คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เส้นทาง
ตอนที่ 1 : เส้นทาง
ลูกฟุตบอลอย่างดีถูกคว้าจากบนตู้เสื้อผ้าลงมา เด็กชายตัวเล็กถือมันลงไปชั้นล่างพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ บังเอิญเขาเหลือบไปมองกระจกบานใหญ่ในห้องตัวเองเสียก่อนจึงหยุดมองเพื่อสำรวจตัวเอง
หนุ่มน้อยอายุสิบสามในภาพสะท้อนยังมีสีหน้าสดชื่นเหมือนทุกวัน ดวงตากลมโตสีเขียวเหมือนใบไม้เป็นสิ่งที่เขาเหมือนพ่อมากที่สุด ซึ่งพ่อได้จากคุณปู่ของพ่อ และคุณปู่ของพ่อก็ได้จากพ่อของคุณปู่มาอีกทีหนึ่ง เรื่องวงศาคณาญาติเราจะพักไว้ก่อน ที่แน่ ๆ วันนี้สีหน้าเขาดูดีทีเดียวสำหรับการเริ่มต้นชีวิตในโรงเรียนใหม่
"ฮารุ! ลงมาได้แล้วจะเก้าโมงแล้วนะ!" เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยเรียกดังมาจากชั้นล่าง เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบปิดประตูห้องแล้วขนข้าวของลงไปข้างล่างทันที
มาโมริลูบผมที่ตัดสั้นของเธอแบบพยายามจัดมันให้เข้าทรงกว่าเดิมจนกระทั่งเห็นลูกชายคนเดียวเดินลงมาเธอก็รีบหันไปทำหน้ามุ่ยทันที
"เร็วสิ แม่เองก็จะไปทำงานแล้วนะ" หญิงสาวบ่นแล้วเข้าไปหอมแก้มลูกชายที่หน้าเหมือนพ่อเปี๊ยบคนนี้ฟอดใหญ่ก่อนจะรีบหันกลับไปใส่รองเท้าส้นสูงอย่างรวดเร็ว เธอเองก็มีคิวอ่านข่าวตอนสิบโมงเช้าต้องรีบไปแต่งหน้าทำผมที่สถานีโทรทัศน์ให้เรียบร้อยเสียก่อน
" ไปก่อนนะจ๊ะ แล้วลูกไปอยู่ที่โรงเรียนก็ระวังเนื้อระวังตัวด้วยล่ะ" มาโมริย้ำคำด้วยความเป็นห่วง
"ครับ แม่รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะสายนะ" เขาเร่งอีกฝ่าย มาโมริจึงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินไปทางประตูบ้านเพื่อมุ่งหน้าไปที่ทำงานโดยเร็ว เป็นเรื่องปกติที่มิฮารุเองเห็นอยู่ประจำ แม่ของเขาไม่ค่อยจะอยู่บ้านเท่าไหร่นักแต่เขาก็ไม่รู้สึกเหงาเท่าไรเพราะพ่ออยู่บ้านแทบจะตลอดเวลา
ไม่นานมิทซึรุก็วิ่งออกมาจากห้องด้านใน พอเห็นมิฮารุยืนอยู่คนเดียวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูเหมือนเขาจะนอนเพลินไปหน่อย วันนี้ก็ตื่นไม่ทันก่อนมาโมริจะไปทำงานอีกแล้ว
"อะไรกัน! แม่เขาออกไปแล้วเหรอ" ผู้เป็นพ่อถามย้ำแล้วเสยผมดำที่ตัดสั้นของตนเองด้วยความเสียดายหลายวันแล้วที่เขาไม่ได้ทักทายภรรยาในตอนเช้าเพราะต้องแปลนิยายจนดึกดื่นตื่นไม่ไหวนั่นเอง
"พ่อก็รีบเข้าเถอะครับ ไหนบอกว่าโทรไปบอกทางโรงเรียนว่าจะเข้าไปตอนบ่ายไม่ใช่หรือ" หนุ่มน้อยเร่งเร้าด้วยท่าทีหงุดหงิด มิทซึรุรับคำก่อนจะเผ่นกลับเข้าห้องไปอาบน้ำแต่งตัว มิฮารุจึงนั่งรอพ่ออยู่ตรงบริเวณตู้ใส่รองเท้าหน้าประตูนั้นเอง
เขาจินตนาการถึงโรงเรียนคุโรสึกิที่ตัวเองต้องย้ายเข้าไปเรียน พ่อชอบเล่าเรื่องของโรงเรียนนี้ให้เขาฟังมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปอยู่ในโรงเรียนแล้วเจอกับคุณฮานาโกะ เรื่องของอิจิ...ดวงวิญญาณที่สลายหายไปจากโลกเพื่อไปยังโลกสุดท้ายก็เคยทำให้เขาสะเทือนใจมาก รวมทั้งเรื่องของครูไซโต้ อัทสึชิที่ช่วยครูใหญ่ของโรงเรียนเอาไว้จนเสียชีวิตในบ่อกรดด้วย
ผีสวมกิโมโนที่ชอบปีนตึกเรียน ผีครึ่งท่อนที่ชอบวิ่งไล่ตามนักเรียนบนอาคารเรียน นักเรียนไร้แขน ผู้คุมมือขวาน ล้วนแล้วแต่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ฟังทั้งนั้น ยิ่งคิดว่ากำลังจะได้ไปอยู่ที่โรงเรียนแบบนั้นทั้งวันทั้งคืนตลอดสามปี อา...แค่คิดมิฮารุก็ตื่นเต้นเกินจะทนแล้ว ถ้าพ่อไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเองล่ะก็นะ...ฮ่า ๆ
เด็กหนุ่มคิดด้วยความขบขัน เรื่องพวกนี้เขาเอาไปเล่าให้ใครฟัง คนอื่นก็หาว่าเขาโดนพ่อหลอกเล่นเสียทุกครั้ง มันก็น่าอยู่หรอกนะ เขาเองก็อยากลองสัมผัสบ้างกับประสบการณ์แบบนั้น ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นวิญญาณของจริงเลย เคยดูแต่ในโทรทัศน์ เรื่องเล่าของพ่อบางครั้งก็ฟังราวกับนิทานหลอกเด็กเสียจริง ๆ
"เอ้า! เสร็จแล้ว ๆ" มิทซึรุที่แต่งตัวเรียบร้อยพูดโพล่งเสียงดังออกมาจากห้องนอน ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อโปโลแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ตัวเก่งเช่นเดิม พวกเขาพ่อลูกช่วยกันขนของแล้วมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟ
ถ้าเป็นสมัยก่อนเวลาจะเข้าไปที่คุโรสึกิพวกเขาต้องนั่งรถไฟไปแล้วต่อด้วยรถเมย์แต่ตอนนี้มีสายรถไฟที่ใกล้โรงเรียนมากขึ้น รวมทั้งรถเมย์ก็มีมากขึ้นด้วย มิทซึรุกับมิฮารุนั่งลงในรถไฟที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นกำลังดี ของที่พะรุงพะรังทำให้มีคนหันมามองพวกเขาบ้างเป็นระยะ
มิทซึรุมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทีเหม่อลอย มิฮารุนั้นรู้สึกตื่นเต้นแต่ก็ยังมีสิ่งที่ติดใจสงสัยอยู่บ้าง เขานั่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งขณะที่รถไฟแล่นไปตามรางด้วยความเร็วสูง
"พ่อฮะ แม่บอกว่าที่คุโรสึกิอันตราย แล้วทำไมพ่อถึงจะให้ผมไปเรียนล่ะครับ" เขาตัดสินใจถามออกไปในที่สุด
"นั่นสินะ" มิทซึรุเปรยขึ้นทันทีเหมือนกับนึกเอาไว้แล้วว่าต้องถูกถาม ลูกของเขายังเฝ้ารอคอยคำตอบ นอกจากเรื่องเล่าของพ่อแล้วแม่เองก็เล่าให้เขาฟังไม่น้อยเช่นกัน ทว่าเรื่องเล่าของแม่ฟังดูน่ากลัวกว่าของพ่อราวกับแม่มองคุโรสึกิเป็นสถานที่ที่โหดร้ายอย่างไรอย่างนั้น
"...แรงดึงดูดให้กลับไปที่นั่นล่ะมั้ง ไม่สิ...เรียกว่าอะไรดีนะ" มิทซึรุพยายามหาคำที่พอจะอธิบายความคิดของเขาได้ ตอนที่บอกว่าจะส่งมิฮารุลูกชายคนเดียวของเขามาเรียนที่นี่มาโมริเถียงกับเขาเสียลั่นบ้าน ว่าจะส่งลูกไปเรียนที่อันตรายแบบนั้นได้ยังไงกัน ทว่าก็เป็นสิ่งที่น่าตลก ถ้ามาโมริคิดอย่างนั้นจริงก็ไม่เห็นต้องทนเรียนอยู่ที่นั่นตั้งสามปีเลยนี่นาแถมสุดท้ายยังยอมให้มิฮารุไปเรียนได้อีกต่างหาก
สิ่งที่ทำให้พวกเขาและอีกหลาย ๆ คนที่เรียนจบจากที่นั่นส่งลูกหลานของตนไปเรียนต่อจากรุ่นของตัวเองอย่างนั้นหรือ...ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่ดูอันตราย ถ้าเป็นคนทั่วไปซึ่งรู้เรื่องน่ากลัวในโรงเรียนอยู่แล้วก็คงไม่กล้าส่งลูกหลานไปเรียน แต่ว่าทำไมกันนะ...ทำไมพวกเขาถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้
"โดนคำสาป...อีกอย่างหนึ่งของคุโรสึกิเข้าซะล่ะมั้ง..." ผู้เป็นพ่อพึมพำราวเสียงกระซิบ เด็กหนุ่มที่เฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ ขนลุกขึ้นมาทันทีเมื่อมองเห็นแสงสีแดงเคลือบแฝงอยู่ในดวงตาสีเขียวของบิดา...
..........
ที่โรงเรียนคุโรสึกิ คามิมูระเดินขึ้นตึกนอนของนักเรียนไปจนถึงชั้นสอง ที่จริงเมื่อก่อนตึกนี้มีแค่สี่ชั้นแต่เมื่อโจดะกลายเป็นครูใหญ่ก็มีการวางแผนอนาคตของโรงเรียนเสียใหม่จนต้องต่อเติมตึกทั้งหมดเพิ่ม ตึกนอนจึงเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ลำบากครูเวรที่ต้องคอยเดินขึ้นเดินลงจริง ๆ เลยเชียว
ชายร่างใหญ่เปิดประตูเข้ามาในห้องพักของนักเรียนห้องหนึ่งแล้วก็ต้องหรี่ตาลง เพราะแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหน้าต่างที่ยาวตั้งแต่เพดานจรดพื้นเข้ามานั่นเอง
"อ๊ะ!" คนที่อยู่ในห้องร้องขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะรีบหันหน้ามาทางบุคคลที่เข้ามาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงนี้ทันที
"โธ่เอ๊ย...พ่อครับ ทำไมไม่เคาะประตูก่อน" เด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องบ่นอุบอย่างไม่พอใจ คามิมูระหัวเราะร่วนแล้วเดินไปนั่งบนเตียงด้านหนึ่งในขณะที่ลูกของเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า
"ขอโทษ ๆ ก็ทำไมไม่ล็อกประตูล่ะ เดี๋ยวคนอื่นก็เข้ามาเห็นหรอก" ชายร่างใหญ่ตอบกลับ นาซาเคะผู้เป็นลูกชายจึงไม่ว่าอะไรต่อไป ตาสีฟ้าน้ำเงินของเขาที่จ้องมองไปยังสิ่งต่าง ๆ รอบตัวดูเข้มแข็งเหมือนคามิมูระไม่มีผิดเพี้ยน
เวลาเดียวกันนั้นคามิมูระเองก็จดจ้องไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่าย ร่างกายสูงใหญ่ที่เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงประถมปลายนั้นยิ่งตอกย้ำว่านาซาเคะเป็นลูกของเขาจริง ๆ และปีกสีดำเหมือนปีกของค้างคาวบนแผ่นหลังนั้นก็เหมือนของซาจิราวกับแกะมาจากพิมพ์เดียวกัน
คามิมูระลุกขึ้นแล้วเข้าไปสัมผัสปีกนั้น นาซาเคะสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจแล้วรีบย่นคอลง พ่อของเขาลูบปีกสีดำเหมือนกับค้างคาวนั้นอย่างแผ่วเบาลากลงไปจนถึงรอยแผลใหญ่ที่โคนปีก
เมื่อตอนนาซาเคะอายุประมาณห้าหกขวบ เขาก็เริ่มบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้เหมือนกับซาจิ เด็กน้อยจึงออกไปบินเล่นอย่างสนุกสนานทุกวัน น่าเสียดาย...ที่เพื่อนของนาซาเคะสมัยอนุบาลและประถมกลับรู้สึกกลัวปีกนี่เพราะมันเป็นปีกสีดำเหมือนของปีศาจ
หากปีกของเขาเป็นแบบขนนกสีขาวล่ะก็ ผลคงจะออกมาเป็นตรงกันข้าม เพื่อนของเขาคงไม่ตีตัวออกห่างแบบนี้...
เพราะคุโรสึกิมีการเปิดสอนแต่เฉพาะระดับมัธยมต้น ทำให้สมัยเด็กเขาต้องไปเรียนที่โรงเรียนอื่นใกล้ ๆ ที่นี่และก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องปีกเพราะอาจารย์ที่นั่นต่างถูกคุณพ่อซากากิขอร้องเอาไว้ ไม่ให้เปิดเผยเรื่องปีกให้คนนอกรู้ เพื่อไม่ให้เป็นข่าว รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กคนอื่นก็ได้รับการขอร้องจากทางโรงเรียนอีกทอดหนึ่ง
จนถึงปีนี้...ที่เขาจะได้เข้าเรียนในคุโรสึกิแล้ว นาซาเคะจึงตัดสินใจเก็บเรื่องปีกไม่ให้เพื่อนในโรงเรียนนี้รู้ด้วยกลัวว่าตัวเองจะถูกรังเกียจเหมือนสมัยก่อนอีก
" ...พ่อช่วยนะ" คามิมูระอาสาแล้วกดปีกทั้งสองข้างที่หุบอยู่เอาไว้ให้ นาซาเคะเริ่มพันผ้าพันแผลไปรอบตัวเพื่อยึดปีกนั้นไว้ให้แนบไปกับหลัง พันทีละชั้น ๆ พลางนึกถึงตอนที่เขาอายุประมาณเจ็ดขวบไปด้วย
ตอนนั้นเขากำลังบินอย่างสบายใจอยู่เหนือต้นไม้ในสวนเหมือนปกติอย่างทุกวันแต่วันนั้น...นกตัวหนึ่งกลับบินเฉี่ยวเขาจนเขาต้องรีบหลบแล้วเสียสมดุล เด็กชายร่วงตกลงมาที่พื้น โชคยังดีที่เป็นพื้นหญ้าจึงลดแรงกระแทกได้นิดหน่อย
วันนั้นเองที่ปีกของเขาหักและบินไม่ได้อีกเลย...
คามิมูระเองก็ยังจำวันนั้นได้ดี เขาใจหายวูบเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของลูกชาย พอออกไปดูก็เห็นซาจิไปถึงตัวเด็กก่อนแล้ว ปีกของนาซาเคะข้างหนึ่งหักตั้งแต่โคนปีกที่ติดกับแผ่นหลังจนเกือบจะหลุดออกมาจากตัว ส่วนปีกอีกข้างหักกลางจนเห็นถึงกระดูกขาวโพลน
นาซาเคะในตอนนั้นร้องลั่นอย่างเจ็บปวดพวกเขาจึงต้องรีบพาไปโรงพยาบาลแต่สุดท้ายก็ต้องไปขอให้สัตวแพทย์รักษาให้เพราะโรงพยาบาลธรรมดานั้นไม่มีความรู้ด้านการรักษาอวัยวะที่เป็นปีกเช่นนี้ จนรักษาหายแล้วก็ยังเหลือรอยแผลเป็นที่โคนปีกด้านหนึ่งอยู่ดี
"เอ้า เสร็จแล้ว" คามิมูระพูดด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะหมุนตัวลูกชายให้หันหน้ามาทางเขาแล้วจ้องมองดวงตาที่ดูจริงจังนั้น มือใหญ่ ๆ ของคามิมูระลูบผมสีอ่อนที่นุ่มราวกับขนสัตว์ของลูกเบา ๆ สีผมและทรงผมที่คล้ายซาจินี้ เกือบจะทำให้เขาสับสนหลายครั้งแต่โชคดีที่นาซาเคะรูปร่างใหญ่เหมือนเขาสมัยวัยรุ่นจึงแยกออกง่ายหน่อย ตอนนี้นาซาเคะก็สูงเกือบหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรแล้ว
นาซาเคะหลบตาไปราวกับเขินอายก่อนจะคว้าเสื้อยืดมาใส่ เป็นเสื้อยืดที่ดูหลวมนิดหน่อยเพื่อจะใช้อำพรางปีกนั่นเอง ทั้งที่บุคลิกสง่าผ่าเผยเหมือนคามิมูระแต่นิยขี้อาย พูดน้อยจนแก้ไม่หายนี่เหมือนซาจิเสียจริง ๆ
"เอาล่ะ! ไปทานข้าวกันเถอะ พ่อซาจิรอแย่แล้ว" คามิมูระพร้อมโอบไหล่ลูกชายพาเดินลงไปข้างล่าง นาซาเคะก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อยและเดินไปด้วยกันโดยดีทว่าในใจของเด็กหนุ่มก็ยังคงครุ่นคิด
นับตั้งแต่วันที่ปีกหัก เขาไม่อาจจะโผบินขึ้นในอากาศได้อีกเลย จะว่าไปแล้วก็ขยับปีกไม่ได้ด้วยซ้ำ
บินสิ...ขยับสิ...ปีกของฉัน... นาซาเคะรู้สึกว่าในใจของเขากำลังร่ำร้องเช่นนั้น ระหว่างที่เขาและเด็กนักเรียนอีกจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาตามเส้นทางสู่โรงเรียนคุโรสึกิราวกับถูกกำหนดชะตากรรมเอาไว้เช่นนั้น
b
g
scoll
bar
M
SE
ความคิดเห็น