ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [WIN] ♡ See the light. {Minho & Taehyun | minam} -end-

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 57


    Chapter 1

     

     

     

     

     

     

     

     

     

               อยากประสบความสำเร็จก็ต้องพยายาม นั่นเป็นสิ่งที่เขาถือมาตลอด

     

     

               คลิปร้องเพลงด้วยท่าทางแปลกของเขาไม่ได้ลดความน่าสนใจลง น้ำเสียงของเขาดึงดูดให้คนในวายจีเอนเตอร์เทนเมนท์เรียกเขาเข้าไปพบทันที การทำงานได้เริ่มต้นขึ้น
              
              
    เห็นโน้ตสีสวยๆ ก็อยากจะแต่งเพลงมาสักเพลง แต่งไว้ก็อัพลงซาวด์คลาวด์เรื่อยเปื่อย เด็กเทรนไม่ได้มีแค่คนเดียว เขาต้องฝึกฝนตัวเองต่อไป ถึงมั่นใจว่าเก่ง หรือพิเศษสักแค่ไหนก็ตาม

     

     

              

               ชีวิตการทำงานไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เด็กเทรนที่มีกันอยู่ไม่กี่คนเพิ่มจำนวนขึ้นมาเรื่อย ๆ จากที่เขาก็เข้ามาช้าอยู่แล้ว ยังมีคนเพิ่มขึ้นมาอีก นั่นหมายความว่า จะต้องมีคนที่มีความสามารถมากพอกับเขาอยู่อีกเยอะ และเขาต้องทำความรู้จัก

     

               ก่อนหน้านี้ก็ได้ทำความรู้จักกับคนที่อยู่ห้องซ้อมข้าง ๆ อย่างคิมจินฮวาน และได้ตกลงที่จะเป็นเพื่อนกัน ทั้งที่จินฮวานเกิดก่อนเขาหลายเดือนอยู่ แต่กลับดูน่ารักและเหมือนเด็ก ๆ หรือเป็นตัวเขาเองที่ชอบทำตัวเหมือนมีปมในใจตลอดเวลา

     

               ก็เขามีปมจริง ๆ



               คิมจินฮวานมีเด็ก ๆ ที่อยู่ด้วยกันมานานอยู่สองคน ที่จริงก็ไม่ได้เด็กอะไรมากมายเพราะอายุก็ต่างกันแค่ปีสองปี แต่ความเก่งกาจของสองคนนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น อย่างบ๊อบบี้ที่มาจากอเมริกาก็เก่งภาษาเหลือเกิน สไตล์การแรปอะไรเขาไม่ค่อยสนใจเท่าไรเพราะตัวเขาชอบที่จะร้องเพลงมากกว่า แต่กับอีกคนที่ทำงานในวงการตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กที่ประธานยางหมายมั่นปั้นมือและถูกอกถูกใจนักหนา กลับดึงความสนใจของเขาได้ ใช่ คิมฮันบินทำให้เขาสนใจ

     

               คิมฮันบินเป็นคนแรกที่เขามองไม่เห็น จริงๆ มันเป็นเรื่องปกติที่จะมองไม่เห็นในบางครั้ง แต่นี่ไม่ นัมแทฮยอนอยู่กับฮันบินหลายเดือน แค่กลับไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง ในขณะที่คนอื่นที่ซ้อมมาด้วยกันทั้งคังซึงยูน คิมจินอู อีซึงฮุน เพื่อนของเขาคิมจินฮวาน ไม่เว้นแม้แต่บ๊อบบี้ หรือคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างกูจุนฮเวเขาก็เห็นได้ในสองสามวัน


              

     

               ส่วนลึกของจิตใจเริ่มสั่งให้นัมแทฮยอนอยู่ห่างคน ๆ นี้ไว้ให้มาก เพราะมองไม่เห็น เลยไม่รู้ว่าคิดอะไร อยากรู้ว่าจะมีพิษมีภัย หรือสามารถเข้าถึงคน ๆ นี้ได้ไหม แต่วันเวลาก็ผ่านไปเรื่อย ตัวเขาก็ยังไม่เห็นสีอะไรจากคิมฮันบิน

               แต่สิ่งหนึ่งที่คิมฮันบินแตกต่างออกไปคือ ถึงสมองที่ประมวลผลมาอย่างดีจะสั่งให้เขาอยู่ห่าง ๆ ผู้ชายคนนี้ไว้ แต่กลายเป็นว่าจะต้องมีสถานการณ์เกี่ยวข้องกันอยู่ร่ำไป และสถานการณ์เหล่านั้นทำให้แทฮยอนเริ่มสัมผัสได้ว่าฮันบินไม่ใช่คนเลวร้าย แต่อาจจะเป็นเพราะต้องอดกลั้นไม่ให้แสดงอารมณ์ออกมา ทำให้เขาไม่มีทางมองเห็น

     

               แต่มันก็เป็นแค่เพียงการมองโลกในแง่ดี

               เพราะที่จริงแล้วนัมแทฮยอนเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากถึงมากที่สุด

     

     

     

     

     

     

               ผมสีทองแปรเปลี่ยนไปเป็นสีเงิน ผมหน้าม้าแปรเปลี่ยนไปเป็นผมแสกกลาง

     

               การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของนัมแทฮยอน รอยสักที่ท้องต้นแขนซ้ายยังคงฝากรอยแดงไว้รอบ ๆ เขาเป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาที่อยากจะทำตัวเท่เข้าไว้บ้าง Basquiat เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง ความคิดและจินตนาการของเขามันทำให้แทฮยอนรู้สึกดี อย่างน้อยก็เจอคนที่คิดอะไรแปลก ๆ เหมือนกัน ชื่อ Jean Michel Basquiat จึงปรากฏที่แขนของเขา

                 ประกอบกับนิสัยที่ค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครของเขาทำให้เขาดูเป็นมนุษยสัมพันธ์ต่ำ และออกไปทางติดลบกับคิมฮันบิน นี่กลายเป็นประเด็นใหญ่ในสายตาหลาย ๆ คนที่จับจ้องเขาอยู่

     

                 “ดูเป็นเด็กแรง ๆ นะ”

     

                 นี่คือเสียงที่สตาฟบางคนพูดถึงเขา

     

     

                 ชีวิตเด็กเทรนดำเนินจากวันเป็นเดือน แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือความสัมพันธ์ของเขากับฮันบิน ยังคงไม่พูดอะไรต่อกันก็ยังคงเป็นแบบนั้น ถ้าจะต้องเจอกันก็จะหลบเลี่ยงด้วยการใส่หูฟัง  ไม่ก็แกล้งหลับไปทั้งที่เหงื่อท่วมตัวหลังจากซ้อมเสร็จ พยายามทำทุกอย่างให้ชีวิตเขาไม่พัวพันกับคิมฮันบิน  แต่ก็มีแต่คิมฮันบินเท่านั้นแหละที่มาสนใจเขาเอง

     

                 “พี่แทฮยอนเต้นท่อนนี้แปลก ๆ นะ” 

                 แทฮยอนหันขวับไปทางคนข้างหลัง หน้าตาดูกวน ๆ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความประหม่าแผ่มาจากเด็กคนนี้

     

                 “อืม”

                

                

     

                 หลังจากวันนั้นฮันบินก็ไม่แม้แต่จะเฉียดกรายมาหาเขาอีกเลย ไม่แม้แต่จะมองหน้ามาด้วยซ้ำไป เขาเองก็พอรู้สาเหตุอยู่พลางอดคิดไม่ได้ว่าการที่เขาสร้างเกราะป้องกันให้ตัวเองอยู่นั้น มันกลายเป็นอาวุธทำร้ายจิตใจใครหรือเปล่า

                 ถึงจู้ว่าคิมฮันบินเป็นคนดี แต่ความกลัวทำให้ความสัมพันธ์เริ่มเป็นไปในทางที่ไม่ดี ทุกคนที่เป็นห่วงแทฮยอนและฮันบิน แม้แต่ซงยุนฮยองและคิมดงฮยอกที่เข้ามาไม่นานก็ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกมาคุระหว่างสองคนนี้

                

                 แล้วมีหรือที่นัมแทฮยอนจะไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอะไรอยู่ ?

                 ก็มีใครลองมาเป็นแบบเขาบ้างสิจะได้รู้...

     

                

     

                 “เกลียดฮันบินเหรอ ?”

                 พี่ใหญ่สุดในบรรดาเด็กเทรนเปิดประเด็นถามเขาอย่างตรงไปตรงมาระหว่างเดินกลับหอพัก

     

                 “เปล่านี่ครับ”

     

                 “แล้วจะหลบหน้าอะไรหนักหนา”

     

                 “ผมแค่รู้สึกแปลก ๆ กับเขา”

     

                 “ไม่รู้นะว่าฮันบินไปทำอะไรให้นายน่ะ แต่จริง ๆ เขาเป็นคนดีมากเลยนะ”

                 จินอูพูดพลางยิ้มให้กับแทฮยอนทุกประโยค  ผิดกับตัวเขาที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรผ่านทางสีหน้าเลยสักนิด

     

     

                

                 ถ้ามันถึงขั้นที่ทุกคนจะต้องมาคิดมากและพลอยเดือดร้อนเรื่องเขากับฮันบินขนาดนั้น ไม่พ้นที่ตัวเขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง แทฮยอนคิดอย่างนี้ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และเริ่มหาหนทางที่จะเข้าไปพูดคุยกับฮันบินบ้าง แต่เขาไม่คนที่มนุษยสัมพันธ์ดีขนาดนั้น จนตอนนี้เขาเริ่มโทษการมองเห็นบ้า ๆ นี้แล้วว่าเป็นตัวปิดกั้นเขาจากทุกสิ่งทุกอย่าง และทำให้เขาไม่สามารถจัดการตัวเองได้ในกรณีแบบนี้

     

     

                 ป่านนี้คงจะเกลียดเราไปแล้วมั้ง

     

                 แทฮยอนนั่งพิงกระจกบานใหญ่ ลมหายใจแรงพ่นจากจมูกอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งเหนื่อย ทั้งคิดมาก ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตตัวเองยังไง สิ่งที่คิดได้ตอนนี้คือต้องทำความเข้าใจกับฮันบินไปก่อน เขาเชื่อว่าฮันบินเป็นคนดี แต่เขาต่างหากที่เป็นคนไม่ดี

     

     

     

                

                 มินิมาร์ทอยู่ห่างไปข้างหน้าเพียงไม่กี่เมตร แต่แทฮยอนยังไม่ละสายตาออกจากโทรศัพท์ของเขา คาคาโอทอล์กของน้องชายเขาเด้งเตือนขึ้นมาเป็นระยะ ๆ นี่เป็นเวลาเดียวเท่านั้นที่เขาจะสามารถใช้โทรศัพท์ได้อย่างนี้

                 คิมฮันบินเดินออกจากมินิมาร์ทพร้อมกับถุงขนมมากมายในมือ อันเป็นผลมาจากการแพ้พนันเกมกับจุนฮเว พูดถึงแล้วก็อารมณ์เสียกับเด็กบ้านี่จริง ๆ เล่นอะไรก็ไม่เคยชนะจุนฮเวสักอย่าง แค่ขนาดตัวแค่ความสูงเขาก็แพ้แล้ว ยังจะเล่นเกมแพ้เจ้าบ้านี่อีก

                 มือทั้งสองข้างถือถุงขนมอย่างเงอะงะ ๆ  ฮันบินสบถไปร้อยกว่าคำภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่นาที เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นแรปเปอร์ระดับโลกขึ้นมาก็วันนี้ พูดไปก็พลางหิ้วขนมน้ำที่หนักหนาสาหัสไป ก้มมองแล้วก้มมองอีกว่าขนมหลุดมือไหม พลางพูดกับพระเจ้าไปว่าถ้ามีใครสักคนมาช่วยก็คงดีสินะ

     

                 “ช่วยไหม ?”

                 เป็นนัมแทฮยอนที่พระเจ้าส่งมาช่วยเขา

     

     

                

                 มือหนายื่นถุงขนมบางส่วนให้กับแทฮยอน ส่วนอีกคนที่ไม่ทันจะเก็บโทรศัพท์ก็รับไว้อย่างทุลักทุเล  แทฮยอนส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเล็กน้อยเพราะติดนิสัยหงุดหงิดง่าย ฮันบินมองคนตรงหน้าที่รับขนมเขาไปอย่างรู้สึกลำบากใจอยู่ในที

     

                 “ถ้าลำบากก็ไม่ต้อง..”

     

                 “ไม่เป็นไร สบายมาก” แทฮยอนพูดสวนขึ้นมาทั้งที่ฮันบินยังพูดไม่จบ

     

                 ความเงียบเกิดขึ้นตลอดทางที่เดินมาด้วยกัน แทฮยอนที่ยังไม่ได้ซื้ออะไรด้วยซ้ำแต่ต้องกลับเพราะช่วยฮันบิน ยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์เสีย ไม่ได้โกรธฮันบินแต่โกรธตัวเองที่ทำอะไรโง่ ๆ ไป มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาแถมยังเสียเวลาเปล่าอีก

     

                 “พี่ยังไม่ได้ซื้อของอะไรเลยนี่นา ไปกินด้วยกันก็ได้นะ”

                 คิมฮันบินพูดเหมือนเข้าไปแอบดูความคิดในหัวแทฮยอนมายังไงอย่างนั้น แทฮยอนหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะตอบ

     

                 “ก็ดีนะ ว่าแต่ซื้อมาทำไมเยอะแยะ”

     

                 “เล่นเกมแพ้จุนฮเวมันน่ะสิ คนอื่นเลยเอาใหญ่เลย ให้ซื้อนี่นั่นมาเต็มเลย”

     

                 “เล่นอะไรกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้นะ” แทฮยอนหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

     

                

                 เดินมาไม่นานก็ถึงตึกเทรน แทฮยอนกับฮันบินแยกย้ายกันเพราะแทฮยอนเองอยากจะพักผ่อนแล้ว จึงปฏิเสธการเข้าร่วมวงขนมไปก่อน ในมือมีขนมติดมือไปเล็ก ๆ น้อย พอให้คนตัวเล็กอย่างเขาทานเป็นมื้อดึกไปได้ แทฮยอนยิ้มน้อยให้กับความสัมพันธ์ที่เขาคิดว่ามันคงดีขึ้นมานิดนึงแล้ว แต่เขาไม่เคยรู้เลย...

                 คิมฮันบินยังคงหยุดอยู่ตรงนั้น พร้อมกับรอยยิ้มหวานในความมืดที่ไม่มีทีท่าว่าจะจางไปง่าย ๆ

     

                

     

     

                

     

     

                 “ทุกคน ! วันนี้แม่ฉันทำสลัดมาให้ มากินด้วยกันสิ !

     

                 ซงยุนฮยองวิ่งมาเรียกทุกคนจากห้องซ้อม จากสีหน้าเหนื่อยล้าเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มในทันที เสียงอึกทึกของชายหนุ่ม 10 คนในห้องซ้อมไม่ใช่เรื่องเล็ก ก่อนที่กล่องสลัดใบโตจะถูกยกมาโดยทีมงาน ตามด้วยแม่ของยุนฮยอง

     

                 “ทานกันให้อร่อยนะ”

                 รอยยิ้มใจดีแจกจ่ายให้กับเด็ก ๆ รุ่นลูก สลัดกล่องใหญ่ถูกตักแบ่งเป็นจานเล็ก ๆ ฮันบินรับไว้สองจานก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยัง...

     

                 นัมแทฮยอน

     

     

                 “ผมหยิบมาเผื่อ”

                 ฮันบินยิ้มมุมปาก รักษาภาพพจน์คิมฮันบินคนกวนไว้ไม่เลิก แทฮยอนมองก่อนจะหัวเราะน้อย ๆ

     

                 “ขอบใจนะ นั่งกินด้วยกันตรงนี้แหละ”

     

     

     

                 พูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อยเลยทำให้แทฮยอนรู้ว่าฮันบินไม่ใช่คนประหลาดอะไรเลย ก็เป็นแค่เด็กผู้ชายวัย 17 คนนึงที่มีชีวิตไปวัน ๆ ติดเกม ติดเพื่อน ถึงจะยังไม่เคยมีแฟนเพราะต้องทำงานตั้งแต่เด็ก แต่อย่างน้อยก็ยังเคยมีความรัก และตอนนี้ผู้หญิงที่ฮันบินรักที่สุดคือน้องสาวที่ห่างกับเขาถึง 15 ปีอย่างฮันบยอล แทฮยอนยิ้มไม่หยุดเมื่อฮันบินพูดถึงน้องสาวที่เขาบอกว่าเป็นผู้หญิงที่น่ารักที่สุดในโลกแล้ว

     

                 “เออพี่... ผมถามอะไรหน่อยดิ”

                

                 “อะไรเหรอ ?”

     

                 “ทำไม.. พี่ถึงพยายามหลบหน้าผมตลอดเลย”

     

                 แทฮยอนหยุดกึก เขาไม่รู้จะต้องตอบไปยังไง ไม่ใช่ว่าเขาหาคำตอบไม่ได้ หรือคำตอบของเขามันไม่มีเหตุผล  แต่คำตอบของเขามันมีเหตุผลในตัวของมันมากเกินกว่าที่คนธรรมดาอย่างฮันบินจะเข้าใจน่ะสิ ฮันบินไม่ควรรู้เรื่องนี้ ทุกคนไม่ควรรู้เรื่องนี้ เพราะจากที่มันแย่อยู่แล้ว มันอาจจะแย่ลงถ้ามีใครสักคนเกิดรู้เขามีอะไรสักอย่างที่คล้ายพลังพิเศษ ถึงเขาจะไม่เคยเชื่อเลยว่ามันคือพลังที่ดี

     

                 “แค่... ไม่ค่อยชินน่ะ... แต่ตอนนี้สบายใจได้แล้วนะ ฉันโอเคแล้วล่ะ”

     

                 “รู้ไหมตอนแรกอะ ผมคิดว่าผมเป็นคนไม่ดีไปเลยนะเนี่ย”

     

                 “ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น... แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ”

     

                 “ทำไม...”

     

                 “นายน่ารักกว่าที่ฉันคิดเยอะ”

     

     


     

    >> TO BE CONTINUED.

     
     

     

    △△△△△

    #ฟิคแสง

    with love : vizecoren.





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×