ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แดนอนธกาล ( Land of Darkness)

    ลำดับตอนที่ #1 : อุบัติกาล

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 49


                 
                เมฆหมอกยามราตรีคลี่กระจายไปทั่วผืนฟ้าสีดำสนิทที่ปราศจากดวงจันทร์ และอับแสงจากดวงดาราที่เคยทอประกายแต่งแต้มความมืดหม่นยามราตรีกาลให้ดูงดงาม ทุกหนแห่งเงียบสงัดและวังเวง แว่วเพียงเสียงหวีดหวิวจากกระแสลมที่ดูจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะที่เวลาเคลื่อนไป  สอดประสานด้วยเสียงเสียดสีของกิ่งไม้ที่เอนลู่ไหวไปตามแรงลมนั้น

                เข็มนาฬิกาที่หน้าห้องผ่าตัดดูเหมือนจะเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าเต็มทีในความรู้สึกของผู้ที่นั่งรออยู่หน้าห้องอย่างกระวนกระวาย สุดท้ายก็นั่งไม่ติดต้องลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไรของคืนนี้แล้วเจ้าตัวไม่สนใจที่จะนับ ร่างสูงใหญ่ตัดสินใจเดินเลยไปหยุดอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ที่อยู่ตรงระเบียงไม่ไกลจากหน้าห้องผ่าตัดมากนัก ทอดสายตาเหม่อมองดูบรรยากาศภายนอกเพื่อระงับความพลุ้งพล่านให้คลายลงบ้าง...



                "อา...ดูนั่นสิ"

                "ดูบนฟ้าเร็ว"

    "ถึงเวลาแล้วหรือนี่"

    "โอ้...จริงด้วย...แย่แล้ว...แย่แน่ๆ..."

                เสียงตะโกนต่างๆนานาโวกเวกดังลั่นไปทั่วทุกสารทิศ ฝูงชนทุกหัวระแหงต่างชี้ชวนกันให้มองขึ้นไปยังท้องฟ้าสีดำสนิท ซึ่งในยามนี้ปรากฏพระจันทร์ดวงกลมโต...ฉายสีแดงฉานราวกับสีเลือด

    ไกลออกไปเป็นเนินเขาเตี้ยๆมีหอคอยร้างตั้งอยู่เดียวดาย ไม่น่าที่จะมีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ หากเวลานี้ที่ชั้นบนสุดกลับมีร่างใหญ่โตเห็นเป็นเงาดำตะคุ่มสองร่างยืนอยู่เคียงกันท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงสีแดงจากดวงจันทร์บางส่วนที่ต้องลงมาบนเสี้ยวหน้าของคนทั้งคู่ พอให้เห็นเค้าหน้าได้รางๆ ใบหน้าหนึ่งนั้นดูแข็งกร้าว ริมฝีปากเม้มสนิท จ้องมองไปยังท้องฟ้าเช่นเดียวกันกับกลุ่มคนมากมายเบื้องล่าง ส่วนอีกใบหน้าหนึ่งนั้นไม่แข็งกร้าวเช่นนั้น หากมีเค้าความคมคายและความแข็งแกร่งเช่นบุรุษไม่น้อย

    "ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง..." ริมฝีปากที่เคยเม้มสนิทนั้นเอ่ยออกมา

    "ไม่น่าเชื่อเลย...ว่าคำกล่าวนั้นจะเป็นจริงทุกอย่าง" อีกฝ่ายกล่าวขึ้น

    "มีอะไรบ้างที่'ท่านผู้นั้น'เคยกล่าวแล้วจะผิดเพี้ยนไป" เสียงก้องกังวานของสตรีผู้หนึ่งดังแทรกขึ้นกลางบทสนทนานั้น

    "เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน" เจ้าของใบหน้าแข็งกร้าวถามผู้มาใหม่

    "ข้าก็มารอชมสิ่งนี้อยู่เหมือนกันน่ะสิ" พูดพลางแหงนหน้าไปยังดวงจันทร์กลมโตสีแดงที่อยู่กลางท้องฟ้า แววตามีความพึงพอใจ ริมฝีปากสีสดกล่าวต่อมา "สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็มีเพียงแต่รอเท่านั้น หากหลังจากนั้นแล้ว...เรื่องยุ่งยากก็จะตามมา"

    ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ที่หน้ากระจกทอดถอนใจอย่างหนักหน่วง บรรยากาศภายนอกนั้นไม่ชวนดูเอาเสียเลยในความรู้สึกของเขา ทุกอย่างดำมืดไปหมด พระจันทร์ที่เคยส่องสว่างอยู่ทุกวันหายไปไหนกัน

    หากหลังความคิดนั้นจบลงไม่นานนัก พระจันทร์สีอร่ามก็ค่อยๆโผล่พ้นจากหมู่เมฆออกมาจนเห็นเป็นดวงกลมโตเต็มดวง สาดแสงสีนวลกลบความมืดมิดลงได้เกือบหมดสิ้น พลันผู้ที่ยืนจ้องมองไปยังท้องฟ้านั้นก็แว่วเสียงบางอย่างคล้ายเสียงของทารกดังเข้ามา จึงรีบเดินกลับไปยังหน้าประตูห้องผ่าตัดดังเก่า ไม่นานนักบุรุษในชุดสีเขียวก็เปิดประตูออกมา

    "ยินดีด้วยนะครับ เป็นเด็กผู้หญิง แข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกอย่าง"

                แค่ประโยคสั้นๆนั้นก็พาให้ความกระวนกระวายในจิตใจของคนที่รอหายเป็นปลิดทิ้ง ความปีติยินดีเอ่อล้นเข้ามาแทนที่ ใจก็นึกไปถึงดวงจันทร์ทอแสงสกาวที่เห็นเมื่อครู่นี้

                พ่อรู้แล้วว่าจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดี...

                ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลนั้นมีดอกไม้และของเยี่ยมตั้งเรียงรายอยู่ทั่ว บนเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้องมีหญิงสาวครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ มือสองข้างโอบกอดทารกไว้อย่างทะนุถนอม โดยมีผู้เป็นสามียืนมองอยู่ด้วยไม่ห่าง

                ทารกน้อยในอ้อมแขนของมารดาหน้าตาน่าเอ็นดู เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนที่ได้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มาเยี่ยมหรือพวกนางพยาบาลทั้งหลาย ที่เมื่อถึงเวลาเข้าเวรก็มักจะหาเวลาว่างแวะมาเยี่ยมเยือนเด็กน้อยอยู่เสมอ

                "ผมคิดชื่อลูกได้แล้วล่ะ"

                "หรือคะ...ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ไม่เห็นเคยบอกฉันบ้างเลยว่าคุณคิดชื่อไว้แล้ว"

                "ผมก็เพิ่งคิดได้ตอนรออยู่หน้าห้องผ่าตัดนั่นแหละ คืนนั้นท้องฟ้ามืดมาก แม้แต่ดาวก็ไม่มี แต่แล้วอยู่ๆพระจันทร์ก็ค่อยๆพ้นออกมาจากเมฆ ดวงกลมใหญ่อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แล้วก็ส่องแสงให้ท้องฟ้าสว่างขึ้นมาทันใด น่าแปลก...เกือบจะเป็นจังหวะเดียวกันนั้นผมก็แว่วๆเสียงเด็กร้อง อีกไม่นานนักหมอก็เดินออกมาบอกว่าผมได้ลูกสาวนี่แหละ" ผู้พูดเล่าด้วยน้ำเสียงปลื้มปิติ พร้อมจ้องมองทารกตัวจ้อยอย่างรักใคร่

                "แล้วคุณคิดชื่ออะไรไว้ล่ะคะ"

                "ดมิศรา แปลว่า พระจันทร์...ผู้เป็นใหญ่เหนือความมืด"

                "อ้าว...ออกวันนี้แล้วหรือคะ" พยาบาลสาวที่นั่งอยู่ที่ในเคาน์เตอร์ทักขึ้นเมื่อเห็นสองสามีภรรยาอุ้มเด็กน้อยเดินผ่านหน้าที่เคาน์เตอร์ไป

                "ค่ะ กลับบ้านได้แล้วค่ะ"

                ได้ยินดังนั้นพยาบาลสาวจึงเดินออกมาหาทารกที่กำลังลืมตาใสแป๋ว ยื่นมือมาสัมผัสแก้มเป็นพวงนั่นเบาๆ "โถ...ต่อไปนี้ก็คงไม่ได้เจอกันแล้วสินะ โตไวๆ เลี้ยงง่ายๆ เป็นเด็กดีนะจ๊ะ"

                "คุณห้อง 518 ใช่มั้ยคะ!" เสียงตะโกนขึ้นขึ้น คนทั้งหมดจึงหันไปมองต้นเสียง พนักงานทำความสะอาดคนหนึ่งกำลังเดินแกมวิ่งตรงมาหาอย่างรีบร้อน

                "ใช่ค่ะ"

                "คุณลืมของไว้น่ะค่ะ"

    สองสามีภรรยาหันไปมองสบตากันอย่างแปลกใจ เนื่องจากทั้งคู่สำรวจตรวจตราสิ่งของเรียบร้อยแล้วก่อนออกจากห้อง และแน่ใจว่าไม่ได้ทิ้งสิ่งใดตกค้างไว้อีก

    "ลืมอะไรไว้หรือครับ"

    พนักงานทำความสะอาดสูงวัยแบมือข้างหนึ่งออกให้ดู ข้างในนั้นเป็นแหวนวงหนึ่ง ตัวเรือนทำด้วยวัสดุคล้ายโลหะเป็นสีดำมันวาวพันเกี่ยวกัน หัวแหวนประดับด้วยวัตถุรูปร่างกลมสีขาวขุ่น

    "ไม่ใช่ของเราหรอกค่ะ"

    "เอ...แต่ฉันเจอมันในห้องนั้นนะคะ"

    "ของคนเก่าที่เคยอยู่ลืมไว้หรือเปล่าครับ"

    "ไม่ใช่แน่นอนค่ะ เพราะทุกครั้งที่มีคนออกไปป้าก็จะตรวจดูห้องก่อนทำความสะอาดทุกครั้ง"

    "แน่ใจหรือเปล่าคะว่าไม่ได้จำผิดห้อง"

    "ไม่ผิดหรอกค่ะ ก็พอคุณออกไปจากห้องกัน ป้าก็เข้าไปทำความสะอาดเลยล่ะค่ะ"

    "อืม...แต่ดิฉันก็เคยเห็นวางอยู่ในห้องนะคะ ที่จำได้เพราะเห็นว่าเป็นแหวนที่แปลกดี" นางพยาบาลสาวกล่าวขึ้น

    "ของคนที่มาเยี่ยมหรือเปล่าคะ บางทีเขาอาจจะถอดออกวางทิ้งไว้ แล้วก็เลยลืมเอากลับ" พนักงานทำความสะอาดออกความเห็น

    "ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ"

    "เอาอย่างนี้แล้วกันนะครับ ถ้ายังไงผมจะเก็บแหวนวงนี้ไว้ก่อน แล้วลองไปถามคนที่มาเยี่ยมดูว่ามีใครลืมไว้รึเปล่า แต่ถ้าเกิดว่ามีคนมาถามหาแหวนวงนี้กับทางโรงพยาบาล ยังไงก็ช่วยแจ้งไปที่ผมด้วยนะครับ"

    "ได้ค่ะ" พยาบาลสาวตอบรับ

                ชายหนุ่มส่งนามบัตรให้กับนางพยาบาล ก่อนรับแหวนมาเก็บใส่กระเป๋าสตางค์เป็นอย่างดี สองสามีภรรยากล่าวลาบุคคลทั้งสองแล้วจึงออกจากโรงพยาบาลไป

                ทั้งคู่พยายามตามหาตัวเจ้าของแหวน...แต่ไม่ว่าจะสอบถามใครเกี่ยวกับแหวนวงนั้นก็ได้รับการปฏิเสธกลับมาทุกราย และทางโรงพยาบาลก็ไม่เคยติดต่อมาเลย

    สุดท้ายเรื่องราวของแหวนวงนี้ก็ค่อยถูกลืมเลือนไปทีละน้อย...

               

    ชุดโต๊ะม้าหินที่ตั้งเรียงรายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่มีนิสิตหลายกลุ่มนั่งคุยกันบ้าง นั่งทำงานกันบ้าง จนบริเวณหน้าตึกเรียนดูคับแคบไปถนัดใจ และเพราะจำนวนคนที่มีมากมายเช่นนี้ ทำให้นิสิตหญิงคนหนึ่งจึงต้องยืนสอดส่ายสายตาอยู่นานสองนานจึงมองหาคนที่ต้องการพบ

    "ทิว...อยู่นี่เอง นึกว่ากลับบ้านไปแล้วอีก"

    "ยังหรอกกะว่าจะทำงานให้เสร็จก่อนน่ะ" เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาจากงานที่ทำ และพบว่าเพื่อนสาวไม่ได้มาเพียงคนเดียว หากมีชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่ข้างๆด้วย

    "อ้าว...นตก็ยังไม่กลับเหรอ" ดมิศราถามชายหนุ่มที่มากับพนิตาเพื่อนสาวของตน

    "ยังหรอก นตก็กำลังทำงานอยู่เหมือนกัน" ตอบพลางก็จ้องหน้าหญิงสาวอย่างเผลอไผล

    เขาเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้พบกับหญิงสาวคนนี้ต้องชื่นชมในความสวยของเธอ...เหมือนอย่างที่เขาเป็น

    ดวงตากลมโตคู่นั้น...ที่เหมือนจะมีประกายเต้นระริกอยู่ตลอดเวลา จมูกโด่งรับกับใบหน้าเรียวอย่างเหมาะเจาะ อีกทั้งริมฝีปากได้รูปที่ประดับด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ ไม่เฉพาะแต่ในหน้าเท่านั้นที่ต้องตา หากทั้งทุกอย่างที่รวมเป็นเธอนั้นก็ดูจะมีเสน่ห์อย่างประหลาด และนับวันก็ดูจะมีเพิ่มมากขึ้นทุกที

    พนิตาเห็นชายหนุ่มที่มาด้วยจ้องเพื่อนของตัวตาไม่กระพริบอย่างนั้นจึงเอาศอกกระทุ้งสีข้างคนเหม่อไปหนึ่งที ทำเอาคนถูกศอกสะดุ้งไปเลยทีเดียว

    ทั้งสามคนนั่งทำงานอยู่ด้วยกันพักใหญ่ ดมิศราก็ขอตัวกลับก่อน เนื่องจากบ้านอยู่ค่อนข้างไกลจากมหาวิทยาลัย หลังจากที่เพื่อนสาวเดินออกไปจนลับสายตาแล้ว พนิตาก็ถามคนที่นั่งทำงานง่วนอยู่ทันที

    "ถ้าชอบเขา ทำไมไม่บอกเจ้าตัวเขาไปล่ะ"

    คำถามนั้นทำเอาคนที่นั่งทำงานอยู่เงยหน้าขึ้นมาทันควัน

    "ใครบอกกัน"

    "ไม่ต้องมีใครบอกหรอก ก็เล่นทำตาเชื่อมเวลามองเขาซะขนาดนั้น ใครเห็นเขาก็รู้"

    ชายหนุ่มถอนหายใจ แล้วก้มหน้าทำงานต่อ "ก็อยากจะบอกเหมือนกันแหละ"

    "ก็บอกไปสิ ทิวเองก็ดูจะให้ความสนิทสนมกับนตมากกว่าคนอื่นนะ"

    นตเงยหน้าขึ้นมามองพนิตาอีกครั้ง

    "ปลาไม่เคยสังเกตบ้างหรือ...ว่าผู้ชายทุกคนที่ตั้งท่าเข้ามาจีบทิว สุดท้ายก็ถอยไปทั้งนั้น"

    "อืม...มันก็จริง ฉันไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย" พนิตาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย "แปลกเนอะ แต่คงเป็นเพราะว่าทิวเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวล่ะมั้ง"

    "แต่เราว่าไม่ใช่หรอก"

    "ถ้างั้น...ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ"

    "ก็เพราะว่าคนพวกนั้นคงจะรู้สึกเหมือนกับที่เรารู้สึกนั่นแหละ"

    "รู้สึกอะไรเหรอ"

    "ก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างมากั้นกลางระหว่างเรากับเขาน่ะสิ ไม่ว่าจะทำยังไงเราก็เข้าถึงเขาไม่ได้เลย"

    ก่อนนอนคืนนั้นอยู่ๆดมิศราก็นึกอยากรื้อเอาของเก่าต่างๆที่เก็บไว้มาจัดเรียงใหม่ให้เรียบร้อย ของที่นำมาจัดใหม่นั้นเป็นของที่เก็บไว้ตั้งแต่สมัยเธอยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย บางอันเป็นตุ๊กตาตัวเก่าที่ขาดรุ่งริ่ง เห็นแล้วก็นึกยิ้มให้กับอดีตในวัยเยาว์ที่ผ่านเลยไป เธอจัดเรียงข้าวของไปเรื่อยๆจนเหลือชิ้นสุดท้าย กำลังจะเปิดดูของที่อยู่ข้างใน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

    "นอนรึยังจ๊ะ"

    "ยังค่ะ"

    "แม่เข้าไปได้ไหม"

    "เข้ามาเลยได้เลยค่ะ ยังไม่ได้ล็อคประตู"

    ดมิศราเปิดฝากล่องออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วยิ้มออกมาเมื่อเห็นของในนั้น

    "ทำอะไรอยู่ ดึกป่านนี้ยังไม่นอนอีก"

    "เห็นห้องมันเริ่มรกๆ ก็เลยจัดของใหม่น่ะค่ะ"

    "นั่นอะไรจ๊ะ" มารดาของเธอมองไปยังสิ่งที่เธอถือค้างอยู่

    "การ์ดอวยพรวันเกิดค่ะ"

    "มีเยอะเชียว...ของใครบ้างเนี่ย"

    "ก็ของเพื่อนๆให้มาค่ะ แล้วก็..." ดมิศราหยิบการ์ดที่มัดรวมเป็นปึกออกมาวางไว้ข้างกาย แล้วหยิบการ์ดที่เหลืออยู่ก้นกล่องออกมาดูทีละใบ "ของคนนี้น่ะค่ะ" เธอหยิบใบหนึ่งส่งให้มารดา

    "แปลกนะคะ ส่งมาให้ทุกปีเลย แต่ไม่เคยลงชื่อคนส่งสักใบ" เธอหยิบการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาพลิกดู ข้างนอกเป็นซองสีแดงที่ไม่ได้เขียนจ่าหน้าไว้ เธอเปิดออกแล้วหยิบกระดาษสีเดียวกับซองออกมา ในกระดาษนั้นมีข้อความสั้นๆ เขียนด้วยลายมือที่เธอคุ้นเคยมาตลอดสิบแปดปีเต็ม

    สุขสันต์วันเกิดอายุครบสิบปี

    ใบที่เธอหยิบได้เป็นใบที่ส่งมาเมื่อแปดปีที่แล้วนี่เอง

    ทุกปีเจ้าของการ์ดนิรนามคนนี้ก็จะส่งการ์ดสีเดียวกัน แบบเดียวกันนี้ทุกอย่างมาให้ จะเขียนข้อความต่างจากเดิมก็ตรงอายุของเธอที่เพิ่มขึ้นทุกปี

    "แม่คิดว่าใครเป็นคนส่งมาให้คะ"

    "แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...ตอนได้การ์ดใบนี้มาครั้งแรกเมื่อตอนหนูอายุหนึ่งขวบ แม่ยังแปลกใจเลย เขาไม่ได้เขียนอะไรไว้เลยอย่างนี้ แม่ก็เลยเดาๆไปว่าอาจจะเป็นพวกนางพยาบาล เพราะตอนที่หนูเพิ่งคลอดแล้วอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะ พวกเขาเอ็นดูหนูมากเลย"

    "เหรอคะ แล้วแม่ว่าปีนี้ทิวจะได้อีกมั้ยคะ"

    "เอ...แล้วหนูคิดว่ายังไงล่ะ"

    "อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะรู้แล้ว ทิวไม่เดาดีกว่า"

    ดมิศราหยิบการ์ดใบสุดท้ายขึ้นมา แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นของที่นอนนิ่งอยู่ที่ก้นกล่อง หญิงสาวหยิบของชิ้นนั้นขึ้นมาจ้องมองอย่างประหลาดใจ

    "แม่เอาแหวนมาใส่ในกล่องใบนี้รึเปล่าคะ"

               ลองอ่านดูนะคะ มีความเห็นยังไงกับเรื่องนี้ก็บอกกันบ้างนะคะ

               ลองอ่านดูนะคะ มีความเห็นยังไงกับเรื่องนี้ก็บอกกันบ้างนะคะ

               ลองอ่านดูนะคะ มีความเห็นยังไงกับเรื่องนี้ก็บอกกันบ้างนะคะ

               ลองอ่านดูนะคะ มีความเห็นยังไงกับเรื่องนี้ก็บอกกันบ้างนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×