ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisHan] Lucky

    ลำดับตอนที่ #8 : Lucky :: 008 :: แวนคูเวอร์

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 56


                    ผมว่านะ ผมอาจต้องมองอู๋อี้ฝานคนนี้เสียใหม่ซะแล้วล่ะ ...จะว่ายังไงดีล่ะ ...นอกจากที่ทุกคนบอกกันมาปากต่อปากว่าหมอนี่เป็นคนประหลาด และผมก็เห็นจริงตามนั้นเพราะตั้งแต่ที่อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาเนี่ย ไม่มีวันไหนเลยที่มันจะเหมือนคนปกติได้

                    และเออตอนนี้ผมก็ได้ประเด็นที่น่าสนใจมาอีกประเด็นหนึ่ง ผมว่านะ.....หมอนี่อาจเป็นลูกลับ ๆ ของนักการเมืองสักคน ไม่ก็อาจเป็นลูกติดของมาเฟียไหนสักตระกูลในกวางโจวแหง! เห็นอยู่อพาร์ทเม้นท์ห้องเช่าขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กในเกาหลีนี่ก็จริง ทั้งยังแต่งตัวหาแบรนด์เนมไม่มีสักชิ้น แต่พอบอกว่าจะไปแคนาดาเท่านั้นล่ะ ค่าตั๋วเครื่องค่าที่พัก ค่าอะไรจิปาถะทั้งหลายมันบอกเลยว่ามันจะออกให้ผมเองไม่ต้องห่วงเพราะนี่เป็นธุระส่วนตัวของมันที่จำเป็นต้องไปอย่างเร่งด่วน ทำเอาเหวอนึกว่าหูฝาดที่อี้ฝานใจโฉดคนนี้ยอมจ่ายเป็นจำนวนไม่น้อยให้ผมเปล่า ๆ โดยไม่ต้องใช้คืน ผมไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้วล่ะ ถึงทางบ้านจะไม่ได้ยากไร้อะไรแต่ลู่หานคนนี้ถ้าคิดจะจ่ายก็ย่อมได้เหมือนกัน...แค่ไม่อยากขอเงินจากที่บ้านเท่านั้น

                    ถ้าจะพูดกันตามหลักความจริง ธุระของเขาจำเป็นต้องไป ไม่ใส่ใจผมเลยก็ย่อมได้เพราะผมแค่กาฝากเกาะเป็นปลิงติดตัวเขาแบบที่เจ้าตัวเองก็บ่นรำคาญอยู่แทบทุกวัน แค่ถ้าไม่อยากตายเพราะดวงตกก็หาทางหาเงินมาซื้อตั๋วเพื่อตามไปด้วยเรื่องก็จบตัวใครตัวมัน แต่นี่ไม่มีพูดจาค่อนขอดกระแนะกระแหนแทงใจกันสักนิด ใจดีผิดหูผิดตาเหมือนผีเข้า แล้วก็เอาแต่โทรศัพท์พูดปะกิดทั้งวันทั้งคืน ติดต่อโน่นนี่ให้หมด บัตรเครดิตที่ไม่เคยเห็นถือถูกหยิบออกมาจากไหนสักแห่งมารูดปรื๊ดซื้อข้าวของเป็นพัลวัน  

                    วันเดินทาง...ซึ่งก็คือวันนี้นอกจากจะเซ็ทผมจัดทรงเสียดูดีเกินหน้าเกินตาแล้ว ยังหยิบเครื่องประดับ เสื้อผ้า เครื่องหนังที่ล้วนแล้วแต่ราคาแพงกระเป๋าพังออกมาใส่ได้หมดจรดจนถ้าหากคิดราคารวมกันทั้งตัวเนี่ย.....อาจซื้อบ้านได้ทั้งหลังด้วยซ้ำไป...อยู่ในตู้เขาตลอดแต่ไม่เคยหยิบเอามาใส่ ใส่แต่อะไรก็ไม่รู้มันเพราะอะไรกัน? ว่าแต่...ถ้าผมพูดอะไรผิดหูจนมันถึงขีดสุดทนไม่ไหว มันจะสั่งคนของพ่อมาจับผมโบกปูนถ่วงน้ำมั้ยวะ?

                    “นี่สรุปเราจะไปไหนกันเหรอ”

                    “แวนคูเวอร์”

                    “รู้แล้วเรื่องนั้นน่ะ แต่หมายถึงมาเพื่อ??”

                    “............”

                    “เฮ้ย จนเครื่องจะลงจอดในอีกไม่กี่นาทีนี่แล้วนะ นายยังไม่บอกฉันเลยว่านายรีบ ๆ ร้อน ๆ มาแวนคูเวอร์เพื่ออะไร อู๋อี้ฝาน”

                    “พอดีว่า.....”

                    “เอ่อ ขอโทษนะคะคุณคริส?...”

                    ริมฝีปากบางของเจ้าคนปากแข็งพูดน้อยกำลังจะเอื้อนเอ่ยบอกเหตุผลที่ผมอยากรู้มาตลอดตั้งแต่วันที่มันรับสายจนกระทั่งตอนนี้ที่เครื่องกำลังจะลงจอด แต่ก็กลับชะงักไปเพราะแอร์โฮสเตรสสาวสวยบนเครื่องผู้ซึ่งตั้งแต่พวกเราขึ้นมาเธอเอาแต่เดินวนไปวนมาลอบแอบมองเราอยู่หลายครั้งด้วยสีหน้าแปลก ๆ จนสังเกตได้ และดูเหมือนคงเพิ่งตัดสินใจได้เมื่อกี้ถึงตรงเข้ามาทักทายเรียกอู๋อี้ฝานว่าคริส???? อ้อ นอกจากแอร์ฯ คนนี้แล้วยังมีเด็กสาวตาน้ำข้าวอีกสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันกับผมคอยชะเง้อมองข้ามผมไปเพื่อสังเกตอู๋อี้ฝานผู้ซึ่งนั่งชิดติดริมหน้าต่างด้วยท่าทางแปลก ๆ เช่นกัน

                    “ใช่คริสจริง ๆ ด้วย ต้องขอโทษด้วยนะคะ หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป....ช่วยเซ็นบนกระดาษนี่ให้ได้มั้ยคะ” แอร์โฮสเตรสสาวพูดเป็นภาษาอังกฤษพร้อมยื่นกระดาษปากกาออกมาด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ เจ้าเพื่อนข้างผมหันมายิ้มให้เธออย่างที่ไม่เคยยิ้มให้ผมแบบนี้สักครั้งก่อนจรดปลายปากกาและสปีคอิงลิชรัวไปกับแอร์คนนั้นอย่างที่ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ รู้แต่หน้าตาสาวเจ้าดูดีใจอย่างเหลือล้นโค้งเดินจากไป ไม่นานเด็กสาวฝรั่งสองคนที่นั่งตรงข้ามนั่นก็ส่งสำเนียงเอ่ยทักก่อนยื่นกระดาษปากกาส่งให้ผมช่วยยื่นให้อี้ฝาน หมอนั่นก็เซ็นยุกยิก ๆ และยิ้มกลับ ก่อนจะหันหน้าปลีกวิเวกมองฟ้ามองหน้าต่างเครื่องต่อไป

                    “คริสงั้นเหรอ??? ขอคำอธิบาย ด่วน! ผมกระซิบพร้อมเขย่าแขนเร่งเร้าว่าอยากรู้และอยากได้คำตอบโดยเร็วที่สุดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่มันแค่หันมามองหน้า พูดสั้น ๆ ในลำคอ

                    “แม่ฉันเข้าโรงพยาบาล ถึงต้องบินมานี่”

                    “แม่นายอยู่นี่? หรือหมายถึงมาเที่ยวแล้วประสบอุบัติเหตุ?”

                    “อยู่นี่”

                    “ไหนนายบอกฉันว่าบ้านอยู่กวางโจว ไม่ใช่สิ ฉันถามนายเรื่องเมื่อครู่ต่างหากไม่ได้ถามเรื่องนี้สักหน่อย” ผมซักเขาต่อ

                    “นายถามบ้านเกิดไม่ได้ถามว่าปัจจุบันอยู่ไหน”

                    “ไอ้........” ไม่รู้จะด่ามันว่ายังไงดีจริง ๆ ไอ้คนแบบนี้เนี่ย

                    “แล้วทำไมแอร์กับฝรั่งสองคนนั้นถึงให้นายเซ็นลายเซ็นให้วะ นายเป็นดารา? ศิลปิน? หรืออะไรที่แวนคูเวอร์หรือไง นี่นายเป็นใครกันแน่เนี่ยอู๋อี้ฝาน ชีวิตฉันจะปลอดภัยจริงหรือเปล่า ถ้าอยู่กับนายน่ะห้ะ”

                    “ไม่รู้เหมือนกัน” เขาเลือกปฏิเสธมากกว่าจะตอบคำถามของผม หลังจากนั้นต่อให้พยายามถามเท่าไรมันก็ไม่ตอบอะไรอีกเลย ใส่แว่นดำแกล้งหลับเฉย จนเหนื่อยใจจะคาดคั้นเอาความต่อ

                    เมื่อเครื่องแลนด์ดิ้งลงจอดเป็นที่เรียบร้อย พวกก็คว้าแขนผมบอกว่าออกทางปกติไม่ได้ เดินนำลิ่วออกวีไอพีไป โดยมีรถสีดำมันปลาบติดฟิล์มกรองแสงหนาทึบจอดรออยู่แล้ว คนขับเมื่อเห็นเราจึงเดินลงมารับของไปใส่ท้ายรถอย่างนอบน้อม ชายวัยกลางคนชาวจีนอีกคนที่ถูกเรียกว่า “คุณพ่อบ้านหยาง” ยิ้มรับทักทายด้วยใบหน้าแสนจะใจดี

                    “กวางบ้า จะยืนเอ๋ออีกนานมั้ยขึ้นรถสิ” แล้วเสียงเรียกที่คุ้นเคยก็เสียดรูหูขึ้นมาเรียกสติสตังให้กลับเข้าตัว รถสปอร์ตสีดำยังจอดอยู่ คนขับรถที่ว่าส่งกุญแจรถให้อี้ฝาน แต่ไม่มีคุณพ่อบ้านหยางอย่างที่จินตนาการไว้เมื่อครู่.... สงสัยว่านี่คงเป็นรถเช่าที่อี้ฝานติดต่อให้เอามาให้ที่สนามบินล่ะมั้ง ที่แน่ ๆ ทางออกวีไอพีเมื่อครู่ไม่ใช่มโนจิตแต่อย่างใด เพราะผมถูกดึงให้เดินออกมาจากทางนั้นจริง ๆ

                    อี้ฝานยังคงสวมแว่นตาดำมาดขรึมประจำที่นั่งคนขับสตาร์ทเครื่องออกตัวในทันที เขาใส่บูธูธกดโทรหาใครสักคนกระทั่งฝั่งนั้นรับสาย

                    “ครับ ถึงแล้ว อืม คงไม่มีใครทันรู้ตัวว่าจะออกวีไอพี ขอบคุณครับที่ติดต่อไว้ให้ ...กำลังจะขับไปโรงพยาบาลแม่เป็นยังไงบ้าง......หือ? ตอนนี้อยู่บ้าน? หมายความว่าไง??? ฉันคิดว่าแม่ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวันเสียอีก .....อืม....ได้...ครับ ไว้เจอกันที่บ้าน”

                    ทำเอาผมที่เอ๋ออยู่แล้วเอ๋อหนักกว่าเก่า จากบทสนทนาเมื่อครู่..หากถ้าให้เดาดูเหมือนว่าอี้ฝานจะคุยกับคนที่มีอายุมากกว่า แต่สรรพนามที่ใช้ก็ฟังดูเหมือนหมอนี่จะมีอำนาจมากกว่า.... มาเฟียแน่ ๆ ไม่ก็ลูกลับ ๆ ของนักการเมือง ตายแน่ลู่หาน งานนี้ตายแน่ ๆ

                    “เอ่อ.....”

                    “คิดอะไรแปลก ๆ อยู่ล่ะสิกวางบ้า อย่าเดาส่งเดชเลย ไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดหรอก”

                    “แล้วนายมารู้ได้ไงว่าฉันกำลังคิดว่านายเป็นลูกมาเฟียตระกูลไหนสักตระกูลอยู่น่ะ! อ๊ะ!” คล้ายขุดหลุมฝังตัวเองไปหมาด ๆ พิกล หมอนั่นยกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ สีหน้าอ่านได้ว่า กะแล้วว่านายต้องคิดอะไรโง่ ๆ แบบนี้

                    “ดูหนังมากไปนะนายน่ะ” อี้ฝานหัวเราะลงคอขำในความคิดเกินล้านของผม

                    “หุบปากไปเลย! อ๊ะ! เฮ้ย ฉันว่าเมื่อกี้ฉันเหมือนเห็นรูปนายตรงบอร์ดหน้าตึกที่ผ่านมานะ???”

                    “..........” ผมมองวิวทิวทัศน์ที่แปลกตาต่างเมืองและสะดุดเข้ากับรูปโปสเตอร์โฆษณาแถวตึกที่อี้ฝานขับผ่านไปเมื่อครู่....หน้าคนในภาพมันเหมือนไอ้คนที่กำลังขับรถอยู่นี่ไม่ผิดเพี้ยน แต่พอหันถามเจ้าตัวก็เงียบไม่ตอบอะไร เลยคิดว่าตาฝาดไป และสักพักป้ายนั้นก็มีให้เห็นอีกแม้ไม่เด่นหรือใหญ่มากแต่มันทำให้ความสงสัยในสมองปะติดปะต่อเหตุการณ์ตั้งแต่สนามบินยันมาจนถึงตอนนี้

                    “นายอย่าบอกนะว่า....”

                    “งานพิเศษ.... แต่พักนี้ไม่ค่อยได้บินกลับมาเท่าไรเลยเลิก”

                    “นายแบบ??”

                    “ไม่เชิง”

                    “ไม่เชิงนี่คืออะไรวะ เห็นชัด ๆ ว่าใช่ ไม่ใช่รึไง หมายความว่าที่ออกวีไอพีคือมีคนมาดักรอเจอนาย?”

                    “ทำนองนั้น เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว ขับรถใช่สมาธิ” แล้วผมก็ถูกตัดบทไปเสียดื้อ ๆ ด้วยเพราะเขาไม่คิดจะบอกเล่าเท้าความประวัติความเป็นมาอะไรใด ๆ อีกต่อไป หากถ้าพิจารณาจากการแต่งตัว รูปร่างหน้าตาทั้งหลาย ทั้งไอ้ที่มีสาว ๆ มาตามขอลายเซ็นนั่น ดูท่าจะไม่ใช่งานพิเศษกระจิ๊บกระจ้อยมั้ยวะ ไหนยังหนีแฟนคลับที่มาดักรอเจอออกวีไอพีเนี่ย ชีวิตไอดอลมากอี้ฝาน แต่นายตอบประหนึ่งทำครั้งเดียวแล้วเลิกซะอย่างนั้น ถ้าไม่ดังคงไม่มีใครหน้าตาตื่นลุกลี้ลุกลนกันเวลาเจอตัวนายมั้ย?

                    ไม่นานเขาก็ขับมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่ดูไม่ได้ใหญ่โตหรือเล็กนัก แต่มันทั้งหรูหราและตกแต่งอย่างมีสไตล์จนมองเพียงแค่ปลายตาก็รู้ได้ทันทีว่าบ้านคนมีอันจะกิน....มาก แบบกอไก่หลายตัวแน่ ๆ เพียงแค่เทียบรถตรงหน้าบ้าน ประตูอัตโนมัติก็เปิดออกอย่างรู้ดีว่าใครคือผู้มาถึง หญิงวัยกลางคนรูปร่างสูงบางเดินออกมาทักทาย และเป็นอู๋อี้ฝานที่รีบลงจากรถโผเข้ากอดเธอคนนั้นเสียจนจมหายไปกับอกของเขา

                    “แม่! ไหนบอกว่าป่วยมากถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลไง ที่ผมเห็นนี่แม่ไม่ได้มีเค้าของคนป่วยเลยสักนิดนะ!” ชายหนุ่มมองสำรวจผู้เป็นแม่ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยคิ้วขมวดมุ่นจนกลางหว่างคิ้วย่นยู่ แต่ผู้เป็นแม่กลับยิ้มและกอดลูกชายอีกหน มองดูแล้วผมก็อดยิ้มตามไม่ได้

                    “ไม่หลอกแก แล้วแกจะกลับมาหาแม่ช่วงคริสต์มาสแบบนี้ได้เหรอ จะไปหาก็ไม่ให้ไป ก็ต้องทำแบบนี้ล่ะ เด็กโง่เอ๊ย”

                    “แล้วไปบังคับผู้จัดการเยี่ยนโกหกผมเป็นขบวนการอีก แม่นี่...ร้ายเป็นบ้า ผมเป็นห่วงกังวลแทบตาย ให้ตายเหอะ แม่นะแม่” อี้ฝานยิ้มละไม กอดแม่เหวี่ยงไปมาอย่างนึกสนุก ดูแล้วตอนแรกคงอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อยที่ถูกหลอก แต่ก็โกรธได้ไม่นาน ก็ดูหน้าสิออกจะโล่งใจมากนะที่ผู้เป็นแม่ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่กังวลมาตลอดตั้งแต่รับสายตอนอยู่เกาหลีด้วยกัน ดีแล้วที่เป็นแบบนี้ ดีแล้วจริง ๆ

                    “ฮะ ๆ ไม่ได้โกหกนี่แม่ป่วยจริง ๆ ป่วยทางใจที่ลูกชายคนเดียวไม่ยอมกลับหากันต่างหาก ว่าแต่...พาใครมาด้วยเนี่ย แฟนลูกเหรอ???? น่ารักดีนะ แต่อืมมแม่ว่า...นี่ผู้ชายไม่ใช่เหรอ ฝานฝาน?” ได้ยินคำจากคนเป็นแม่ของอี้ฝาน ทำเอาผมแทบล้มตึงลงไปกับพื้น

                    “เอ่อ....ลู่หานครับ เป็นเพื่อนของอี้ฝาน ไม่ได้เป็นแฟนครับ ...คือผมเปล่าชอบผู้ชาย คือ ๆ ๆ เขาบอกจะมาเยี่ยมคุณแม่ ผมเลยถือโอกาสตามมาเที่ยวด้วย...ค....ครับ!” ผมบอกอธิบายเป็นชุดเสร็จสรรพ และย้ำเรื่องความสัมพันธ์ของเราทั้งสองให้ชัดเจนหนักแน่น จนคุณน้าผู้หญิงเลิกคิ้วสูง ก่อนหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

                    “น้าล้อเล่นน่ะ จริงจังซะน่ารักเชียว ผู้จัดการเยี่ยนบอกมาแล้วล่ะว่าเพื่อนของฝานฝาน จะมาด้วยกันน่ะ มา ๆ เข้ามาข้างในกันก่อนมา” หลังจากปล่อยไก่ถูกผู้ใหญ่แกล้งแหย่เล่นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากันไป ผมก็ถูกเชิญให้เข้ามาภายในตัวบ้านที่แสนอบอุ่นและดูดีเสียจนตาค้าง ยังไง ๆ ผมก็ยังว่ามันต้องเป็นลูกลับ ๆ ของพวกผู้มีอิทธิพลแหง!

                    คุณแม่พาผมไปพักอีกห้องหนึ่งที่จัดเตรียมไว้ให้แต่เมื่อมองหน้ากับอี้ฝานแล้วหมอนั่นจึงได้เจรจาต่อรองกับแม่ว่าขอนอนห้องเดียวกัน เพราะผมเป็นคนขี้กลัว อยู่คนเดียวไม่ได้ชอบคิดไปเองว่าเห็นผีหรือเป็นโรคจิตอ่อน ๆ เป็นเหตุผลที่อยากจะโดดขึ้นคร่อมต่อยแม่งนัก แต่ก็ต้องจำยอม ดีกว่ามันให้เหตุผลว่า “ได้กันแล้ว” หรือ “คบกันอยู่” อะไรแบบนั้นถ้าแม่มันไม่ช็อค ผมนี่แหละจะช็อคก่อนคนแรก หลังจากนั้นผมจึงเดินตามสองแม่ลูกลงมาทานของว่างด้านล่าง ดูท่าทางแม่ก็คงอยากจะคุยกับลูกชายตามลำพัง ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงเลยค่อยๆ ก้าวถอยออกห่างทีละก้าวทำเป็นเดินเตร็ดเตร่ชมบ้านบริเวณไม่ไกลนัก รอจนเขาคุยกันเสร็จสรรพและอี้ฝานเรียกให้มานั่งด้วยกันถึงได้รีบลงนั่งแหมะด้านข้างอย่างว่าง่ายสงบเสงี่ยมที่สุดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต สาบานได้ว่าคุณแม่มองผมสลับกับอี้ฝานพลางอมยิ้มนิด ๆ อย่างไม่บอกความหมาย แต่ผมเดาออก! แม่ต้องคิดว่าพวกเรามีซัมติงอินเดอะแบมบูกันแหงๆ ผมถึงไม่ยอมห่างจากลูกชายแม่สักวินาทีเดียว นี่น่ะ นรกชัด ๆ แต่ถ้าบอกเหตุผลไก่กาอาราเล่ที่ว่า รวมกันผมอยู่แยกกันอยู่ผมตาย แม่เขาคงไม่มีทางเชื่อพวกเราแน่นอน เลยต้องก้มหน้ากรีดน้ำตาในใจทนถูกสายตาแบบนั้นของแม่อี้ฝานจ้องมองกันต่อไป

                    “ห้องนอนฉัน หยิบจับอะไรระวังด้วย แล้ววางเก็บให้เข้าที่เดิม อย่ารื้อเลอะล่ะ”

                    “สั่งเป็นเด็กไปได้ รู้หรอกน่ะ”

                    “เหรอ?” มันตอบกวนประสาท หลังจากขอปลีกตัวจากแม่ขึ้นมาเก็บของและพักผ่อนสักครู่หลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ผมมองไปโดยรอบห้องที่มีรูปอู๋อี้ฝานแขวนอยู่ข้างผนัง รวมถึงพลิกเปิดนิตยสารที่มีขายเฉพาะที่นี่เท่านั้นบนโต๊ะข้างโซฟา..... รูปถ่ายแบบของอี้ฝานมันไม่ได้เล็กน้อยอย่างที่เจ้าตัวบอกเลย ถึงผมจะไม่ใช่พวกช่างอ่านหนังสือประเภทนี้แต่ผมก็ไม่โง่ขนาดดูไม่รู้ว่าแฟชั่นเซ็ทแต่ละเซ็ทที่เขาถ่ายมันเป็นหน้าหลักๆ ของหนังสือด้วยกันทั้งสิ้น

                    “บอกว่าอย่าสนใจไง” คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำคว้าหนังสือในมือออกไปเก็บ

                    “นายเป็นนายแบบดังของที่นี่เหรอ?”

                    “เปล่า”

                    “ยังจะเปล่าอีก อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้แล้วก็เล่าเรื่องของนายมาให้ฉันฟังบ้างสิ นายไม่ได้มีแค่มินซอกคนเดียวสักหน่อย ฉันก็อยากรู้เรื่องของนายบ้างเหมือนกันนะ” เออก็อยากรู้แบบเพื่อนกันน่ะ คนเราอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือกันมาเป็นเดือน ๆ จะไม่ให้อยากรู้เรื่องของอีกฝ่ายได้ไงล่ะ ทั้งที่ผมเป็นคนเปิดเผย บอกมันทุกอย่างที่ตัวเองมีแต่มันกลับทำตัวลึกลับไม่ไว้ใจกันตลอด มันน่าน้อยใจใช่มั้ยล่ะ

                    “..............”

                    “เออ ๆ ฉันผิดเอง ไม่ยุ่งเรื่องของนายก็ได้” ผมพูดอย่างหงุดหงิดปัดรำคาญและเดินดิ่งไปคุ้ยสัมภาระตัวเองออกแขวน ถึงของจะน้อยเพราะมาเพียงสามวันแต่ก็ควรเอาออกมาจัดสักหน่อย แก้ว่าง....เพราะมันคงไม่คิดจะพากันไปเที่ยวไหนอยู่แล้วสันดาน.....เอ่อ นิสัยแบบมันน่ะ

                    “อยู่นี่ฉันชื่อคริส ฉันทำงานที่นี่จ๊อบพิเศษเวลากลับมาเยี่ยมบ้าน แต่ก่อนที่จะไปเกาหลี ก็ทำมาตลอดจนติดอันดับหนุ่มน่ากอดของนิตยสารที่นี่” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงเหมือนจะฟังอ้อมแอ้มไม่อยากพูดถึงหรืออายเขินมั้ง? อยากเอ่ยปากขัด แซวมันนะ แต่กลัวมันไม่เล่าต่อเลยนิ่งฟังกันต่อไป

                    “มีคนชอบ...อืม แฟนคลับน่ะ มีอยู่บ้างนิดหน่อย อย่างที่เห็นบนเครื่อง แต่พอไปเกาหลี เหมือนจะถูกนักข่าวตาม ฉันไม่ค่อยชอบเรื่องวุ่นวายเลยอาศัยสมัครชมรมห้องสมุดแล้วก็ประจำอยู่ห้องสมุดไปซะ จะได้ไม่ต้องเจอใครข้างนอก ที่สำคัญถ้าใครคิดจะตามมาวุ่นวาย ส่วนใหญ่คงไม่ใช่พวกที่จะชอบเข้าห้องสมุดใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นอยู่ห้องสมุดมันก็น่าจะหลบคนพวกนั้นได้ ยิ่งทำตัวเป็นอากาศธาตุได้มากเท่าไรชีวิตก็จะสงบสุขมากขึ้นเท่านั้น จบ” พอร่ายยาวมาได้แต่ต้นจนจบอี้ฝานก็มองหน้าผมซึ่งขณะนี้กำลังอ้าปากหวอเป็นรูปตัวโอ กะพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อหู จนมือใหญ่ใช้นิ้วยัดเข้ามาในปากและป้ายลิ้นกันนั่นแหละ ถึงได้รู้สึกตัวปัดออกร้องโวยวายด่ามันลั่น

                    “อี๋ เล่นสกปรกอีกแล้วไอ้ทุเรศ ๆๆๆ”

                    “แล้วชอบทำหน้าเอ๋อให้แกล้งทำไมกัน” อี้ฝานหัวเราะลงคอและไม่พูดอะไรอีก

                    “นี่ฉันมีเพื่อนเป็นเศรษฐี แถมยังเป็นนายแบบอีกเหรอเนี่ย เท่เป็นบ้า!

                    “ใครจะเหมือนฉันที่มีเพื่อนเป็นกวางบ้า.....”

                    “อู๋อี้ฝาน!!!” ผมแหวใส่และชกไหล่มันไปที แต่เจ้าตัวไม่ได้สะดุ้งสะเทือนอะไรหรอกหนังหนาจะตายชัก!

                    “พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวจะพาขี่จักรยานเล่น”

                    “จริงดิ!!! เอ่อ...แล้วแม่นาย....”

                    “บอกไปแล้วล่ะ เขาแค่อยากให้บินมากินข้าวด้วยกันวันคริสต์มาส อยากเห็นหน้ากันอะไรแค่นั้น ไม่ได้จริงจังขนาดอยากให้อยู่ด้วยทั้งวันหรอก” อืมมมนะ เข้าใจครับว่าบ้านนี้รวย ผมเข้าใจ

     

                    และวันถัดมา ปุยหิมะสีขาวก็กลับโปรยปรายลงมาเป็นละอองสายปกคลุมฉาบเมืองทั้งเมืองให้เป็นสีขาวโพลน ทับถมตามถนนหนทางบ้านเรือนและกิ่งไม้ใหญ่มองดูคล้ายจิตกรฝีมือดีรังสรรค์แต้มเติมลงไป ยังดีที่มันไม่มากนักและตกเพียงไม่นาน แต่ก็ทำให้อากาศภายนอกหนาวจัดขึ้นมากกว่าเมื่อวาน ยังผลให้อู๋อี้ฝานที่ไม่ชอบอากาศเย็นนักบ่นอุบอิบและขอเลื่อนเวลาการออกท่องเที่ยวไปอีกสักพักให้แสงแดดทิ้งตัวลงมามากกว่านี้ พวกเราจึงได้อยู่คุยเล่นกับแม่ของเขาทานมื้อเช้าด้วยกันไปเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบอะไร จนเมื่อเห็นเวลาเหมาะสมจึงเป็นแม่ของอี้ฝานนั่นล่ะที่เอ่ยปากไล่พวกเราออกจากบ้าน

                    เขาพาผมดูโน่นนี่ไปตลอดทางราวกับเป็นไกด์ทัวร์ ชวนกินขนม หรือร้านประจำที่เขาชอบมาบ่อย ๆ ยามเมื่ออาศัยอยู่ที่นี่ พาไปดูนาฬิกาไอน้ำย่านดาวน์ทาวน์และดูของที่ระลึกเผื่ออยากได้อะไรติดมือกลับไปบ้าน รวมถึงร้านอร่อย ๆ ข้างทางอีกมากมายที่เจ้าตัวพราวลี่พรีเซ้นท์กันเหลือเกิน เรียกว่ากินกันจนพุงกางเลยเชียวล่ะ

                    “จะพาฉันไปพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาด้วยหรือเปล่า”

                    “ไปทำไม ส่องกระจกดูตัวเอง ศึกษาตัวเองก็พอแล้วอย่างนายน่ะ”

                    “ไอ้......” แม้จะมีข้อดีที่พาเที่ยวแต่คงปฏิเสธไม่ได้กับปากเสีย ๆ ช่างค่อนขอดที่นาน ๆ หลุดมาสักครั้งของเจ้าหมอนี่ ผมเดินดูบ้านเมืองที่สวยงามน่าอยู่แห่งนี้ไปเรื่อย ๆ โดยทิ้งคำพูดกวนโมโหของไอ้บ้าข้างตัวไว้เบื้องหลัง เหลือบเห็นดรีมแคชเชอร์ สร้อยเขี้ยวหมูป่า หรือเล็บสิงโตแขวนประดับตามหน้าร้านรวงหลาย ๆ ร้าน แน่ล่ะเมืองนี้เคยเป็นเมืองของอินเดียแดงมาก่อนนี่นา ไม่น่าแปลกใจอะไรที่จะมีร้านขายของพื้นเมืองหรือเครื่องรางของขลังจากเผ่าอินเดียแดงอยู่บ้าง ....อินเดียแดงงั้นเหรอ.........................

                    “กวางบ้า? .....กวางบ้า” ราวกับหลุดไปสู่ภวังค์ความคิดและไม่รับรู้ถึงเสียงใด ๆ จากภายนอก ผมมองตรงไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยและคิดอะไร ๆ ต่าง ๆ ในหัวมากมาย กระทั่งที่ใบหน้าคมเข้มของอี้ฝานชะโงกมาหา กระตุกแขนเรียกสติให้กลับคืน

                    “โทษที ฉันกำลังคิดน่ะ ว่าบางทีฉันอาจเจอตัวช่วยอื่นนอกจากนาย จากพวกเครื่องรางของขลังพื้นเมืองพวกชนเผ่าอินเดียแดงอย่างนั้นก็ได้ ว่ากันว่าพวกยิปซี กับอินเดียแดงก็มีของอะไรแบบนี้ไม่ต่างกันใช่มั้ยล่ะ น่าลองดูเหมือนกันนะ ถ้าหาเจอนายจะได้ไม่ต้องทนรำคาญฉันแล้วไง อี้ฝาน” ผมกล่าวด้วยรอยยิ้มแหงนมองหมอนั่นที่เหมือนจะนิ่งไปเล็กน้อยก่อนสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ....คิดไปเองหรือเปล่า? ทำไมรู้สึกเหมือนหมอนี่ไม่ยินดีกับเรื่องที่เราคิดได้เลยวะ?

                    “นายพอจะรู้จักร้านค้าที่ขายของเกี่ยวกับอินเดียแดง หรือเป็นคนเผ่าแท้ๆ บ้างหรือเปล่าน่ะ อาจเป็น...หมอดู หรืออะไรงี้ก็ได้ พอจะรู้จักมั้ย??”

                    “......จะลองถามเพื่อนให้แล้วกัน ถ้าหาได้ก็ดี เบื่อที่ต้องตื่นมาเจอนายทุกเช้าเหมือนกัน” พูดจบมันก็ควักโทรศัพท์ออกมาลากหารายชื่อเพื่อนก่อนกดโทรไปทีละรายและสุดท้ายก็ได้ชื่อร้านขายของที่ระลึกมาร้านหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นอินเดียแดงแท้ตรงตามต้องการ

                    ยามเมื่อเดินเข้าร้านกลิ่นกำยานหรือเครื่องหอมอะไรสักอย่างก็ลอยปะทะเข้าที่หน้า เราทั้งสองลอบมองหน้ากันและย่างเท้าสำรวจร้านต่อไป ของทุกชิ้นแม้จะมีเช่นเดียวกันกับร้านขายของที่ระลึกอื่นๆ แต่ก็กลับคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์และวัฒนธรรม พลังธรรมชาติตามแบบฉบับเผ่าอินเดียแดงขนานแท้ ตัวอย่างเช่นดรีมแคชเชอร์ที่ร้านต่างๆ ทั่วไปมักทำขึ้นเพื่อความสวยงามและดึงดูดใจผู้เสาะแสวง แต่ร้านนี้กลับทำขึ้นจากเถาวัลย์หรือวงแหวนไม้สีเปลือยพันทาบด้วยเชือกปอธรรมชาติซึ่งถักทอจากการทำด้วยมือล้วน ขนนกเหยี่ยวปลายปีก หาใช่ขนนกจากส่วนอื่นที่ปกติร้านขายของที่ระลึกทั่วไปจะนิยมใช้เพียงขนจากส่วนไหนก็ได้

                    ในทุกรายละเอียดของวัสดุที่ใช้ และของที่ทำล้วนขึ้นตรงต่อความเชื่อตามแบบแผนครบถ้วนทุกประการ เป็นดรีมแคชเชอร์ หรือกับดักฝันของแท้และดั้งเดิมจนบางทีอาจประเมินราคาค่างวดของมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป

                    ผมเอื้อมมือแตะลูกปัดไม้สีเข้มตรงกลางกับดัก พร้อมเสียงกังสดาลไม้ไผ่กระทบกันตรงประตูหลังร้าน

                    “หาของที่ระลึกแบบไหนกันล่ะเจ้าหนุ่ม........” ชายผิวสีผมยาวถักเปียสองข้างอายุราวสี่สิบปีเศษเดินออกมาจากด้านหลังร้านด้วยรอยยิ้ม ดวงตารีเรียวมองอู๋อี้ฝานและก้มศีรษะลงนิด ก่อนหันมามองผมด้วยรอยยิ้มและเริ่มจ้องมองกันไม่วางตาแลดูน่ากลัว....มันคล้ายกับเขามองเห็นบางสิ่งในตัวผมบางสิ่งที่หากให้บอกกันตามสัญชาติญาณผมว่า เหม่ยเซียนกับคุณลุงอินเดียแดงคนนี้คงเป็นอะไรที่ไม่ต่างกัน

                    และบางทีผมอาจกำลังจะหลุดพ้นจากพันธะที่มีระหว่างตัวเองกับอู๋อี้ฝานก็คราวนี้.....


    ==== #ficluckyman =====
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×