ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แดนอนธกาล ( Land of Darkness)

    ลำดับตอนที่ #2 : แหวนประหลาด

    • อัปเดตล่าสุด 20 มี.ค. 49



                "แหวนอะไรหรือจ๊ะ"

    ดมิศราส่งแหวนให้มารดา ซึ่งเมื่อรับแหวนไปแล้วก็พิจารณาอย่างละเอียด พลันความทรงจำเก่าๆที่ถูกลืมเลือนไปก็กลับมาอีกครั้ง

    "แหวนวงนั้นนี่เอง...นึกว่าหายไปแล้วเสียอีก"

    "แหวนของแม่หรือคะ หน้าตาแปลกจัง" ดมิศราจ้องมองแหวนในมือของมารดาอย่างสนใจ ตัวเรือนของแหวนทำด้วยวัสดุคล้ายโลหะเป็นสีดำมันวาวสองอันพันเกี่ยวกันอยู่ หัวแหวนประดับด้วยวัตถุรูปร่างคล้ายหินในความรู้สึกของเธอ...หินกลมสีขาวขุ่น

    "ไม่ใช่หรอกจ๊ะ แหวนของใครแม่ยังไม่รู้เลย"

    "อ้าว...ถ้ายังงั้นมันมาได้ไงคะ"

    "ตอนที่แม่ไปคลอดทิวแล้วกำลังจะออกจากโรงพยาบาลอยู่แล้ว มีพนักงานทำความสะอาดคนหนี่งเขาร้องเรียกไว้ เขาบอกว่าแม่ลืมแหวนวงนี้ไว้ในห้อง ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็งงมากเลย เพราะแน่ใจว่าไม่ได้ลืมอะไรไว้ ที่สำคัญแหวนวงนี้ก็ไม่ใช่ของเราอย่างแน่นอน แต่พ่อเขาก็เก็บมานะ เผื่อว่าจะเป็นของคนที่มาเยี่ยมลืมไว้ แต่ก็บอกทางโรงพยาบาลไว้ด้วยว่าถ้ามีคนมาถามหาให้ติดต่อมา แต่ก็หาเจ้าของไม่เจอแหละจ๊ะ โรงพยาบาลก็ไม่ติดต่อมาสักครั้ง...แม่ลืมเรื่องแหวนวงนี้ไปแล้วนะเนี่ย"

    "แล้วมันมาอยู่ในกล่องนี้ได้ยังไงคะ ทิวจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เก็บของก็ไม่เคยเห็นแหวนนี่เลย"

    "แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...นี่ก็ดึกแล้วนะลูก นอนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่หรือ"

    "ค่ะ"

    "อย่าลืมล็อคห้องด้วยล่ะ"

    "ค่า..."

    ดมิศราตามไปล็อคประตูห้องเรียบร้อย แล้วจึงกลับมาเก็บการ์ดลงกล่องให้เรียบร้อย

    ปีนี้คงได้เจอกันอีกนะ...

    เธอใส่การ์ดใบที่สิบแปดที่ได้จากเจ้าของนิรนามไว้บนสุด ปิดฝากล่องและนำไปเก็บเข้าที่

    เมื่อกลับมาอีกครั้งเธอก็มาสะดุดกับแหวนประหลาดนั่นที่ยังคงวางอยู่ที่เดิม แต่เห็นว่าเก็บกล่องไปเรียบร้อยแล้วก็คร้านที่จะนำแหวนไปเก็บใหม่อีกครั้ง จึงหยิบแหวนวงนั้นส่องขึ้นดูกับแสงไฟ

    สีดำของตัวแหวนตัดกับหินสีขาวอย่างนี้...เป็นการออกแบบที่แปลกจริงๆ

    เธอลองเอาแหวนสวมที่มือข้างขวาทีละนิ้ว ปรากฎว่าใส่ไม่ได้เลยสักนิ้ว เลยลองเปลี่ยนมาสวมที่มือซ้ายแทน

    นิ้วโป้งก็คับไป...นิ้วชี้ก็ยังปลวมไปนิดหน่อย...นิ้วกลางก็ไม่พอดี...

    เธอถอดแหวนออก แล้วลองสวมลงที่นิ้วนาง

    ใส่ได้พอดีเลย...หญิงสาวยกมือขึ้นส่องกับแสงไฟ ชั่วหนึ่งนั้น...เหมือนเธอจะเห็นประกายสีดำแว่บขึ้นมาในหินสีขาว หากก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

    แปลกจัง...

    เธอส่องดูแหวนกับแสงไฟอีกหลายครั้ง แต่หัวแหวนก็ยังคงเป็นสีขาวเหมือนเดิม พอเหลือบดูนาฬิกาเห็นว่าดึกมากแล้ว จึงเลิกสนใจกับแหวนวงนั้น ปิดไฟ แล้วเข้านอนไปในที่สุด

    ดมิศราตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความรู้สึกหนักอึ้งที่ศีรษะอย่างประหลาด เธอเดินไปยังห้องน้ำทั้งๆที่ยังรู้สึกเหมือนไม่ตื่นเต็มที่ หยุดที่อ้างล้างหน้า เอามือรองน้ำ แล้วยกขึ้นลูบหน้า ก็รู้สึกว่ามีอะไรข่วนที่ใบหน้า จึงแบมือออกดู

    แหวนนี่เอง...เมื่อคืนนี้เธอลืมถอดมันออก

    หญิงสาวถอดแหวนออก แต่ปรากฎว่าติด จึงออกแรงให้มากขึ้น หากแหวนก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม คราวนี้เธอเลยลองหมุนแหวน เผื่อว่าจะทำให้ถอดออกง่ายขึ้น แต่แหวนก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย สุดท้ายจึงลองเอาสบู่ถูแล้วค่อยๆถอดแหวนออก แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรแหวนก็ไม่หลุดออกจากนิ้ว

    เมื่อลองทำทุกวิถีทางแล้วก็ยังถอดแหวนไม่ออก เธอจึงตัดสินใจปล่อยเอาไว้อย่างนั้น

    วันนึงก็คงถอดได้เอง...

    "ทำไมวันนี้มาสายล่ะ" พนิตาถามขึ้นในชั่วโมงเรียน

    "พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ" ตอบพลางก็จ้องมองที่แหวนที่เป็นต้นเหตุให้มาสาย พนิตามองตามสายตาเพื่อนไป ก็ประหลาดใจที่เห็นดมิศราที่ไม่เคยใส่แหวนมาก่อนนั้น ในวันนี้กลับมีแหวนหน้าตาแปลกๆอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย

    อุบัติเหตุอะไรกันนี่ถึงมีแหวนมาโผล่อยู่ที่นิ้วนางได้...เห็นทีจะต้องซักฟอกครั้งใหญ่เสียแล้ว

    ดังนั้นพอถึงเวลาพักดมิศราเลยต้องกลายเป็นจำเลยในทันใด เนื่องจากพนิตารีบทำการซักฟอกอย่างไม่รอช้า

    "วันนี้ใส่แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายเสียด้วย บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าได้มาได้ยังไง ใครให้มากัน"

    "แหวนวงนี้น่ะหรือ" ดมิศรายกมือให้เพื่อนดู

    "ใช่...วงนี้แหละ ตอบมาเดี๋ยวนี้นะ แอบไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่"

    ได้ยินคำถามนั้น...ดมิศราก็หัวเราะออกมาอย่างนึกขำเพื่อน จนเห็นฟันที่เรียงแถวเป็นระเบียบ

    "แหวนวงนี้น่ะ ใครเป็นเจ้าของยังไม่รู้เลย ฉันเจอมันที่บ้านเมื่อวานนี้"

    "ไม่ต้องอายหรอก บอกฉันมาเถอะนะ"

    "ก็บอกอยู่แล้วนี่ไง"

    "พูดจริงเหรอ" พนิตามองหน้าเธออย่างไม่เชื่อเท่าไรนัก

    "จริงสิ...เมื่อวานรื้อของออกมาจัดใหม่ แล้วก็เลยไปเจอแหวนวงนี้เข้า ถามแม่...แม่ก็ไม่รู้ว่าของใครเหมือนกัน ฉันก็ลองเอามาใส่เล่นดู แล้วก็ถอดไม่ออกอย่างที่เห็นนี้แหละ"

    "แย่เลย...ถอดไม่ออกเนี่ยนะ นิ้วนางข้างซ้ายเสียด้วย แล้วตอนแต่งงานจะทำยังไงล่ะ"

    ดมิศราหัวเราะขำที่เพื่อนสาวคิดไปเสียไกล

    "ก็...เอาแหวนวงนี้เป็นแหวนหมั้นไปเลยเป็นไง"

    พนิตาทำตาโต แล้วส่ายหน้าไปมาแรงจนผมกระจาย "แหวนอะไรก็ไม่รู้น่ากลัวออก ดูสิ...สีขาวกับดำอย่างนี้"

    ดมิศราก้มลงมองแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย "ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย แบบแปลกดีออก ดูไปดูมาก็สวยดีเหมือนกัน"

    "จ้า...ชื่นชมไปคนเดียวแล้วกัน อาจารย์เข้าแล้ว ฉันเรียนดีกว่า"

    หลายวันที่ผ่านมานี้ดมิศราเฝ้าคอยแต่วนเวียนอยู่กับตู้จดหมายอยู่เรื่อยไป วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เธอลงไปเปิดตู้จดหมายแต่เช้า...เพื่อพบกับความว่างเปล่า

    ทั้งๆที่รู้ว่าทุกปีเจ้าของการ์ดวันเกิดนิรนามคนนั้นจะส่งการ์ดมาให้เธอตรงกับวันเกิดทุกครั้ง แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะแวะเวียนมาเปิดดูตู้จดหมาย เผื่อว่าปีนี้เจ้าของการ์ดจะส่งมาให้เร็วกว่าทุกปี

    ตลกดีเหมือนกัน...ทำไมเธอถึงต้องเฝ้าคอยการ์ดวันเกิดจากคนที่เธอไม่รู้จักด้วยนะ

    ปีนี้เธอตั้งใจจะเฝ้ารอเพื่อที่จะได้เห็นหน้าเจ้าของการ์ด เนื่องจากการ์ดทุกใบที่ได้รับมาไม่ได้ถูกส่งมาทางจดหมาย นั่นหมายความว่าเจ้าตัวต้องนำมาส่งเองทุกครั้ง

    แต่น่าเสียดายที่วันนั้นเธอต้องไปเรียน คงเฝ้าดูไม่ได้ตลอด ถ้าเขาเอามาให้ตอนที่เธอไปเรียนแล้ว ก็คงไม่ได้พบหน้ากัน

    เธออยากเจอเขา อยากขอบคุณที่เขาส่งการ์ดมาให้ทุกปี...

    ดังนั้นก่อนหน้าวันเกิดหนึ่งวันดมิศราจึงหมั่นมองไปที่ตู้จดหมายบ่อยๆ แต่ก็ไม่มีคนมาส่งจดหมายเลย นั่งเฝ้าอยู่จนดึกก็ยังไม่มีวี่แวว เลยตัดสินใจเข้านอนไปเสีย

    ในที่สุดวันพิเศษเธอก็มาถึง ดมิศราลงไปเปิดตู้จดหมายแต่เช้า และก็พบว่าข้างในนั้นไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป หากมีซองจดหมายสีแดงวางอยู่ จึงรีบหยิบออกมาเปิดดูด้วยความดีใจ

    บนการ์ดมีลายมือหวัดแต่เรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย

    สุขสันต์วันเกิดอายุครบสิบเก้าปี...อีกไม่นานเราคงได้พบกัน

    ดมิศราอ่านข้อความนั้นทวนซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า 'อีกไม่นานเราคงได้พบกัน'

    จริงหรือ...หมายความว่าเราจะได้พบกันแล้วจริงๆหรือเนี่ย

    ประกายสีดำแวบขึ้นที่แหวนอีกครั้ง หากด้วยความตื่นเต้นกับการ์ดที่ได้รับทำให้ดมิศราไม่ทันได้สังเกตเห็น

    "สุขสันต์วันเกิดจ้า" พนิตาแกล้งตะโกนข้างหูเธอดังๆ แล้วยื่นกล่องของขวัญมาให้

    "ขอบใจนะ" ดมิศรารับกล่องของขวัญมา "ให้อะไรเหรอ"

    "ไม่บอกหรอก ถ้าอยากรู้ก็แกะดูสิ" พนิตายักคิ้วให้

    หญิงสาวมองไปอีกทางหนึ่ง เห็นนตยืนทำท่าเขินๆอยู่

    "สุขสันต์วันเกิดนะ" พูดจบเจ้าตัวก็ยื่นกล่องของขวัญส่งให้อย่างอายๆ

    "ขอบใจจ๊ะ" เธอรับมาแล้วส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ

    พนิตามองกล่องของขวัญมากมายที่อยู่ข้างตัวเจ้าของวันเกิด ก็อดพูดไม่ได้ "ได้ของขวัญเยอะขนาดนี้จะขนกลับไหวไหมเนี่ย"

    "ไหวสิก็ขับรถมาเองนี่นา...ว่าแต่ของขวัญปลาที่ปลาให้คงต้องขอไปแกะดูที่บ้านนะ"

    "จ้า...ตามสบาย เลือกสุดฝีมือเลย รับรองว่าต้องชอบแน่ๆ"

    "ให้อะไรมาก็ชอบทั้งนั้นแหละ ขอบคุณอีกครั้งนะ...ทั้งสองคนเลย เดี๋ยวเราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่าไหม วันนี้ทิวเป็นเจ้าภาพเอง"

    ดมิศราพาเพื่อนทั้งสองคนไปที่ร้านที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก อาหารมื้อนั้นผ่านไปด้วยความสนุกสนาน จนทุกคนต่างลืมเวลาไป กว่าจะออกมาจากร้านกันท้องฟ้าก็เริ่มสลัวลง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยก้อนเมฆสีดำที่กระจายเกลื่อนกลาดเต็มท้องฟ้า

    "หือ...ดูท้องฟ้าสีครึ้มจัง ฝนจะตกหรือเปล่า" พนิตาหันไปถามอีกสองคนที่ยืนจ้องมองท้องฟ้าอยู่เช่นกัน

    "เมื่อเช้าฟ้ายังสว่างจ้าออก" ดมิศรามองฟ้าอย่างหนักใจ...ถ้าพายุมาจะทำอย่างไรดี บ้านก็อยู่ไกลจากที่นี่ตั้งมาก

    "ทิวจะกลับบ้านได้ไหมเนี่ย" นตถามด้วยกระแสเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

    "ได้สิ คงไม่เป็นไร ว่าแต่ปลากับนตจะกลับบ้านยังไงเนี่ย"

    "สบายมาก บ้านเราอยู่ใกล้นิดเดียว บ้านนตเองก็อยู่ไม่ไกลนี่นะ" พนิตาหันไปถามชายหนุ่มที่ยังคงจ้องมองดมิศราไม่วางตา ความเป็นห่วงฉายชัดอยู่ในแววตาคู่นั้น "เราสองคนอยู่ใกล้...ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว"

    "ถ้าอย่างนั้นทิวกลับเลยแล้วกัน ฟ้าชักมืดลงทุกทีแล้ว"

    "ขับรถกลับดีๆนะทิว" นตบอกเธอด้วยน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่กำลังพูดกับเด็กหญิงตัวน้อยๆ

    "นั่นสิ...ขับกลับดีๆนะ อากาศอย่างนี้ต้องระวังให้มาก" พนิตากำชับอีกแรง

    "จ้า...จะระวังให้มากๆเลย เจอกันพรุ่งนี้นะ"

    ดมิศรามองกระจกหลังเห็นเพื่อนยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยความเป็นห่วง ก็โบกมือให้ แล้วขับรถต่อไปจนภาพของเพื่อนทั้งสองลับสายตา

    สภาพอากาศในตอนนี้เลวร้ายลงทุกที ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเมฆสีดำทมึนที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ดมิศราเร่งความเร็วรถเพิ่มขึ้น อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านแล้ว เธอต้องรีบกลับให้ทันก่อนฝนตก  เพราะไม่แน่ว่าพายุอาจจะเข้า ถ้ากลับไปไม่ทันก็คงต้องติดค้างอยู่บนถนนกันอีกนาน

    คิดพลางก็จ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้า สายลมเริ่มพัดแรงขึ้น พาเอาเศษใบไม้ปลิวคว้างขึ้นมาบนถนน และดูเหมือนว่าลมจะพัดแรงขึ้นทุกที คราวนี้จึงหอบเอาใบไม้ฝูงใหญ่พัดผ่านหน้ากระจกรถไปทำให้มองเห็นถนนได้ไม่ถนัด หญิงสาวจึงตัดสินใจจะชะลอความเร็วรถลง

    หากยังไม่ได้ทำอย่างที่คิด ก็เห็นอะไรบางอย่างเป็นเงาดำๆพุ่งตรงมายังด้านหน้ารถ ด้วยความตกใจจึงหักหลบอย่างรวดเร็ว ทำให้รถไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างถนนอย่างแรง แล้วสติสุดท้ายก็ดับวูบลง...

    สองสามีภรรยารีบรุดไปยังโรงพยาบาลทันทีที่ได้รับแจ้งข่าวจากตำรวจ เมื่อไปถึงก็พบตำรวจยืนคอยอยู่แล้วที่หน้าห้องผ่าตัด

    "แกเป็นอะไรมากไหมคะคุณตำรวจ" มารดาของดมิศราถามอย่างร้อนรน

    "หมอบอกว่าอาการสาหัสครับ"

    ได้ยินคำตอบนั้นแล้ว เข่าทั้งสองข้างก็ทรุดฮวบ น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ฝ่ายสามีมีสติมั่นคงกว่าจึงสอบถามเรื่องราวจากตำรวจให้ละเอียด

    "เราได้รับแจ้งมาจากชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นน่ะครับ แล้วพวกเขาก็ช่วยกันพาส่งโรงพยาบาล"

    "แล้วเกิดอุบัติเหตุได้ยังไงครับ" หางเสียงที่ถามนั้นสั่นนิดๆ

    "พยานที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าตอนนั้นวิสัยทัศน์ไม่ค่อยดีนัก เขาเห็นรถที่คนเจ็บขับมาแล่นเร็วพอสมควร แล้วอยู่ๆก็หักหลบลงข้างทางไปชนกับต้นไม้ใหญ่ข้างทางครับ" นายตำรวจเล่า

    "หักหลบอะไรหรือครับ"

    "พยานทุกคนบอกว่าตอนนั้นถนนโล่ง ไม่มีรถสวนมาสักคัน รถที่แล่นตัดหน้าก็ไม่มี เขาก็ยังงงกันอยู่เลยครับว่าคนเจ็บหักรถหลบอะไร"

    "โธ่...ลูก" ฝ่ายภรรยาได้แต่ร้องไห้ครวญคราง สามีจึงบีบไหล่เบาๆเป็นการปลอบใจ พร้อมกับนึกภาวนาอยู่เงียบๆในใจ

    อย่าเป็นอะไรเลยนะลูก!

    นานแสนนานในความรู้สึกของคนทั้งคู่ ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าที่พ้นผ่าน...หากไฟหน้าห้องผ่าตัดยังคงสว่างจ้า ทั้งสองสามีภรรยายังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่มีคำสนทนาใดๆระหว่างกัน ในใจนั้นเฝ้าภาวนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย...ให้ลูกสาวคนเดียวของพวกเขาปลอดภัย ยิ่งกว่าชีวิตนี้เขาก็ยอมให้ ถ้ามันสามารถแลกกับชีวิตหนึ่งที่กำลังอยู่ในห้องผ่าตัดได้

    และแล้วเวลาแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลง...

    เสียงประตูที่ดังขึ้นนั้นช่างบาดลงไปในความรู้สึกของคนที่รอคอยทั้งสองยิ่งนัก สองสามีภรรยารีบเดินเข้าไปหาบุรุษในชุดผ่าตัดสีเขียวที่ผลักประตูออกมา

    "เป็นยังไงบ้างคะ"

    "ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคนไข้ครับ"

    "ฉันเป็นแม่ค่ะ" คำตอบนั้นดังออกมาก่อนคำถามจะจบประโยคด้วยซ้ำ

    "คืออย่างนี้นะครับ บาดแผลภายนอกนั้นก็จัดการให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนอวัยวะภายในสำคัญๆนั้นเสียหายอยู่หลายจุด" นายแพทย์ทำสีหน้าลำบากใจที่จะกล่าวต่อไป "อีกอย่าง สมองของคนไข้ได้รับการกระเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดการฉีกขาดของเส้นเลือด ทำให้ตอนนั้นสมองบางส่วนขาดเลือดไปเลี้ยง"

    "แล้วยังไงครับหมอ"

    ซึ่งอาจทำให้คนไข้อยู่ในภาวะที่เรียกว่า Vegetative State หรือที่เรียกกันว่า...เจ้าหญิงนิทราได้ เราก็ต้องรอดูกันต่อไปครับ


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ยินดีรับทุกความเห็นเช่นเคยค่ะ
    อย่าเพิ่งงนะคะว่าทำไมเรื่องเป็นแบบนี้ จะค่อยๆเฉลยไปเรื่อยๆค่ะ


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ยินดีรับทุกความเห็นเช่นเคยค่ะ
    อย่าเพิ่งงนะคะว่าทำไมเรื่องเป็นแบบนี้ จะค่อยๆเฉลยไปเรื่อยๆค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×