ตอนที่ 4 : C - CISS THE RAIN
CISS THE RAIN
Its hollow inside
-ข้างในมันยังคงว่างเปล่า-
30 กันยายน 1943
เสียงเปียโนเพลงKiss the rain ของ Yirumaถูกบรรเลงออกมาผ่านปลายนิ้วเรียวสวยของเขาดังไปทั่วอาณาบริเวณ ดวงตากลมโตหลับตาลงและพึมพำเสียงหวานของตัวเองเบาๆเพื่อคลอไปกับเสียงเพลงที่เล่นอยู่ในขณะนี้ สรรพสิ่งรอบตัวของเขาถูกดูดกลืนออกไปจากความคิดเสียหมดจนเหลือแค่เสียงของบทเพลงนี้เท่านั้น
“คงไม่ได้มารบกวนเวลาใช่ไหม” เสียงเพลงถูกหยุดลงอย่างกระทันหันก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมองอีกคนที่เดินมามาหยุดข้างๆเปียโนคู่ใจของเขา เขารับมันบดกระป๋องที่เปิดออกเล็กน้อยในมือของแจ็คสันมาก่อนจะค้อมหัวให้อีกฝ่ายเบาๆเชิงขอบคุณ มือบางหยิบช้อนที่บรรจุภายในกระป๋องมาก่อนจะตักมันขึ้นมาใส่ปากของตนเองทันทีทันใด
“เฮ้! ใจเย็นน่า” แจ็คสันหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาตักมันบดกระป๋องตักกินอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะยื่นขวดน้ำมาให้เขาอย่างกลัวว่าเขาจะสำลัก “เลิกงานแล้วยังจะซ้อมอยู่อีกหรอ อ่า...ขยันเสียจริงนะ”
“แค่ยังไม่ชินมือน่ะ..” เขาตอบออกไปหลังดื่มน้ำเสร็จ “อาจจะซ้อมท่อนกลางเพลงใหม่อีกท--”
ปัง!!
“อ่า...คงไม่ได้แล้วล่ะ” แจ็คสันกลืนน้ำลาย “รีบกลับเถอะ เงินของวันนี้อยู่ในโค้ทนายแล้ว”
“งั้นขอตัวกลับก่อนนะ”
“ระวังตัวด้วยล่ะ ถ้าเขารู้ว่านายเป็นชาวยิวล่ะก็ลำบากแน่ๆ” เขาพยักหน้ารับ “โชคดี”
เขายิ้มให้พร้อมกับหยิบโค้ทสีเทาเข้มมาสวม มือเรียวสวยโบกลาแจ็คสันที่ยืนพิงเปียโนคู่ใจของเขาอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกมาทันที
ปัง!!
เจคมองเพื่อนมิตรสหายชาวยิวของเขาเองที่ล้มตายกันเป็นจำนวนมากเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ต่อต้านกฏเกณฑ์ของเหล่าทหารเยอรมันที่เข้ามาคุกคามในโปแลนด์ ชาวเยอรมันเล็งปืนลูกซองตรงหัวของชาวยิวคนหนึ่งที่กำลังล้มลงจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในตอนนี้ ก่อนเสียงดังปัง!ดังขึ้นกลบเสียงร้องไห้ของชาวยิวคนนั้นลง ชาวยิวและทหารเยอรมันในละแวกนั้นมองชาวยิวผู้โชคร้ายคนนั้นที่นอนจมกองเลือดตัวเองอยู่บนพื้นด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ
และใช่...มันเป็นเรื่องปกติสำหรับตอนนี้ไปเสียแล้ว
เขาดึงฮู้ดขึ้นมาอำพรางใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองก่อนจะปลีกตัวออกไปทางด้านซอกหลืบของตึกแมนชั่นที่ใกล้ตัวเองที่สุดเพื่อหลบหลีกจากเพชรฆาตในคราบของทหารเยอรมันเหล่านั้นโดยทันที ดวงตากลมโตมองนายทหารเยอรมันพวกนั้นด้วยความหวาดกลัวก่อนจะเดินออกไป
เพื่อพาตัวเองกลับไปยังสถานที่ที่ยังคงปลอดภัยในเวลานี้ให้ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ทำได้...
18 สิงหาคม 1944
ในตอนนี้...บ้านกลับไม่ใช่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเจคเสียแล้ว...
นัยน์ตาสีน้ำตาลขลับดำจ้องมองพี่น้องชาวยิวอย่างมาร์คกับเกรซในแมนชั่นฝั่งตรงข้ามที่อยู่ในสภาพหิวโหยไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่นักกำลังคุกเข่าอ้อนวอนพวกทหารเยอรมันที่ปลิดชีพพ่อแม่ของพวกเธอไปเรียบร้อยแล้วอย่างน่าสงสาร
ทหารเยอรมันคนดังกล่าวจ้องมองสองมือของเกรซที่กอดขาทหารเยอรมันรายนั้นไว้แน่นราวกับกระต่ายป่าที่กำลังอ้อนวอนขอความเห็นใจจากเหล่าเพชรฆาตอะไรเทือกนั้นก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวของเธอเบาๆอย่างอ่อนโยน
ปัง!! ปัง!!
เจคหลับตาลงและสวดภาวนาให้กับสองพี่น้องคู่นั้นแผ่วเบา ก่อนจะได้ยินถีบประตูดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามอีกครั้งในเวลาต่อมา มันเป็นเรื่องปกติของทหารเยอรมันทุกๆคนที่สามารถจะเดินเข้าหรือออกในที่อยู่อาศัยของชาวยิวได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม อย่างเช่นมื้อเย็นอันแสนวิเศษของบ้านคุณลิงค์กิ้นส์เมื่อสองวันก่อนที่กลับกลายเป็นการรับประทานอาหารที่หวาดระแวงว่าลูกปืนของนาซีจะพุ่งเข้าสู่ขมับของตัวเองเมื่อใดก็ไม่ทราบ
แจ็คสันยังคงติดต่อเขามาเป็นระยะๆอย่างเป็นห่วงและคอยแจ้งข่าวด้านนอกอยู่เป็นพักๆ ข้าวของในห้องของเจคเริ่มร่อยหรอลงไปมากโดยเริ่มจากของจุกจิกจนกลายไปเป็นเครื่องใช้ต่างๆอย่างเช่น โทรทัศน์ วิทยุ ข้าวของเครื่องใช้ที่เริ่มจำเป็น
หรือแม้กระทั่งเปียโนสุดที่รักของเขาเองก็เหมือนกัน...
‘นายแน่ใจหรอว่าจะขายมันจริงๆน่ะ...’
‘ไม่ขายก็ไม่มีกินสิ...’ เขาว่าก่อนเอื้อมมือไปลูบบนเปียโนอย่างแผ่วเบา ‘เพราะฉะนั้น...’
‘ขายมันไปเถอะ...’
27 ธันวาคม 1944
เจคถูกจับมาในค่ายกักกันที่เรียกว่าบูเคนวัลด์ เป็นเวลากี่วันแล้วเขาเองก็ไม่ทราบ
เขามองออกไปนอกห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ดวงตาโตมองลอดหน้าต่างออกไปข้างนอกค่ายกักกันแห่งนี้อย่างช้าๆ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอดสูยิ่งนักที่เห็นพี่น้องชาวยิวหลายต่อหลายคนภายนอกค่ายกักกันกำลังตบตีแย่งชิงกันเพียงเพื่อแย่งมันบดกระป๋องที่แตกกระจายตามพื้น น้ำในกระป๋องไหลเจิ่งนองไปทั่วอาณาบริเวณเหล่านั้น หากแต่ผู้คนเหล่านั้นกลับไม่ได้สนใจเลยซักนิด พวกเขาก้มตัวลงไปตักมันเข้าปากอย่างหิวกระหายเพื่อความอยู่รอดในชีวิตของตัวเอง
คนเราไม่ได้มีโอกาสที่เท่าเทียมกันมากนัก
“อ่า...โหดร้ายเกินไปแล้วนะ” เขามองเจเรมี่หรือเจมส์ที่ร้องออกมาเบาๆราวกับพึมพำกับตัวเอง เมื่อเห็นชาวยิวหลายต่อหลายชีวิตถูกเล็งปืนจ่อไว้ที่หลังของตัวเองโดยทหารนาซีเหล่านั้น “เพราะเหตุใดถึงต้องทำกับพวกเราเช่นนี้กัน”
“เพราะเราเป็นชาวยิวไง”
“ใจคอจะให้เรากินแต่ขนมปังโง่ๆนี่จริงน่ะหรือ” และเป็นอีกครั้งที่เจเรมี่เริ่มหัวเสียขึ้นมา “ใช้งานเราเสียยิ่งกว่าทาสเสียอีก...เราก็คนเหมือนกันไหม”
“เราไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะพูดอะไรได้ทั้งนั้นเจมส์” ออกัสท์ว่าก่อนจะกัดขนมปังเข้าปาก “หรือนายจะลองเสี่ยงชีวิตตัวเองเพียเพื่อที่จะขอแลกอาหารโง่ๆพวกนี้เป็นอย่างอื่นล่ะ?”
“นั่นคงเป็นสิ่งโง่ๆที่ฉันคิดว่าจะทำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายแน่นอนออกัสท์” และนี่ก็เป็นประโยคเขารู้สึกไม่ต่างกับเจเรมี่สักเท่าไหร่
ทหารเยอรมันพวกนี้สามารถทำอะไรก็ได้กับคนของเขาแค่ไหนก็ได้ตามแต่ใจที่ต้องการ ชาวยิวอย่างพวกเขาที่อยู่ในค่ายกักกันแห่งนี้ถูกใช้แรงงานเสียยิ่งกว่าพวกกรรมกรที่ต้องแบกอิฐแบกปูนที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวเองมากโข และแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะออกสิทธิ์ออกเสียงอะไรทั้งนั้น
เจเรมี่พูดถูก...นั่นคงเป็นสิ่งโง่ๆที่คิดว่าจะทำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายแน่นอน
“นายว่าถ้าเราจะหนีออกไปจากที่บ้าๆนี่...มันจะพอมีความหวังมั้ย” เขาหันไปมองเจเรมี่ที่กำลังเขี่ยมันบดในจานไปมาก่อนจะเหลือบมองออกัสท์ที่กำลังหันมามองเขาเช่นกัน
“คิดอะไรอยู่เจมส์ ถ้าพวกนั้นมาได้ยินเดี๋ยวก็ตายกันหมดหรอก” เขาเอ่ยเอ็ดเจเรมี่ออกไปเพราะเห็นเงาทหารเยอรมันคนหนึ่งยืนมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของเราทั้งสาม
“แต่การใช้ชีวิตอยู่ในห้องปิดตายแบบนี้มันก็เหมือนตายทั้งเป็นเหมือนกันนั่นเจค ฉันทนมันไม่ไหวแล้ว”
“ฉันรู้...แต่มันเป็นเรื่องที่ยากมากเลยนะเจมส์” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเห็นเงานั้นเดินผ่านห้องของพวกเขาไป
“ใช่มันยาก...” ออกัสท์ว่า
“แต่มันก็พอมีทางอยู่เหมือนกัน”
31 ธันวาคม 1944
เจคหนีออกจากค่ายกักกันมาได้สามถึงสี่วันแล้ว...
ต้องขอบคุณออกัสท์ที่วันนั้นบังเอิญได้ยินทหารในเขตกักกันอย่างแดนิคที่กำลังรวบรวมกำลังพลเพื่อต่อต้านความรุนแรงของพวกเยอรมันด้วยกันที่กระทำต่อชาวยิว แดนิคตกลงที่จะช่วยเหลือโดยการพาหนีออกไปแต่ไม่สามารถรับประกันว่าทหารนาซีคนอื่นจะลากพวกเขากลับมาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบเช่นกัน
เราทั้งสามตัดสินใจก็แยกทางกันออกไปทันทีหลังจากออกมาได้ ออกัสท์เองบอกเอาไว้ว่าจะกลับไปหลบภัยกับครอบครัวที่ซ่อนตัวอยู่แถวชายแดนของประเทศซักพักหนึ่งเพื่อรอเรื่องซาลงกว่านี้ เจเรมี่เองก็เช่นกัน เจคโบกมือลาทั้งคู่ก่อนจะเดินออกมา
สองสามวันที่ออกจากค่ายกักกันมามีเพียงแค่น้ำเปล่าจากก็อกตามซอกหลืบที่เคยเป็นร้านอาหารมาก่อนเท่านั้น เมืองที่เคยศิวิลัยตอนนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพังเนื่องจากการกราดยิงของทหารเยอรมัน
ที่ต้องการจะล้างเผ่าพันธุ์พวกเขาอย่างสมบูรณ์แบบเพียงเท่านั้น...
เขาเดินเร่ร่อนมาเรื่อยๆจนเจอเข้ากับบ้านหลังใหญ่หลังนึงเข้า เขาตัดสินใจเดินเข้าไปทันทีที่เห็น ดวงตาโตสอดสายตาไปรอบๆบ้านก่อนจะทำการรื้อค้นบ้านหลังนี้เพื่อหาของที่จะประทังชีวิตของตัวเองได้จนจบวันนี้ไป มือเรียวเริ่มค้นตั้งแต่ลิ้นชักต่างๆไปเรื่อยๆจนไปหยุดเข้าที่กระป๋องมันบดกระป๋องหนึ่งเข้า มือเรียวจัดการคว้ามันเข้ามาไว้กับตัวเองก่อนจะหาทางเปิดกระป๋องนั้นออกมา
ทว่าหูเขากลับไปยินภาษาเยอรมันดังขึ้นจากทางหน้าประตู ขาเรียวสองข้างพยายามหาที่หลบซ่อนก่อนจะเจอห้องใต้หลังคาเข้า เจคตัดสินใจปีนขึ้นไปหลบบนห้องนั้นทันที เขาวางมันบดกระป๋องลงกับพื้นก่อนจะแนบหูของตนลงบนพื้นไม้เพื่อฟังเสียงของทหารเยอรมันพวกนั้นที่พูดคุยกันอยู่ชั้นล่างของเขาและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเสียงของทหารเยอรมันค่อยๆหายไป
กริ๊ก!
“อย่าขยับ” เจคหยุดหายใจไปชั่วขณะก่อนจะยืดหลังตรงเมื่อสัมผัสได้ถึงปลายกระบอกปืนที่กำลังจ่อหลังของเขาอยู่ก่อนจะยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างจำนน “คิดจะทำอะไร”
“ผ...ผมแค่ต้องการของกินประทังชีวิตเท่านั้น”
“ชาวยิวงั้นหรอ...” เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายพึมพำเบาๆ “ชื่ออะไร”
“จ..เจค เจเกอร์ โจนส์”
“นักเปียโนของที่นี่สินะ...” อีกฝ่ายว่าก่อนจะลดปืนลง “ผมพอได้ยินชื่อเสียงของคุณอยู่เหมือนกัน ดีใจที่ได้เจอ”
“...” ดีใจในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ เจ้าบ้า “คุณคง...ไม่คิดจะยิงผมใช่มั้ย”
“ไม่หรอก ในนั้นมันไม่มีกระสุนซะหน่อย” เขาหันมองอีกฝ่ายที่ยักคิ้วกวนๆส่งมาให้ก่อนจะเหลือบมองยศบนบ่าของอีกฝ่ายก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น
เป็นถึงพลเอกเลยหรอ..
“ผมไม่คิดจะทำร้ายชาวยิวอย่างคุณหรอก”
“แต่คุณ...” เขาเว้นช่วง “เป็นทหารเยอรมันนะ”
“คนที่ช่วยคุณออกมาก็เป็นทหารเยอรมันเหมือนผมไม่ใช่หรือไง” อีกฝ่ายว่าก่อนจะหยิบกระป๋องมันบดของเขาไป “ไม่ต้องกลัว ผมเป็นพวกเดียวกับแดนิค”
“...”
“เพราะฉะนั้น ตามสบายเลยครับคุณนักเปียโน”
“ขอบคุณครับ” เจคขอบคุณอีกฝ่ายเบาๆ “คุณ..”
“วี..” อีกฝ่ายยื่นมันบดกระป๋องที่เจาะมาแล้วให้เจคก่อนจะยิ้มให้เบาๆ
“เวนติ คลินตันท์”
และเป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้รู้จักกัน...
I've never felt this way to be so in love
-ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้รู้สึกที่จะตกหลุมรัก-
6 มกราคม 1945
วีแอบขโมยเสื้อผ้ารวมถึงของใช้เล็กน้อยของทหารเยอรมันที่เป็นคนอาศัยรวมกันอย่างเอ็ดเวิร์ดที่ถูกส่งตัวไปค่ายและนานๆจะกลับมาบ้านพักแห่งนี้เพราะขนาดตัวของเราทั้งสองคนเท่ากัน เขาถูกไล่ให้มาอาบน้ำเนื่องจากสภาพเนื้อตัวที่มอมแมม ที่มีทั้งคราบเศษปูนและอะไรต่อมิอะไรต่างๆเกาะอยู่บนตัวเขา วินาทีที่ตัวสัมผัสกับน้ำในอ่างเขารู้สึกราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง ถ้าให้เขาแช่ตัวอยู่ในนี้จนเช้าก็ยังได้
หากไม่ติดว่าทหารเยอรมันเพื่อนของวีจะมาเจอเขาเสียก่อน...
แน่นอนว่าวีเป็นพวกที่ต่อต้านความรุนแรงต่อชาวยิวที่คล้ายกับแดนิคแต่พวกเพื่อนทหารของวีนั้นไม่ใช่...
และมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่นักถ้าเข้ามาเห็นชาวยิวอย่างเขากำลังนอนแช่น้ำอย่างสบายใจอยู่อย่างนี้
เขาจัดการโกนหนวดเคราที่รุงรังออกไปพร้อมกับค่อยๆเล็มผมสีน้ำตาลแซมดำด้วยใบมีดช้าๆ หลายครั้งหลายคราที่ใบมีดพลั้งมาโดนนิ้วจองเขาจนมีเลือดซิบประปรายไปทั่วนิ้วเรียวแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ
เจ็บกว่านี้ยังทนมาได้ แผลแค่นี้คงไม่ทำให้เขาตายง่ายๆหรอก
เขารับขนมปังทาแยมสตอเบอร์รี่และแก้วมัคที่บรรจุนมสดไว้ในนั้นจากวีมาก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่ายเบาๆ วินาทีที่กัดขนมปังเข้าปาก รสเปรี้ยวของแยมสตอเบอร์รี่นี้ทำให้เขารู้จักสีสันจริงๆในรอบหลายเดือน ความหอมละมุนของนมสดแผ่ซ่านไปทุกอณูของร่างกายจนเขารู้สึกดีมามากเลย
วีมักจะขอให้เขาเล่นเปียโนให้ฟังในทุกครั้งที่กลับมา ปลายนิ้วของเจคพรมลงไปบนแป้นเปียโนช้าๆ เสียงดังกังวานไปทั่วอาณาบริเวณห้องนี้ สายฝนหลั่งไหลลงมาจากทางด้านนอกราวกับเพิ่มบรรยากาศให้ดูเศร้าหมองมากขึ้น ความโดดเดี่ยวและความหวาดกลัวจากเหตุการณ์นี้ถูกบรรเลงผ่านท่วงทำนองของดนตรีล้วนแทบจะหมดสิ้น
และดูเหมือนวีเองก็เข้าใจความหวาดกลัวของพวกชาวยิวที่ถูกทำร้ายมากขนาดไหน
“คุณว่าสงครามมันจะจบลงเมื่อไหร่หรอ...” เขาถามวีที่นั่งอยู่บนเก้าเบาะหนังข้างๆ
“ไม่รู้สิ” อีกฝ่ายว่า “คงจนกว่าฝั่งผมจะพอใจล่ะมั้ง...”
“ฟังดูอีกนานเลยเนาะ...” เขามองมือของตัวเองที่อยู่บนแป้นเปียโนอยู่อย่างนั้น “ผม...คิดถึงครอบครัวผมจัง”
“คุณ...มีครอบครัวแล้วหรอ”
“หมายถึงพ่อแม่กับน้องสาวน่ะ...” ผมว่า “พวกเขาโดนส่งตัวไปค่ายกักกันตั้งแต่เรื่องพึ่งเริ่มตั้งแต่แรกๆแล้ว”
“...”
“คุณ...ว่าเราจะได้อะไรจากสงครามครั้งนี้หรอ” ผมพึมพำเบาๆ “อ่า...ผมเกลียดสงครามที่สุด”
เจคหลับตาเอนหัวพิงกับไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
“สงครามไม่เคยให้อะไรกับเราเลยเจค..นอกจากความสูญเสีย” วีไล้นิ้วหัวแม่มือบนหน้าผากของเขาเพื่อเกลี่ยปอยผมสีน้ำตาลออกจากใบหน้าสวย ก่อนจะวางมือใหญ่ลงบนกลุ่มผมนุ่มของเขา กลิ่นหอมของขนมปังอบผสมเหล้ารัมอ่อนๆของเจ้าตัวทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
ราวกับเป็นเครื่องรางที่คอยปกป้องเขาได้วันที่อ่อนแอเสียอย่างนั้น....
23 มกราคม 1945
ตอนนี้เจคกำลังเจอปัญหาใหม่...
มันเป็นเรื่องแย่มากถึงมากที่สุดในตอนที่เขากำลังจะลงไปหยิบขนมปังทาแยมที่เขาทำไว้สำหรับมื้อดึกนี้แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเขาได้ยินเสียงเปิดประตูอย่างแรงพร้อมกับภาษาเยอรมันที่ดังมาจากชั้นล่าง นัยน์ตาคู่สวยมองไปรอบๆห้องอย่างเลิ่กลักก่อนจะมุดตัวเองเข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้าของคุณทหารเยอรมัน
ถึงจะดูเป็นวิธีที่โง่ไปหน่อยก็ตาม...
ริมฝีปากสวยเผลอกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบากเมื่อเสียงรองเท้าบู๊ทหนังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขาเผลอกลั้นหายใจเมื่อเสียงเปิดประตูห้องใต้หลังคาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวใจเต้นดังขึ้น ตุ้บๆ— พร้อมกับดวงตาคู่สวยเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอเมื่อเสียงกุกกักอยู่ตรงหน้าตู้ที่เขาหลบอยู่
ไม่...ไม่ปลอดภัย
“เจค...” เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเสียงทางด้านหน้าของเขาคือสุรเสียงนุ่มทุ้มของคุณทหารเยอรมันที่คุ้นเคย มือเรียวสวยผลักประตูตู้เบาๆก่อนจะโผล่ใบหน้าเรียวสวยออกไปมองอีกคน “หลบตรงนี้ไม่ปลอดภัย”
“คุณทหาร...”
“ขึ้นไปหลบบนเตียงเดี๋ยวผมบังไว้ให้ ก่อนที่พวกนั้นจะขึ้นมา” เขาพยักหน้าก่อนจะรีบมุดเข้าไปในผ้านวมผืนหน้าก่อนที่ร่างใหญ่ของอีกฝ่ายจะล้มตัวลงนอนข้างๆและขยับเข้ามาเบียดชิดจนแผ่นหลังของเขาติดกับกำแพงห้อง หากมองดูมาจากทางอีกฝั่งจะเหมือนกับวีกำลังหันหน้าเข้าหากำแพงอยู่และขนาดตัวของอีกฝ่ายบังตัวเขาได้มิดเลยทีเดียว
“ยังไม่ดึกเลย นอนแล้วหรอวะ” เขาหลับตาแน่นฟังเสียงของทหารเยอรมันแปลกหน้าที่ทักวีก่อนจะเผลอกลั้นหายใจเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูตู้เสื้อที่เขาเข้าไปหลบเมื่อกี้
วีพูดถูก...มันไม่ปลอดภัยจริงๆ
“อืม..ว่าจะงีบซักหน่อย ตอนกลางคืนมีตรวจ” คุณทหารว่าก่อนจะขยับตัวใกล้เขามากขึ้นเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัยจนเกินไป เขาใช้มือเรียวสวยดันแผงอกแกร่งของอีกฝ่ายเมื่อมันเริ่มใกล้จนเกินไป กลิ่นขนมปังอบๆอ่อนลอยขึ้นสัมผัสจมูกเขาจนเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ
อันตราย...อันตรายเกินไปแล้ว
“โอเค งั้นเจอกัน” ก่อนที่เจคจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูจะดังขึ้นอีกครา
“ขอบคุณครับ...”
“ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายยิ้มให้เขาก่อนที่มือแกร่งจะเลื่อนมือขึ้นวางบนหัวทุยและออกแรงลูบเบาๆ เจคนอนนิ่งหลับตารับสัมผัสที่อ่อนโยนที่อีกฝ่ายทำให้เขาเบาๆ นิ้วเรียวของวีเกลี่ยปอยผมของเจคที่ลงมาปิดหน้าก่อนจะจุมพิตลงเบาๆที่หน้าผากของเขา “ห่มผ้าให้หนานะครับ ข้างนอกเริ่มมีฝนหลงฤดูตกลงมาบ้างแล้ว ผมไม่อยากให้ผมเป็นอะไรไปตอนนี้เสียก่อน”
“คุณไม่นอนหรอ...ครับ”
“ไม่ครับ เพราะฉะนั้นนอนเถอะ...” เขามองอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มให้เขาเบาๆ “คืนนี้ผมจะอยู่เฝ้าคุณให้เอง...”
มัน...รู้สึกปลอดภัยที่สุดเลยล่ะ
31 มกราคม 1945
หลายวันมานี้เจครู้สึกเสพติดการลูบหัวและความอบอุ่นของกลิ่นขนมปังอบผสมเหล้ารัมอ่อนๆนี่เสียแล้ว
มันมักจะกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำประจำในทุกๆวันจนจะกลายเป็นนิสัยของเขาไปซะอย่างนั้น ที่นั่งรอคุณทหารเยอรมันทุกๆวันบนห้องใต้หลังคานี้ เรามักจะคุยกันหลังจากที่วีกลับมาจากข้างนอกนั่น วีบอกข่าวดีกับเขาว่าสงครามจะจบในอีกไม่นานนี้ ซึ่งนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาจริงๆ
เขามักจะนั่งฟังวีเล่าเรื่องตลกๆของทหารเยอรมันในค่ายกักกันนั่น เช่นเดียวกับวีเองที่นั่งฟังบทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงในโปแลนด์จากเขาเช่นกันโดยที่มือของเราทั้งคู่ยังคงกุมมือกันและกันอยู่อย่างนั้น
“คุณเชื่อเรื่องความรักมั้ย” วีเอ่ยถามเขาที่จะกำลังนั่งจิบนมสดอุ่นๆอยู่ เราสองคนนั่งผิงไฟกันที่ห้องรับแขกของตัวบ้านท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บที่มีฝนปรอยๆลงมา
“ทำไมจู่ๆมาถามกันแบบนี้ล่ะ”
“ตอบมาเถอะน่าคุณ...”
“ก็คงเชื่อมั้ง...” เขาว่าก่อนจะเหลือบมองคนข้างๆ “แล้ว...คุณล่ะ”
“เชื่อสิ” วีว่าก่อนจะหยิบคุกกี้ขึ้นมากัด “ไม่ใช่เพราะความรักหรอที่ทำให้เรายังอยู่ตรงนี้ได้น่ะ..”
“นั่นสิ...”
เจคเอนหลังลงไปพิงพนักโซฟาก่อนจะเอนหัวพิงเข้ากับไหล่กว้างของทหารหนุ่มคนนี้ กลิ่นหอมประจำตัวอีกฝ่ายลอยขึ้นมาทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นของเจ้าตัวได้อยู่เสมอ วีเลื่อนมือมากุมมือเขาและกระชับมันให้แน่นขึ้นก่อนจะส่งยิ้มให้เขาเบาๆ
นายทหารหนุ่มยิ้มให้เขาเบาๆก่อนจะเกลี่ยปอยผมของเขาที่ปรกหน้าออกไปพร้อมกับแนบหน้าผากของเราสองคนให้ใกล้กันขึ้น
“...”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะเป็นเพศไหน มีเชื้อชาติอะไร หรือนับถือศาสนาใด..”
“...”
“เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราก็คือคนที่มีหัวใจเหมือนกัน”
“แล้ว..” เขามองดวงตาคมของอีกคนที่อยู่ตรงหน้าของเขา “เราจะรักกันได้ไหม...”
“เด็กน้อย...” อีกฝ่ายยิ้มให้เบาก่อนจะกดจูบลงบนปลายจมูกเขาเบาๆ
“แล้วตอนนี้เราไม่ได้รักกันอยู่หรือยังไงล่ะ...J”
9 กุมภาพันธ์ 1945
วันนี้เป็นวันออกตรวจลาดตระเวนครั้งสุดท้ายของคุณทหาร...
วีบอกเขาว่าเขาจะรวมกลุ่มกับแดนิคและพวกทหารชาวโปแลนด์ที่หลบซ่อนอยู่ด้วยกันออกไปทำศึกกับทหารเยอรมันที่เข่นฆ่าชาวยิวนับร้อยนับพันจริงๆเสียที ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เสี่ยงไปก็ตามทีแต่มันไม่มีทางเลือกมากนัก
ไม่ไปไม่ได้หรอ— คืนก่อนที่วีจะไป เรานอนมองดาวที่อยู่นอกหน้าต่างนั่น ฝ่ามือของเราสองกระชับกันเพื่อสร้างความอบอุ่นตรงบริเวณฝ่ามือให้แก่กันและกัน ใบหน้าสวยหวานมองอีกฝ่ายที่กำลังมองมาทางเขาด้วยรอยยิ้ม
มันคือทางเดียวที่เรื่องทั้งหมดจะจบลง— วีบอกเขาไว้แบบนั้น
มือแกร่งเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าของเจคออกเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาลูบหัวของเขา เจคกระชับมือของเราทั้งคู่ให้แน่นขึ้นก่อนจะเบียดตัวเข้าหาความอบอุ่นราวกับผิงไฟในหน้าหนาว
รอผมก่อนนะ— วีประคองหน้าเจคเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยสุรเสียงนุ่มทุ้มนั้นออกมา
สัญญาได้มั้ย...ว่าจะกลับมา— เขามองอีกฝ่ายที่หัวเราะออกมาเบาๆก่อนที่มือหนาของอีกฝ่ายจะใช้นิ้วเรียวของตนลูบไล้บริเวณหน้าของเขาเบาๆ
ฝ่ามือใหญ่เลื่อนมาประคองที่ใบหน้าของเขาพร้อมกับริมฝีปากที่จุมพิตลงมาที่อวัยวะเดียวกันอย่างแผ่วเบา กลิ่นขนมปังอ่อนผสมเหล้ารัมเบาๆทำให้เขารู้สึกโอนอ่อนตามได้อย่างง่ายดาย
เราจูบกันเนิ่นนานก่อนที่เป็นวีที่จะผละออกไปวีเผยรอยยิ้มอบอุ่นราวกับนั่งอังเตาผิงในฤดูหนาวมาทางเขาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยสุรเสียงนุ่มทุ้มออกมาเป็นคำย้ำเตือนเขาอีกครั้งให้มั่นใจ
“ผมสัญญาว่าผมจะกลับมา”
20 กุมภาพันธ์ 1945
เจคตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสื้อทหารตัวหนาที่ห่มตัวเขาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับเขาตลอดหลายคืนที่ผ่านมา มือเรียวของเขาแหวกผ้าม่านที่ทำมากจากเสื้อทหารออกเล็กน้อยก่อนจะมองออกไปด้านนอก ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นธงโปแลนด์พัดปลิดไสวอยู่ด้านนอกของตัวบ้าน เสียงความรุนแรงด้านนอกตัวบ้านเงียบลงราวกับบอกเขาได้อย่างชัดเจนแล้วว่า
สงครามสงบลงแล้ว...
หน่วยน้ำตาคลอขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความดีใจตีตื้นขึ้นมาเมื่อเห็นชาวยิวด้านนอกที่กำลังโห่ร้องออกมาอย่างดีใจที่ได้กลับมาอิสระอีกครั้ง
นัยน์ตาสีน้ำตาลหันมองหานายทหารหนุ่มที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอดแต่กลับไม่พบใครเลย เขาเริ่มหาจากห้องใต้หลังคาห้องนี้จนไปถึงบริเวณหน้าบ้านอย่างมีความหวังจนไปพบเข้ากับกลุ่มทหารของคนโปแลนด์เข้า
คราแรกทหารโปแลนด์ในกลุ่มนั้นยกปืนจ่อเขาเนื่องจากเขาใส่เสื้อทหารที่วีนำมาให้เขาใส่ในช่วงหลายวัน แต่มีแดนิคที่ดูเหมือนจะจำเขาได้จึงสั่งบอกให้ทหารอีกคนที่มาด้วยกันลดปืนลงก่อนจะพาตัวเจคไป
เขาปลอดภัยใช่มั้ยแดนิค--- เขาถามไถ่แดนิคเรื่องของคุณพลทหารเอกของเขาที่หายตัวไปนับร่วมสัปดาห์ได้ ถึงแม้ความคาดหวังว่าเขาจะปลอดภัยมันจะมีน้อยมากก็ตามแม้ว่าเขาเองจะไม่เคยศรัทธาในพระเจ้าก็ตาม...
แต่ในตอนนี้...ต่อให้ขออ้อนวอนต่อพระเจ้าหรือใครก็ตามแต่ที่สามารถช่วยให้คุณกลับมาอย่างปลอดภัยได้
มากแค่ไหนผมก็จะทำ
แดนิคมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวเบาๆ
ไม่...ฉันเสียใจด้วยเจค--- ราวกับถูกผลักลงมาจากหน้าผาที่สูงชัน หัวสมองเขาชาดิก น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ตอนแรกไหลลงมาเมื่อไหร่เขาเองก็ไม่รู้ ริมฝีปากคู่สวยเม้มกันไว้เพื่อกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่กลางลำคอเมื่อแดนิคยื่นเนมแท็กที่สลักชื่อ‘เวนติ คลินตันท์’มาทางเขา
และเป็นอีกครั้งที่เจคเสียสิ่งที่รักที่สุดให้กับสิ่งที่เกลียดที่สุดในชีวิตเช่นกัน..
ความเจ็บปวดและความทรมานถาโถมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อนจนร่างกายแทบจะรับไม่ไหวก่อนที่เจคจะทรุดตัวลงอย่างคนหมดแรงน้ำตาของเขาเริ่มไหลรินลงมาเรื่อยๆพร้อมกับเม็ดฝนที่หยดลงมาจากท้องนภาเพื่อตอกย้ำ
ย้ำ...ว่าคุณทหารคนนั้นไม่มีทางกลับมากอดเขาได้แบบเดิมอีกแล้ว
But then you disappear all that is left of you…Is a memory
-แต่แล้วคุณก็หายไป ทุกสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของคุณ…ก็คือความทรงจำ-
3 มีนาคม 1946
สงครามจบลงเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว...
หลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ทำลายทุกๆอย่างจนกลับไปอยู่ที่จุดเริ่มต้นนี้ทำให้แจ็คสันตัดสินใจทุ่มเงินก้อนที่เหลือของตัวเองสร้างโรงละครแห่งนี้ขึ้นอีกครั้งโดยมีเจเรมี่เป็นหุ้นส่วนกันและจ้างเขาให้มาเป็นนักเปียโนประจำของที่นี่อีกด้วย
เจเรมี่กับออกัสท์เองยังคงติดต่อเขามาอยู่เสมอตั้งแต่วันที่ออกจากค่ายกักกันไปจวบจนเวลาผ่านมาเกือบปีแล้ว เราสามคนยังคงนัดกันออกมาสังสรรค์กันตามประสา นั่งพูดคุยกันในเรื่องที่ประสบพบเจอกันหลังจากหนีออกมาจากค่ายกักกันได้ ออกัสท์ตัดสินใจทำงานในสายดนตรีเช่นเดียวกับเขาอย่างนักแต่งเพลง ออกัสท์มักจะขอให้เขาช่วยทำทำนองของเพลงในทุกครั้งที่จะออกเทปใหม่ ซึ่งแต่ละเพลงที่ถูกปล่อยออกมาทำรายได้ที่มหาศาลมาก ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดี
ไม่...มันเหมือนจะดีต่างหาก
นิ้วเรียวสวยของเขาบรรเลงเพลงKiss the rainจนดังไปทั่วอาณาบริเวณ ดวงตากลมโตหลับตาลงและดำดิ่งลงไปกับอารมณ์ของเพลงอีกครั้ง ดำดิ่งลงสู่เรื่องราวในช่วงของสงครามที่มีใครบางคนที่เอื้อมมือเข้ามาช่วยพร้อมกับเติมเต็มในสิ่งที่เขาหามาตลอด เสียงฝนตกปรอยๆดังเข้ามาในโรงละครแห่งนี้คลอเบาๆไปกับเสียงเปียโนที่เขาบรรเลงออกมา ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีคือตอนที่น้ำใสๆหยดลงที่มืออย่างแผ่วเบา
รสชาติของฝนที่หลงฤดูนี่...เจ็บแบบนี้นี่เองสินะ
กลิ่นหอมของขนมปังอบผสมกับกลิ่นเหล้ารัมในหน้าหนาวที่เขาคุ้นเคยในวันนั้นลอยขึ้นมากับพัดผ่านสายลมจางๆที่ลอดผ่านจากทางหน้าต่างมาสัมผัสเข้าที่ปลายจมูกของเขา เม็ดฝนหลงฤดูหลั่งไหลลงมาไม่ขาดพร้อมกับน้ำอุ่นๆที่ค่อยๆไหลรินจากดวงตาโตลงมาเรื่อยๆ...
ให้กับการจากลาครั้งนี้ที่ไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำลาใดๆส่งไปถึงคุณ...
- So why am I still here in the rain. -
DEAR
อย่างแรกขอบคุณบ้าน @VKfictionsTH นะคะที่ให้โอกาสเรามาร่วมในโปรเจกต์ครั้งนี้
จนทำให้ได้รู้จักไรต์เตอร์ดีๆหลายๆคนที่ชิปเหมือนๆกันกับเรา รู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ
เป็นครั้งแรกที่ได้ลองแต่งแนวนี้ ส่วนตัวชอบแนวนี้มากๆจนอยากเอามาแต่งเอง
ขอบคุณนักอ่านทุกๆท่านนะคะ หากเกิดขอผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ นะคะ
CODE NAME : merlintx
04-12-2017
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อ่านเรื่องนี้ซ้ำรอบที่เท่าไหร่แล้วก้ไม่รู้ แต่ยังร้องไห้ตามทุกทีเลย ที่สุดแล้วสำหรับเราเท่าที่เคยอ่านมาเลยย อยากให้มีโปรเจคหน้านะคะ รอติดตามเลยย
อยากให้ตอนท้ายจบแบบพีคว่าวียังไม่ตายงี้ฮือนุปวดจัย
อีกอย่างตอนที่วีช่วยเหลือเจคนี่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น