมฝีปากระเรื่อก็เริ่มขยับขึ้นลงเพื่อไถ่ถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ แต่ก็ไม่วายโดนปิดปากเอาไว้ด้วยปากเสียก่อน เนื่องจากลูกหมาตัวน้อยขี้แยในอ้อมกอดตอนนี้ดูน่าทะนุถนอมและน่ารักมากกว่าครั้งไหนๆจนทำให้ปาร์คชานยอลอดใจไม่ไหว..
อีกอย่างต่อให้ลูกหมาขาสั้นตัวนี้เอ่ยถามอีกกี่พันกี่ร้อยครั้ง คำตอบเดียวที่ปาร์คชานยอลสามารถตอบได้ในตอนนี้ และจะเป็นคำตอบสุดท้ายที่เขาจะมีให้คนๆนี้ตลอดไปก็คือ..
พยอนแบคฮยอนเป็นยิ่งกว่าสิ่งสำคัญในชีวิตของปาร์คชานยอล..
“มะ ไม่นะ! พะ พอแล้ว!”
“อะ อะไอ้บ้า! ดูดเอาๆ ปะ ปากกูไม่ใช่ไอติมแท่งนะ ฮื่อ~”
หลังจากที่ริมฝีปากระเรื่อถูกปลดปล่อยจากพันธนาการอันดูดดื่มและแสนหอมหวานที่คนตัวสูงมอบให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทำให้เขาแทบขาดอากาศหายใจ สองมือน้อยๆก็ยกขึ้นประกบริมฝีปากสีแดงสดและบวมเจ่อของตัวเองเอาไว้ทันที ทำให้ราชสีห์หนุ่มผู้หื่นกระหายถึงกับหัวเราะหึในลำคอ ก่อนจะโน้มริมฝีปากลงไปกระซิบเบาๆที่ข้างหูคนตัวเล็กพอให้รู้สึกสยิวเล่นๆ
“รู้ด้วยหรือไงว่าไอติมแท่งเค้าดูดกันยังไง..”
“อยากลองดูดของกูดูหน่อยไหมล่ะ ถึงมันจะใหญ่และแข็งไปหน่อย..”
“แต่รับรองว่าอร่อยและหวานถูกปากมึงแน่ๆ..หมาน้อย..หึ”
“!!”
เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบเบาๆข้างหูพลางเป่าลมหายใจอุ่นๆรดซอกคอขาวไม่หยุด ในขณะที่มือไม้ของหมอนี่ก็ไม่ได้อยู่สุขเพราะกำลังพยายามดึงมือน้อยๆเข้ามาลูบเบาๆส่วนที่หมอนี่เรียกว่าไอติม ที่มันกำลังขยายตัวเป็นไอติมแท่งยักษ์อยู่ภายใต้กางเกงเนื้อดี
นั่นทำให้คนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะได้สติยกมือขึ้นผลักอกของคนเจ้าเล่ห์ให้ออกห่างพลางพยายามถอยกรูดถดตัวหนีอีกฝ่ายด้วยความหวาดกลัว นั่นทำให้ปาร์คชานยอลที่เห็นถึงกับกลั้วหัวเราะเบาๆในลำคอด้วยความเอ็นดู
“อะ อะไร! หัวเราะอะไรไอ้บ้า! ออกไปห่างๆกูเลยนะ! ไอ้คนลามก!”
“ปะ ปาร์คชานยอล! ไม่ต้องมามองกูแบบนี้เลยนะ!”
“ยะ หยุดมองกูเดี๋ยวนี้นะชานยอล! กูบอกให้มึงหยุดมองไงปาร์คชานยอล!”
เสียงหวานพึมพำออกมาไม่หยุด ในขณะที่สองมือน้อยๆยกขึ้นปิดพวงแก้มเนียนทั้งสองข้างเอาไว้จนเหลือให้เห็นเพียงลูกกะตากลมๆสองข้างที่กำลังจ้องเขาอยู่ตลอดเวลาด้วยความหวาดระแวง นั่นทำให้เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆในลำคอไม่หยุดด้วยความเอ็นดู ก่อนจะโน้มริมฝีปากลงไปกระซิบเบาๆที่ข้างหูคนตัวเล็กด้วยเสียงแหบพร่าชวนให้ขนอ่อนลุกชันทั้งตัวและรู้สึกสยิวอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้ามึงด่ากูอีกแค่คำเดียว.. กูจะจับมึงแก้ผ้าขย่มบนตักจนกว่าหนังจะจบ..”
“หรือไม่ก็ย้ายไปขย่มบนเบาะในโรงหนังจนครบทุกเบาะ แล้วค่อยออกไป..”
“!!”
ลูกชายคนเล็กของเจ๊พยูนแทบหงายท้องกลิ้งตกจากเบาะหลังจบคำพูดของชายหนุ่มผู้มากไปด้วยความเจ้าเล่ห์และหื่นกาม และถึงแม้ว่าตอนนี้ในใจของคนตัวเล็กนั้นอยากจะกรีดร้องด่าทอหมอนี่มากมายสักเพียงใด แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงกลืนคำด่าทั้งหมดลงไปในคอด้วยความยากลำบาก เนื่องจากหน่วยตาคมที่กำลังจับจ้องมาเต็มไปด้วยความจริงจัง และปาร์คชานยอลก็เป็นคนที่พูดจริงทำจริงอยู่เสมอ..
เพราะฉะนั้นพยอนแบคฮยอนก็จะไม่ขอเสี่ยง..
เพราะหากพลาดพลั้งโดนหมอนี่จับแก้ผ้าขย่มไปทั่วโรงหนังอย่างว่าจริงๆล่ะก็..
มีหวังลูกชายคนเล็กของเจ๊พยูนได้ดับอนาถไปกับอนาคอนด้ายักษ์ของหมอนี่เป็นแน่แท้ T_______T
…. TBC ….
มาแล้ว ^^
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ รู้สึกกดดันนิดๆไม่คิดว่าจะมีคนติดตามฟิคเยอะเกินคาดขนาดนี้..
ไรท์จะพยายามตั้งใจเขียนออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าตอนไหนไม่สนุกก็ได้โปรดอภัยให้ไรท์ด้วย
ไรท์ยังอ่อนหัดเรื่องการแต่งฟิคมากจริงๆ T_____T รักคนอ่านทุกคนนะคะ โปรยจูบ แล้วเจอกันค่ะ ^^
ใครที่เล่นทวิตแล้วเอ็นดูฟิคเรื่องนี้ฝาก #เพื่อนรักเตียงสั่น กันด้วยนะค๊า ^^
ความคิดเห็น