ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มี Ebook [Yaoi] D.O.D (Deva or Devil)

    ลำดับตอนที่ #6 : การแข่งขันรอบแรก

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 57


    EP06  

                    “จะรอดมั้ยวะเนี่ย”

                    “ไม่รอดยังไงก็อย่าให้ถึงกับเป็นบ๊วยของการแข่งขันก็แล้วกัน สงสารคนในหอบ้าง”

                    นัทสึกิกำลังยืนเท้าเอวแหงนมองดูหลังคาโดมเรือนเพชร อืม ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่ากำลังยืนคุยกับหลังคามากกว่า เพราะพักหลังนี้เวลาเบื่อๆ เซ็งๆ ก็จะมาคุยกับต้นไม้มั่งหนามกระบองเพชรมั่ง แล้วแต่ว่าวันไหนเซ็งมากเซ็งน้อย เพราะเรื่องบางเรื่อง บางครั้งก็ไม่สามารถคุยกับคนอื่นได้ เลยขอมาลงที่ต้นไม้ หลังคา กระเบื้อง หิน ดิน ทราย แทน สบายใจที่สุดแล้ว วันนี้ก็เช่นกันแต่ก็ไม่วายเจอคนมาขัดคอเข้าจนได้

                    ซึทนะที่มักมาเรือนเพชรแห่งนี้เป็นประจำกะว่าวันนี้จะมาแต่เช้าเพื่อมาหาความสดสวยงดงามให้กับตัวเองเอาฤกษ์เอาชัยก่อนไปร่วมพิธีเปิดการแข่งขันประจำปีรอบแรกของสถาบัน แต่แค่โผล่ย่างเท้าเข้ามาก็เจอ “ไอ้ตัวซวย” ยืนบ่นเป็นคนบ้าอยู่คนเดียวซะก่อนแล้ว ทั้งที่ปกติจะไม่เห็นหน้ามันเวลาเช้าแบบนี้แท้ๆ แทนที่จะได้อารมณ์ดีกลับต้องมาอารมณ์เสียเพราะสิ่งไม่เจริญตาเสียนี่ น่ารำคาญชะมัด!

                    “ค้าบบบ ท่าน-ประ-ธาน ผมก็หวังไว้อย่างนั้นเหมือนกันล่ะครับ จะได้หลุดจากไอ้คำว่า “บ๊วย” นี่สักที พอใจยั้งค้าบบบบ” ชายหนุ่มลากเสียงค้าบยาวเหยียดอย่างจงใจก่อนหันไปนั่งยองและกระซิบคุยกับต้นแคตตัสต้นน้อยตรงหน้า

                    “ฤกษ์แม่มเชี่ยแต่ไก่โห่เลยตรู ถ้าผีสางนางไม้มีจริงช่วยบันดาลให้ไอ้คนด้านหลังนั่นมันหุบปากซะบ้างก็ดีนะ”

                    “นายว่าฉันปากมากหรือไง”

                    “เออ”

                    “นี่....!!!

                    “จะอยู่นี่ใช่มั้ย งั้นฉันไปก่อนล่ะ ต้องไปรายงานตัวที่จุดสตาร์ท ไว้จะมาเล่นด้วยวันหลัง วันนี้ไม่มีอารมณ์”

                    ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน พลางเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงและเดินผ่านประธานของสถาบันไปด้วยใบหน้าเรียบนิ่งสุดๆ ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์จะทะเลาะโต้เถียงกับใครแล้วจริงๆ นี่นา ปกติความซวยก็อยู่คู่ตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะซวยได้ถึงเพียงนี้ ตัวแทนตึกแทนหออะไรกันไม่ได้อยากเป็นซะหน่อย อยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากเป็นจุดสนใจของใครๆ สัญญากับพ่อไว้แล้วด้วยว่าจะไม่หาเรื่องใส่ตัว ดังนั้นก็เลยพยายามออกสื่อให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วผลสุดท้ายเป็นยังไง...ยิ่งหนีก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งแจ๊คพอตใหญ่สุดตกลงมากลางกบาลเลยคราวนี้ หวังว่าไอ้พวกโจทก์เก่าที่เคยวิ่งไล่กันมันจะจำหน้าไม่ได้นะ เรื่องมันก็นานแล้วตั้งแต่เปิดเทอม อย่าได้ซวยจำกันได้เลย ไม่อยากมีเรื่องว้อยยยย

                    “นัทสึกิ?”

                    ท่าทางที่นิ่งเฉยของนัทสึกิทำให้ซึทนะที่ยืนอยู่ตรงนั้นเอ่ยเรียกชื่ออริสำคัญออกไปอย่าง....ตั้งใจ ชายหนุ่มที่เดินผ่านไปแล้วหยุดฝีเท้าของตัวเองตามเสียงที่เรียก

                    “แคตตัสตรงนี้มันบอกว่าให้พยายามเข้าน่ะ”

                    สิ้นคำจากริมฝีปากบางสวย ชายหนุ่มก็หยักยิ้มจางๆ และเดินออกจากเรือนเพชรไปโดยที่ไม่พูดอะไร

                    “นี่เราพูดอะไรออกไปกันวะ...”

                    ซึทนะถอนหายใจใส่ตัวเองและยกมือขึ้นกุมหัวอย่างเซ็งใจ

     

                    “สวัสดีนักศึกษาทุกคนวันนี้ถือได้ว่าเป็นวันเปิดฤกษ์การแข่งขันกิจกรรมประจำปีของสถาบัน Somoney institute of Technology Tokyo ของพวกเรา ทางสถาบันหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นการแข่งขันที่โปร่งใส สามัคคีและมีน้ำใจนักกีฬา.......”

                    “มันจะสามัคคีกันได้จริงเหรอ ในเมื่อต้องแย่งชิงรางวัลกันเนี่ย”

                    ซาคิโตะกระซิบถาม

                    “เออนั่นสิ แล้วรางวัลปีนี้มันคืออะไรวะ”

                    “ฟังต่อไปเดี๋ยวเขาก็บอกเองแหละน่าพวกแก”

                    ชินยะที่เป็นพี่ใหญ่สุดในตอนนี้เอ่ยปรามรุ่นน้องที่ซุบซิบคุยกันเองในกลุ่มและสะกิดให้ดูนัทสึกิที่มาในชุดวอล์มของสถาบันเหมือนๆ กันกับคนอื่นๆ เพียงแต่....เจ้าตัวยืนกอดอกนิ่งและฟังประธานในพิธีกล่าวปราศรัยอย่างตั้งใจ ในขณะที่คนอื่นๆ บ้างก็วอล์มร่างกาย บ้างเดินเป็นหนูติดจั่น บ้างก็หันรีหันขวางชะเง้อคอดูสนามแข่งว่าจัดเตรียมอะไรไว้บ้าง สักพักนัทสึกิก็ตบไหล่เพื่อนที่อยู่หอเดียวกันเบาๆ และพูดคุยด้วยท่าทางที่นิ่งเฉยผิดกับทุกครั้ง

                    “นัทสิกิคุงคุยอะไรอยู่เหรอครับ”

                    ทาคุมิถาม

                    “บอกให้ใจเย็นๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องแพ้ชนะ เอาตัวเองไม่ให้บาดเจ็บก็พอน่ะ”

                    อากิระพูดออกมาทำให้ทั้งกลุ่มรวมถึงคนที่อยู่ข้างๆ กันนั้นหันมามองเป็นตาเดียว

                    “เอาจริงป่ะเนี่ย? หรือว่าเดาวะ”

                    ซาคิโตะขึ้นเสียงสูงอย่างอยากรู้ ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นที่ตอนนี้กำลังรอฟังคำตอบจากอากิระอยู่เช่นกัน

                    “พูดจริงดิวะ ตอนนี้นัทสึกิคุงบอกว่า เป็นไปได้ก็ไม่อยากให้แข่งกันเองอยากให้ช่วยๆ กันหอจะได้ชนะ”

                    “เฮ้ย! นี่นายอ่านปากระยะไกลได้งั้นเหรอวะเนี่ย”

                    “นิดหน่อยน่ะ สมัยเด็กแม่ไม่ให้ดูทีวีดึกก็เลยต้องหรี่เสียง จากหรี่เสียงก็เลยลองปิดเสียงแล้วดูภาพเอา มันก็ไม่ยากอย่างที่คิด ก็เลยทำเป็นงานอดิเรกไป มันก็สนุกดีนะไม่เชื่อลองทำดูสิ อ่านปากเนี่ย”

                    ซาคิโตะ ทาคุมิ ชินยะ หันมองหน้ากันอ้าปากค้าง พลางคิดในใจไอ้เรื่องแบบนี้มันใช่ว่าใครก็ทำได้ซะที่ไหนกันเล่าเจ้าบ้าเอ๊ย

                    “การแข่งขันวิ่งวิบากในปีนี้ เราจะมีสามฐานด้วยกัน ซึ่งจากที่ทุกคนนั่งอยู่บนอัฒจันทร์จะสามารถรับชมการแข่งขันได้โดยรอบ อีกทั้งเรายังมีจอแบบ 360 องศาไว้ให้บริการแบบดูกันทุกมุมอีกด้วย คงอยากรู้แล้วสินะว่าแต่ละฐานมีอะไรบ้าง.... เสียใจเราไม่บอกเราจะขอบรรยายแต่ละฐานไปพร้อมๆ กับการแข่งขันเลยแล้วกันเพื่อความตื่นเต้นของทั้งผู้เข้าร่วมแข่งขันและผู้รับชมและเชียร์ในสนาม”

                    เสียงโหยร้องดังขึ้นทั่วทุกหัวระแหงจากทุกที่นั่งบนอัฒจันทร์ เหล่าผู้เข้าแข่งขันทั้งหนึ่งร้อยคนจะมีปลอกแขนประจำสีตึกของตัวเองใส่ไว้ที่แขนขวาเพื่อบอกให้รู้ว่าเป็นตัวแทนจากตึกไหน และในตอนนี้จอแบบ 360 องศาที่ว่าก็มีการถ่ายผู้เข้าแข่งขันขึ้นจอกันไปเป็นรายคนบ้างกลุ่มบ้างแล้วแต่ว่าจะจับภาพได้แค่ไหน

                    “แย่แล้วครับ”

                    “อะไรๆๆ บอกดิอย่ามาสั้นๆ”

                    “มีคนไม่เห็นด้วยครับเรื่องให้ช่วยกัน เรียกนัทสึกิคุงว่าท็อปบ๊วยด้วย”

                    “อ้าวเฮ้ย”

                    “รุ่นพี่โกกับรุ่นพี่มิซึกิเข้าไปเคลียร์อยู่น่ะตอนนี้ตึกเราเหมือนจะแบ่งเป็นสองกลุ่มซะแล้วสิครับ มีพวกที่อยากโชว์ออฟจะแข่งด้วยตัวเองกับพวกที่อยากให้ช่วยกันน่ะครับ.....ประธานซึทนะกำลังลงมาดูด้วยอีกคนแล้ว”

                    ทุกคนที่นั่งบริเวณนั้นต่างพากันหันมองและรอลุ้นคำอากิระกันเป็นแถว

                    “แล้วเขาว่าไงอีกมั่งน่ะ”

                    คราวนี้คนอื่นที่แอบฟังอยู่ก็ชักทนไม่ไหวโพล่งถามอากิระเสียเองทำให้ทั้งทาคุมิ ชินยะและซาคิโตะหันมองตามก็เห็นสายตาทุกคู่ดูเหมือนกำลังตั้งความหวังกับกลุ่มตนเหลือเกินว่าจะได้รับข่าวสารอะไรจากที่ด้านล่างเขาคุยกันนั้น และสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร ยิ่งกว่าข่าวเที่ยงทันเหตุการณ์เสียอีก

                    “ประธานก็เหมือนจะเอาไม่อยู่ครับก็เลยได้แต่อวยพรขอให้ทุกคนโชคดี”

                    “อากิระ นายช่วยอ่านปากพวกตึกอื่นด้วยได้มั้ยว่าเขาวางแผนว่าไงกันบ้าง”

                    ชินยะเสนอ ซึ่งอากิระก็สนองในทันที ได้ความว่าแต่ละตึกมีปัญหาเรื่องนี้ไม่ต่างกัน อาจเพราะเป็นเกมแรกทำให้ทุกคนคึกคะนองอยากเอาชนะอยากโชว์พาวกันตั้งแต่เริ่มเปิดฤกษ์จึงไม่สนใจเรื่องความสามัคคีใดๆ ที่ว่า อยากจะเป็นฮีโร่ของตึกตัวเองว่างั้น

                    “ผมว่างานนี้มีเละ”

                    ทาคุมิเริ่มกลืนน้ำลายลงคอฝืด

                    “อย่าให้เพื่อนเราเละเป็นใช้ได้ล่ะวะ”

                    ชินยะพูดพลางมองนัทสึกิที่กำลังคิ้วขมวดมองดูเหล่าผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นจากตึกตัวเองหรือตึกอื่น ทุกคนในกลุ่มรู้ดีว่านัทสึกิมีปัญหาอะไรเพราะหลังจากที่โดนประกาศให้ลงแข่งแทนคนที่ไม่สามารถร่วมกิจกรรมได้ นัทสึกิก็บอกเล่าปัญหาการวิวาทที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของตัวเองให้ได้รู้อยู่พอสมควร รวมถึงเรื่องที่ว่า ที่นี่คือที่สุดท้ายสำหรับเขาด้วยเช่นกัน ก็ได้แต่หวังว่าเรื่องมันจะไม่ลามไปจนถึงในสิ่งที่กลัวๆ กันไว้เท่านั้นเป็นพอ

                    “สำหรับรางวัลที่จะมีเพียงแค่ตึกเดียวเท่านั้นที่ได้รับไปจากการแข่งขันในครั้งนี้.....คูปองอาหารกลางวันฟรีทั้งตึกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ไม่จำกัดจำนวนจานและร้านค้า”

                    เสียงเฮลั่นดังสนั่นไปทั่วอัฒจันทร์เพราะต่างก็รู้ดีว่าข้าวกลางวันมันสำคัญขนาดนั้น บางคนกินจานเดียวอิ่มบางคนสอง บางคนไม่ชอบร้านนี้แต่งบไม่พอที่จะกินร้านแพง ต้องเจียดเงินไว้ให้เหลือถึงสิ้นเดือนก็มี อย่างว่าหัวดีใช่ว่าบ้านจะต้องรวยเสมอไป ดังนั้นค่าใช้จ่ายหากเซฟได้ใครมันก็ต้องการทั้งนั้น หรือหากไม่สนใจเรื่องรางวัลที่จะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์กับตัวก็เอาไว้อวดยืดชาวบ้านได้ว่าเป็นคนของตึกที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้ และมันคือเกมแห่งศักดิ์ศรีเช่นกัน

                    “ขอให้ผู้เข้าแข่งขันเตรียมพร้อมและมายังจุดสตาร์ท”

                    ออดดังขึ้นทำให้ความจอกแจกจอแจตลาดแตกเมื่อครู่ค่อยๆ เงียบลงไปและหันมาลุ้นกับบนสนามแทน “จุดสตาร์ท” ที่ว่านั้นแตกต่างจากการวิ่งมาราธอนหรือวิ่งร้อยเมตรที่อยู่ในลู่ เนื่องจากมีกันอยู่ร้อยคนจึงไม่สามารถหาสนามที่มีลู่วิ่งเยอะขนาดนั้นให้ได้(แม้จะเป็นสถาบัน SIT-T ก็เถอะ) ดังนั้นจุดสตาร์ทจึงกลายเป็นเส้นรอบวงของสนามไปแทน เหล่าผู้เข้าแข่งขันยืนอยู่โดยรอบโอบล้อมสนามทรายตรงกลางเอาไว้เป็นวงกลมขนาดใหญ่ และรอฟังประกาศต่อไป

                    “กลางสนามจะมีโจทย์ให้ทำตามอยู่ทั้งสิ้นยี่สิบโจทย์ด้วยกัน โดยเราจะฝังไว้ในทรายที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ แต่! กระดาษข้อความที่ถูกฝังไว้มีทั้งหมดสองร้อยชิ้น! ซึ่งหมายความว่าพวกคุณอาจขุดไปเจอกระดาษเปล่าอย่างเสียแรงฟรี ดังนั้นหากพบกระดาษเปล่าก็ให้รีบขุดหาโจทย์ใหม่ต่อไป จะให้ดีก็....ฝังของเดิมไว้ที่เก่าเพื่อหลอกคนอื่นต่อก็ดีนะ ฮ่าๆๆๆ ด้านหลังพวกคุณทางฝั่งที่ผมยืนพูดอยู่นี้จะเห็นว่ามีสต๊าฟนั่งอยู่ที่โต๊ะสีแดงตัวใหญ่ เมื่อได้โจทย์และคิดหาคำตอบได้แล้วให้รีบวิ่งมาที่โต๊ะสีแดงนี้เพื่อรับโจทย์ต่อไป หากครบยี่สิบคนแล้วจะมีเสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง ให้ทุกคนที่อยู่กลางสนามหยุดหาโจทย์ได้ เพราะนั่นหมายถึง....พวกคุณตกรอบแล้ว ที่เหลือก็รอลุ้นกันว่าใครจะได้โจทย์อะไรไป เข้าประจำที่~~~

                    ไม่พูดพล่ามทำเพลงใดๆ ต่อ พิธีกรจากสมาคมศิษย์เก่าก็ประกาศให้ผู้เข้าแข่งขันประจำที่ ต่างคนต่างตั้งท่าเตรียมพุ่งไปข้างหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร นัทสึกิเองก็เช่นกัน เขาเหลือบมองสีหน้าแต่ละคนที่มุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับเวิ้งทรายด้านหน้าและพยายามเพ่งไปโดยรอบเหมือนคนเหล่านั้นจะคิดว่าตัวเองมีตาเอ็กซเรย์สามารถมองทะลุผ่านไปให้เห็นแผ่นกระดาษที่ฝังไว้ได้ ช่างมันเหอะ ใครก็อยากที่จะเป็นผู้ชนะด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครหรอกที่อยากจะเป็นผู้แพ้...เพียงแต่รู้สึกแปลกๆ พิกล? มันจะแค่ฝังคำตอบหลอกๆ ไว้แค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอวะ? ด้วยสัญชาติญาณที่มีมาแต่กำเนิดมันบ่งบอกให้ตัวเองระวังกับผืนทรายด้านหน้านี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เสาไฟต้นสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางและยิงแสงออกมาเป็นวงดอกไม้ประดับประดาบนพื้นทรายนั่น ไว้มาร์คจุดให้รู้ว่านี่คือตำแหน่งตรงกลางนะอย่างนั้นน่ะเหรอ? ไว้สำหรับแค่ยิงไฟให้พื้นมันสวยขึ้นไม่ใช่แค่เห็นแต่ทรายงั้นเหรอ? ไม่ใช่แน่ๆ ว่ะ แค่วิธีประกาศคัดเลือกคนเข้าแข่งขันก็อลังการประหลาดเวอร์ขนาดนั้น มันคงไม่ใช่วิ่งวิบากธรรมดาแน่นอน

                    3……2…….1 ไป!!

                    สิ้นเสียงสัญญาณพร้อมออดเริ่มการแข่งขันทุกคนก็พร้อมใจกันวิ่งเข้าไปยังเวิ้งทรายตรงหน้ามีเพียงนัทสึกิกับคนอื่นๆ อีกสามสิบกว่าคนได้ที่ไม่ขยับเท้าวิ่งแม้แต่น้อยและเหลือบมองกันอย่างเข้าใจว่าต่างก็คิดและสงสัยในสิ่งเดียวกัน

                    “ทำไมไม่วิ่งวะคนอื่นวิ่งหมดแล้วนั่นน่ะ วู้~~~ นัทสึกิคุงงงงวิ่งดี๊วิ่ง~~

                    อากิระสบถบ่นและลุกขึ้นตะโกนให้นัทสึกิออกวิ่งอย่างคนอื่นเขา

                    “เพราะมันแปลกๆ น่ะสิ นัทสึกิกับคนอื่นๆที่ยังไม่ออกตัววิ่งคงรอดูทีท่าน่ะว่ามีอะไรในทรายพวกนั้นหรือเปล่า สถาบันนี้ธรรมดากับเขาที่ไหน อาจวางกับดักอะไรไว้โดยที่ไม่บอกก็เป็นได้น่ะ”

                    ชินยะอธิบาย

                    ไม่ทันไรเด็กคนนึงก็ล้มลงด้วยอะไรสักอย่าง และก็ค่อยๆ ล้มตามกันไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้คนอื่นๆเริ่มชะงักฝีเท้าและคลำหาทางเดินต่อไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น

                    “มีกับดักจริงๆ ด้วย”

                    นัทสึกิพูดกับตัวเองและเริ่มออกเดินบ้างโดยแต่ละก้าวที่ก้าวออกไปนั้นก็ล้วนพยายามมองว่ามีอะไรอยู่บนทรายที่ตนกำลังเหยียบย่างลงไปหรือเปล่า มันคืออะไรก็ไม่รู้ล่ะแต่มันต้องเกี่ยวกับเสากลางต้นนั้นแน่ๆ ทุกคนต่างมุ่งตรงไปที่ตรงกลางตามที่ทางพิธีกรได้อธิบายไว้ เด็กหนุ่มที่มาจากตึกขาวด้วยกันสะกิดแขนนัทสึกิทำให้เขาหันไปมอง

                    “นัทสึกิ ท็อปบ๊วยที่คืนนั้นเขาตามหานายกันเป็นคนสุดท้ายใช่หรือเปล่า ที่ประธานซึทนะไปตามด้วยตัวเองน่ะ”

                    “เออ ฉันเอง”

                    จริงๆ แค่ถามว่าชื่อนัทสึกิใช่มั้ยเท่านี้ก็พอแล้วนะ ไม่เห็นจะต้องใส่สรรพคุณทั้งหลายมาด้วยเลย

                    “ฉัน ฮิโรกิ อยู่ปีสองเหมือนกันกับนาย ฉันว่ากระดาษมันไม่ได้ฝังอยู่แค่แถวแนวเสาตรงกลางหรอก แต่มันน่าจะอยู่บนทรายนี้ทั้งหมดมากกว่า”

                    “หวัดดีฮิโรกิ ฉันก็คิดว่างั้นเหมือนกัน เพียงแต่ไม่แน่ใจว่ามันจะเริ่มฝังไว้ตั้งแต่ตรงไหนน่ะสิ ถ้าหากมันไม่มีจุดเริ่มฝังแม่งสะเปะสะปะ กี่ชาติจะแข่งจบกันวะ แล้วพวกตึกเราวิ่งโล่กันเข้าไปนั่นกี่คนเข้าไปแล้ว เหลืออยู่แถวนี้กี่คนกัน”

                    “ตรงนั้นอีกสี่ห้าคนน่ะ แต่ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มที่เถียงกับนายนะ ฉันอยู่ข้างนายน่ะ ฉันว่าช่วยกันน่าจะชนะง่ายกว่า”

                    “เออ เหรองั้นทีนี้พวกเราเอาไง? จะเริ่มคลำหาโจทย์ตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไปเลยหรือไง เอ๊ะเดี๋ยวนะ ไอ้แสงที่ยิงๆ มานั่นมันเป็นวงดอกไม้อยู่ถึงแค่ตรงนั้น หมายความว่ากระดาษจะฝังอยู่ตรงรัศมีของแสงที่ยิงมาหรือเปล่าน่ะ”

                    นัทสึกิมองดูวงรัศมีดอกไม้ที่ยิงออกมาจากเสาต้นกลางและเตรียมพุ่งเข้าใส่เพื่อควานหาโจทย์เต็มที่ แต่ก็ถูกฮิโรกิรั้งชายเสื้อไว้จนแทบหงายหลัง

                    “ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ ทุกคนดูจะคิดเหมือนกับนายด้วยกันทั้งนั้นนะ พากันพยายามวิ่งเข้าไปให้ใกล้กับวงรัศมีนั่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้แล้วก็โดยสอยร่วงกันไปเรื่อยๆ อยู่เนี่ย มันเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟที่เขาจุดล่อเอาไว้พิกล ฉันว่า........”

                    ฮิโรกิเดินหันหน้าออกและเดินกลับไปยังเส้นขอบระหว่างจุดเริ่มต้นที่ยืนกันในครั้งแรกกับเวิ้งทรายพลางใช้เท้าเขี่ยลากยาวไปเรื่อยๆ กระทั่ง...

                    “นัทสึกิคุง!” ชายหนุ่มร้องเรียกชื่อนัทสึกิและก้มลงหยิบกระดาษที่ถูกฝังอยู่ตรงหน้านั้น

                    “อัจฉริยะโคตร! นายนี่เก่งจริงๆ เปิดดูเร็วสินายจะได้ไปหาโจทย์ต่อไป”

                    นัทสึกิร้องทักและเร่งให้เพื่อนใหม่เปิดกระดาษออกดูโจทย์ แต่ทั้งคู่ก็กลับพบเพียงกระดาษเปล่าเท่านั้นทำให้ใจที่พองโตเมื่อครู่หดฟีบลงในทันใด และเริ่มจับจุดควานหากระดาษอื่นต่อ ด้านคนอื่นๆ เมื่อเริ่มรู้ว่ามีคนเจอกระดาษแม้มันจะเป็นเพียงกระดาษเปล่าๆ แต่ก็ทำให้ไหวตัวพากันวิ่งกรูกลับมายังข้างสนามด้วยสภาพทุลักทุเลจากการหลบกับดักทั้งหลายที่วางไว้ด้านในนั้น ผู้บรรยายสถานการณ์เริ่มอธิบายถึงกลวิธีที่ทางศิษย์เก่าวางแผนการเอาไว้พร้อมจอยักษ์ฉายภาพหน้าฮิโรกิบุคคลผู้ค้นพบทริคของเกมนี้เป็นคนแรก เสียงร้องตะโกนเชียร์ชื่อฮิโรกิดังลั่นจากฝั่งตึกไดม่อน ตามด้วยเล่นเวฟสลับไปมาอย่างสนุกสนาน

    ไม่นานก็มีคนเจอโจทย์และออกวิ่งไปยังโต๊ะแดงเพื่อตอบโจทย์ที่ตนหาเจอได้ แต่บางคนขุดเจอแล้วก็กลับถูกแย่งกันไปแบบดื้อๆ ก็มีอีกเช่นกัน สร้างความไม่พอใจให้แก่คนบนอัฒจันทร์ไม่น้อย ตอนนี้นัทสึกิเองก็เจอโจทย์แล้ว

    “อะไรวะเนี่ย โจทย์งี้ใครมันจะไปรู้วะว่าตอบอะไรน่ะ”

    เหมือนกรรมบังที่โจทย์ที่ได้ กลับเป็นโจทย์เลขที่มีทั้งถอดสแควร์รูท ใส่ดิฟ ใส่อินดิเกรต กันให้นัวไปหมดสามชั้นสี่ชั้นยาวสามสี่บรรทัด นี่คือตั้งโจทย์มาเพื่อไม่ให้ตอบหรือว่ายังไงกันแน่วะ ตั้งมาทำไมเนี่ยแบบนี้!!

    “ข้อนี้ฉันตอบได้นะ ง่ายมาก”

    “ง่ายมาก? ง่ายเนี่ยนะ สาธุครับ ฉันยกให้นายเลย แล้วรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนตึกเรายังไม่มีใครวิ่งไปที่โต๊ะสักคนเลย ฝากด้วยแล้วกันวะ ฮิโรกิ ไปๆ วิ่งๆๆๆ”

    ฮิโรกิหันมาโค้งให้ครั้งหนึ่งและถือโจทย์วิ่งออกไป

    “เฮ้ย! นั่นมันปล้นกันชัดๆ รุ่นพี่นัทสึกิเป็นคนเจอโจทย์นะ ทำไมไม่วิ่งไปเองเอาให้คนอื่นทำไมเนี่ย!” ซาคิโตะลุกขึ้นถกแขนเสื้อเตรียมวิ่งลงไปมีเรื่องเต็มที่

    “นัทสึกิคุงโง่เลขจะตาย ขืนถือโจทย์นั้นไปที่โต๊ะมีหวังอายเขาตาย นอกจากกู้ชื่อให้ตัวเองไม่ได้แล้วยังทำให้ขายขี้หน้าหนักกว่าเดิมอีก ให้ฮิโรกิซังเป็นคนถือโจทย์ไปน่ะเป็นความคิดที่ถูกแล้วล่ะน่า! ดีกว่าตึกเราไม่มีฮีโร่เลยสักคนนะเข้าใจมั้ยซาคิโตะ!

    อากิระที่นั่งพยายามอ่านปากยามเมื่อฮิโรกิกับนัทสึกิคุยกัน เอ่ยปรามเพื่อนให้นั่งลงสงบจิตสงบใจและดูสถานการณ์ต่อไป

    8 คนแล้วที่ไปโต๊ะแดง กำลังตอบคำถามกันอยู่ยังไม่มีใครถือโจทย์ที่สองเดินออกมาจากโต๊ะสักคน”

    ชินยะกล่าวเปรยๆ

    “ดูเหมือนจะเป็นโจทย์แล้วแต่สาขาวิชานะครับ บางคนทู่ซี้ได้โจทย์ที่ตัวเองทำไม่ได้ก็ไม่ยอมส่งต่อให้คนอื่นเพราะกลัวว่าตัวเองจะแพ้ แล้วก็ไปยืนบ้าใบ้พยายามแก้พยายามตอบอยู่ตรงโต๊ะนั่นเสียเวลาไปเปล่าๆ จริงๆ ผมว่าถ้าหากรวมตัวร่วมมือกันกับคนในหอเดียวกันได้ พอใครขุดเจอโจทย์ไหนก็เอามาสลับกันดู แล้วยกโจทย์ให้คนที่ทำได้วิ่งไปที่โต๊ะแบบนี้คงได้ผู้ชนะกันไปแล้วล่ะมั้งครับ”

    ทาคุมิออกความเห็น

    “เพราะไม่มีใครยอมใครไงล่ะ คนส่วนใหญ่ก็คิดแต่ว่าจะเอาชนะด้วยตัวเองให้ได้ ไม่อยากให้ใครมาเด่นกว่า ผลมันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ แหม ฉันล่ะภูมิใจในตัวเจ้านัทสึกิจริงๆ ไม่รู้ว่าเพราะมันคิดแบบนี้หรือเพราะมันทำไม่ได้เลยไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะเก็บโจทย์ไว้เองก็ไม่รู้เนาะ ฮ่าๆๆๆ”

    เมื่อพูดจบทั้งสามคนก็พากันหัวเราะเริงร่าก่อนจะชมการแข่งขันกันต่อไป ทั้งแปดคนเริ่มมีคนได้รับโจทย์ที่สองหรือโจทย์สุดท้ายของการแข่งขันไปแล้วและกำลังออกตามหาภารกิจในโจทย์นั้นกันต่อไป เช่นเดียวกับนัทสึกิที่หาโจทย์เจออีกข้อและเป็นข้อที่เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าตนจะจับได้อะไรแบบนี้

    ขอแสดงความยินดีด้วยถือกระดาษแผ่นนี้ไปที่โต๊ะสต๊าฟตัวสีแดงและรับโจทย์ข้อสุดท้ายของการแข่งขันไปได้เลย โชคดี

    อ่านจบแทบเซิ้งวิ่งหน้าตั้งไปยังโต๊ะสต๊าฟแต่ก็ดันเจอพวกตึกอื่นดักหน้าไว้เพื่อเตรียมแย่งโจทย์ไปเพราะตนหาโจทย์ไม่เจอ ความไม่มีเรื่องเป็นลาภอันประเสริฐแต่ถ้าหากเรื่องมันจะมาก็...ก็....ขอใช้ตีนผีโกยหนีก่อนแล้วกัน เมื่อเห็นท่าไม่ดีชายหนุ่มจึงใช้ความชำนาญของตัวเองและประสบการณ์การหนีอย่างโชกโชนอ้อมหลบกำแพงมนุษย์ที่ขวางหน้าตนไว้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เรียกเสียงฮือฮาจากข้างสนามจนทำให้กล้องจับภาพการหลบหลีกอย่างสวยงามนี้ขึ้นจอในทันที

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดเห็นแล้วมันลุ้นนนนน”

    ซาคิโตะนั่งกำหมัดเกร็งไปทั้งตัวแล้วหลบตัวตามนัทซึกิไปด้วย พอหลบพ้นจนไปถึงโต๊ะแดงได้ก็ทำเอาทุกคนที่ลุ้นตัวโก่งกันอยู่นี้เฮลั่นลุกแปะมือ give me five กันเป็นแถว

     

    “โอ้...โชคดีอะไรงี้เนี่ยนาย เอ้าจับโจทย์ข้อสุดท้ายไปสิ บอกไว้ก่อนนะว่าข้อนี้เกี่ยวกับคน”

    สต๊าฟที่โต๊ะเช็คกระดาษที่นัทสึกิถือมาเมื่อตรวจสอบว่าเป็นของจริงไม่มีการแก้ไขก็ถือโหลกระดาษออกมาให้จับโจทย์ต่อไปทันที

    “ศิลปะกับซากุระ อะไรวะ??”

    “เห็นเฟรมวาดรูปที่ตั้งอยู่นั่นหรือเปล่า โจทย์ของนายคือต้องไปหาใครก็ได้ที่อยู่ชมรมศิลปะ ต้องเป็นคนที่อยู่ชมรมศิลปะเท่านั้นนะ พาไปวาดรูปต้นซากุระที่เฟรมนั้นให้เสร็จแล้วด่านสุดท้ายคือวิ่งสามขากับคนๆ นั้นไปให้ถึงเส้นชัย แค่นั้นแหละ ขอโชคดี”

    สต๊าฟตบไหล่นัทสึกิอย่างให้กำลังใจพร้อมบอกให้คนเดินสารนำเรื่องไปบอกผู้บรรยายว่านัทสึกิได้รับโจทย์อะไร เพื่อให้ทางผู้บรรยายประกาศออกไมค์ให้ทุกคนทราบทั่วกัน บางคนก็เจอหานักคาราเต้ไปทุบแผ่นอิฐให้แตกสามสิบแผ่นแล้ววิ่งสามขา บางคนก็มีหานักเขียนผู้กันจีนเขียนโคลงลงบนกระดาษสาแล้ววิ่งสามขา ก็แตกต่างกันออกไป แต่มีจุดร่วมเดียวกันคือ “หาคน” และ “วิ่งสามขา”

    “ฉันพึ่งเข้าเรียนแล้วจะรู้ได้ยังไงวะว่าใครอยู่ชมรมไหน บ้าเอ๊ย!! ศิลปะมันถูกกันกับฉันที่ไหนกันเล่า เห็นพู่กันก็เหมือนเห็นศัตรูแล้ว!!!! ศัตรู.........ศัตรู เออ! ศัตรู!!!!!......”

    “หมอนั่นยืนบ่นอะไรอยู่คนเดียว แปลหน่อยเร็วเข้าอากิระ”

    “นัทสึกิคุงบอกว่าเพิ่งเข้าเรียนจะรู้ได้ไงว่าใครอยู่ชมรมไหน เขาเจอโจทย์คนจากชมรมศิลปะน่ะฮะรุ่นพี่ ศัตรู.....บ้าชิบ....ผีกระบองเพชร? อื๋อ???? ไอ้วายร้ายตัวซึน เหออออออ ประธานซึทนะครับ! นัทสึกิคุงนึกออกแค่คนเดียวคือประธานซึทนะ ตามที่พวกเราเคยเล่าประวัติให้เขาฟังน่ะฮะรุ่นพี่ชินยะ!

    สิ้นเสียงการแปลภาษาวิชาอ่านปากของอากิระทุกคนตรงนั้นก็ร้องตะโกนชื่อนัทสึกิและซึทนะออกมาในทันทีทำเอาเจ้าตัวที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสะดุ้งโหยงและหันไปมองจากตำแหน่งที่นั่งประธานนักเรียน ยังไม่ทันได้สงสัยเต็มที่ไอ้ตัวต้นเรื่องก็วิ่งขึ้นบันไดมาฉุดคว้าแขนหมับเข้าให้แล้ว

    “อะ...อะไรกัน”

    “นายอยู่ชมรมศิลปะใช่มั้ย มาช่วยกันด่วน ลุกจากเก้าอี้แล้วไปกับฉันเร็วเข้า!

    นัทสึกิตะโกนโหวกเหวกและกำข้อมือของซึทนะไว้แน่นจนเจ้าตัวใช้มืออีกข้างที่เหลือพยายามแกะมือเขาออก

    “เจ็บ... ฉันเป็นประธานนะจะให้ลงไปแข่งได้ไงกัน”

    “แล้วอยากแพ้หรือไง ไม่ได้มีกฎข้อไหนห้ามประธานนักเรียนลงแข่งเสียหน่อย ยิ่งนายช้าก็ยิ่งช้านะ อย่าพิรีพิไรนักได้มั้ยเนี่ยไปเร็วเข้า!

    “แต่ว่าฉันไม่แข็งแรงเป็นหอ....บ เฮ้ย”

    “บังเอิญว่าฉันแข็งแรงมากว่ะ”

    นัทสึกิก้มตัวลงและรั้งเอวคอดบางนั้นเข้าหาไหล่ก่อนจะยกตัวทั้งตัวของประธานนักเรียนคนดังขึ้นพาดบ่าวิ่งลงกลับเข้าสู่สนามท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงโวยลั่นของเหล่าแฟนคลับ

    “มันเกิดอะไรขึ้นกันครับเนี่ย! นัทสึกิ โช ตัวแทนจากตึกไดม่อนผู้ได้รับโจทย์ศิลปะกับซากุระ วิ่งขึ้นฉุดประธานนักเรียนแล้วอุ้มแบกลงสนามไปแล้วครับ ช่างเป็นภาพที่เหลือเชื่อจริงๆ ซึทนะ โทชิยะ ประธานนักเรียนปีสอง และดำรงตำแหน่งประธานชมรมศิลปะด้วย ถูกคว้าอุ้มให้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วยเสียแล้ว อ้อ ครับ! เพราะเจ้าตัวไม่สามารถใช้แรงมากได้อันเนื่องจากโรคประจำตัวที่เป็นหอบและเหนื่อยง่ายดังนั้นเลยถูกช้อนตัวอุ้มลงสนามไปทั้งอย่างนั้น แหมเด็กเข้าใหม่คนนี้แรงดีเหลือเกิน! นัทสึกิวิ่งอย่างรวดเร็วไปที่แผ่นเฟรมแล้วครับ!

    ผู้บรรยายกล่าวบรรยายเสียเห็นภาพ พาเอาคนทั้งอัฒจันทร์ร้องโฮถึงการตอกย้ำคำว่า อุ้ม เพราะตั้งแต่ซึทนะเข้าเรียนมานี้ยังไม่เคยมีใครได้แตะเนื้อต้องตัวมากไปกว่าจับมือเลยสักคน แล้วไอ้นี่มันเป็นใครมาจากไหน โผล่มาก็คว้าเอวบางนั้นขึ้นพาดบ่าไปแล้วต่อหน้าต่อตาอีก แล้วจะออกไปโวยก็ไม่ได้เพราะมันคือเกมการแข่งขัน ได้แต่ภาวนาให้เกมนี้มันจบลงเร็วๆ เท่านั้น

    “ปล่อยฉันลงสิว้อย ฉันไม่ได้บอกว่าจะมาช่วยนายสักหน่อย อยากได้คนวาดรูปในชมรมเดี๋ยวฉันแนะนำให้ก็ได้” ปล่อย”

    “แนะนำอะไรไม่ทันแล้วเอานายนี่แหละ เพื่อตึกตัวเอง ตัวเองเป็นหัวหน้าหอไม่อยากชนะด้วยตัวเองบ้างหรือไง ก็บอกว่าเป็นหอบไม่ใช่หรือไง ก็ช่วยพามาแบบไม่ต้องเหนื่อยแล้วนี่ไงล่ะ ยังจะเอาอะไรอีก”

    นัทสึกิตอบกลับทั้งที่ยังคงแบกร่างนี้ตรงเข้าหาเฟรมที่ถูกจัดเตรียมไว้ ทำไมจะไม่รู้ว่าไอ้หอบที่ว่าเนี่ยมันป่วยการเมืองชัดๆ ไอ้จอมตอแหลลวงโลกหลอกคนอื่นได้ทั่วแต่หลอกฉันไม่ได้หรอก แต่ในเมื่ออยากเป็นมากนักก็จัดให้แค่นั้นเอง

    “ไอ้ทุเรศเอ้ย”

    ด่าอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ นอกจากคำนี้ เพราะก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไงต่อไปดี จะดิ้นปัดๆ ให้หลุดจากบ่าแกร่งนี้ก็ไม่ไหวไม่อยากตกลงไปให้ขายขี้หน้า คิดไปคิดมายังไม่ทันสรุปรวมความว่าจะขัดขืนมันต่อไปยังไงดีไอ้หมอนี่มันก็วิ่งมาจนถึงแผ่นเฟรมที่ขึงเตรียมไว้ซะแล้ว

    “ซากุระนะเขาบอกว่าให้วาดซากุระ”

    “รู้แล้วน่ะ!

    ซึทนะลงมือจับดินสอร่างๆ ขีดๆ วาดรูปต้นซากุระออกมาอย่างสวยงามได้ในเวลาไม่นานนักทำเอานัทสึกิจ้องอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง ฝั่งทางกล้องด้านบนก็จับภาพระหว่างที่ประธานคนงามสเก็ตภาพซากุระแบบไม่มีต้นแบบจนพวกที่เคยกร่นด่านัทสึกิอยู่เมื่อครู่นึกขอบใจอยู่ในใจที่ทำให้ได้เห็นโมเม้นต์แบบนี้จากคนๆ นี้

    “สุดยอดอ่ะ!!! ทำได้ไงวะเอาดินสอเขี่ยแป๊บเดียวเป็นต้นแล้วอ่ะ พอแล้วไปเร็วเข้าเดี๋ยวต้องวิ่งสามขาต่ออีกนะเว้ย ตรงนั้นที่มันนั่งเย็บผ้าเช็ดหน้าอยู่มันเย็บจะเสร็จแล้ว ไปเร็วเข้า”

    “ไปอะไร ยังวาดไม่เสร็จ ต้องเก็บรายละเอียดอีก”

    “เก็บอะไรวะไม่เห็นมีอะไรเลย เนี่ยเป็นต้นแล้วพอแล้ว”

    “นายวาดเป็นหรือเปล่า? ฉันเป็นประธานชมรมศิลปะนะจะให้ปล่อยงานมักง่ายออกไปได้ยังไง ตรงนี้ยังไม่ได้เก็บเส้นเลย”

    “ไอ้บ้า~~ นี่มันใช่งานประกวดวาดรูปซะที่ไหนเล่า เขาบอกให้วาดเฉยๆ ไม่ได้บอกว่าจะเอารูปแกไปประกวดที่ไหนกัน พอแล้วจะเป๊ะอะไรนักหวาวะ!

    นัทสึกิพูดๆ อธิบายแต่เจ้าหนุ่มผมยาวคนนี้กลับปั้นหน้านิ่งและใช้ดินสอลากวาดรูปของตัวเองต่อไปไม่สนใจคำทักท้วงใดๆ ทั้งสิ้น ซึทนะ โทชิยะ จะไม่มีคำว่าหลุดอย่างเด็ดขาดทุกอย่างต้องเนี๊ยบ ต้องดูดี ต้องเป๊ะ ต้องพิถีพิถัน ต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ ไม่ว่ายังไงก็ตามชื่อเสียงหน้าตาต้องมาก่อน เพราะฉันคือที่หนึ่งของทุกๆ คน

    ออดดดด~~

    เสียงออดบอกให้ทราบว่าโจทย์ทั้งยี่สิบใบถูกพบหมดแล้วและตอนนี้คนที่เหลือก็กำลังมะรุมมะตุ้มแย่งกระดาษกันบ้าง วิ่งมาตอบบ้าง ส่วนพวกที่มาจนถึงโจทย์สองอย่างนัทสึกิก็กำลังผูกขาเตรียมวิ่งสามขากันแล้ว

    “โอ๊ะ นั่น! ตัวแทนตึกเหลือง คิริซาวะพาคู่หูออกวิ่งสามขาแล้วครับ ตามมาด้วย ตึกเหลืองอีกคน.....”

    “ปัทโธ่ไอ้เป๊ะ พอได้แล้วว้อย ตึกเหลืองออกวิ่งแล้วนะ!!

    นัทสึกิกล่าวทักและคว้าเชือกออกมาผูกขาของตนไว้กับขาของซึทนะข้างหนึ่งไปพลางๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลา กระทั่งเมื่อผูกเสร็จแล้วเจ้าตัวก็ยังไม่หยุดมือหันซ้ายหันขวาเหล่ดูภาพที่ตนวาดอย่างชื่นชม

    “เก็บตรงนี้อีกนิดก็สมบูรณ์แล้ว”

    “เก็บบ้าอะไรเล่า ถ้ายังไม่ลุกฉันจะลากนายไปกับพื้นแล้วนะไอ้เจ้าซึนนะ!

    “ฉันชื่อซึทนะ ไม่ใช่ซึนนะ!!

    นัทสึกิตัดสินใจคว้าเอวร่างบางรวบหมับแล้วลากเดินออกไปซึ่งเจ้าตัวก็ขืนแรงต้านเอาไว้กระทั่งเมื่อหลุดจากโลกศิลปะส่วนตัวของตนมาเห็นว่าตอนนี้มีตึกอื่นกำลังนำหน้าตัวเองไปแล้ว แรงอยากเอาชนะในตัวเลยลุกพุ่งพล่านขึ้นมาทันใด สามัคคีพร้อมใจกับนัทสึกิออกวิ่งอย่างไม่คิดอะไรอีกแล้วนอกจาก “ต้องชนะ” เท่านั้น! สองแรงร่วมใจอย่างกับคนคุ้นเคยและรู้ใจกันมาก่อน ก้าวทุกก้าวดั่งเหมือนเป็นคนๆ เดียวกัน มีขาที่วิ่งไปด้วยขาเดียวกัน ก็มีเซไปบ้างแต่ด้วยเพราะอีกคนแรงเยอะกว่าช่วยโอบประคองไว้

    “ไหนบอกว่าเป็นหอบไงวะ แม่มวิ่งขนาดนี้ยังไม่เป็นไรสักนิด”

    ความปากบอนเผลอหลุดแซวออกไปตามสันดาน เลยทำเอาร่างบางชะงักกึกอย่างลืมตัวพาให้เสียจังหวะล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่ ทำเอาฝั่งตึกไดม่อนและเหล่าแฟนคลับประธานนักเรียนทั้งหลายลุกพรึบขึ้นยืนชะเง้อคอดูสภาพขวัญใจของตนกันแทบทั้งสนาม

    “ตึกขาวคู่ประธานนักเรียนเกือบจะวิ่งนำแล้วเชียวครับ! แต่เสียหลักล้มลงไปทั้งคู่ซะได้”

    ผู้บรรยายบอกอย่างน่าเสียดาย

    “ไอ้ซึน หยุดวิ่งทำไมเนี่ย! ลุกเร็ว!!

    “ฉัน....ไม่....”

    “อย่าเพิ่งมาเล่นละครเรียกคะแนนสงสารตอนนี้ว้อย แข่งจบแล้วค่อยว่ากัน”

    “เอ๊าอะไรกันครับ ตัวแทนตึกเหลืองก็พลาดล้มลงแล้วเหมือนกัน สูสีมากครับงานนี้ ทางตึกแดงก็วิ่งกันมาแล้วเหมือนกันครับ ตัวแทนตึกม่วงอยู่ไหนครับยังตอบคำถามไม่เสร็จอีกเหรอนี่ งานนี้ตึกไหนจะได้เป็นเจ้าของรางวัลไปกันนะ!!!

    ได้ยินแบบนั้นนัทสึกิก็คว้าแขนฉุดซึทนะให้ลุกยืนแล้วดึงแขนข้างดังกล่าวขึ้นพาดบ่าตนไว้

    “เหยียบบนเท้าฉันเร็วเข้า! ข้างที่ผูกติดกันอยู่เนี่ยเร็ว! ทิ้งน้ำหนักมาขานี้ให้หมดเลยนะ”

    ซึทนะทำตามเหยียบลงไปบนเท้าข้างนั้นของนัทสึกิโดยทิ้งน้ำหนักตัวลงไปเต็มที่ ซึ่งก็ไม่ได้หนักหนาอะไรเลย ชิลมากสำหรับนัทสึกิ โดนซ้อมยังจะเจ็บและหนักกว่านี้มาก ไอ้ร่างบางผอมกะหร่องแบบนี้น่ะเหยียบมาทั้งตัวยังไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ

    เขาคว้าหมับที่เอวประธานและรั้งเข้าหาตัวจนแทบจะกลายเป็นอุ้มมากกว่าพยุง ก่อนออกวิ่งโดยกระเตง “ร่าง” ของประธานนักเรียนไปอย่างกับอุ้มตุ๊กตายัดนุ่น!

    “นัทสึกิครับ! ตัวแทนตึกขาววิ่งไปแล้วครับ วิ่งอุ้มซึทนะ ประธานของสถาบันฉิวไปแล้วครับ วิ่งไปๆ จะทันตึกเหลืองแล้ว ทันมั้ย! ทันมั้ย! ทัน...ตีเสมอขนาบข้างกันได้แล้วครับ!!

    “กรี๊ดดดดดผมลุ้นนนนน”

    อากิระยกชายเสื้อขึ้นมานั่งกัดอย่างลุ้นตัวโก่งพลางส่งเสียงไปด้วย ซาคิโตะกับทาคุมิก็คว้ามือกันไปจับบีบเกร็งจนชุ่มเหงื่อ ชินยะเองก็ไม่ต่างกันนั่งใช้มือจิกหัวเข่าทั้งสองข้าง ลุ้นทั้งเพื่อนลุ้นทั้งเสียงที่พากษ์อยู่ในขณะนี้ รอบข้างต่างร้องเชียร์ เสียงตึกเหลือง ตึกขาวดังสนั่นไม่แพ้กัน

    “กำลังจะแซง! นัทสึกิ กลั้นใจอีกนิด ตึกเหลืองครับอย่าเพิ่งหมดแรงเขาจะแซงแล้ว แซงแล้ว อีกนิด อีกนิด! แซงไปแล้วครับ! และ...เข้าเส้นไปแล้วครับ นัทสึกิ โช กับ ซึทนะ โทชิยะ จากตึกขาว! เข้าเส้นชัยไปก่อนอย่างหวุดหวิดจริงๆ ครับ ผู้ชนะของการแข่งขันประเพณีประจำปี รอบแรกนี้ได้แก่ ตัวแทนตึกไดม่อน นัทสึกิ โช!!!!!

    เฮ่!!!!!!!!!!

    ตึกขาวทุกคนพร้อมใจลุกขึ้นโดดและเหวี่ยงผ้าส่งเสียงเฮลั่นยิ่งกว่าเชียร์บอลยูโรซะอีก ผองเพื่อนโดดเอาอกชนกันและกอดกันอย่างดีใจ เหล่าคณะกรรมการรีบวิ่งลงไปยังสนามเพื่อแสดงความยินดีกับคนทั้งสอง เช่นเดียวกันกับทาคุมิซาคิโตะและอากิระที่วิ่งถลาลงจากอัฒจันทร์เพื่อจะไปหารุ่นพี่นัทสึกิของตน ตอนนี้อะไรก็ได้ทั้งนั้นให้เรียกรุ่นพี่ก็ยอมแล้ว

                    “เอ่อ....พวกนาย....เป็นกลุ่มท็อปบ๊วยที่โดนทำความสะอาดตึกใช่หรือเปล่า”

                    “ใช่ มีอะไรเหรอ”

                    ชินยะที่กำลังจะวิ่งตามเด็กทั้งสามคนไปชะงักฝีเท้าแล้วหันไปทำหน้านิ่งตอบ

                    “เปล่าๆ ไม่มีอะไร แค่อยากบอกว่า พวกนายเจ๋งโคตรว่ะ!

                    “หมายถึงนัทสึกิ?”

                    “คนนั้นมันแน่อยู่แล้วเจ๋งสุดๆ ไปเลย แต่ฉันหมายถึงพวกนายทุกคนน่ะโคตรเจ๋งจริงๆ ฉันนั่งฟังพวกนายวิเคราะห์สถานการณ์กับความสามารถในการอ่านปากระยะไกลของเจ้าเด็กปีหนึ่งคนนั้นน่ะ สุดยอดจริงๆ ว่ะ”

                    “ใช่ๆ พวกนายทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแถมยังมีความคิดเห็นที่เป็นเหตุเป็นผลอีกด้วย นับถือจริงๆ ว่ะ พวก ต่อไปถ้ามีปัญหาไรเรียกเราได้นะ พวกเรา....”

                    หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาคุยและขอจับมือด้วยกันอีกเป็นสิบ เพราะเหยื่อที่จะให้แสดงความยินดีด้วยลงไปอยู่กลางสนามกันหมดแล้วเหลือก็แต่เรานี่แหละที่ต้องรับหน้าเสื่อแทนชาวบ้าน ชินยะเอ๊ย นี่แหละนะถึงบอกไงว่าเกมนี้น่ะมันสำคัญขนาดไหน ต่อไปกลุ่มท็อปบ๊วยจะไม่มีอีกต่อไปแต่จะกลายเป็นกลุ่มท็อปไฟท์แทน อากิระ ชินยะ ซาคิโตะ ทาคุมิ และ...นัทสึกิ โช ห้าหนุ่มกลุ่มท็อปไฟท์……

                   

                    กลางสนามที่ผู้คนรายล้อมอัดแน่นเข้ามาตบไหล่แสดงความยินดีสร้างความอึดอัดให้แก่ร่างบางนี้มากนัก ทั้งที่เข้ามาตบไหล่จับมือจับแขน บางคนก็ถือโอกาสโอบคอถ่ายรูปเบียดกันเข้ามา จะต้องเข้าถึง จะต้องได้สัมผัส จะต้องได้แสดงความยินดีอย่างใกล้ชิด ต้องเข้ามา เข้ามา....

                    “เฮ้ย~! เหวออออ”

                    กระทั่งที่มีใครคนนึงถูกเบียดจนเสียหลักล้มชนคนข้างหน้าที่ไม่ทันได้ระวังตัวเช่นกัน เกิดเป็นเหมือนตัวต่อโดมิโน่ล้มลงมาเป็นทอดๆ ผลักให้นัทสึกิที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรแล้วในตัว ทั้งวิ่งหาของ ทั้งวิ่งหนีคน แล้วยังแบกคนอีกทั้งคนกระเตงวิ่งอีก เซถลากระแทกกับซึทนะซึ่งขาผูกติดกันอยู่นี้ พาให้ล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่ อนิจจา....ใครมันจะคาดคิดได้ ฝั่งแฟนคลับซึทนะดันหวังดี เห็นสุดที่รักของตนกำลังจะล้มก็เลยช่วยกันจับช่วยกันเอามือยันหลังกันไว้ไม่ให้ล้มทำให้ ซึทนะ กลายเป็นเป้านิ่งที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวหนีออกไปไหนได้ปล่อยให้นัทสึกิถล่มใส่ตัวเข้ามาเต็มๆ

    ริมฝีปากและจมูกโด่งรั้งปะทะสัมผัสเข้าที่แก้มนิ่มเต็มเปาท่ามกลางสายตาของสาธารณะชนในสนาม หากดูบนสนามไม่ถนัดยังสามารถชมภาพขนาดเต็มสองตาขยายใหญ่ทั่วทั้งใจได้จากจอยักษ์ทุกจอที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนืออัฒจันทร์รอบทิศอีก กำลังจับภาพผู้ชนะการแข่งขันอยู่ดีๆ ใครมันจะไปคิดว่าจะเจอชอตเด็ดกีฬามันได้ขนาดนี้

    เสียงฮือฮาลั่นและภาพที่ขึ้นบนจอก็ยังถูกแช่แข็ง Freeze ไว้ที่ตอนจมูกชนแก้มอีกต่างหาก แสงแฟลชสว่างวาบชัตเตอร์ที่กดรัว และสีหน้าตกตื่นของคนทั้งคู่ไม่ต่างกัน จะให้อธิบายอะไร จะให้พูดอะไรได้ล่ะตอนนี้ ร่างบางสวยที่เป็นไอดอลของทุกคนค่อยๆ ปรือเปลือกตาลงและมือเท้าอ่อนลงไปอย่างไรสาเหตุ เสียงผู้คนตะโกนลั่น

    “ประธานเป็นลม~!

    “ทจจิซามะเป็นลมไปแล้วขออากาศหน่อยเร็วถอยไป~~!

    “รุ่นพี่ซึทนะ รุ่นพี่เป็นหอบต้องเหนื่อยจากที่วิ่งเมื่อกี้แน่ๆ เลยครับ! รุ่นพี่ๆๆๆๆๆๆๆๆ”

    ความอลหม่านโกลาหลกลับมาอีกครั้ง ซึทนะอาศัยเรื่องโรคประจำตัวของตนแสร้งเป็นลมเพื่อให้ภาพเมื่อครู่นั้นหายไปจากจอเสียทีและเพื่อไม่ให้ต้องมานั่งตอบคำถามต่างๆนานา ในเวลานี้อีกด้วย สมองมันตื้อคิดอะไรไม่ออก สัมผัสตรงแก้มมันยังคงกรุ่นอยู่ไม่หายพาลให้สมองไม่สั่งการอะไรทั้งนั้น

    ไอ้คู่กรณีเล่นแกล้งเป็นลมแบบนี้แล้ว อย่างเราควรจะทำอะไรได้บ้าง.........แกล้งตายซะเลยดีมั้ยวะ?นัทสึกิเอ๊ย?

                    to be con......

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×