+คู่หู...ข้างใจ+ - +คู่หู...ข้างใจ+ นิยาย +คู่หู...ข้างใจ+ : Dek-D.com - Writer

    +คู่หู...ข้างใจ+

    ยอมรับนะว่าตอนนั้นฉันมองข้ามนายในฐานะคนรักไป...แล้วก็ยอมรับกับคำที่บอกว่าการที่เราใกล้ชิดกันเกินไปมันก็อาจทำให้มองไม่เห็นอะไรบางอย่าง...~ ๑~๑

    ผู้เข้าชมรวม

    179

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    179

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ม.ค. 49 / 17:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      + คู่หู...ข้างใจ +
      .................................................................................................................................................
      ~ ยอมรับนะว่าตอนนั้นฉันมองข้ามนายในฐานะคนรักไป...แล้วก็ยอมรับกับคำที่บอกว่าการที่เราใกล้ชิดกันเกินไปมันก็อาจทำให้มองไม่เห็นอะไรบางอย่าง...~  ๑~๑

      บริเวณสนามบาส เช้าวันนี้ที่รร.มัธยมต้นของฉันอากาศช่างดีจริงๆ ....เฮ้อ ฉันชอบบรรยากาศแบบนี้ที่สุดเลย ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้ติดใจบรรยากาศแบบนี้ก็ไม่รู้นะ ถึงได้อุตส่าห์ถ่อสังขารมานั่งที่ตรงนี้ทุกเช้า.....
      ~ ป๊อก !!! ~ โอ้ยใครกันมาเขกหัวฉันแบบนี้นะ ฉันหันไปแล้วก็พบใครบางคนแหม่ทำมายืนเก๊กหล่อ ความจริงเขาเป็นคู่หูตัวแสบของฉันเองค่ะ นิสัยแย่มากเพราะเขาชอบแกล้งฉัน(อ้าวซะงั้น)

      “นี่เก๋านักเหรอนายน่ะ” ฉันแกล้งพูดไปงั้นๆแหละ
      “อืม...” กะแล้วว่านายนั่นต้องตอบแบบนี้ ความจริงไอ้ตาบ้าขี้เก๊กที่ชอบแกล้งฉันคนนี้เค้าชื่อนายปิ่น
      เป็นคู่หูของฉันมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะนอกจากนายนี่จะเป็นคู่หูของฉันแล้วนะ เขายังเป็นคู่แข่งคนสำคัญของฉันด้วย
      “นี่นั่งลงก่อนสิยื่นค้ำหัวฉันอยู่ได้” แน่ะ ดูสิพูดแล้วยังทำเฉยอีก ได้ก็ได้ ฉันยืนขึ้นเองก็ได้
      “กะแล้วว่าเธอต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้น”
      “ทำเป็นรู้ดี เอ่อนี่เห็นบอกว่าห้องเราวันนี้มีเด็กนักเรียนเข้ามาใหม่เหรอ”
      “จะไปรู้เรอะ” ตอบกวนๆอีกแล้วนะนายเนี่ย
      “ขอดีๆได้ป่ะ ตอบดีๆหน่อย ก็ที่นายได้ที่สองรองจากฉันเสมอก็เป็นเพราะอย่างนี้ไง เพราะนายมันกวนไม่เลือกที่”
      “เหรอ อืม ใช่วันนี่ห้องเรามีนักเรียนใหม่เข้ามา” อุ๊ยจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันน้า แต่อยากให้เป็นผู้ชายง่ะ
      “อืมตอบอย่างนี้ค่อยเข้าท่าขึ้นมาหน่อย” อ้าวทำไมนายทำหน้าอย่างนั้นล่ะ หน้าฉันเป็นอะไรไปเหรอ หรือว่าลืมแคะขี้ตา อึ้ย ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันอายแย่เลย
      “นี่ป่านเธอเคยดูหน้าตาตัวเองก่อนมาโรงเรียนรึเปล่า” เอ่อ...จะตอบว่าไงดีล่ะเคยดูน่ะเคยดูแต่ดูผ่านๆไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากมาย อย่าบอกนะว่าฉันลืมแคะขี้ตาน่ะ
      “ทำไมเหรอ มีอะไรติดหน้าเหรอ”
      “เอ่อคือ..ฮะฮ่ะฮ่า” ดูดิ เห็นนายขำอย่างนี้อยากจะบอกว่าฉันเครียดนะยะ
      “มีไรก็บอกมาเซ่...ถ้านายไม่บอกฉันจะต่อยนายตอนนี้เลย”
      “โห๋เล่นมุขโหด เออ บอกก็ได้ ขนจมูกแล็บน่ะ วันหลังหัดตัดบางนะ” อีตาบ้า พูดจาน่าเกียจๆแบบนี้ได้ไง บ้าเหรอใครจะมาขนจมูกแล็บล่ะ เอ่อแต่เพื่อความชัวร์ฉันว่าฉันควรส่องกระจกดูดีกว่า ฉันล้วงมือไปหยิบกระจกแบบพกในกระเป๋า จะส่องดูแล้วนะ แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่นายปิ่นนั่นว่าจริงๆฉันคงอายตายเลยแหละ ถึงจะสนิทกันแค่ไหนก็นะ เอ๊ะ!!...ไม่เห็นมีอะไรซักหน่อยหรือว่า...
      “นี่อย่าทำหน้าเครียดอย่างนั้นสิป่านเราแค่ลองใช้มุขใหม่ๆก็เท่านั้นเอง” นั่นไงว่าแล้ว ที่แท้นายก็กุเรื่องมาแกล้งฉันเองเหรอ ทุเรศสิ้นดีเลย
      “อือ ไม่น่าเครียดเลยนะโดนแกล้งแบบนี้เนี่ย” ฉันพูดประชด
      “โทษที นี่หิวน้ำรึเปล่า” นายก็พูดดีกับเค้าเป็นเหมือนกันนี่
      “ทำไมเหรอ นายจะไปซื้อให้ฉันเหรอ”
      “เปล่า ฉันไม่ไปซื้อให้เธอหรอก เพราะฉันซื้อมาแล้ว เอ้านี่” บรื้อ~ เย็นเป็นบ้าเลย เอามาแนบแก้มทำไมเนี่ย
      “นี่นายกะจะทำเลียนแบบในหนังสือการ์ตูนเหรอถึงได้เอาน้ำเย็นมาแนบแก้มฉันเนี่ย”
      “คงงั้นมั้ง…นี่ขึ้นห้องเรียนกันดีกว่า”
      “อือ ขอมือหน่อยดิ”
      “จะทำไรน่ะ”  ถึงนายจะพูดแบบนั้นแต่นายก็ส่งมือมาให้ฉันอยู่ดี 555+
      “อ่ะให้ ฝากทิ้งด้วยนะ” ฉันยัดขยะในมือที่อุตส่าห์เก็บไว้ในกระเป๋ากระโปรงตั้งแต่เช้าใส่มือของหมอนั่น ส่วนตัวฉันก็วิ่งหนีขึ้นไปบนห้องเรียน เชื่อฉันสิว่าเขาต้องนำมันไปทิ้งให้ฉัน
      ว้า...ทำไมนายถึงได้ช้าจังนะปิ่น ไม่มีนายมานั่งข้างๆแล้วฉันหวิวจัง นั่งอ่านการ์ตูนรอนายดีกว่า
      ฉันหยิบหนังสือการ์ตูนในกระเป๋าขึ้นมา
      ว้าวๆๆ...ภาพปกนี่เป็นอะไรที่ถูกตาต้องใจฉันมากๆ พูดก็พูดเหอะ การ์ตูนเล่มนี้ฉันซื้อมาเพราะหน้าปกสวย ส่วนเนื้อเรื่องในหนังสือน่ะเหรอ หมกมาสามเดือนแล้วยังอ่านไม่จบเลย ฉันพลิกหน้าอ่านต่อจากที่คั่นไว้ ไม่นานนักเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นข้างๆฉัน
      “นี่เธออ่านการ์ตูนเหรอ” ทำไมต้องทำหน้าตกใจอย่างนั้นล่ะ ฉันเงยหน้ามองเขาแล้วก็ก้มลงอ่านต่อ อ่านไปอ่านมาแล้วสนุกดีแฮะเรื่องนี้
      “หือ การ์ตูนผู้หญิงซะด้วย” นายนี่พูดอะไรแปลกๆ ก็ฉันเป็นผู้หญิงนี่อ่านการ์ตูนผู้หญิงจะผิดตรงไหน ฉันแกล้งทำเป็นไม่สนใจหมอนั่น
      “ แนวไหนอ่ะ อีโรติก รึเปล่า หน้าอย่างเธอไม่น่าจะเกินแนวนี้นะ” ดูนายพูดเข้าสิ ฉันไม่ได้หน้าหื่นบอกยี่ห้ออย่างนายซะหน่อยนะ
      “พูดมากอยู่ได้รำคาญ” ฉันตะหวาดนายนั่น อุ๊ย นี่ฉันว่าเขาแรงไปป่าวเนี่ยดูสิ หมอนั่นหยุดพูดทันตาเห็นเลยอ่ะ
      “..............................” ฮือ นายปิ่นบ้าฉันอยากบอกว่าฉันขอโทษนะ ฉันขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ แต่ทำไมมันถึงพูดไม่ออกล่ะ  มันเหมือนติดอยู่ที่ริมฝีปาก  แล้วฉันจะทำยังไงดีเนี่ย นายก็นะทำเมินฉันได้ลงคอเชียวเหรอ
      “นี่ขอโทษนะที่ว่าเธอน่ะ” อ้าวทำไมกลายเป็นนายที่ขอโทษล่ะ ฉันต่างหากที่ควรจะต้องขอโทษนาย
      “ไม่เป็นไรหรอก ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษนาย ขอโทษนะที่ว่านายว่าน่ารำคาญความจริงฉันล้อเล่น”  ฉันรู้สึกผิดจริงๆนะ จู่ๆหมอนั่นก็ลูบหัวฉัน ความจริงมันทำให้ฉันรู้สึกดีนะแต่ว่ามันคงดูไม่ดีใช่ไหม เพราะท่าลูบหัวแบบนี้มันเหมือนกับ สัตว์ชนิดหนึ่งน้า...คุ้นๆไหมล่ะ  ลูบหัว...?
      “ปิ่น นายจะเล่นหัวฉันอีกนานไหม” ฉันพูดตัดบทหมอนั่นเลิกคิ้วทำปากเบะพลางปล่อยมือออกจากศีรษะฉัน
      “เฮ้ยป่านพรุ่งนี้มีสอบว่ายน้ำใช่ป่ะ” เอ่อ...ฉันเองก็เพิ่งนึกได้ ฉันพอจะเดาออกแล้วล่ะว่าทำไมหมอนั่นถึงถาม คงจะท้าแข่งคะแนนอีกตามเคย แต่บอกตรงๆนะว่าว่ายน้ำถึงฉันจะทำได้ดีกว่าหลายๆคนก็ตามแต่มีอยู่คนนึ่งที่ฉันแพ้ก็คือนายบ้าปิ่นนี่แหละ
      “ไม...จะท้าฉันอีกล่ะสิ” เป็นไงล่ะโดนดักคอซะมั่ง
      “รู้ทันด้วย...”
      “ก็แหงสิ ฉันกับนายสนิทกันมานานแล้วนิ”
      “อ้าวนี่ๆๆ นักเรียนทุกคนโปรดอยู่ในความสงบด้วย” เสียงพูดของอาจารย์ที่ปรึกษาของฉันดังขึ้น พวกเราหันไปมองเป็นตาเดียว
      “อืม วันนี้มีนักเรียนเข้ามาใหม่ พวกเธอคงรู้มาบ้างแล้ว” อาจารย์หันไปพึมพำกับใครคนหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
      “เอ้าเข้ามาได้” เมื่อนายนักเรียนใหม่คนนั้นเข้ามาในห้อง พวกเรานักเรียนเก่าก็พากันโห่ต้อนรับตามธรรมเนียม เฮ้ยๆๆ....ขาว สูง ใส่แว่น...แต่งตัวดี...หน้าคมเข้ม...เด็กเรียนชะมัดบอกยี่ห้อเลยนะเนี่ยที่สำคัญตรงสเป็คฉันแบบจังๆ ฉันไม่รู้จะเก็บอาการยังไงดี แต่จู่ๆนายปิ่นก็มาเก็บอาการให้ โดยการ ตบบ่าฉัน นายนี่ก็อย่างนี้แหละไม่มีความอ่อนโยนเอาซะเลย
      “เหม่ออยู่ได้...อย่าบอกนะว่าเนี่ยสเป็คเธอ..ฉันหล่อกว่าหมอนี่ตั้งเยอะ” แฮะ...นายนี่พูดแปลกจู่ๆก็มาบอกว่าตัวเองหล่อกว่าคนอื่นเนี่ยนะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นนายเคยพูดจาแบบนี้เลย
      “ถ้าใช่แล้วจะทำไม...ยังไงซะท่าทางเขาก็ดูอ่อนโยนกว่านายล่ะกัน ชิ” ฉันว่า ก่อนจะหันมาตั้งใจฟังเด็กใหม่คนนั้นแนะนำตัว ส่วนอีตาปิ่นนี่ก็ทำหน้ากวนโอ๊ยเหลือเกิน
      “สวัสดีครับ...ผมชื่อ ติว ครับ ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนๆทุกคนด้วยครับ” โอ้โห๋ คนอะไรพูดจานุ่มนวลน่าฟังมาก....(นี่ทางหล่อนจะเคลิ้มใหญ่แล้วนะ)
      “อืมงั้นนายก็เข้าไปนั่งที่ได้ อืม โต๊ะข้างหลัง ติณภพ กับ ปรียาว่างไปนั่งสิ” อ้าว อะไรมันจะสมพงษ์ขนาดนี่โต๊ะด้านหลังฉันกับนายปิ่นดันว่าง
      “เอ่อขอนั่งตรงนี้นะครับ”
      “ตรงนี้ไม่ว่างหรอก ฉันเอาไว้วางกระเป๋า” โห๋นายปิ่นนายกล้าดียังไงมาตัดไมตรีเพื่อนแบบนี้ฮะ
      “แล้วตรงนั่นล่ะครับ” ว้าว เค้ายิ้มให้ฉันซะด้วย ตรงนี้เหรอคะ ว่างอยู่แล้วล่ะค่ะ
      “วะ...”
      “ไม่ว่างเหมือนกัน...ฉันเอาไว้วางการ์ตูน”  พูดมากดีนัก
      ~ โป๊ก!!!~
      “ตรงนี้ว่างค่ะ เชิญนั่งเลยค่ะ ไม่ต้องไปสนใจนายบ๊องนี่หรอกค่ะ ยังไงก็ต้องขอโทษแทนคู่หูบ๊องๆของฉันคนนี้ด้วยนะคะ”  อึ้ยขอโทษนะ เมื่อกี้ฉันวู่วามเกินไป ฉันไม่ได้ตั้งใจเขกหัวนายนะ ฉันแค่เจตนา 555+
      “ป่าน เธอเขกหัวฉันทำไมน่ะ”
      “ก็นายดันปากไม่ดีเอง”
      “เราปากไม่ดีตรงไหน เราแค่อยากสงวนที่ไว้วางของผิดด้วยเรอะ”
      “ผิดเซ่...ก็นายไม่ยอมให้เพื่อนนั่งนิ ข้าวของนายมันเยอะซะที่ไหนล่ะ จ๊ะพ่อคุณชาย มีแม่บ้านจัดให้ทุกวันนิ”  ความจริงนายปิ่นนี่เป็นลูกคนรวยค่ะ
      “เชิญนั่งเลยค่ะ เอ้านี่ตารางสอน” ฉันส่งตารางสอนให้ติว
      “ขอบใจนะ จดเสร็จแล้วจะคืนให้”
      “ไม่ต้องจดหรอกฉันให้เลย เพราะว่าฉันซีร็อกซ์ไว้แล้วล่ะ” ฉันยิ้มให้เขา  จากวันนั้น ฉันก็สนิทกับติวขึ้นเรื่อยๆ  ฉันตัดสินใจบอกปิ่นว่าฉันแอบชอบติว ตอนแรกนายนั่นงอนเป็นเป็ดเลยไมยอมพูดกับฉัน คงเป็นเพราะกลัวฉันจะมีแฟนแล้วทิ้งเพื่อนมั้ง แต่ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นแน่รับรองด้วยเกียรตินักเรียนคะแนนท๊อป  หลังจากนั้นซักพัก นายปิ่นก็ค่อยๆกลับมาสนิทกับฉันเหมือนเดิม เขากับติวเองก็คุยกันมาขึ้น  พักหลังๆ ฉันรู้สึกว่า เขาซึมๆไป แล้วดูท่าทางเหมือนเขา จะไม่หวงฉันแล้วเวลาที่อยู่กับติว หนำซ้ำยังช่วยฉันเรื่องติวอีก  ฉันเลยชักมีความหวังมาบ้าง

      “เอ่อ...เธอกับติวเป็นไงมั่ง”
      “ก็โอเคอ่ะ มีความหวังแล้วนิดหน่อย” ฉันตอบตามความจริง
      “เหรอ งั้นก็ดีใจด้วยนะ” โห๋นายดีใจได้ซึ้งใจจริงนะ หน้านี่ไม่มีรอยยิ้มเลยอย่างนี้จะเรียกว่าดีใจด้ายไง มีไรก็บอกมาดิ เพื่อนกันป่าวเนี่ย
      “ว่าแต่นายเป็นไรรึเปล่าปิ่น พักหลังมาไม่เห็นนายยิ้มเหมือนเคยเลยนะ”
      “เหรอ” อะไรกัน...คำพูดเย็นชาแบบนี้  ถ้าเป็นเมื่อก่อนนายต้องออกแนวกวนๆกว่านี่สิ
      “นี่...ไปเล่นบาสกันเถอะ แล้วฉันจะขอเป็นคนเรียกนายคนเดิมกลับมาเอง” ฉันยิ้ม
      “ลุกสิ” ฉันเร่ง พลางฉุดเขาให้ลุกขึ้นมา
      “อือ...” เขายิ้มแหย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาเป็นอะไร แต่ฉันจะทำให้เขากลับมาเป็นปิ่นคนที่ร่าเริงคนเดิมให้ได้ ยังไงซะนายก็ยังเป็นคู่หูที่ดีที่สุดของฉันเสมอ

      ที่สนามบาส  

      “แข่งกัน วัน-วัน  3ลูกใครชู๊ตลงก่อนชนะ ส่วนคนแพ้เย็นนี้ต้องพาคนชนะไปเลี้ยงไอติม ตกลงป่ะ” เชื่อสิ ถ้าเป็นคำท้าจากฉันหมอนั่นไม่ปฏิเสธแน่
      “ ตกลง ” นั่นไงว่าแล้ว
      “ อืมแล้วใครจะเป็นคนเริ่มก่อนล่ะ”
      “ฉันให้เธอเริ่มก่อน” อืมความจริงนายก็สุภาพบุรุษนิดๆเหมือนกันนะ
      “ได้ อย่าออมมือล่ะ”
      “ อืม” ว่าแล้วฉันก็ลงมือ เลี้ยงบาสเข้าไปเลย นายนี่ยังไวเหมือนเดิมนะดักฉันได้ตลอด แต่ก็นะยังไงซะก็ไม่แพ้นายง่ายๆหรอก ฉันหมุนตัวออกมาเพื่อหลอกล่อ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปชู๊ต
      ฟิ้ว... สวบ!!!  โอ้โหคิดว่าจะไม่เข้าซะแล้ว คราวนี่ก็ตาหมอนั่นลุกบ้าง ฉันเองก็เข้าไปตั้งรับอย่างสุดฝีมือ แต่สุดท้ายหมอนั่นก็ชู๊ตลงจนได้ เจ็บจัยๆๆ.... ส่วนลูกที่สองฉันก็ชู๊ตเข้า ตอนนี้ฉันนำเขา2 ต่อ1 แล้วเขาก็ชู๊ตลงกลายเป็นสองต่อสอง  คราวนี้ก็ลูกตัดสิน ฉันเลี้ยงมาอยู่ที่เส้นนอก เขตชู๊ตสามแต้ม  หวังว่าจะลงนะ
      ปั๊บ!!! หมอนั่นถือโอกาศ บล็อคลูกจากมือฉันง่ะ โฮๆ
      “นี่ไม่ยอมให้เธอชู้ตง่ายๆหรอก ยังไงซะวันนี้เธอต้องเสียตังค์เลี้ยงฉันบ้างหลังจากที่ฉันเลี้ยงเธอมาหลายครั้งแล้ว”  
      “แน่ใจเหรอ”  ฉันเข้าไปแย่งหมอนั่นเขาชูมือขึ้น ฮึบไมสูงจังเลยอ่ะ ก็นายสูงกว่าฉันนี่นะ ฉันกระโดดหวังจะปัดลูก หมอนั่นเองก็กำลังจะชู๊ต สรุปว่าเราทั้งสองช่วยกันชู๊ตแล้วมันก็ดันลงซะด้วย
      กลายเป็นว่าเสมอไปซะงั้น ถ้าตามความคิดนะ แต่ถ้าตามเกมส์ก็หมอนั่นชนะ
      “จะกินติมรสไรล่ะ” ฉันบอกเขา
      “ของใครของมันดีกว่า ชนะแบบนี้ฉันไม่ภูมิใจ ว่าแต่ว่างไปกินติมด้วยกันเปล่าล่ะ” หมอนั่นยิ้ม นี่ไงสิ่งที่มันหายไปนายจากนายปิ่นมันกลับมาแล้วรอยยิ้มของเขากลับมาแล้ว
      “ว่างสิ ถ้าเป็นนายชวนฉันว่างอยู่แล้ว”
      “อืม ....” อ้าว ทำไมมองฉันแปลกๆล่ะ
      “นี่เธอชอบติวนั่นจริงๆเหรอ” จู่ๆก็ถาม
      “ทำไมล่ะ”
      “ป่ะป่าว อยากรู้เฉยๆ”
      “คงชอบล่ะมั้ง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
      “เหรอที่ผ่านมาฉันคอยอยู่เคียงข้างเธอมาตลอด แต่ต่อไปไม่รู้ว่าเธอจะยังต้องการให้ฉันอยู่เคียงข้างเธออย่างนี้อีกรึเปล่านะ หรือบางทีฉันก็อาจไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างเธอ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รับรองว่า วินาทีสุดท้ายของฉัน ฉันจะมาอยู่เคียงข้างเธอ จำไว้นะ” ปิ่น นายพูดอะไรของนายเนี่ย พูดเป็นลางเลยนะ ฉันไม่ชอบให้นายพูดแบบนี้รู้ไหม...
      “นายอย่าพูดแบบนี้อีกนะ พูดเหมือนกับว่าจะจากฉันไปไหนอย่างนั้นแหละ”
      “เธอแคร์ด้วยเหรอ”
      “แคร์ สิก็เราเป็นคูหูกันนะ” ด้วยความที่ว่าสนิทกันมาก ฉันเองรู้ดีว่าหมอนี่ไม่เคยพูดโกหก เขาไม่เคยผิดคำพูดกับฉันเลยซักครั้งเดียว.....
      “ป่าน เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมพักหลังเราถึงไม่ยิ้มแย้ม” อยากรู้สิ
      “อืม อยากรู้ ทำไมเหรอ”
      “ก็เพราะว่าพรุ่งนี้ฉันจะต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นแล้วล่ะสิ เพราะพ่อของฉันได้เลื่อนตำแหน่งเลยต้องย้ายที่ทำงาน”
      “นายจะไปอยู่ไหนบอกฉันได้ไหม”
      “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ปิ่นจะย้ายบ้าน!!!....ทำไมฉันถึงรู้สึกแปลกๆนะ ในความคิดฉันตอนนี้ฉันไม่อยากให้เขาไปเลยทั้งๆที่ฉันควรจะดีใจ ที่พ่อของเขาได้ตำแหน่งงานดีขึ้น อยากจะตะโกนบอกเขาว่า อย่าไปเลย...ช่วยอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะนะ แต่ก็คงดูเหมือนเห็นแก่ตัวเกินไป เฮอ...ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย ก็ถ้าเขาไปเพื่อก้าวหน้าฉันก็ควรจะยินดีสินะ
      “ยินดีด้วยนะกับพ่อนาย อืม..ถ้านายย้ายไปรร.ใหม่ก็ขอให้มีเพื่อนเยอะๆนะ” นี่ฉันรู้สึกว่าตัวเองฝืนพูดยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งมันไม่ใช่นิสัยฉันเลย ฉันออกจะโผลงผาง แต่ตอนนี้ฉันกลับทำอย่างนั้นไม่ได้
      ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฉันเป็นอะไรไป
      “ขอบใจนะ นี่เธอไม่เสียใจบ้างเลยเหรอ” หมอนั่นทำหน้าเศร้าๆ เสียใจสิ ถามได้แต่เพื่อความสบายใจของนายฉันเต็มใจฝืน
      “ไม่นิ เพื่อนจะไปในทางที่ก้าวหน้าก็ต้องยินดีสิ” ฉันยิ้มอยากบอกว่ารอยยิ้มนี้เป็นรอยยิมที่เสแสร้งที่สุดเท่าที่เคยยิ้ม
      “อืม....ฉันมีสิ่งหนึ่งที่จะให้เธอ”
      “อะไรล่ะ”
      “นี่ สร้อยเส้นนี่ที่ฉันรักมากที่สุด อ่ะ ฉันให้เก็บมันไว้นะ เผื่อคราวหน้าถ้าเราเจอกันฉันจะได้จะรู้ว่าเป็นเธอ” เขายื่นมันมา ฉันเองก็รับมาเช่นกัน เป็นสร้อยคอจี้แบบเปิดฝาใส่รูปได้อยากรู้จังข้างในเป็นรูปอะไร
      “เปิดดูได้ป่าว”
      “ไว้เปิดพรุ่งนี้ดีกว่านะ ตอนนี้ฉันว่าพวกเราควรจะไปกินติมกันได้แล้ว”
      “แต่ฉันก็มีของจะให้นายเหมือนกันนะ”
      “แบมือมาสิ” ฉันบอกเขา เขาแบมือมารับ ฉันวางปากกาที่ฉันรักมากที่สุดวางบนมือของเขา ที่รักมากที่สุดก็เพราะว่ามันเป็นปากกาสั่งทำพิเศษน่ะสิ เป็นลายที่ฉันออกแบบเองเพราะเหตุนี้ฉันจึงรักมาที่สุด
      “ปากกาเนี่ยนะ...”
      “ทำไมยะ ไม่สวยเหรอ แท่งนี้ฉันออกแบบเองเชียวนะ”
      “ถึงว่า ทำไมลายมันถึงได้ปัญญาอ่อนแบบนี้”
      “นายว่าฉันเหรอ นายตายแน่ เฮ้ยวิ่งช้าๆ สิ รอฉันด้วย” ฉันวิ่งไล่ตีเขา ส่วนเขาเองก็วิ่งนี่ฉัน เมื่อมาถึงร้านไอศกรีม ฉันก็รู้สึกว่าเหนื่อยมากๆจริงๆ

      “อืม...จะกินรสอะไรล่ะ” เขาถาม
      “ฉันว่าฉันอยากกินไอ้นี่อ่ะ เค้กไอติม” แหะๆอยากลองชิมมาตั้งนานแล้ว
      “อือ น่าสนดีนะเอาด้วยดีกว่า” นายปิ่นสั่งพี่พนักงานเสริ์ฟ
      “ยี้...เอาตามนี่หน่า”
      “แล้วทำไมก็เค้าไม่ได้ติดป้ายห้ามสั่งซ้ำนิ” เอ่อ...นี่ถ้าไม่ใช่ร้านไอศกรีมป่านนี้นายกับฉันมีเรื่องกันแน่  ซักพักไอศกรีมที่สั่งไปก็มา ฉันก้มหน้าก้มตากินๆๆแล้วก็กิน ว้าว...อร่อยสมที่รอคอยจริงๆ ดูท่าทางนายปิ่นก็คงรู้สึกแบบเดียวกับฉันเหมือนกันแหละ ดูได้จากจาน หมอนั่นกินซะเกลี้ยง
      “อืมอิ่มแล้วไปเดินเล่นย่อยอาหารกันไหม”
      “อือไปซิ” หลังจากจ่ายตังค์แล้ว ปิ่นก็พาฉันเดินเล่นแถวนั่นก็จะมาหยุดอยู่ที่เก้าอี้สาธารณะข้างทาง
      ฉันกับเขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น
      “ฉันอยากหยุดเวลาตอนนี้ไว้” อือ ฉันก็เหมือนกัน ฉันไม่อยากให้พ้นวันนี้ไปเลยจริงๆ
      “อือ...” สายลมพัดผ่านพวกเราไป ทุกทีฉันรู้สึกดีเวลาที่มีลมพัดผ่านตัวแต่ครั้งนี้เหมือนว่าสายลมพัดความเหงาผ่านตัวฉัน ทำให้ฉันรู้สึกเหงาขึ้นมา
      “ฉันมีบางอย่างที่อยากบอกเธอ” ความรู้สึกฉันตอนนี้แทบไม่มีกระจิตกระใจรับฟังเรื่องอะไรจากนายเลย
      “ว่ามาสิ”
      “เอ่อคือ...ระ เราชอบเธอนะ” ปิ่น!!! นายชอบฉัน งั้นเหรอ บ้าไปแล้วรึเปล่า
      “เฮ้ยอย่าล้อเล่นดิ ขำนะ” อ้าวก็มันน่าขำจริงๆนี่
      “ขำเหรอได้นี่ๆไง” นาย กล้าดียังไงมาเล่นหัวฉันอีกแล้วนี่
      “นี่แหน่ เอาคืนบ้าง” ฉันเล่นหัวเขาเช่นกัน ผมผู้ชายทรงนักเรียนนี่เหมือนกับมีไม้ไปขนาดเท่ากันปักไว้ทั่วหัวงั้นแหละ
      ~ นึกแล้วว่าเธอ จะต้องเป็นแบบนี้ ทำไมกัน คำพูดของฉันมันดูไม่จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอไง
      หลายครั้งนะที่ผมรวบรวมความกล้าเพื่อจะบอกคำๆนั้นกับเธอ ทั้งๆที่พยามทำให้เธอได้รู้ว่าผมรู้สึกกับเธอมากกว่าเพื่อน แต่สิ่งที่ผมพยามมาทั้งหมดกลับกลายเป็นเรื่องขำในสายตาเธอทุกครั้งไป บางทีที่มันเป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะ เธอเองไม่ชอบผมก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เลิกรักเธอหรอก มันไม่ผิดนิ ถ้าเราจะรักใครสักคน และผมก็เลือกแล้วว่าจะรักเธอ พรุ่งนี้ผมก็จะต้องห่างเธอไปแล้ว อีกไม่นานเธอเองก็คงมีใครมาเคียงข้างแทนผม~
      “นี่เป็นไรไปเมื่อกี้เห็นนิ่งไป” แปลกคนจังหมอนี่เดี๋ยวนิ่ง เดี๋ยวเล่น ฉันล่ะงงกับตานี่จริงๆ
      “เปล่า คิดอะไรนิดหน่อย...เธอคงไม่คิดมากกับเรื่องที่เราพูดใช่ไหม”
      “แหงอยู่แล้วก็นายพูดเล่นนิ...”
      “อือ ดีแล้วล่ะที่เธอไม่หลงตัวเอง”
      “เหอๆ ...แต่ว่านะถ้านายมีเพื่อนใหม่ก็อย่าลืมฉันล่ะ”
      “อืม ชัวร์ คู่หูอย่างเธอฉันจะลืมได้ไง”  หืมความจริงนายก็เป็นคนดีเหมือนกันนี่หน่า
      “จ้า...ส่วนฉันเองก็จะไม่ลืมนายเช่นกันรับรอง นายจะเป็นคู่หูที่อยู่ในใจฉันตลอดไปจำไว้นะ”
      “อือ เธอเองก็เหมือนกัน เมื่อไหร่ที่คิดถึงฉันให้หยิบสร้อยเส้นนี้ขึ้นมาฉันเชื่อว่าความหวังดีของฉันจะส่งถึงเธอ ตลอดไป ถ้าครั้งหน้าเราเจอกัน หวังว่าเธอและฉันจะเป็นคู่แข่งที่เหมาะสมกันเหมือนเดิมนะ  พรุ่งนี้ก็จะไม่ได้เจอเธอแล้ว วันนี้ฉันขอให้เธอนั่งอยู่ตรงนี้กับฉันหน่อยได้ไหม แค่ชั่วโมงเดียวก็พอแล้วฉันจะไปส่งที่บ้าน” ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ถ้าเลือกได้ฉันเองอยากจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนนายทั้งคืนเลยด้วยซ้ำ
      “ได้สิ ได้อยู่แล้ว” มันจะน่าอายมากไหม ถ้าฉันจะร้องไห้ ฉันกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ
      “นี่ร้องไห้ทำไม” ยังมีหน้ามาถามอีก
      “ก็ฉันไม่อยากให้นายไปนี่หน่า...ถ้านายไปแล้วฉันจะเล่นกับใครล่ะ”
      “ก็ไหนเธอบอกว่าอยากให้ไปไง ไหนเธอบอกว่าไม่เสียใจ” ให้ตายเหอะ ฉันกำลังทำให้เขาขาดความมั่นใจเหรอเนี่ย ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่อยากปิดความรู้สึกที่แท้จริงของฉัน
      “ฉันก็แค่พูดไปเพื่อให้นายสบายใจไงล่ะ แต่รับรองว่าถ้าพ้นวันนี้แล้วฉันจะเข้มแข็งกว่านี้ จะไม่ร้องไห้อีกแล้ว” ฉันไม่รู้หรอกนะว่าอะไรทำให้ฉันรู้สึกแบบนี้ มือหนาลูบหัวฉันอย่างทุกที  
      “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี...ฉันเองก็ไม่อยากเห็นน้ำตาของเธอ…” ฉันนั่งซบไหล่เขาไม่นานนักฉันก็ไม่รู้อะไรอีกเลย  จนกระทั่ง ตื่นขึ้น ภาพแรกที่ฉันเห็นคือเพดานห้องของฉันเอง ส่วนนี้ก็เตียงของฉัน
      อ้าวแล้วฉันมาอยู่ที่บ้านได้ไงอ่ะ จำได้ว่าฉันนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวร้านไอศกรีมกับปิ่นนี่ แล้วเอ่อ...

      “อ้าว ป่าน ตื่นแล้วเหรอลูก” แม่ของฉันที่เดินขึ้นมาพอดีถามขึ้น
      “ค่ะ….เอ่อแม่คะแล้วหนูมาอยู่ที่นี่ได้ไงล่ะคะ” แม่ฉันยิ้ม
      “ก็เพื่อนลูกที่ชื่อปิ่นน่ะเขาแบกลูกขี่หลังมาส่ง” ห๋า...ฉันขี่หลังหมอนี่กลับบ้านเหรอ เฮ้อ...ฉันนี่แย่จังทั้งๆที่คิดว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเขาแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเผลอหลับไปซะงั้น
      “เหรอคะ แล้วเค้ากลับไปนานยังคะ”
      “เพิ่งกลับไปได้ซักพักเอง”
      “ค่ะขอบคุณแม่มากค่ะ อืมแม่คะหนูทานไอศกรีมถ้วยใหญ่มาอิ่มมากเลยงั้นหนูไม่ทานข้าวเย็นแล้วนะคะ เดี๋ยวอ้วน” ซักพักแม่ฉันก็ออกจากห้องนอนของฉันไป ฉันเดินมานั่งที่เตียง พอหันไปที่หัวเตียงก็เห็นรูป ของฉันกับปิ่นวันกีฬาสี เมื่อตอนป.4 อืมความจริงตอนเด็กๆฉันก็น่าตาดีนี่หน่า ตอนนี้ก็ยังน่าตาดี(ออกแนวชมตัวเอง)    ส่วนหมอนี่ตอนเด็กหน้าธรรมด๊า ธรรมดา แต่ตอนนี้ก็หล่อสะบัดในสายตาสาวๆคนอื่นๆนะไม่ใช่ฉัน คงเป็นเพราะฉันเห็นหมอนั่นทุกวันจนความหลอถูกเวลาละลายกลายเป็นธรรมดา มั้ง  คืนนั้นทั้งคืนฉันเองก็หลับๆตื่นๆ เพราะฉันยังรับไม่ได้ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วไม่เจอนาย..ฉันกลัวไม่เจอนายนะปิ่น
      แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดไว้ วันรุ่งขึ้นที่โรงเรียนฉันไม่เห็นนาย เก้าอี้ด้านข้างฉันวางเปล่าไร้วี่แววของเจ้าของคนเดิม คนที่สร้างความปั่นปวนและความสนุกสนานให้แก่ฉัน วันนี้เขาได้ย้ายไปที่อื่นแล้ว ทำไมฉันถึงได้เศร้าอย่างนี้ก็ไม่รู้นะ เหมือนกับว่าของมีค่าบางอย่างของฉันหายไป หายไปแล้ว หายไปแล้วจริงๆ ฉันได้แต่หวังว่าจะได้เจอของมีค่าสิ่งนั้นอีกครั้ง แม้จะไม่ได้กลับคืนมาเหมือนเดิม
      แต่การได้พบสิ่งที่หายไปอีกครั้งมันก็เกินพอสำหรับฉัน  
      “เอ่อ ป่าน เราย้ายมานั่งกับเธอได้ไหม” ติวพูดกับฉัน ความจริงตอนนี้ฉันยังไม่อยากให้ใครมานั่งที่ตรงนี้ ที่ๆเคยเป็นของปิ่น ขอให้ฉันได้ทำใจก่อนได้ไหม
      “ได้...แต่ขอเวลาหน่อยได้ไหม เพราะเขาเป็นคู่หูคนสำคัญของฉัน ฉันยังไม่อยากให้ใครมาแทนที่เขาตอนนี้ หวังว่าติวคงจะเข้าใจนะ” ทำไมนะ ทำไมเธอถึงไม่ให้ติวนั่งล่ะ ทั้งๆที่อยากให้เขานั่งใกล้ไม่ใช่เหรอ...ตอนที่ปิ่นอยู่น่ะเธอชอบติวไม่ใช่เหรอป่านแล้ววันนี้ทำไม..ทำไมฉันถึงได้ปฏิเสธติว หรือว่า แท้จริงแล้วคนที่ฉันชอบไม่ใช่ติว แต่กลับเป็นปิ่นคนนั้นกันแน่?
      “อืม...ถ้าเธอพร้อมจะให้ฉันนั่งด้วยเมื่อไหร่ก็บอกนะ”
      “อือ” ช่วงแรกที่ปิ่นจากไป ฉันยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าเศร้ามากๆ มากจนไม่อาจบรรยายได้  แล้วฉันก็ได้รู้ความจริงอีกอย่างว่าฉันเองก็ชอบนายไม่ใช่ในแบบคู่หูแต่เป็นแบบคนรักต่างหาก
      แต่มันคงสายไปแล้ว  สายไปแล้วจริงๆ   ยอมรับนะว่าตอนนั้นฉันมองข้ามนายในฐานะคนรักไป...แล้วก็ยอมรับกับคำที่บอกว่าการที่เราใกล้ชิดกันเกินไปมันก็อาจทำให้มองไม่เห็นอะไรบางอย่าง...ฉันยอมรับคำพูดนี่อย่างบริสุทธิ์ใจ  คงเป็นเพราะตอนที่นายยังอยู่นายคอยเทคแคร์ฉันจนฉันรู้สึกว่าสิ่งที่นายทำมันเป็นสิ่งที่เพื่อนทำให้เพื่อน ซึ่งฉันเองก็พอใจในฐานะคู่หูของเรา จนวันนี้วันที่นายจากฉันไป ฉันถึงได้รู้ว่า นายคือคนสำคัญของฉัน ถ้าเป็นไปได้อยากให้เราได้พบกันอีกครั้ง รับรองว่าครั้งน่า ฉันจะไม่มองคำบอกรักของนายเป็นเพียงเรื่องตลกแน่นอน
      หลังจากจบม.ต้นฉันก็เข้าเรียนต่อม.ปลายที่รร.อื่น แถมยังได้อยู่ที่เดียวกับติวอีก พักหลังติวเองก็เป็นเพื่อนสนิทของฉัน ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกว่าชอบติวแบบคนรักแล้วล่ะ เพราะฉันได้รู้แล้วว่าฉันรักใคร
      ฉันเลยตัดสินใจเล่าเรื่องที่ฉันเคยบอกชอบติวให้ติวฟัง เค้าฟังแล้วก็หัวเราะ  มิหนำซ้ำเขายังบอกฉันอีกว่า เขารู้ตั้งนานแล้วว่าปิ่นชอบฉัน ฉันเลยถามเขาว่า แล้วเขารู้ได้ไงล่ะ หมอนั่นก็ตอบว่า แค่มองตาปิ่นเขาก็รู้แล้วว่าปิ่นคิดยังไง และมามั่นใจอีกทีก็ตอนที่ปิ่นไปชิงเอารายงานของฉัน ที่ถูกขโมยไปกลับมาใส่คืนในกระเป๋าฉัน เอ่อพูดถึงแล้วฉันก็นึกขึ้นมาได้ วันนั้นหมอนี่ตาเขียวช้ำมาเลย เพิ่งรู้วันนี้แหละว่าหมอนั่นโดนต่อยเพราะฉัน  หลังจากจบมัธยมปลาย ฉันก็เอ็นติด คณะแพทย์ ที่มหาลัยดังแห่งหนึ่ง ความจริงที่ฉันเลือกคณะแพทย์ก็เป็นเพราะนายด้วยแหละปิ่นรู้มั้ย ฉันจำได้นะวันนั้นที่เราไปช่วยเด็กจมน้ำกันน่ะ ฉันน่ะไม่รู้จะช่วยเด็กคนนั้นยังไง แต่นายกลับรู้วิธีช่วยเด็กคนนั้น ทำให้ฉันอยากจะเป็นแพทย์ เพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ แล้ววันนี้มันก็สำเร็จแล้วฉันได้เรียนแพทย์อย่างที่หวังไว้แล้ว วันนี้ฉันมาที่มหาวิทยาลัยตามปกติ ตอนเย็นระหว่างทางกลับบ้าน ฉันรู้สึกแปลกๆเหมือนมีคนเดินตามมายังไงอย่างงั้นแหละ แต่ฉันก็เดินจ้ำต่อไป  เสียงฝีเท้าของใครคนนึงวิ่งมาใกล้ฉัน คราวนี้ฉันหวั่นๆชอบกลก่อนจะหันไปดู
      ฉันเห็นชายคนหนึ่งกำลังวิ่งมาใกล้ฉันเรื่อยเรื่อย เมื่อชายคนนั่นหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน เค้าหน้าแบบนี้ฉันคุ้นมาก คุ้นมากจริงๆ  จู่ๆชายคนนั้นก็ยิ้ม เขายื่นปากกาด้ามหนึ่งให้ฉัน ใช้แล้วปากกาด้ามนี้เป็นปากกาที่ฉันเคยให้คู่หูคนสำคัญของฉัน รึว่าเค้าคือ
      “ปิ่น!!!!....นายใช่ไหม” ฉันวิ่งเข้ากอดคอเขาด้วยความดีใจ
      “อือ ดีใจนะที่เธอยังจำเราได้” เสียงคมเข้มที่คุ้นหูดังผ่านหูฉันเบาๆ
      “อืมฉันก็เหมือนกัน”
      “เอ่อ...”
      “นี่หยุดพูดเลยนะให้ฉันพูดก่อน
      นายไปอยู่ไหนมา....รู้ไหมว่าฉันเหงาแค่ไหน....คิดว่าจะไม่ได้เจอนายแล้ว...คิดว่าจะต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปตลอดชีวิตซะแล้ว....รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนาย...ห่วงมากๆ....แล้วนายล่ะมีอะไรจะพูดกับฉัน” ฉันปล่อยความในใจไปหมดเปลือก ความทรงจำครั้งสำคัญที่ถูกเก็บไว้ถึงหกปี วันนี้มันกลับมาแล้ว มันกลับมาเป็นปัจจุบันแล้ว
      “เราเอง ก็คิดถึงเธอ...คิดถึงมากๆเช่นกัน...อยากจะพบเธอตั้งหลายครั้งรู้ไหม...อยากจะคอยดูแลเธอเหมือนเดิม....อยากจะเป็นคนที่เธออยู่ด้วยแล้วมีความสุข....แม้ว่าเป็นได้แค่คู่หูฉันก็พอใจ” ฉันเงียบให้เขาพูดบ้าง สำหรับฉันนายในตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่คู่หูหรอก ไม่ใช่เป็นคนที่ชอบด้วย นายเป็นมากกว่านั้น...นายเป็นคนสำคัญของฉัน
      “งั้นเราก็มาเป็นคู่หูกันเหมือนเดิมนะ ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปแค่ไหนนายก็ยังเป็นคู่แข่งคนสำคัญของฉันเสมอเลยนะปิ่น  ว่าแต่นายจำฉันได้เหรอถึงได้ทักถูกน่ะ”
      “เปล่าหรอกคือฉันเองสอบติดคณะแพทย์ที่เดียวกับเธอแล้วเห็นรูปถ่ายของเธอที่บอร์ดนักเรียนท๊อปแล้วที่ฉันรู้ก็เพราะว่า ตอนเธอถ่ายรูปน่ะเธอใส่สร้อยคอเส้นนั้นถ่ายฉันเห็นก็เลยจำได้ เธอนี่สวยขึ้นนะ”
      “เหรอยะ นายเองก็ดูดีกว่าเก่านะ” อยากบอกว่านายหล่อ มั๊กมั่กเลยล่ะ
      “เหรอ” ตอบได้กวนเหมือนเดิมเลยนะนายเนี่ย
      “อืมนี่...บ้านนายอยู่ไหนเหรอพาฉันไปเที่ยวหน่อยสิ”
      “ได้เลยแล้วไปวันไหนดีล่ะ”
      “วันนี้เลยเป็นไงอยากเห็นง่ะ” ฉันบอกเขา เขาเองก็บ้าพาฉันไปจริงๆ ด้วย บ้านของนายนี่หรูสุดๆไปเลยอ่ะ สุดยอดมาก หลังจากเที่ยวบ้านหมอนั่นแล้วเขาก็พาฉันไปเที่ยวต่อ หลังจากวันนั้นฉันก็รู้สึกว่าเขากับฉันกลับมาเป็นคู่หูกันเหมือนเดิม นี่ฉันกับเขาก็เจอกันได้ประมาณ หกวันแล้วมั้งอีกสองวันก็จะเป็นวันเกิดของปิ่น ฉันจะซื้ออะไรให้เขาดีนะ วันมรืนนี้แล้ว...อืม นึกๆๆ อ๋อ นึกออกแล้วเขาชอบเล่นดนตรีนี่ซื้อกีต้าร์ให้ดีกว่าเห็นเคยบอกว่าอยากได้ แล้วก็ร้องเพลงเพราะๆให้เขาฟังซักเพลง(จะเพราะจริงรึเปล่ายะ)  วันนี้ฉันแอบชะแว้บไปซื้อของขวัญให้เขาเพื่อให้เขาในวันพรุ่งนี้  พอซื้อของเสร็จฉันก็กลับมารอเขาที่ป้ายรถเมลย์หน้ามหาลัยเพราะเขานัดฉันไว้
      “ไงรอนานมั้ยเธอน่ะ” เอ๊ะทำไมหน้านายซีดอย่างนี้ล่ะ
      “ไม่นานหรอก ฉันรอได้”
      “อืมไปกันเถอะฉันจองร้านอาหารไว้”
      “จองไว้ทำไมอ่ะ”
      “เลี้ยงวันเกิดไง”
      “แต่วันเกิดนายมันพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ”
      “แต่ฉันอยากเลี้ยงเธอวันนี้ได้โปรดไปด้วยกันเถอะนะ” อ่ะ ไปก็ไป เขาจับมือฉัน แต่ว่าเอ๊ะ ทำไมมือเขาถึงได้เย็นเฉียบอย่างนี้ล่ะ  หรือว่าเขาจะไม่สบาย หมอนี้ยิ่งหัวดื้ออยู่ด้วย แล้วเขาก็พาฉันมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ เขาผายมือเป็นเชิงให้ฉันเข้าไป
      “ว้าว แต่มันแปลกๆนะ ทำไมถึงไม่มีคนเลยล่ะ” ก็ฉันเห็นมีแค่พนักงานเสริ์ฟไม่กี่คน
      “ ไม่แปลกหรอกก็วันนี้ฉันเหมาร้านนี้ไว้แล้ว มาฉลองวันเกิดด้วยกันเถอะนะ วันนี่ที่นี่มีแค่ฉันและเธอเท่านั้น” นายนี่ทำอะไรซึ้งๆก็เป็นเหรอเนี่ย ฉันรู้สึกเหมือนที่นี่คือความฝันอย่างนั่นแหละความฝันที่ไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยจริงๆ  เขากับฉันทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
      “นี่พรุ่งนี้เธอไปที่บ้านฉันนะ” ถึงนายไม่บอกฉันก็ไปอยู่แล้วเพราะต้องเอาของขวัญไปเซอร์ไพรส์นายไง
      “อือ ไปชัวร์”
      “นี่เต้นรำกันซักเพลงดีไหม” ตะเต้นรำเนี่ยนะ อ้าวจู่ๆเพลงก็ดังขึ้นสงสัยหมอนั่นคงสั่งไว้อีกล่ะสิ
      “ก็ได้ไหนๆเพลงมันก็ดังแล้วนิ” เขาโค้งตัวลงก่อนจะเงยขึ้นฉันวางมือบนมือของเขา จากนั้นเราทั้งสองก็เต้นรำกันโดยมีเสียงเพลงเพราะคลอเคล้าไปในทุกท่วงท่าของการเต้นบรรยกาศที่นี่โรแมนติกมาก ฉันไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้พบของสำคัญสิ่งนี้อีกครั้งแถมของสิ่งนั้นยังกลับมาอยู่กับฉันเหมือนเดิมด้วย รับรองว่าครั้งนี่คำบอกรักของเขาจะไม่เป็นเรื่องตลกสำหรับฉันแน่
      “นี่ป่าน...ฉันอยากรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงกับฉัน” ตายแล้ว จะตอบไงดีล่ะ ใจฉันมันสั่นๆแปลกๆชอบกล
      “รู้สึกยังไง?...แล้วนายรู้สึกยังไงกับฉันล่ะ”
      “ฉัน...เอ่อ...ฟังนะครั้งนี้ฉันพูดจริงจังเพราะงั้นเธอห้ามขำเป็นอันขาด”
      “อืมม์”
      “คือ..ฉัน-รัก-เธอ..” แหมผู้ชายเขินนี่ก็น่ารักดีนะ
      “ฉันก็เหมือนกัน”
      “ช่วยพูดหน่อยได้ไหมว่าเธอรักฉัน ฉันอยากได้ยิน” ทำไมหน้านายซีดหนักกว่าเก่าอีกล่ะมือนายเย็นเฉียบจนน่าตกใจ ตอนนี้เสียงเพลงหยุดลงเหลือเพียงความเงียบ นี่ฉันกำลังจะพูดประโยคที่ยากที่สุดแล้วนะ
      “คือเอ่อ...ฉัน-รัก..ก”
      ปิ๊บ ปีบ ปิ้ด ปีบ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของฉัน ดังขึ้น ฉันจึงชะงักคำพูดแล้วล้วงมือไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ามาคุย

      “สวัสดีค่ะ ป่านพูดค่ะ” ใครกันนะที่โทรมา
      “นี่ป้าเองนะแม่ของปิ่น” อ๋อ นึกว่าใคร ฉันหันหลังให้ปิ่น
      “มีอะไรรึเปล่าคะ” คุณป้าเสียงสั่นเชียว
      “เอ่อ คือว่า...ปิ่นเสียแล้ว” อะไรนะ ปะ..ปิ่นเสียแล้ว!!!! ม่ะ ไม่จริง
      “จะเป็นไปได้ไงคะก็ในเมื่อตอนนี้เค้าอยู่กับหนู” ไม่จริงแน่ๆ เมื่อกี้เค้ายังเต้นรำกับฉันอยู่เลยแล้วนี่ฉันก็กำลังจะบอกรักเค้าตอบด้วย เพื่อความชัวร์ ฉันหันไปหาเขา อ้าว...เขาหายไปแล้ว นายหายไปไหนน่ะปิ่น อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ ถ้างั้นเมื่อกี้ที่นายอยู่กับฉันก็...
      “อะไรนะเค้าอยู่กับหนูเหรอ...ที่ร้านอาหารบูลเย่ล์ใช่ไหม”  อืมใช่ๆร้านบูลเย่ล์
      “ใช่ค่ะ ทำไมเหรอคะ”
      “เปล่าหรอก...ไว้พรุ่งนี้หนูมาที่บ้านหนูก็จะรู้เอง ปิ่นเข้ามีอะไรจะให้หนูตั้งหลายอย่าง ตอนนี้ศพของเค้าอยู่ที่รพ. .... หนูจะมาเจอเค้าก็ได้นะ” ฮึ ....เป็นไปได้ยังไง...เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ใครก็ได้ตะโกนบอกฉันทีว่ามันเป็นเรื่องโกหก นายต้องไม่ทิ้งฉันไปง่ายๆอย่างนี่สิ เมื่อกี้ฉันยังอยู่กับนายแท้ๆ ไม่ได้ฉันต้องรีบไปที่โรงพยาบาลเพื่อรับรู้ว่า ทุกคนกุเรื่องอำฉันเล่น ฉันอยากให้มันเป็นเรื่องโกหก...ไม่ใช่ความจริง
      เมื่อถึงหน้าห้องฉันก็รีบผลักประตูเข้าไป แล้วฉันก็เห็น...เห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็น ฉันเห็นร่างของเขานอนอยู่ที่เตียง ไม่จริงทำไมกัน ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย แม้แต่คำบอกรักฉันยังไม่มีโอกาสได้บอกเขาเลย ถ้านายยังอยู่รอบๆตัวฉัน อยากให้นายรู้ไว้ ว่านายไม่ใช่แค่คู่หู นายเป็นมากกว่านั้น นายเป็นสิ่งมีค่าที่สุดของฉัน...ฉัน รัก นาย ฉันรู้ว่าถึงบอกไปตอนนี้บางทีเขาอาจจะไม่รับรู้ ฉันกุมมือเขาไว้ อืม...จริงสิ ฉันจำได้เขาเคยบอกไว้ว่า วินาทีสุดท้ายของฉัน ฉันจะมาอยู่เคียงข้างเธอ จำไว้นะ ปิ่น นายไม่เคยผิดคำพูดกับฉันเลยจริงๆ แต่ฉันเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้บอกนาย  ฉันเสียใจ ฉันขอโทษจริงๆ
      หลังจากฉันได้รู้ความจริงว่าเขาเป็นโรคร้ายหลังจากที่ย้ายบ้านมาได้ปี นึง แม่ของปิ่นบอกว่าความจริงปิ่นเองอยู่ได้ไม่ถึงวันนี้หรอก ความจริงหมอบอกว่าเขาอยู่ได้ไม่เกินสี่เดือนที่แล้ว จนวันหนึ่งปิ่นเค้าบอกว่าเค้าไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง  ซึ่งก็คือฉันนี่แหละ งั้นก็แสดงว่าเค้าเจอฉันก่อนที่ฉันจะเอ็นติดแพทย์อีกล่ะสิ อีกอย่างเค้าจำฉันได้ ...แล้วแม่ของเขาก็เล่าต่อว่า หลังจากวันนั้นเขาก็มุ่งมั่นมากว่าจะต้องสอบติดแพทย์ที่นี่ สุขภาพเขาเองก็ดีขึ้นๆ จนน่าแปลก  แล้วจนวันที่เขาสอบติด ก็คือวันที่เขาวิ่งมาทักฉัน...หลังจากที่เขาพาฉันไปที่บ้าน แม่เค้าก็เล่าว่า สองวันต่อมาปิ่นเริ่มมีอาการแย่ลง ๆจนกระทั่งวันนี้วันสุดท้าย ที่เขาจากไป....หมอบอกว่าปิ่นเสีย เมื่อเวลา 18.49 น. เขาอยู่กับฉันจนครบเวลาก่อนที่โทรศัพท์จะดังขึ้นแล้วเขาก็จากไป  
      วันนี้เป็นวันเกิดของปิ่นฉันเองก็ไปที่บ้านเค้าตามที่สัญญาไว้ ด้วยท่าทีปกติ แม่ของปิ่นพาฉันขึ้นไปบนห้องนอนของเขา ที่ถูกจัดเตรียมไว้เหมือนรู้ว่าฉันจะมา แม่ของเขาบอกว่าเขาอยากให้ฉันมาเห็นห้องนี่ เพราะห้องนี้เป็นห้องที่เก็บเรื่องราวต่างๆที่สำคัญเกี่ยวกับเขา  เมื่อฉันเขาไปฉันก็ถึงกับร้องโฮออกมา รูปภาพของพวกเราตั้งแต่เล็กจนโต ถูกจัดเรียงไว้  ตุ๊กตาเก่าๆที่ฉันเคยให้ไว้ตอนเด็กๆ ยังเป็นสภาพเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี่ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง   ฉันเหลือบไปเห็นสมุดบันทึกเล่มนึงวางอยู่บนโต๊ะ คาดว่าจะเป็นของเขา แล้วก็ใช่จริงๆ ด้วย หน้าปกเขาเขียนถึงฉัน เมื่อเป็นเช่นนี้ฉันจึงเปิดมันอ่าน  รู้อะไรไหมข้อความในบันทึกเล่มนี้เป็นข้อความเกี่ยวกับเรื่องราวของเขาและฉันทั้งหมด เขาเขียนตั้งแต่ตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก จนถึงเมื่อวันก่อน ก่อนวันที่เขาจะจากไป
      ฉันเพิ่งรู้เดียวนี่เองนะ ว่ามีใครคนหนึ่งที่ทุ่มเทและจริงใจกับฉันมากที่สุด นายคอยช่วยเหลือฉันมาตลอด  
      ~ 14 กุมภา  2538~
      วันนี้ผมเอาดอกไม้ไปใส่ไว้ใต้โต๊ะเธอเหมือนปีที่แล้ว ก็ผมไม่กล้าให้เธอนิ...ผมกลัวเธอจะหาว่าผมบ้า แถมผมดันไม่ได้เขียนชื่อ เธอก็เลยคิดเลยเถิดไปว่า มีวิญญาณส่งดอกไม้ให้เธอในวันวาเลนไทน์ของทุกปี เมื่อเป็นอย่างนี้ผมก็เลยตั้งใจว่าจะส่งดอกไม้ใส่ไว้ในใต้โต๊ะเธอทุกปีเท่าที่จะทำได้

      …………………………………

      ~ 27 พฤศจิกายน 2545 ~
      วันนี้เป็นวันที่ผมต้องย้ายบ้านแล้ว ความจริงผมไม่อยากมาโรงเรียนเลยด้วยซ้ำผมกลัวว่า จะทำใจไม่ได้ที่ต้องจากเธอไป แต่รู้ไหมวันนั้น เธอมองเห็นความผิดปกติของผมเธอชวนผมเล่นบาสแล้ว บอกว่าใครแพ้จะต้องเลี้ยงไอติม แต่ว่าพวกเราเสมอกันเลยทานของใครของมัน ผมบอกรักเธอ แต่เธอก็มองว่ามันเป็นเรื่องตลกอีกเช่นเคย เธอคงไม่รู้สินะ ว่าผมจริงจังแค่ไหน ผมไม่ได้อยากให้เธอขำเลยสักนิด แต่วันนั้นมันก็จบลงด้วยดี เธอบอกว่าจะนั่งเป็นเพื่อนผมแต่เธอกลับหลับ ผมเห็นใบหน้าเธอตอนหลับ แล้วอยากจะบอกว่า เธองดงามจริงๆ  แล้วผมก็แบกเธอกลับไปส่งที่บ้านของเธอเพราะไม่อยากปลุกเธอให้ตื่น อีกอย่างผมกลัวว่าถ้าเธอตื่นขึ้นมาในตอนนั้นแล้วพูดกับผม บางทีผมอาจจะไม่สามารถจากเธอไปได้
      .................................................................
      ~  5  สิงหาคม 2548~
      อีกสองวันข้างหน้าก็วันเกิดผมแล้ว ผมรู้ตัวดีว่าผมคงต้องจากเธอไปแล้ว ผมจึงอยากจัดงานวันเกิดล่วงหน้าที่มีแค่เธอและผม อยากจะได้ยินคำบอกรัก จากปากเธอบ้างสักครั้ง แล้วผมก็จะรักษาสัญญาที่เคยบอกเธอว่า วินาทีสุดท้ายของผม ผมจะมาอยู่กับเธอ  รู้อะไรไหม ตอนเธอใส่ชุดนักศึกษาแพทย์เนี่ย เป็นอะไรที่วิเศษมา ในสายตาผม  สิ่งหนึ่งที่ผมขอคือ ผมอยากให้เธอมีแต่รอยยิ้ม อย่าได้มีน้ำตาอีกเลย
      ....................................................
      ฉันอ่านบันทึกของเขาเพียงไม่กี่หน้า ฉันก็รู้สึกผิดจนบอกไม่ถูกแล้ว ฉันเสียใจ ฉันมันแย่มากแม้แต่คำบอกรักที่นายเฝ้าคอยมันมาตลอด  ฉันยังไม่มีโอกาสได้พูดมัน ขอเถอะนะวันนี้ฉันขอร้องไห้แค่วันเดียวเท่านั่นแล้วจะทำตามที่นายขอ ฉันจะมีแต่รอยยิ้มตามที่นายต้องการ ฉันสัญญา   ฉันแกะกีตาร์ออกจากกล่อง  ฉันจำได้ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าอยากฟังฉันร้องเพลง วันนี้ฉันจะร้องให้นายฟัง เป็นของขวัญวันเกิดจากฉันนะ ปิ่น  
      ~ เพิ่งรู้ว่ารักเธอที่สุด...เพิ่งรู้ซึ้งในหัวใจ...รักเธอเกินกว่าจะรักใคร...เพิ่งรู้ว่ารักเธอที่สุด...ยิ่งรู้ซึ่งยิ่งรู้ซึ้งยิ่งเสียใจ...รักเธอเกินกว่าจะรักใคร...ได้อีกเลย ~  
      ……………………………………………….
      เพลงเพิ่งรู้ว่ารัก..(หนุ่ยนันทกานต์)
      “ฉัน-รัก-นาย ได้ยินไหมปิ่น!!!” หวังว่านายจะได้ยินเสียงบอกรักของฉันนะ และแล้วสายลมก็พัดผ่านตัวฉันไป  ฉันมองไปที่วิทยุเห็นเทปม้วนหนึ่งวางอยู่ หน้าเทปเขียนว่า ถึง ป่าน ฉันจึงลองเปิดฟัง
      ที่แท้ก็เป็นม้วนเพลงที่เขาร้องแล้วอัดไว้นี่เอง ฉันเลยเล่นกีต้าร์ไปตามเสียงเพลงที่เขาอัดไว้

      ~ แม้ไม่ใช่คนโปรด อย่างคนอื่นเค้า
      แม้จะดูว่างเปล่าในสายตาเธอ ~~
      ไม่เคยให้ถ้อยคำ ว่า ฉัน รัก เธอ
      ลดน้อยลงไปเลยซักวัน
      ขอเพียงเธอไม่ลืมว่าใครอยู่ตรงนี้
      ขอเพียงมีซักคำว่าคิด ถึง กัน
      แค่นั้นก็เพียงพอ ให้คนอย่างฉัน
      ฝันดียิ่งกว่าคืนไหน
      ** ไม่ว่าคนที่เท่าไหร่ของเธอ ....
      เธอก็คือที่สุดเสมอไป....ถ้าเผื่อเธอบอกมีเหลือแม้เพียงเสี้ยวใจ
      จะแบ่งปันให้ฉันได้รึเปล่า
      แค่คนคนหนึ่งซึ่งไม่สำคัญ
      ก็ยังเฝ้ารอซักวันของเรา
      แค่อยากได้ยินว่ารักซักคำเบาๆ
      ให้ฉันได้รึเปล่าคนดี
      ...รักฉันบ้างรึเปล่า...คนดี ~
      ……………………………………….
      เพลง คนไม่สำคัญ (พลพล)
      หลังจากได้ฟังเพลงที่เขาร้องแล้ว ฉันน้ำตาฉันมันไหลออกมาอีก อะไรหลายๆอย่างในห้องนี่มันทำให้ฉันรู้ว่านายเป็น คนที่ฉันรักที่สุด นะปิ่น แม้ว่ามันจะสายไป ที่จะบอกรักนาย แต่อยากให้รู้ไว้ว่าฉันรักนาย จะเก็บความทรงจำที่ดีเหล่านี้ ตลอดไป ลาก่อน ปิ่น !!!!

      บางครั้งเวลามันก็เปรียบเหมือนการตัดสิน
      มันเป็นการตัดสิน...ที่ไม่อาจตั้งตัว
      หลายคนคงกลัว
      ที่จะต้องสูญเสียความรักไปเพราะกาลเวลา
      ขอโทษนะ...ที่เคยมองข้าม
      เคยเห็นว่าคำบอกรักของเธอที่คอยบอกฉัน
      เห็นมันเป็นแค่เรื่องตลกในบางวัน
      แต่วันนี้มันกลับมีค่ามากมาย
      ถ้าวันนั้นฉันเปิดใจซักนิด
      วันนี้อาจไม่ต้องผิดหวัง
      เพราะมัวแต่คิดเองเพียงลำพัง
      ว่าเราคือเพื่อนกัน...ฉันพอใจ
      จนวันที่เธอมาลาจาก
      ฉันจึงได้รู้ว่าคนที่ตามหาไม่ใช่ใคร
      เขาคนนั้นคือคนที่อยู่ใกล้
      อยู่ข้างใจของฉันเรื่อยมา
      แต่เหมือนมีอะไรมากั้น
      ทำให้ฉันไม่รู้ว่า
      มันเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนตลอดมา
      จนวันสุดท้ายที่เธอจากไป
      ฉันถึงได้รู้ว่า...
      ฉันมองข้ามสิ่งสำคัญที่สุดมาตลอด….
      ถึงแม้ว่ามันจะสายเกินไป...แต่ฉันก็อยากบอกเธอว่า... ฉัน- รัก- เธอ
      ......................................................
      คู่หู...ข้างใจ (จบ)
      หนุกไม่หนุก ก็บอกด้วยนะคะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×