ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisHan] Lucky

    ลำดับตอนที่ #9 : Lucky :: 009 :: เครื่องรางของผม

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 56


    (คิดซะว่าตอนที่แล้วเป็น 8.1 ตอนนี้เป็น 8.2 แล้วกันนะ มันต่อกันอ่ะ = =)

                    “เจ้าหนูนั่น.....” คุณลุงอินเดียแดงเจ้าของร้านกล่าวทักด้วยคิ้วขมวด ผมจึงก้มหัวให้เพื่อทักทายกวักมือเรียกอี้ฝานให้มาช่วยสปีคอีกแรง

                    “พวกเรามีปัญหานิดหน่อย...ความจริงเป็นปัญหาของหมอนี่มากกว่า” อี้ฝานพูดพลางชี้มาที่ผม ซึ่งเข้าใจได้เลยว่าคงกำลังพยายามอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ลุงอินเดียแดงฟังแน่นอน

                    “เรื่องโชคสินะ” ชายสูงวัยกล่าว ผมมองหน้าอี้ฝานกระตุกแขนเสื้อให้เขาบอกผมทุกอย่าง เพราะถึงผมจะพอฟังออกบ้างแต่ก็ไม่แน่ใจอะไรนักหรอก ถ้าได้คำแปลจากอี้ฝานอีกทีมันจะมั่นใจกว่า

                    “เขารู้ว่านายมีปัญหาเรื่องโชคนะลู่หาน นายรอนี่แล้วกันเดี๋ยวได้เรื่องยังไงฉันบอกทีเดียวเลย” เขากระซิบตอบผมและหันไปคุยกับทางเจ้าของร้านต่อ แต่ผมที่นิสัยอยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลือกเดินตามหลังเข้าไปเงียบ ๆ และรอฟังด้วยคนด้วยหัวใจที่เต้นรัวแรงกว่าปกติ เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ลุงคนนี้เป็นเหมือนเหม่ยเซียน เขารู้ว่าเรามีปัญหา บางทีอาจมีญาณพิเศษแบบที่เหม่ยเซียนมีก็ได้ ซึ่งอาจมีของที่ต้องการ ของที่ทำให้ชีวิตกลับมาปกติสุขเหมือนดังเดิม.....

                    คิดแล้วก็อดที่จะลอบมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของอู๋อี้ฝานไม่ได้ ในอกรู้สึกโหวงเหวงไปเหมือนกันถ้าหากได้ของช่วยเหลือมาไว้ในมือโดยไม่ต้องอยู่กับอี้ฝานอีก...ควรดีใจไม่ใช่หรือไงล่ะลู่หาน

                    “โชคที่หายไป มีเครื่องรางหรือวิธีไหนทำให้กลับคืนมาได้บ้างหรือเปล่าครับ?” ชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าผมเอ่ยถามแทนกัน ความจริงผมก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายหรือใจร้ายอะไร แค่บางทีกวนประสาทและขี้แกล้งไปหน่อยเท่านั้น เมื่อถึงเวลาจริงจังก็พร้อมจะช่วยเหลือกันตลอด เพราะอย่างนี้ผมถึงอยู่กับเขาได้โดยไม่มีปัญหา...

                    “ฉันไม่มีของแบบนั้นให้พวกเธอหรอกนะเสียใจด้วย หากถูกกำหนดแล้วก็ยากที่จะฝืน คนเรามักเห็นโชคดีคือเรื่องของความสุขสบายกายสุขสบายใจ เห็นโชคร้ายคือความล้มเหลวน่าหวาดกลัวและความทุกข์ทรมาน แต่บางครั้งโชคร้ายกับโชคดีมันก็คือสิ่งเดียวกันนั่นแหละ เข้าใจที่ฉันพูดมั้ยเจ้าหนุ่ม” เจ้าของร้านกล่าวด้วยยิ้มใจดีมองอี้ฝานที่ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งและเหล่มองผมที่คงความเอ๋อหลบอยู่ด้านหลังเพื่อนตัวสูงใหญ่ กระตุกแขนเขาให้แปลให้ฟัง อี้ฝานจึงโน้มตัวลงมากระซิบแปล

                    ผมไม่เข้าใจในประโยคความสุดท้าย อะไรคือโชคดีก็คือโชคร้าย อี้ฝานแปลให้กันผิดหรือเปล่า ทำไมมันฟังดูแปลก ๆ แค่คำว่าร้ายกับดีมันก็อยู่คนละขั้วคนละฝั่งแล้วไม่ใช่หรือไง จะกลายเป็นสิ่งเดียวกันได้ไง? แต่ถ้านับกันตามจริงประโยคคำตอบของคุณลุงจบลงตั้งแต่ “ฉันไม่มีของแบบนั้นให้” แล้วล่ะสำหรับผม อีกนัยหนึ่งคือ ผมแห้วคอตกไม่มีโชคกับเครื่องรางชนิดไหนและคงไม่มีของที่ว่านั่นตลอดไป หามาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำก็ยังไม่ได้มาสักที จนจะครบทุกเชื้อชาติที่มีตำนานอะไรพวกนี้หมดแล้วล่ะมั้ง คิดแล้วก็ให้รู้สึกหดหู่ในใจ แย่อย่างบอกไม่ถูกจนเก็บสีหน้าผิดหวังเอาไว้ไม่อยู่

                    “เรียกคนตัวเล็ก ๆ ตรงนั้นมานี่สิ”

                    “ลู่หาน เจ้าของร้านเรียกนายน่ะ” อี้ฝานหันมารั้งแขนผมให้ขึ้นมายืนข้างหน้าเขา

                    “......ว่ากันตามจริงตอนนี้เธออาจได้รับโชคที่ดีที่สุดในชีวิตไปแล้วก็ได้.....ขอแค่เก็บรักษาไว้ให้ดีเท่านั้นเพราะคงไม่หนีหายจากกันไปง่าย ๆ” ชายอินเดียแดงมองผมและพูดด้วยสำเนียงที่ฟังผ่อนคลายแม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ทำให้รู้ว่ากำลังถูกปลอบและมันก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง เขาหยิบขนนกเหยี่ยวในตู้โชว์ออกมายื่นแตะแถวหน้าผากกันและส่งมันให้ผมรับไว้ พลางมองจ้องเลยไปยังคนด้านหลังของผมด้วยรอยยิ้มที่ไม่อาจตีความได้ เมื่อผมหันไปเพื่อขอคำอธิบายเจ้าตัวก็ยกมือใหญ่ ๆ ตบลงบนหัวกันทีสองที โค้งลาเจ้าของออกมา

                    “...อี้ฝาน เมื่อกี้ลุงเขาพูดอะไรกับฉันงั้นเหรอ?”

                    “บอกว่านายเป็นคนที่โชคดีที่สุดคนหนึ่ง อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย ขนเหยี่ยวเป็นตัวแทนของกำลังใจและการต่อสู้ เขาคงอยากให้นายเก็บไว้ นี่...อยากได้เอาไปทำสร้อยหรือพวงกุญแจหรือเปล่า ร้านตรงหัวมุมนั่นมีรับทำเครื่องประดับถ้าจะเอาฉันทำให้”

                    “ไม่ชินกับการต้องมาถูกคนปากเสียอย่างนายใจดีใส่เลยแฮะ”

                    “ไม่ได้ใจดี ...แต่สมเพชจนไม่อยากซ้ำเติมมากกว่า” เขาตอบและดึงขนนกในมือไปสั่งร้านที่ว่าทำสร้อยให้ผมจริงอย่างที่เอ่ยบอกในทีแรก ดูเหมือนว่าเราอาจต้องมารับของในวันพรุ่งนี้ก่อนเดินทางกลับเกาหลี ซึ่งผมยังไงก็ได้เพราะตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะรื่นเริงเลยจริง ๆ

                    พระอาทิตย์เริ่มเลือนหายลับจากขอบฟ้า ความหนาวเย็นกำลังโรยตัวลงมา ทำให้ต้องกระชับเสื้อหนาวเข้าหาตัวให้อุ่นอีกหน่อย อี้ฝานพาผมไปดูเสาโทเท็มของอินเดียแดงที่สแตนลี่ปาร์คและลัดเลาะมายังสะพานไม้เก่าแก่ที่ขึ้นชื่ออายุกว่าร้อยปีแถวใกล้ ๆ เขาบอกว่าในช่วงเทศกาลบริเวณโดยรอบและตัวสะพานจะประดับประดาด้วยไฟสีสันต่าง ๆ มากมาย เพราะฉะนั้นมาในตอนกลางคืนจะดีกว่า ผมไม่คัดค้านอะไรอยากพาไปไหนผมก็ไปทั้งนั้น หรือต่อให้ค้านก็คงไม่ได้อยู่แล้วในเมื่อเขาไปไหนผมก็ต้องไปที่นั่นนี่นา

                    ความสวยงามของไฟระยิบระยับมากมายในสวนสวยทำให้ผมอ้าปากร้องว้าวไปตลอดทั้งเส้นทางจนลืมความโชคร้ายของตัวเองไปชั่วขณะ มันสวยมากจริง ๆ ยิ่งมีปุยหิมะจับโปรยประปรายบนผืนหญ้าและกิ่งก้านไม้ใหญ่ก็ยิ่งดูน่าหลงใหล ไม่แปลกใจเลยที่แวนคูเวอร์จะเป็นเมืองน่าอยู่อันดับต้น ๆ ของโลก แต่แล้วความตื่นตาตื่นใจของผมก็มีอันต้องสิ้นสุดเมื่อเดินมาถึงปลายด้านหนึ่งของสะพานไม้ที่อี้ฝานพามา ....มันเป็นสะพานแขวนที่ทอดยาวจากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่งเหมือนเช่นสะพานทั่วไป ผิดตรงที่......สะพานแห่งนี้เป็นสะพานที่ทอดข้ามเหวลึกที่ลึกสุดลูกหูลูกตา มันไม่เหมาะกับโรคกลัวความสูงของผมเป็นอย่างยิ่ง ไฟประดับบนตัวสะพานสวยงามราวภาพฝัน แต่เหวลึกเบื้องล่างที่ยามลมพัดวูบผ่าน สะพานก็ไหวเอนน่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้ายเสียอีก อือ อู๋อี้ฝานไม่รู้หรอกว่าผมเป็นโรคกลัวความสูง ตอนขึ้นเครื่องบินมาแวนคูเวอร์ ผมดีใจแทบแย่ที่เขาแย่งนั่งฝั่งริมหน้าต่าง เกือบไชโยโห่ร้องขึ้นมาแล้วด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายคล้ายว่าจะหนีไม่พ้นกันจริง ๆ

                    “มาสิ ถ้าได้เดินไปกลางสะพาน มันเป็นอะไรที่สวยมากนะ นายไม่มีวันลืมแน่ อย่ามัวยืนอยู่มาเร็วเข้า” เจ้าเพื่อนร่างยักษ์กวักมือเรียกกันยิกเมื่อเห็นผมหยุดยืนอยู่แค่ตรงริมหัวสะพานไม่ยอมเคลื่อนกายไปไหน ได้แต่ถ่ายรูปทำทีชมวิวทิวทัศน์มองดูคนอื่นเดินกลับและผ่านไป

                    “เป็นอะไรกลัวหรือไง ปกติไม่เห็นเคยกลัวอะไรเลยนะนายน่ะกวางบ้า แค่นี้เองสะพานนี่ฉันเดินเล่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ มันไม่พังง่าย ๆ หรอก” ว่าพลางเดินมาดึงแขนผมอีก ผมก็ขืนตัวไว้ไม่ยอมก้าวไปกับเขาจนทำเขามุ่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

                    “เมื่อกี้ยังบอกว่าน่าสนใจอยู่แท้ ๆ เป็นอะไรของนาย?”

                    “เห็นแค่นี้ก็พอแล้วกลับเฮ้ออออ ไหนบ่นว่าหนาวไง กลับบ้านกันดีกว่า คุณน้าคงรอแล้วแหง”

                    “.......อย่าบอกนะว่ากลัวความสูง?”

                    “.............นิดนึง.....”

                    “....ฮะ ๆ นายรู้จักกลัวเป็นกับเขาด้วยเหรอเนี่ยให้ตายสิ ฮะ ๆ กลัวจริงจังขนาดไหนน่ะลู่หาน?”

                    “..........” ผมไม่ตอบ หันหลังเตรียมลากลับจากตรงนั้นไปทันที แต่ก็ถูกวงแขนกว้างกอดรัดหมับยกตัวทั้งตัวลอยขึ้นจากพื้นพาเดินไปบนสะพานเฉย ผมร้องโวยวายลั่นให้มันปล่อย มันก็หัวเราะแล้วบอกให้หลับตา ดิ้นมากมันจะทำผมหลุดมือแล้วอาจพลาดตกไปได้ เลยต้องจนใจตัวแข็งหลับตาปี๋นิ่งเสียยิ่งกว่าเสาโทเท็มที่ไปดูมาก่อนหน้านี้ คือกลัวความสูงจริงแต่ไม่ถึงกับช็อคตายถ้าต้องอยู่บนที่สูง เพียงแต่ไม่ชอบเพราะหวิวมวนท้องพาลจะเป็นลมเท่านั้น ถ้าเลือกได้ก็จะไม่อยู่นาน ๆ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าผมจะตายคาสะพาน ที่สำคัญ....

                    “นายอยู่กับฉัน ไม่มีอะไรให้กลัวหรอก” อี้ฝานหัวเราะพลางกระซิบบอกกัน จนทำให้จินตนาการเรื่องเหวลึกหายไปจากสมอง ได้ยินเพียงคำกระซิบบอกริมหูวนซ้ำเป็นลูปจนแก้มระเรื่ออุ่นขึ้นมา กะแค่คำไม่กี่คำอาการตื่นกลัวของผมก็ทุเลาลงไปได้ นี่คงเพราะเขาเป็นตัวนำโชคสำหรับผมสินะ

                    “ลืมตาสิ สวยออก” เขาวางผมลงยืนบนพื้นสะพานไม้ที่โยกไหวเอนดังเอี๊ยดอ๊าด ผมค่อย ๆ ลืมตาและพบตัวอยู่บนสะพานที่ลอยเหนืออากาศท่ามกลางหุบเหวที่มืดทมิฬมองอะไรไม่เห็นด้านล่าง แข้งขาพาลอ่อนยวบเข่าทรุดฮวบลงนั่งพื้นเกาะขาอี้ฝานแน่นอย่างไม่สนใจว่ามันจะดูงี่เง่าแค่ไหน เชี่ย.....น่ากลัวเถอะ อารมณ์ตอนนี้ไม่อยู่ในโหมดชมวิวทิวทัศน์แม้แต่น้อย

                    แชะ ๆ ๆ

                    “ถ่ายอะไรของนายวะ เอาฉันออกไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้นะอี้ฝาน~~~” ผมโวยไปกอดขายาว ๆ ของเขาไป ในขณะที่มันคว้ามือถือมากดถ่ายรูปผมที่หน้าตาเหยเกเกาะขาเขาแน่นอย่างอารมณ์ดีหัวเราะรื่นเริงเป็นที่สุด

                    อย่าให้ออกจากสะพานไปได้นะ แกตายแน่!

                    “ฮะ ๆ หน้านายตลกเป็นบ้า เดี๋ยวฉันเอารูปที่ถ่ายไปปริ้นท์ขยายใหญ่ให้นายเป็นที่ระลึกว่าได้มาแวนคูเวอร์ครั้งหนึ่งในชีวิตดีกว่า ฮ่า ๆ” ยังคงหัวเราะและถ่ายรูปกันต่อไปอย่างน่าฆ่าให้ตายนัก ทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับหมอนี่วะถึงได้ต้องถูกมันแกล้งอยู่เรื่อย ไม่เคยได้อยู่ดี ๆ กันสักครั้ง มันเหมือนเพื่อนคนอื่นบ้างมั้ยเนี่ยให้ตายเหอะ!

                    “อู๋อี้ฝาน อย่าให้ฉันหลุดจากตรงนี้ไปได้นะ ฉันจะฆ่านายยยย” ผมบ่นโวยวายใส่อีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาลงนั่งยอง ๆ จ้องหน้าผมด้วยยิ้มละไม ยกมือแปะที่หัวกันไว้อย่างเงียบเชียบ แสงไฟดวงเล็ก ๆ จากไฟประดับสะพานกำลังพราวพร่างสะท้อนในแววตาของอี้ฝาน มันดูสวยระยิบระยับราวกับดวงดาวมากมายบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

                    “จำความรู้สึกของนายตอนนี้ไว้นะ เพราะต่อให้นายคิดว่าอยู่ในที่ ๆ อันตรายมากแค่ไหน แต่ถ้ามีฉันอยู่ด้วย นายจะไม่เป็นอะไรหรอก ลู่หาน” แล้วเขาก็ลุกยืน มือหนึ่งล้วงเข้ากระเป๋าเสื้อโค้ทของตัวอีกมือยื่นมาตรงหน้าผม ผมมองมือใหญ่ที่ซีดขาวจากอากาศหนาว มองดูไอควันลมหายใจสีขาวที่พวยออกมาจากปากของเขาปะทะเข้ากับความเย็นจัดภายนอก เมื่อเอื้อมจับ...มือนั้นก็กำรวบมือผมไว้และดึงให้ลุกขึ้นยืนจับจูงเดินกลับลงจากสะพาน

                    ครั้งแรกผมมายังสะพานได้ด้วยเพราะถูกอุ้มมา แต่ในคราวนี้ ผมสามารถเดินกลับลงจากสะพานไปได้ด้วยขาทั้งสองข้างของผมเอง ผมไม่สนใจมองรอบด้านหรือปลายเท้า  มองจ้องเพียงแค่แผ่นหลังของชายตรงหน้าและมือที่จับจูงพาผมก้าวเดินลงจากสะพานไปอย่างช้า ๆ ด้วยกัน  

     

                    ระหว่างที่ปั่นจักรยานกลับบ้าน ผมเห็นชายหาดอยู่ไม่ไกลนัก อี้ฝานบอกมันคืออิงสิชเบย์ แต่เป็นสถานที่ชมวิวริมทะเลในหน้าร้อนจะเหมาะกว่า เพราะงั้นช่วงหน้าหนาวแบบนี้จึงไม่ค่อยมีใครเข้ามาเยี่ยมชมเท่าไร ผมทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็น เพราะหากพรุ่งนี้ที่ต้องกลับคงไม่มีโอกาสได้มาแน่ อู๋อี้ฝานเลยถอนใจบ่นพึมพำด่าผมเป็นตัวยุ่งแล้วขี่นำไปอย่างเสียไม่ได้ ว่าก็ว่านะ วันนี้หมอนี่ทำตัวน่ารักมาก ตามใจกันทุกอย่าง .....ยกเว้นเรื่องที่บังคับกันขึ้นสะพานเท่านั้นล่ะที่ขอจำไม่ลืม

                    เรายืนมองท้องทะเลในยามราตรีเช่นนี้และลงเดินเลียบชายหาดไปเรื่อย ๆ ในความเงียบเชียบเคล้าเสียงเกลียวคลื่น ที่นี่เวลานี้เงียบสงบอย่างที่อี้ฝานบอกจริง ๆ นั่นล่ะ ไม่ค่อยมีใครมาเดินเล่นชายหาดหน้าหนาวและกลางค่ำกลางคืนแบบนี้สักเท่าไร หมอนั่นเลยบอกผมว่า มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่คิดได้ น่ากระโดดถีบขาคู่จริง ๆ

                    “หนาว~~” อี้ฝานบ่นหนาว ๆ ตลอดทางเพราะอากาศเย็นจัดและลมทะเลยามค่ำคืน

                    “นายนี่ทำตัวเป็นสัตว์เขตร้อนไปได้บ่นหนาวอยู่เรื่อย”

                    “ให้เวลาอีกสองนาทีถ้าไม่กลับฉันจะเดินกลับคนเดียว”

                    “เผด็จการ! ใจดีแล้วก็ใจดีให้ตลอดจนหมดวันสิ! แบบนี้มันแย่มากไม่ใช่รึไง”

                    “บอก-ว่า-ไม่-ได้-ใจ-ดี” อี้ฝานกอดอกตัวเองใช้มือถูแขนเสื้อไปมา พูดเน้นคำใส่ผม

                    “จริงสิ แม่นายน่ะ ต้องคิดว่านายกับฉันเป็นอะไรกันอยู่แน่ ๆ นายเห็นสายตาแม่นายหรือเปล่า นี่ต้องอธิบายให้แม่รู้นะไม่งั้นเสียกันไปหมดแน่” เมื่อเริ่มคิดถึงห้องนอน คิดถึงบ้าน ตอนที่อี้ฝานบอกจะกลับ เลยทำให้นึกถึงแม่ของเขาขึ้นมาในทันใด ว่าจะคุยเรื่องนี้ตั้งแต่กลางวันที่ออกกันมาจากบ้านแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที ไหนยังเรื่องคืนนั้นที่เผลอกินยาจากกระเป๋าของจงแดไปอีก ยังไง ๆ วันนี้ก็ต้องถามมันให้รู้เรื่องให้ได้ ว่าสุดท้ายมันไปจบที่เตียงได้ยังไง...และจูบนั่น.....ไม่ ๆ นั่นแค่แรงหงุดหงิดโมโหของคนที่อยากนอนแล้วไม่ได้นอนเท่านั้นเขาไม่คิดว่ามันเป็นจูบหรอก ไม่คิด...จะไม่คิด

                    “แม่ไม่คิดอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว เขาแค่สงสัยว่าทำไมนายถึงต้องตามไม่ห่างเท่านั้น แต่ถ้าหากจะคิดจริงเขาก็ไม่ว่าหรอก แม่น่ะใจกว้างพอที่จะรับเรื่องพวกนี้ถึงอาจจะใช้ระยะเวลาสักหน่อยก็ตาม แค่ไม่ทำตัวเหลวไหล ดูแลตัวเองได้ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเขาก็ไม่ว่าอะไรแล้วล่ะ”

                    “รู้ได้ไงว่าแม่รับได้ นายบอกไปหรือไงว่าตัวชอบผู้ชายน่ะ”

                    “ไม่ได้บอก แต่แม่เป็นคนแบบนั้นจริง ๆ เลิกสนใจเรื่องครอบครัวฉันได้แล้ว ไปกลับ ฉันอยากแช่น้ำอุ่น ๆ นอนในห้องนอนอุ่น ๆ สบาย ๆ แล้วกวางบ้า” เขาตัดบทผม ทำท่าจะเดินหนีกลับอย่างที่พูดจริง ๆ

                    “นายว่า...ฉันจะต้องโชคร้ายแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรือเปล่าน่ะ อู๋อี้ฝาน...” ผมมองทะเลที่เงียบเหงาและดำมืดจนรู้สึกเหมือนกับชีวิตตัวเองในตอนนี้ก็ไม่ปาน มันดูเคว้งคว้างว่างเปล่าและอ้างว้างเหลือเกิน คลื่นที่ซัดเข้ามาจะถี่แรงหรือลูกใหญ่แค่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้ ได้แต่รอรับ รอและรอ รอเพียงอย่างเดียวไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ชะตาตัวเองได้ด้วยตัวเอง ต้องทนกับตัวเองที่เป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน หากถ้าคิดถึงหลักความจริง ผมไม่อาจพึ่งพาอี้ฝานอยู่ได้ตลอดไป เวลานี้ที่เรียนอยู่ที่เดียวกัน นอนห้องเดียวกัน แต่เมื่อเรียนจบ ทำงาน ถึงตอนนั้นก็มีอันต้องแยกจาก แล้วชีวิตจะเป็นยังไง แค่ห่างกันชีวิตผมก็ไม่ปลอดภัยแล้ว แต่จะเอาแต่พึ่งเขามันก็ไม่ได้ เครื่องรางอะไรสักอย่างก็ยังหามันไม่เจอ..... พอได้เห็นอี้ฝานมีความสุขกับแม่ของเขา ก็ให้อดนึกถึงตัวเองไม่ได้....คิดถึงแม่ขึ้นมาเหมือนกันแฮะ เวลาแบบนี้ผมเองก็อยากกลับไปหาครอบครัวเหมือนกันนะ

                    ผมไม่อยากอยู่ตัวคนเดียวเลย...ไม่อยาก....

                    เป็นอีกครั้งที่ความอบอุ่นจากวงแขนแกร่งของร่างสูงใหญ่เข้ามาโอบกอดกันจากทางด้านหลัง แต่ครั้งนี้ตัวผมไม่ได้ลอยขึ้นจากพื้นและถูกพาลากเดินไปทิ้งไว้กลางทะเล อย่างที่เขาชอบหาเรื่องแกล้ง เขายังคงกอดผมไม่พูดไม่จาและผมก็เพิ่งรับรู้ว่าเพราะอะไรและทำไม....เมื่อรู้สึกถึงน้ำอุ่น ๆ หยดไหลจากดวงตาตนเองกลิ้งบนปรางแก้มทั้งสองข้าง มันคงหยดลงมาตั้งแต่ก่อนที่อี้ฝานจะเข้ามากอดกันจากทางด้านหลังแล้ว และเพราะเหตุนี้เขาถึงเดินกลับมาหากัน...

                    “หนาวชะมัด ถ้าไม่มีหมีอุ่นให้กอดต้องแข็งตายแน่นอน”

                    นานพอตัวกว่าอี้ฝานจะพูดกับผม มันเหมือนเขาพูดบ่นและใช้ผมเป็นเพียงเครื่องกอดคลายหนาวของเขาเท่านั้น แต่ผมกลับหัวเราะลงคอเพราะรู้ดีในความปากแข็งแต่ใจดีของหมอนี่....อืม ผมเริ่มชินกับพฤติกรรมแปลกๆ ของเขาแล้วล่ะ เพราะบางครั้งมันก็น่ารักและเข้าใจง่ายมาก เช่นตอนนี้ที่เขาพยายามจะบอกว่าผมมีค่าสำหรับเขาไม่ใช่ตัวไร้ประโยชน์ที่น่ารำคาญแม้แต่น้อย... คิดเองเออเองเหรอ? เออคงงั้นล่ะ แต่ผมรู้สึกนี่ว่าตอนนี้เจ้าคนปากแข็งมันอยากพูดแบบนี้กับผมจริง ๆ

                    “ฉันนี่น่าอิจฉาจริง ๆ แฮะ” ผมพูดขึ้นขณะที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของอู๋อี้ฝาน

                    “หือ?”

                    “คิดดูสิ นายบอกว่านายติดอันดับหนุ่มน่ากอดที่สุดของแวนคูเวอร์ใช่มั้ยล่ะ แต่ฉันเป็นถึงคนที่หนุ่มน่ากอดต้องการกอดมากที่สุด แปลว่าฉันฮอตซะยิ่งกว่านายอีกนะ อันดับสูงกว่าเห็น ๆ สาว ๆ ในเมืองมาเจอเข้าคงอิจฉามากแน่ ๆ ฮะ ๆ” ผมหัวเราะร่วนลงคอระหว่างพูด เลยโดนผลักหัวแรง ๆ ไปซะหนึ่งครั้งถ้วนจากมือใหญ่ ๆ ของอี้ฝาน

                    “จริงสิ นายยังไม่ได้บอกเลยนะว่าคืนนั้นที่ฉันเผลอกินยาเข้าไป....”

                    “ตีให้สลบแล้วแบกกลับบ้าน”

                    “อะไรนะ???” ผมขึ้นเสียงสูงผละออกจากที่เขากอดเพื่อหันมามองจ้องหน้า

                    “ข้างนอกมันหนาวจะตาย ฉันไม่ชอบอยู่ข้างนอกนาน ๆ นายมันไม่ไปไงมาไงสักที พอเผลอเลยซัดที่ท้ายทอยไปทีให้สลบแล้วแบกขึ้นรถกลับบ้าน ส่วนเสื้อผ้า นายถอดของนายเองฉันไม่เกี่ยว” อี้ฝานตอบเสียงราบเรียบปกติเป็นที่สุดในการสารภาพว่าทำร้ายร่างกายผมไปจนสลบในคืนนั้น

                    “เดี๋ยวนะ? นี่นายทำร้ายร่างกายฉันอีกแล้วงั้นเหรอ!” ผมชี้หน้ามันอย่างฉุนเฉียว

                    “พูดแบบนี้คืออยากโดนมากกว่าตีให้สลบสินะ...แน่ล่ะ ก็ฉันเป็นหนุ่มน่ากอดที่สุดนี่ เสียดายล่ะสิที่ไม่โดนทำอะไรเลยน่ะ กวางบ้า” เขาหัวเราะร่วนลงคอทำให้ผมง้างขาเตรียมเตะแต่ก็ถูกมือยาว ๆ ยันหัวเอาไว้ก่อน เตะไม่ถึงขาสั้นไป โมโห ๆ โกรธ ๆ

                    “อู๋อี้ฝาน นายนี่มันนนน เอามือออกจากหัวฉันเดี๋ยวนี้นะว้อยยยยยย”

                    แล้วเราก็ทะเลาะกันอยู่อีกเป็นพักกว่าจะได้ปั่นกลับเข้าบ้าน แน่ล่ะว่าสุดท้ายพอกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าต่างคนก็ต่างคลานขึ้นเตียงหลับกันเป็นตายในสภาพเหนื่อยอ่อนไม่แพ้กัน โดยไม่ลืม....ที่จะกอดกันหลับไปในค่ำคืนอันหนาวเหน็บที่ห้องอันแสนอบอุ่นในแวนคูเวอร์ของอู๋อี้ฝาน

    ========= #ficluckyman =========


    ตอนหน้ากลับเกาหลีและใกล้จบแร้นนนน
    โปรดติดตามอ่านกันต่อไป อย่างต่อเนื่องนะจิ๊

    ขอบคุณที่แวะมาถามไถ่ และติดแทคกันในทวิท
    รวมถึงคอมเม้นท์ต่าง ๆ ด้วย เด้อค่ะเด้อ

    with love
    viruskei(เมย์)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×