คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่3 : กาแฟเย็นชืด (ฉบับรีไรท์)
ตอนที่ 3
กาแฟเย็นชืด
แสงแดดอุ่นส่องลอดผ้าม่านสีขาวเข้ามาภายในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง ชายที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนเสียงนาฬิกาจะปลุกเสียอีก เขาเงยหน้ามองนาฬิกาที่หัวนอน เก้าโมงกว่าแล้ว...เมื่อรับรู้ดังนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์เพื่อโทรไปหาคนที่เขานัดไว้ทั้งที่ยังคงซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม
“ฮัลโหล”
ชายผู้ซุกตัวอยู่บนเตียงเผยยิ้ม ก่อนจะตอบรับด้วยรหัสที่ตกลงกันไว้
“......”
“...พระเจ้า” ปลายสายตอบกลับมาหลังคำคีย์เวิร์ดด้วยภาษาญี่ปุ่น ฝ่ายที่โทรไปจึงยิ้มรับ
“ใช่ฉันเอง สวัสดีแองเจ” เขาทักทาย “เป็นยังไงบ้าง โอนิมงมาถึงหรือยัง”
“อืม มาถึงแล้ว...”
“แล้วคนของฝ่ายไทยล่ะ คนไหนที่นายเห็นว่าไม่ปลอดภัยต่อพวกเราก็ส่งข้อมูลมาก็แล้วกัน” เขาพูดเสียงเนือย ๆ เพราะเพิ่งตื่นนอน
“อืม...คนที่ฉันว่าน่าจะระวังไว้ นอกจากโอนิมงก็มีนักรบของฝ่ายไทยแล้วก็คนที่ร่วมงานครั้งนี้ก็มีพวกผู้กำกับสถานีที่ออกโรงเอง สารวัตรทั้งสืบสวนและปราบปราม แล้วก็...”
“ไม่เป็นไร ส่งมาหมดนั่นแหละ เอาทุกคนที่ร่วมงาน เดี๋ยวฉันจัดการเอง” เขาพูดปัด ไม่นานก็ได้ยินเสียงแองเจถอนหายใจใส่โทรศัพท์เบา ๆ
“งั้นเดี๋ยวจะส่งทุกอย่างไปทางเน็ตแล้วกัน เปิดคอมไว้แล้วใช่ไหม” แองเจตอบรับแล้วกดคีย์บอร์ดบ้าง คลิกเมาส์บ้าง เสียงดังก๊อกแก๊ก ๆ สักพักหนึ่งก็ถอนหายใจอีกแล้วก็มีเสียงก็อกแก๊ก ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง
“...ส่งไปแล้วนะ เดี๋ยวคงได้รับ”
“ขอบใจนะแองเจ” เขาพูดแล้วยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวคีย์เวิร์ดสำคัญอีกครั้งแล้วจึงวางสาย
ในขณะนั้นแองเจของเขาได้กลายเป็น‘คนอื่น’อีกครั้ง...
ชายหนุ่มร่างเล็กลุกขึ้นจากเตียงสีขาวของโรงแรมพลางใช้มือซ้ายเสยผมสีน้ำตาลออกส้ม ๆ ที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง เขาเดินมาเช็กโน้ตบุ๊คบนโต๊ะแล้วเลือกดูข้อมูลที่แองเจส่งมาให้ ก่อนจะสั่งพิมพ์ออกมาจากตัวเครื่องโดยตรงเลย
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้แล้วคว้าเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่งมาใส่ระหว่างรอให้โน้ตบุ๊คของเขาพิมพ์ข้อมูล เขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้จะมีม่านบาง ๆ ปิดอยู่แต่ก็เห็นได้ว่าอากาศดีฟ้าใส วันนี้เขาคงเข้าไปเที่ยวเล่นในตัวเมืองเชียงใหม่จะได้หาซื้อของ ไปฝากคนอื่น ๆ ด้วย...
ปิ๊ป ปิ๊บ
โน้ตบุ๊คส่งสัญญาณเรียกอีกครั้ง เขาหยิบกระดาษสี่ห้าแผ่นที่ได้มาเปิดผ่าน ๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุดตากับคนหนึ่งในนั้น
นี่เอง...คนที่ชื่อนักรบที่แองเจเคยเล่าให้ฟัง เขาคิดด้วยความสนใจแล้วมองชายหน้าเข้มในรูป สายตานั้นช่างดูดุดันราวกับตุลาการแห่งความถูกต้องที่พยายามลากคอคนบาปมาเข้าตะรางแห่งความรับผิดชอบ
ความถูกต้อง เขายิ้มมุมปากราวกับขบขันเมื่อนึกถึงคำ ๆ นี้ สายตาก็เหลือบมองประวัติเรื่องครอบครัวของชายที่เขาสนใจในแผ่นกระดาษ มีเพียงน้องสาวอีกสองคนอยู่ด้วยกันเท่านั้นหรือ
“...น่าสนุก” เขาพึมพำเสียงค่อย ชายหนุ่มวางกระดาษทั้งปึกลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล อุณหภูมิในห้องยังคงหนาวเย็นเพราะเครื่องปรับอากาศ ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีครามเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่ถูกปิดทับซ่อนเร้นด้วยม่านบาง มองท้องฟ้าซึ่งมีสีเดียวกับดวงตาของเขาก่อนจะยกถ้วยกาแฟบนโต๊ะที่เหลือจากเมื่อคืนขึ้นดื่ม
กาแฟนั้นเย็นชืด...ทำให้เขานึกถึงการฆาตกรรม
..........
นักรบวิ่งโร่ลงมาจากชั้นสองของบ้านแต่เช้าตรู่ เขาคว้าเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่กองอยู่แถวโต๊ะกินข้าวมาใส่อย่างรีบร้อน น้องสาวคนเล็กของเขากำลังล้างจานอยู่ในครัวจึงส่งเสียงทักด้วยความตกใจ
“เฮียหนึ่ง! ไปไหนคะ เพิ่งจะตีห้าเองนะ” หนูนาพูดเสียงร้อนรนแต่นักรบกลับตะโกนตอบไปด้วยน้ำเสียงรีบร้อนยิ่งกว่า
“มีคดี! เดี๋ยวพี่มานะ! ปลุกเนด้วย มาเปิดร้านได้แล้ว!” เขาสั่งการเป็นชุด ก่อนจะเปิดประตูเหล็กหน้าบ้านให้มันเลื่อนขึ้นแล้วก้าวเท้าวิ่งโร่ออกไปทันที ส่วนหนูนาผู้เป็นน้องสาวก็ยืนถือจานที่กำลังล้างเอาไว้นิ่ง ผมสั้นแค่บ่าของเธอยังดูกระเซิงเพราะเพิ่งตื่นได้ไม่นาน สาวน้อยวัยสิบสองมองตาแป๋วตามหลังพี่ชาย คดีอะไรกัน...ก็พี่ของเธอไม่ได้เป็นตำรวจแล้วนี่นา
ที่ถนนใหญ่ของเยาวราชปากทางเข้าซอยตลาดใหม่ มีคนจำนวนมากยืนมุงอะไรบางอย่างอยู่โดยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ซุบซิบดังระงมอย่างต่อเนื่องพอ ๆ กับบรรยากาศน่าอึดอัดของพวกตำรวจที่กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ รอบ ๆ ยังค่อนข้างมืดสลัวอยู่พอควรเพราะเฉียด ๆจะตีห้าเท่านั้นเอง
นักรบรีบฝ่าฝูงคนเข้าไปดูที่เกิดเหตุด้วยความรีบร้อนและก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้ลมหายใจของเขากระตุกด้วยความตกใจจนแทบสำลักอากาศ ท่ามกลางหมู่คนเหล่านั้น มีร่างไร้ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งตั้งวางอยู่
เป็นร่างของมนุษย์ที่ถูกหั่นขาดครึ่งท่อนที่กลางลำตัว ครึ่งล่างทั้งท่อนตั้งแต่เอวลงไปถูกหล่อคลุมด้วยปูนปลาสเตอร์แล้วจับปลายเท้าทั้งสองที่ชิดกันตั้งขึ้นชี้ฟ้า ส่วนเอวนั้นตั้งติดพื้น ที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าคือร่างครึ่งบนซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าท่อนล่างของร่างนั้น เป็นร่างที่ไม่มีแขนแต่ถูกหล่อปูนเป็นรูปทรงเช่นกัน รอยตัดที่แขนขวาเป็นรอยเรียบเหมือนจงใจตัดออก แต่แขนซ้ายนั้นเป็นร่องรอยหยาบๆเหมือนหักออกเองมากกว่า
เฉพาะส่วนใบหน้าเท่านั้นที่ไม่มีปูนปกคลุม ดวงตาทั้งสองของเธอถูกควักออกไปกลายเป็นโพรงกลวงในเบ้าตาแต่ลำตัวท่อนบนนั้นก็ถูกหล่อด้วยปูนเช่นกัน นักรบจ้องศพตรงหน้าเขม็ง มองจากสภาพโดยรอบดูแล้วช่างสะอาดเหลือเกิน รอยเลือดแม้สักหยดก็ไม่มี กระทั่งเครื่องในก็เก็บอยู่ในปูนอย่างเรียบร้อย
ฆาตกรรมแบบเรนาซองค์...นักรบคิดทบทวนความรู้ที่ได้มาจากการประชุมกับโอนิมงเมื่อวาน แต่มีการควักลูกตาหรือว่าจะเป็นแบบเอกซ์เพรสชั่นนิมส์ เฮ้ย! แล้วแบบนี้จะแยกออกได้ยังไงกันเล่า! เขาคิดด้วยความหงุดหงิด สายตาก็สอดส่องพยายามมองหาสารวัตรสมพงษ์ในหมู่ตำรวจที่เดินกันไปมาอย่างสับสนปนเป ไม่นานก็มองเห็นนายตำรวจวัยเกือบสี่สิบที่ยืนคุยกับตำรวจอีกคนอยู่ข้าง ๆ รถมอเตอร์ไซด์ตำรวจ เขาจึงรีบเดินเข้าไปหาทันที
“...ไง กว่าจะมานะแก รอซะหนวดขึ้นเลย” สมพงษ์บ่นงึมงำแล้วเอามือลูบคางตัวเองที่เริ่มมีเคราแข็ง ๆ ขึ้นประปราย นักรบก้มหน้าเล็กน้อย แต่สายตายังจับจ้องอยู่ที่คู่สนทนา
“เกิดอะไรแบบนี้ได้ยังไง ไม่มีใครเห็นคนร้ายเลยหรือครับ” นักรบถามด้วยความสงสัย เป็นเพราะว่าที่เยาวราชบริเวณถนนใหญ่นั้น มักจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาหาอะไรอร่อย ๆ กินเสมอแทบทั้งคืน แล้วฆาตกรจะเอาศพมาวางไว้ตอนไหนกัน
“แกยังไม่รู้อีกหรือ...ช่วงนี้ที่เยาวราชมีคดีศิลปฆาตกรรมเยอะขึ้นกว่าย่านอื่น ทางเราเลยให้พวกร้านอาหารแผงลอยปิดร้านตั้งแต่ตีสอง เพราะคิดว่าจะช่วยลดจำนวนได้บ้าง แต่ดันกลายเป็นว่าพอร้านค้าปิดปุ๊บ ถนนเลยโล่ง มันก็เลยเอาศพมาตั้งซะกลางถนนเลย...เวรเอ๊ย” สารวัตรอธิบายแล้วสบถอย่างอารมณ์เสียพอควร ทางนักรบก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงเวลาที่คนร้ายนำศพมาวางเอาไว้
“พบศพกี่โมงครับ แล้วใครเป็นคนพบ”
“พบตอนตีสามนิด ๆ น่ะ แต่ได้รับแจ้งตอนตีสามสักยี่สิบนาทีได้... คนส่งน้ำแข็งชื่อแสกเป็นคนเจอ”
“อ้อ...แล้วมีใครเห็นคนร้ายรึเปล่า” นักรบถามช้าเสียงค่อย แววตาสีน้ำตาลเข้มนั้นดูเหมือนยังติดใจอะไรบางอย่างอยู่แต่สารวัตรไม่ทันได้สังเกตเห็นแววตานั้น นายตำรวจลูบเคราสั้นๆของตัวเองไปมาพลางทำสีหน้าครุ่นคิดขมวดคิ้ว
“เท่าที่สอบถามดู รู้สึกจะไม่มีเลยนะ เฮ้อ...” สารวัตรตอบพลางถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
“แล้วรู้หรือยังครับว่าผู้ตายเป็นใคร”
“ยัง ยังไม่มีใครมาแจ้งคนหาย คงต้องรอถ่ายรูปเก็บหลักฐานให้หมดก่อน แล้วยกไปทุบปูนออกที่สถานี เออ....นั่นไง มาพอดีเลย เดี๋ยวแกถามรายละเอียดกับคนที่พบศพเอาละกัน” สารวัตรทักขึ้นแล้วชี้มือไปที่ผู้ชายรูปร่างสันทัดคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้พวกเขา แล้วจึงส่งบันทึกของพนักงานสืบสวนให้นักรบ
ชายที่เดินเข้ามาหาพวกเขาเป็นคนผิวคล้ำแดดแบบผู้ใช้แรงงานทั่ว ๆ ไป ผอมและดูมีกล้ามเนื้อพอควร เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตเก่า ๆ แต่ดันมีโทรศัพท์มือถืออย่างดีเหน็บไว้ข้างเอว ผมซอยสั้นแสกข้าง แต่ไม่ว่าดูยังไงก็เป็นแค่คนงานธรรมดา ๆ ที่พบเห็นได้ทุกหนแห่งในเยาวราชนี้ พอเจอหน้านักรบปุ๊บเขาก็รีบยกมือไหว้ทันที
“ว...หวัดดีครับ คุณตำรวจ” เขาพูดเสียงกระตุก ไม่ใช่เพราะศพที่เห็นอยู่ใกล้ ๆ แต่เป็นเพราะหน้าของนักรบที่ขมวดคิ้วหน้ามุ่ยแบบใช้ความคิดนั้น ช่างดูโหดร้ายกับชีวิตน้อย ๆ ของชายชื่อแสกเหลือเกิน
“สวัสดีครับ ผมไม่ใช่ตำรวจหรอกเป็นแค่นักสืบเท่านั้น” นักรบพูดแล้วฉีกยิ้มให้แสกด้วยความเป็นกันเองเพราะอยากให้อีกฝ่ายหายตื่นเต้น ทว่าเขายังคงขมวดคิ้วยับยู่อยู่นั่นจึงทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังแสยะยิ้มหน้าโหด แสกสะดุ้งเล็กน้อยจนต้องก้มหน้าก้มตาคุย
“...ค...ครับ นักสืบก็ได้” แสกพูดแล้วปาดเหงื่อทั้งที่ช่วงเช้ามืดอากาศยังคงเย็นอยู่
“ช่วยเล่าเหตุการณ์ตอนพบศพให้ฟังอย่างละเอียดด้วยได้ไหมครับ”
“ครับ” ชายที่เป็นผู้พบศพตอบรับ “ก็...มันเป็นอย่างนี้ครับคุณตำรวจ ตีสองนิดๆผมกับเพื่อนที่เป็นคนขับก็ขับรถบรรทุกออกจากเยาวราชไปเอาน้ำแข็งที่โรงมาส่งที่นี่ใช่ไหมครับ ขากลับก็มาทางถนนใหญ่เส้นนี้แหละครับ ก็ยังไม่เห็นศพหรืออะไรเลยนะ ทีนี้ผมก็ไปคีย์จำนวนน้ำแข็งกับเวลาที่กลับมาใส่คอมของโรงน้ำแข็งที่ผมทำงานอยู่ เสร็จปุ๊บก็ตีสามพอดี ผมเลยเดินออกมา ว่าจะข้ามไปฝั่งตลาดใหม่ ไปหาอะไรกินที่ที่มินิมาร์ทเสียหน่อย”
แสกเล่าอย่างคล่องแคล่ว เพราะเล่าให้พนักงานสืบสวนฟังไปแล้วรอบหนึ่ง เขาเหลือบไปมองศพในสภาพเหมือนรูปหล่อปูนปลาสเตอร์ที่เขาเป็นคนเจอคนแรกแล้วทำหน้าเบ้ ก่อนจะเบือนหน้าหนีกลับมาเล่าให้นักรบฟังต่อ
“...ตอนแรกผมก็มองไม่ออกหรอกครับว่าเป็นอะไร เห็นเป็นสีขาว ๆ นึกว่าโดนผีหลอกแล้ว เลยลองเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ พอเห็นแล้วก็ยังนึกว่าเป็นของปลอมอีก พอดูดี ๆ อีกที โห! ผมนี่ช็อก...เข่าอ่อนลงไปนั่งกองหน้าศพเลย]jt” ชายหนุ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงลนลานเหมือนตื่นเต้น ซึ่งนักรบก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่มาพบเห็นเหตุการณ์แบบนี้ดี
“แล้วไงต่อครับ หลังจากนั้นคุณทำอะไร” นักรบถามพลางก้มหน้ามองบันทึกที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ แสกสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะละล่ำละลักถามกลับ
“...ป...เปล่าครับ ผมไม่ได้ทำอะไร”
นักสืบหน้าเข้มละสายตาจากแผ่นกระดาษขึ้นมามองพยานที่กำลังให้ข้อมูลแก่เขา แล้วจ้องชายที่ชื่อแสกเขม็ง ชายหนุ่มผิวคล้ำสะดุ้งด้วยความตกใจ ยิ่งสร้างความสงสัยให้นักรบมากขึ้นเป็นทวีคูณ
“คุณแสก เล่าทุกอย่างตามความเป็นจริงนะครับ ไม่งั้นหากตรวจสอบภายหลังแล้วมันไม่ตรงกับสิ่งที่คุณเล่า คุณอาจกลายเป็นผู้ต้องสงสัยได้นะครับ” นักรบพูดเป็นเชิงขู่เพราะท่าทางชายหนุ่มตรงหน้าเขาจะปิดบังบางสิ่งเอาไว้ แถมยังเป็นคนขวัญอ่อนไม่น้อย แค่ถูกทำหน้าดุใส่นิดหน่อยก็เผยพิรุธแล้ว ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ทางชายที่ชื่อแสกก็ยืนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากเสียงต่ำราวกับหวาดระแวง
“เปล่าครับ ไม่มีอะไรจริง ๆ หลังจากนั้นผมก็โทรศัพท์แจ้งตำรวจ แล้วตำรวจก็มาที่นี่อย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ” แสกรีบเล่าต่อทันทีหลังจากชะงักไปนาน นักรบจ้องคนที่เขากำลังสอบสวนอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วก้มหน้าอ่านรายงานที่พนักงานสืบสวนบันทึกไว้ก่อนหน้านี้เพื่อเปรียบเทียบว่าพยานคนนี้ให้การตรงกับของเดิมหรือเปล่า
เนื้อหาที่ถูกจดบันทึกไว้นั้น เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหาที่นักรบจดลงสมุดของตัวเองแล้วก็เหมือนกันทุกประการ ตีสองสิบนาทีโดยประมาณออกจากเยาวราช กลับมาที่โรงน้ำแข็งในซอยตลาดเก่าประมาณตีสองสี่สิบนาทีโดยมีเวลาในคอมพิวเตอร์ของโรงน้ำแข็งที่บันทึกไว้เป็นหลักฐาน นายแสกอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนขับรถส่งน้ำแข็งตลอด เมื่อเก็บข้อมูลลงคอมพิวเตอร์เสร็จแล้วก็ได้เวลาตีสามพอดี แสกจึงให้เพื่อนรออยู่ที่โรงน้ำแข็ง ส่วนตัวเองออกมาซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อทางฝั่งตลาดใหม่ และพบศพเข้าจึงโทรแจ้งตำรวจในเวลาตีสามยี่สิบห้านาทีโดยประมาณ
“เอ้า! คุยเสร็จหรือยัง” เสียงทักดังขึ้น นักรบรีบหันหลังไปดู เป็นสารวัตรสมพงษ์นั่นเอง “จะได้พาทั้งสองคนไปที่สถานีเลย แล้วให้เขาสอบปากคำอย่างละเอียด”
“สองคน” นักรบถามย้ำ
“ก็นายแสกนี่แล้วก็เพื่อนไง” สารวัตรตอบ ก่อนจะเหลือบตาจ้องเขม็งไปทางพยานที่ชื่อแสก
“แล้วก็ต้องขอเหตุผล...ที่ต้องใช้เวลากว่ายี่สิบนาทีหลังพบศพก่อนจะแจ้งตำรวจด้วย...”
ชายผิวคล้ำทำตาโตเพราะตกใจกับประโยคท้าย เขาตัดสินใจกลับตัวออกวิ่งหนีข้ามถนนไปทางตลาดเก่า ทั้งนักรบและสารวัตรจึงวิ่งหลบรถแล้ววตามไปด้วย นักรบวิ่งตามไปทันก่อนจึงคว้าตัวแสกเอาไว้ แล้วขัดขาจับเหวี่ยงลงพื้นในสภาพทุลักทุเล นักรบขึ้นนั่งคร่อมร่างที่นอนคว่ำอยู่ พร้อมล็อกแขนทั้งสองของแสกเอาไว้ สารวัตรที่วิ่งตามมาก็รีบเอากุญแจมือออกมาช่วยล็อกแขนด้วยความชำนาญ
“โอ๊ย! ขอโทษครับ! ขอโทษครับ! ปล่อยผมเถอะ ผมไม่ได้ฆ่า! ผมจะลบรูปทั้งหมดก็ได้!” แสกร้องลั่นแล้วดิ้นไปมาอยู่บนพื้น ทำเอาชาวบ้านแถวนั้นตกอกตกใจไปตาม ๆ กัน เมื่อได้ยินคำว่าฆ่าอย่างชัดเจนเช่นนั้น
“ไปให้การที่โรงพักก็แล้วกันนะ” สารวัตรเปรยน้ำเสียงเนือย ๆ แล้วเรียกลูกน้องมาคุมตัวนายแสกไปขึ้นรถตำรวจพร้อมเพื่อนที่เพิ่งให้การเบื้องต้นเสร็จ นักรบปัดเสื้อผ้าที่เลอะเทอะเล็กน้อยพอเป็นพิธีหลังจากตำรวจคนอื่นนำตัวชายที่พยายามหนีไปขึ้นรถแล้ว ดูเหมือนนายแสกยังพยายามโวยวายอะไรบางอย่างเกี่ยวกับรูป
“เขาพูดอะไรน่ะครับ เรื่องรูป” นักสืบหน้าเข้มทักขึ้นมา ทว่าสีหน้าไม่ได้เคร่งเครียดมากดังเดิม ทางสารวัตรก็ยักไหล่ ก่อนจะเอาบุหรี่ราคาถูกขึ้นมาสูบ
“จะไปรู้มันเหรอ...แล้วเวลายี่สิบนาทีก่อนแจ้งความ แกคิดว่าไง” สารวัตรเอ่ยถามความเห็นเพื่อนร่วมงานหน้าเก่า นักรบครุ่นคิดเล็กน้อย อันที่จริงเรื่องเวลานี่เขาก็สงสัยเช่นกันแต่ยังไม่แน่ใจ จึงไม่ได้พูดออกไปโต้ง ๆ อย่างที่สารวัตรทำ
“พบศพตอนตีสาม แต่ระยะทางจากโรงน้ำแข็งในซอยตลาดเก่าเดินออกมาที่ถนนใหญ่เนี่ย ผมว่าห้านาทีก็เดินถึง เผลอ ๆ ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำเพราะโรงน้ำแข็งอยู่ใกล้ปากซอยมากกว่าบ้านผมเสียอีก ดังนั้นการที่ออกมาจากที่โรงน้ำแข็งตอนตีสาม มาพบศพ แล้วค่อยแจ้งตอนตีสามยี่สิบกว่านาที คิดยังไงก็ผิดปกติครับ... เพราะส่วนใหญ่คนที่พบศพโดยบังเอิญมักจะรีบแจ้งความทันที แถมตอนที่คุยกันเมื่อกี้ ผมก็เห็นเขามีมือถือเหน็บอยู่ที่เอวด้วยจะโทรเดี๋ยวนั้นก็ยังได้...” นักรบอธิบายเป็นฉาก ๆ สารวัตรเลิกคิ้วทำหน้าเหมือนเห็นด้วย
“แต่ผมยังไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนฆ่า” ชายหนุ่มย้ำเสียงแข็ง “หลักฐานยังอ่อนเกินไป ข้อมูลต่าง ๆ ก็ยังน้อยเกินไป ยังสรุปอะไรไม่ได้หรอกครับ”
สารวัตรสมพงษ์หันไปมองหน้านักรบ ดวงตาดุดันของนักรบดูสะท้อนประกายขึ้นมาอีกครั้ง คงเป็นเพราะสารวัตรมีใจเชื่อไปส่วนหนึ่งแล้วว่านายแสกเป็นคนร้าย นั่นทำให้นักรบยอมรับไม่ได้กับการที่จะสรุปว่าคน ๆ นั้นผิดเพียงเพราะเขาเป็นผู้พบศพที่มีพิรุธน่าสงสัย
ทว่าสารวัตรก็ไม่ได้ค้านอะไรกับการเตือนทางอ้อมนั้น กลับกัน เขาเผยยิ้มออกมาราวกับโล่งใจ แล้วใช้นิ้วคีบบุหรี่ค้างไว้ในท่ากอดอกเหมือนเดิม ทำให้นักรบจำต้องขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในท่าทีเช่นนั้น
“ทำไมยิ้มอย่างนั้นล่ะครับพี่พงษ์ ผมคุยเรื่องงานอยู่ เครียดนะเนี่ย” ชายหนุ่มบ่นเสียงค่อย ทำให้คู่สนทนาหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ฮ่า ๆ ก็ดีใจ...” สารวัตรเปรยด้วยรอยยิ้ม “นานแล้วที่ไม่ได้ร่วมงานกับแกแบบนี้ ดีนะ...ที่แกยังจริงจังกับคดีเหมือนเดิม”
นักรบถอนหายใจพลาลอบยิ้มอย่างขัดเขิน คำพูดของสารวัตรทำเอาความเคร่งเครียดของเขาจางหายไปเสียหมด ชายหน้าเข้มเดินหลบกลับมาแถวรถมอเตอร์ไซด์ตำรวจใกล้ ๆ ที่เกิดเหตุ ทางฝ่ายพิสูจน์หลักฐานดูเหมือนจะเก็บหลักฐานและถ่ายรูปเสร็จแล้ว ต่อไปคงจะขนศพใส่รถกระบะแล้วเอาผ้าคลุมไว้เพื่อปกปิดให้พ้นจากสายตาของผู้คน
เสียงการจราจรทางเลนซ้ายอีกสองเลนดังขึ้นมาเป็นระยะชวนน่ารำคาญเพราะอีกสองเลนขวานั้นมีศพตั้งขวางอยู่ จึงจำต้องกั้นเส้นทาง แล้วให้บรรดารถที่สัญจรไปมาในเส้นนี้เลี่ยงไปทางด้านซ้าย ถนนเยาวราชที่แออัดร้อนระอุอยู่แล้วก็ยิ่งอัตคัตพื้นที่ถนนเข้าไปใหญ่ นักรบถอนหายใจปะปนกับควันพิษยามเช้า ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงบนมอเตอร์ไซด์ตำรวจแล้วมองตรงไปยังศพในปูนปั้นที่กำลังจะถูกพนักงานเก็บขึ้นรถกระบะ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดาใจฆาตกรไม่ออกเลย...ชายหนุ่มขมวดคิ้วหนักขึ้น ฆาตกรรมเพื่อศิลปะ ไม่มีแรงจูงใจอื่นใดนอกจากทำเพื่อศิลปะงั้นหรือ ถ้าเป็นแรงจูงใจของมนุษย์ปกติ อย่างรักโลภโกรธหลง เขาเองก็พอจะเข้าใจและวิเคราะห์ได้ถึงแรงจูงใจในการฆ่า เพราะอารมณ์เช่นนั้นเขาเองก็มีเหมือนมนุษย์ทั่ว แต่นี่มัน...จะให้เขาเข้าใจถึงจิตใจของฆาตกรพวกนี้ได้ยังไง ฆาตกรที่ฆ่าเพื่อการฆ่า ฆ่าเพื่อศิลปะเท่านั้น...
“หน้าเครียดเชียวนะครับ” คราวนี้โอนิมงเป็นคนเข้ามาทักเขาบ้าง นักรบเม้มปากเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าปากแห้ง ทำไมมีแต่คนเดินมาคุยกับเขาอยู่เรื่อย ทั้งที่เขาอยากจะใช้เวลาอยู่เงียบ ๆ สักพัก จะได้มีเวลาไตร่ตรองถึงคดีนี้อีกหน่อยแท้ ๆ
“ครับ...ก็...นิดหน่อย” นักรบตอบเสียงแหบแห้ง เขากระแอมไอสองสามครั้งระหว่างที่โอนิมงยื่นถุงพลาสติกสำหรับเก็บหลักฐานถุงหนึ่งให้เขา ภายในนั้นมีเศษปูนสีขาวอยู่เล็กน้อย
“นี่ ผมให้ฝ่ายพิสูจน์เก็บมาจากในซอยตลาดใหม่น่ะครับ” โอนิมงอธิบาย “บางทีฆาตกรคงจะซ่อนศพที่หล่อมาเรียบร้อยแล้วไว้ในซอยนั้น แล้วหาอะไรคลุมไว้ พอจังหวะปลอดคนหลังตีสองก็ลากศพออกมาตั้งโชว์”
นักรบฟังโอนิมงอธิบายอย่างเงียบ ๆ วันนี้โอนิมงใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว ส่วนเนคไทกับกางเกงเป็นสีกรมท่าเหมือนกัน ผมสีทองปัดไปด้านข้างถูกหวีจัดทรงอย่างเหมาะสม ดูเรียบร้อยไปทุกกระเบียดนิ้ว จะว่าไปแล้วสภาพเขาทั้งคู่นี่แตกต่างกันเหลือเกิน...แต่เรื่องการแต่งตัวน่ะช่างมันเถอะ ก็เขารีบออกมาจากบ้าน จะให้แต่งตัวดีแค่ไหนกันเล่า
“หืม เป็นอะไรไปครับ ทำไมทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ” ชายผมสีทองเอ่ยถามเรียบ ๆ
“...เปล่าครับ เรื่องหลักฐานนั่นผมเข้าใจ” นักรบตอบ ก่อนจะกัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกอัดอั้นในใจ ชายหนุ่มหน้าเข้มกำมือแน่นแล้วก้มหน้าหลบสายตาของเพื่อนร่วมอาชีพผู้มาจากแดนไกล
“แต่ที่ผมไม่เข้าใจ ก็คือจิตใจของฆาตกรพวกนี้ ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจจริง ๆ ไอ้พวกนี้มัน..ฆ่าคน ฆ่าลูกหลานของใครบางคน ฆ่าพ่อแม่ของใครบางคนอย่างไร้เหตุผลสิ้นดี!” เขาพูดเสียงดังขึ้น “จะให้ผมเข้าใจจิตใจของพวกมันได้ยังไง เหตุที่ฆ่า...เพียงเพื่อศิลปะเท่านั้นหรือ” นักรบยิ่งพูดดังขึ้นก่อนจะหันมาทางโอนิมง
“ผมไม่เข้าใจ! เรื่องแบบนี้!! จะให้ยอมรับได้ยังไง!!”
เสียงของนักรบถูกกลบไปบางส่วนด้วยเสียงของเครื่องยนต์บนถนนรอบข้าง ตำรวจหลายคนแอบเหลือบไปมองชายทั้งสองเป็นระยะเพราะคิดว่าพวกเขาคงกำลังทะเลาะกันอยู่ นักรบพูดจบแล้วนิ่งไปสักพัก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่น่าไปตวาดใส่โอนิมงเช่นนั้น...
“ข...ขอโทษครับ” นักรบรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่งด้วยท่าทีร้อนรน
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี” ชายผมทองเชิดหน้าขึ้นและนักรบก็ยอมหันมาหาเขาอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของโอนิมงหรี่ลงพร้อมรอยยิ้ม มันสะท้อนประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง นักรบรู้สึกขนลุกเพราะคิดว่าตัวเองไม่เข้าใจรอยยิ้มนั้น...
ไม่เข้าใจ อา...นี่เป็นความรู้สึกเดียวกัน กับการที่เขาไม่เข้าใจพวกนักศิลปฆาตกรรมสินะ
โอนิมงกลับตัวไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของตัวเอง เขาหันมายิ้มให้นักรบอีกครั้งแล้วยื่นหมวกกันน็อกให้ นักรบยื่นนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับหมวกนั้นไปถือไว้เฉย ๆ
“มาเถอะครับ” ชายหนุ่มผมสีทองเชิญชวน “ผมจะทำให้คุณได้เข้าใจพวกเขาอย่างแจ่มแจ้งเอง”
นักสืบหน้าเข้มมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ จะให้เขาขึ้นรถไปด้วยกันงั้นหรือ เพื่ออะไรกัน นักรบยืนลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ในขณะที่โอนิมงขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์และเริ่มสตาร์ทเครื่องคล้ายกับจะบิดออกไปเดี๋ยวนั้น เขาจึงตัดสินใจสวมหมวกแล้วรีบโดดขึ้นไปซ้อนท้ายทันที ความลังเลเมื่อครู่ก็พลันจางหายไปเสียหมด
โอนิมงบิดแฮนด์สองสามครั้ง ก่อนจะเผมยิ้มออกมาใต้หมวกกันน็อกสีแดงสด เขาขี่รถวกไปเข้าถนนเส้นด้านซ้าย แล้วลัดเลาะรถคันอื่น ๆ ไป เพื่อกลับไปที่สถานีจักรวรรดิอีกครั้ง พลางคิดถึงสีหน้าตอนที่นักรบตวาดใส่เขา...ความมุ่งมั่นเช่นนี้ เขาแทบจะลืมเลือนมันไปแล้ว นักสืบชาวญี่ปุ่นเหยียดยิ้มอีกครั้งภายใต้หมวกกันน็อคที่ซ่อนสีหน้าของเขาเอาไว้อย่างแนบเนียน
ความคิดเห็น