คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Lucky :: 006 :: ขยันหาเรื่องนะลู่หาน
รุ่งขึ้นพวกเราพากันไปบอกเจ้าของบ้าน แต่ก็ต้องหัวเสียกลับมา...คนที่หัวเสียไม่ใช่ผมหรอกนะ แต่เป็นอู๋อี้ฝานผู้ขี้หนาวต่างหาก ด้วยเพราะช่างซ่อมติดงานซ่อมอยู่หลายห้องและเราเป็นผู้มาแจ้งรายหลัง ๆ ทำให้คิวในการซ่อมล่าช้าไปเป็นวันอื่น ต้องจำยอมนอนกอดกันไปอีกคืนสองคืนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงจะได้ผ้าห่มนวมเพิ่มมาอีกผืนแต่ไออุ่นจากคนมันทำให้ค่ำคืนอุ่นสบายกว่าเนื้อผ้านิ่มที่เย็นชืดเสียมาโข จนผมนึกอยากได้หมีอุ่นแบบนี้มานอนกอดเสียทุกคืนบ้างด้วยซ้ำไป สุดท้ายไข้หวัดจึงตามมากับเราทั้งคู่
ในวันที่ช่างมาซ่อมฮีทเตอร์ให้นั้น พวกเราต้องนั่งทนรอให้เขามายันเขากลับตั้งแต่เช้าจนบ่าย ด้วยสภาพไม่ต่างอะไรจากซากศพ จะหลับก็หลับไม่ได้เพราะต้องคอยดูว่าเขาต้องการอะไรบ้างหรือเปล่า หรือว่ามีอะไรผิดปกติมั้ย คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้นักน่ะ เห็นว่าดี ๆ กันอยู่ เกิดอยากนึกปล้นจี้ขึ้นมาก็ทำกันโดยไม่ใหตั้งตัว แม้บ้านนี้จะไม่ได้รวยมีของมากมายอะไรนักหนา แต่ถ้าเกิดมีอะไรขึ้นมา เดี๋ยวผมก็ถูกด่าถูกใส่ความหาว่าเพราะผมมันตัวซวยเข้าอีก ดังนั้นหลับไม่ได้ครับ ต่อให้ป่วยใกล้ตายยังไงก็ต้องนั่งถ่างตารอเขาซ่อมจนเสร็จนั่นล่ะ
เมื่อช่างกลับไป เราเลยเปิดฮีทเตอร์ต้อนรับการกลับมาของมันอย่างเต็มภาคภูมิ พร้อมลงนอนอย่างอ่อนล้าด้วยฤทธิ์ยาแก้แพ้และแก้หวัดที่ดวดกันไปคนละเม็ด 2 เม็ด... อี้ฝานเอื้อมมาโอบซุกหน้าลงกับหลังผม และหลับไป ส่วนผมเองที่ปวดหัว เมื่อยตัวหนาว ๆ ร้อน ๆ อยู่แล้ว พอได้รับการโอบกอดมาแบบนั้นมันเลยทำให้รู้สึกอุ่นและสบายยังไงบอกไม่ถูก ผมจึงไม่ว่าอย่างไร ปล่อยให้ตัวเองหลับลึกลงสู่ห้วงฝันพร้อมอาการเมายาแก้ไข้ที่กินเข้าไปก่อนล้มลงนอนด้วยอาการป่วย แถมอากาศที่กำลังสบายและความขี้เกียจเข้าเส้นของเราทั้งคู่ ทำให้เราเห็นพ้องต้องกันที่จะหยุดเพิ่มอีกหนึ่งวันเพื่อรักษาตัว นอนคุดคู้กกกอดกันอยู่ในห้องแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาย แล้วมันก็กลับกลายเป็นความเคยชินซึ่งพวกเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ คนหนึ่งผู้เคยคุ้นกับการ “เป็นหมีอุ่น” กับอีกคนผู้เคยกับการ “ต้องนอนกอดหมีอุ่น” และหลายครั้ง หมีอุ่นมันก็อยากได้หมีอุ่นมานอนกอดบ้างจนกอดคนกอดหมีจนหลับไป
มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของพวกเราจริง ๆ แต่ยังคงไม่มีใครพูดอะไรกันหรอกนะ เพราะรู้ ๆ กันดีว่าแต่ละคนก็มีทิฐิของตัวเองไม่แพ้กัน ถ้าผมพูดออกไปมันก็จะไม่กอดผมอีก แล้วถ้ามันพูดผมก็จะไม่ให้มันเอาหน้ามาซุกผมอีกเช่นกัน(แม้ว่ามันจะรู้สึกสบ๊ายสบายก็เถอะ) การกระทำของเราทั้งคู่เลยตั้งอยู่บนความเงียบสงบ ปล่อยให้เป็นไปเอง ก็แค่เพื่อนผู้ชายกอดกัน ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ ใช่มะ?
“ฝานฝาน~~” ครืด! ประตูหน้าห้องที่ถูกเลื่อนโดยแรงไม่บันยะบันยัง กับเสียงร้องเรียกชื่อใครสักคนดังเสียจนคนทั้งห้องหันขวับเป็นตาเดียว เจ้าหนุ่มผิวขาวปากแดงหน้าตาจิ้มลิ้มจากไหนไม่รู้เดินยิ้มละไมเข้ามาด้วยท่าทางแสนสบายและหยุดอยู่ตรงอู๋อี้ฝานไอ้ตัวกู้วิกฤตชีวิตผม(ชั่วคราว) ....ฝานฝานงั้นเหรอ ไม่เคยได้ยินใครเรียกชื่อของหมอนี่แบบนี้มาก่อนเลย คงสนิทกันมากแน่ ๆ ขนาดผมที่นอนกับมันทุกวัน......เอ่อ หมายถึงนอนห้องเดียวกันน่ะ ยังไม่เคยกล้าเรียกชื่อแบบนั้นสักครั้ง
“อะไรของนายเสียงดังจริง มินซอก”
เจ้าของร่างสูงใหญ่เอ่ยปากกลั้วหัวเราะและก้มลงอ่านหนังสือในมือตัวเองต่อ ส่วนผมก็ขยับจากหลังห้องมานั่งให้ใกล้อีกนิดเพื่อจะฟังบทสนทนาของคนพวกนี้ ก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจเป็นพิเศษอะไรนักหรอกนะ เพียงแต่บางทีอาจถูกอี้ฝานนินทาให้คนแปลกหน้าฟัง แล้วชื่อเสียงผมจะป่นปี้แค่นั้นเอ๊ง ถึงได้ขยับเงี่ยหูฟังกันแบบนี้ ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงจริง ๆ
“หายไปไหนของนายวะตั้งหลายอาทิตย์ ไม่เห็นไปหาฉันที่ร้าน หรือที่สนามบอลเลย รึว่า....หมดรักกันไปซะแล้วเนี่ย” เจ้าหน้าขาวลงนั่งไขว่ห้างตรงข้ามกับหมอนั่นพลางเชยคางเขาขึ้นจากหนังสือให้มองหน้าตัวเอง ซึ่งเจ้านั่นก็ปัดมือออกและปิดหนังสือในมือด้วยรอยยิ้ม ท่าทางแบบนั้นทำเอาหัวใจผมกระตุกและรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“พูดบ้า ๆ ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างน่ะ กำลังคิดจะไปหาวันนี้พอดี นายก็มานี่ซะก่อน”
“ก็พูดไป ถ้าฉันไม่มา มีเหรอแกจะโผล่หัวไปน่ะ ฝานฝาน”
“ฟังเหมือนฉันจะกลายเป็นคนไม่ดีไปเลยนะเนี่ย มินซอก ฮะ ๆๆ” อี้ฝานยิ้ม หัวเราะลงคอแลมีความสุขอย่างไม่น่าให้อภัย
“งั้นไปกันเลยดิ ไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยไปร้านฉัน เนี่ยฉันเพิ่งทำลายใหม่บนหน้ากาแฟได้มันเจ๋งมากจริง ๆ อยากให้แกมาช่วยชื่นชมเป็นคนแรกเลยนะ โคตรจะภูมิใจเลยว่ะ”
“อืม โฆษณาชวนเชื่อขนาดนี้ไม่ไปได้ไง นายนี่ยอดไปเลยแฮะ งั้นไปกัน....อ๊ะ!....เอ่อ...” จู่ ๆ อู๋อี้ฝานที่กำลังเริงร่าเมื่อเพื่อนมาหาก็ชะงักคำพูดลงและหันมองซ้ายมองขวาจนมาหยุดอยู่ที่ผม ทำให้ผมชี้หน้าตัวเองอย่างงง ๆ
“มินซอก....มีปัญหานิดหน่อยน่ะ แป๊บนะ” เขาหันไปพูดกับเพื่อนและกวักมือเรียกผมให้เข้ามาร่วมวงสนทนาปราศรัยครั้งนี้ด้วยกัน
“มีไรวะ?” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้าไปหาพวกเขาทั้งสองคนด้วยหน้าตาเอ๋อเหรอ ทั้งที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าเพราะอะไรหมอนี่ถึงเรียกให้ผมมาแนะนำตัว
“มินซอก นี่ลู่หาน.....ลู่หาน นี่มินซอก”
“ลู่หาน ยินดีที่รู้จัก” ผมก้มหัวทักทายและยิ้มให้อย่างจริงใจ
“มินซอก เพื่อนอี้ฝานน่ะ ฝากตัวด้วยนะ” เจ้าหน้าขาวยิ้มให้ผมเสียจนตาหยี
“เอ....จะว่าไปชื่อนาย....คุ้น ๆ แฮะ”
“หมอนี่ไงเจ้าของกระเป๋า” อี้ฝานเอ่ยบอกเพื่อนของเขา ทำให้มินซอกทำท่าคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตาเบิกกว้างทำเสียง โอ๊ะ! อย่างนึกอะไรได้
“โอ๊ะ! นึกออกแล้ว นายนี่เองที่เก็บกระเป๋าเงินฉันได้น่ะ ใช่หรือเปล่า?”
ผมนิ่งคิดในคำพูดของหมอนั่นครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นมาได้ ตอนนั้นเพื่อน ๆ บอกว่า เพื่อนของอี้ฝานเป็นคนเก็บกระเป๋าเงินของผมได้แล้วนำส่ง จากรูปการแล้วน่าจะเจ้าหน้าขาวนี่แหละเพื่อนคนที่ว่า เพราะผมก็ยังไม่เห็นว่าเจ้าเสาไฟฟ้าเดินได้ต้นนี้ จะมีเพื่อนคนอื่นกับเขาอีกเลย
“เอ๋ ของนายเองงั้นเหรอ แต่แย่หน่อยนะที่ข้างในนั้นไม่เหลือเงินสักวอน”
“ไม่เป็นไร ๆ เหลือก็คงแปลกพิลึกล่ะ ขอบใจนะนาย” ผมยิ้มและจับมือหมอนั่นเขย่า ๆ อย่างรู้สึกขอบคุณ
“มินซอก จะเป็นอะไรหรือเปล่าถ้าเอาหมอนี่ไปด้วยกันกับเราน่ะ” ไม่นานอี้ฝานจึงเอ่ยถามเบา ๆ
ด้วยท่าทางสุภาพเกรงอกเกรงใจอย่างที่ไม่เคยมีแบบนี้กับผม
“หือ?” เด็กต่างห้องอย่างมินซอกทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความสงสัย
“เป็นไรมั้ยถ้าหมอนี่จะไปด้วยกันที่ร้านนาย อาจารย์ให้ฉันช่วยดูแลกวางบ้านี่เป็นพิเศษเพราะว่าเรียนอ่อนมาก แล้วก็เข้ากับคนอื่นยาก ถ้าฉันไม่อยู่หมอนี่จะลำบากนะ”
“ห้ะ?” ผมเผลอร้องห้ะออกไปอย่างงง ๆ ผมเนี่ยนะเข้ากับคนอื่นยาก? เพื่อนผมน่ะมีเยอะกว่าเขาเสียอีก ใคร ๆ ก็อยากเป็นเพื่อนกับกวางบ้าสุดป๊อบคนนี้ด้วยกันทั้งนั้น ใครกันแน่ฟระที่เข้ากับคนอื่นยากน่ะไอ้บ้านี่ แต่พอผมจะเถียงเท้าใหญ่ ๆ ของอู๋อี้ฝานก็ตรงเข้าเหยียบพลางขยี้สร้างความเจ็บปวดให้กันซะก่อนแล้ว
“เข้ากับคนอื่นยาก? เหมือนนายน่ะเหรอ?”
“...ทำนองนั้น นาย....โอเคหรือเปล่า?” ไอ้บ้าอี้ฝานพูดด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจและแคร์เพื่อนเขาสุดฤทธิ์ หน็อย! น่าหมันไส้ชะมัด! ทีกับเราไม่ด่าก็ว่าแดก แถมตอนนี้ยังใช้วิธีป่าเถื่อนด้วยการกระทืบขยี้ขยำเท้าน้อย ๆ น่ารักของกวางปักกิ่งที่น่าสงสารตัวนี้เพื่อให้เงียบปากห้ามพูดอะไรอีก เรื่องจะเตือนกันให้หยุดพูดน่ะแค่ปรายตามองมาก็เข้าใจแล้วว้อยไม่ได้โง่นะ! แบบนี้มันหาเรื่องทำร้ายร่างกายกันชัด ๆ นี่ถ้าจดเรื่องเลวร้ายที่มันทำไว้กับผมตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน สมุดแปดเล่มก็คงไม่พอจดหรอก ฮึ่ย!
“....พูดบ้า ๆ น่ะ เพื่อนนายก็เพื่อนฉันเหมือนกันนั่นแหละ ดูดิ๊หน้าตาน่ารักแบบนี้ใครจะไปปฎิเสธได้กันล่ะ ฮ่า ๆๆ” เพื่อนหน้าใหม่ลุกขึ้นยืนและตบลงมาบนบ่าผมเบา ๆ สองสามครั้ง
ใครเขาให้นายชมว่าน่ารักกันฟระ ฉันน่ะหล่อแมนมากต่างหาก
“ขอบใจนะมินซอก” อู๋อี้ฝานเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
“ลู่หาน งั้นรึ? ชื่อนายสั้นดีแฮะ แปลว่าอะไรงั้นเหรอ”
“แปลว่า....”
“แปลว่า กวางบ้า น่ะ ไปหาอะไรกินกันเหอะ ฉันหิวแล้ว” จู่ ๆ ไอ้บ้าอู๋อี้ฝานมันก็โพล่งแทรกขึ้นมาและชักชวนเราไปกินข้าวเสร็จสรรพ แถมยังลากแขนเพื่อนมันนำหน้าไปก่อน ทิ้งให้ผมยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดตะโกนไล่หลังด่ามันยาวเป็นชุด อย่าเที่ยวได้มาแนะนำชื่อคนอื่นผิด ๆ แบบนั้นสิวะไอ้บ้านี่
ว่าแต่ทำไมผมต้องรับคนเข้ามาในชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งวะ ทำไมหมอนั่นต้องแสดงท่าทางแปลก ๆ คล้ายหวงเพื่อนมันด้วย? ทำไมผมต้องกลายเป็นเด็กเรียนอ่อนแถมเข้ากับคนอื่นได้ยากกันวะ...ครับ???
“นี่ เพื่อนนายนิสัยดีจังเนอะ” หลังจากแยกจากมินซอกกันเรียบร้อยแล้ว ผมถึงได้เอ่ยพูดถึงมินซอกได้อย่างสบายใจ การไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านที่มินซอกทำงานอยู่ถือเป็นเรื่องดีอีกเรื่อง เพราะดูเหมือนมินซอกกับผมจะชอบดื่มกาแฟเหมือน ๆ กัน และชอบอะไรคล้ายกันอีกหลายอย่าง เป็นต้นว่าเรื่องของการเล่นฟุตบอล จนเขาเอ่ยปากชวนให้ผมไปเล่นด้วยกันถ้ามีโอกาส น่าแปลกที่คนไม่ชอบกาแฟอย่างอี้ฝานกลับดื่มกาแฟที่มินซอกเป็นคนทำมาให้ได้อย่างไม่บ่นสักคำ เอาแต่ชื่นชมฝีมือเพื่อนและให้กำลังใจไม่ขาดปาก ตอนอยู่ห้องแค่ผมคว้ากามาต้มจะกินมันด่ายันเช้าว่าเหม็น ๆ ไม่ชอบกาแฟ โคตรสองมาตรฐานของแท้
“อื้อ เพราะงั้นอย่าพยายามหาเรื่องลำบากไปให้มินซอกแล้วกัน”
“แล้วฉันจะไปหาเรื่องให้ได้ไงล่ะ ในเมื่อหมอนั่นอยู่ต่างห้องกันแถมก็ไม่ได้มักจี่อะไรกับฉันด้วยสักหน่อย”
“นิสัยอย่างมินซอก ลองรู้แบบนี้แล้วเดี๋ยวก็คงมาชวนคุยชวนเล่นอยู่แล้วล่ะ หมอนั่นมีความสุขนักล่ะกับเรื่องคนอื่น” ร่างสูงยกถ้วยรามยอนขึ้นซดน้ำก่อนจะจ้วงเส้นเข้าปากต่อเช่นเดียวกับผม
“ที่ว่าลองรู้แล้ว นี่รู้อะไรเหรอ?”
“.......”
“เฮ่ย อย่ามาทำเงียบ บอกมาดิ๊เร็ว ๆ”
“...ให้รู้ไว้ว่าอย่าหาเรื่องเดือดร้อนไปให้มินซอกก็พอแล้วน่า”
“ก็แล้วหมอนั่นมันจะมายุ่งกับฉันอีกทำไมกันล่ะ”
“......เพราะฉันบอกไปว่านายเป็นเหมือนฉันน่ะสิ…..”
อู๋อี้ฝานนิ่งขึงไปชั่วขณะหนึ่ง ผมเห็นเขามองในถ้วยรามยอนคล้ายมันมีอะไรมากกว่าเส้นและน้ำลอยอยู่ในนั้น ก่อนจะค่อย ๆ วางถ้วยในมือลงกับโต๊ะ เอ่ยปากเล่าเสียงอ้อมแอ้ม
“ฉันเป็นพวกไม่ชอบยุ่งกับใคร ชอบอยู่คนเดียว เลยไม่มีเพื่อนสนิทอะไรนัก มีแต่หมอนั่นเท่านั้นที่พยายามเข้ามาคุยด้วย”
“ก็พวกคนประหลาดเหมือนกัน...” ผมพลั้งปากพูดออกไปทำเอาถูกอี้ฝานตาเขียวใส่และพูดรับว่า “เออ” อย่างเสียไม่ได้
“เอาเป็นว่าถ้าหมอนั่นมาชวนอะไรก็ทำเฉย ๆ ไว้แล้วกัน ไม่สำเร็จเดี๋ยวก็ล้มเลิกไปเอง” พูดจบเขาก็คว้าถ้วยขึ้นมากินต่อ ผมมองจ้องหน้าอย่างค้นหาคำตอบ แล้วก็ต้องยิ้มกว้างก่อนระเบิดหัวเราะออกมาลั่นห้อง
“ฮะ ๆ อย่าบอกนะว่าหวงเพื่อนน่ะไอ้นี่! วะฮ่า ๆ นายกลัวฉันจะแย่งเพื่อนนายไปถึงได้พูดท่านั้นท่านี้ใช่มั้ยล่ะ”
“ฉันไม่เคยหวงเพื่อน” แหม เชื่อก็บ้าล่ะ.....คึ คึ คึ
“พรุ่งนี้ก็กะว่าจะไปหาหมอนั่นสักหน่อย แก้มกลม ๆ น่ารักตลกดี พอฉันเรียกว่าเปาจื่อเขาก็หัวเราะใหญ่บอกว่าเออชื่อตลก ให้เรียกแบบนี้ไปแล้วกัน”
“อย่าเที่ยวได้ตั้งชื่อให้หมอนั่น”
“อะไรกัน ๆ แค่นี้ต้องทำเสียงเขียวใส่ด้วย ฝานฝาน ไม่ชอบให้เรียก เปาจื่อ งั้นเหรอออออ”
“อย่า-เรียก-ชื่อ-ฉัน-แบบ-นั้น ด้วย”
“โหย ๆ อยู่กันมาก็หลายอาทิตย์แล้วนะ เรียกฝานฝานดูสนิทสนมกันดีออก ไม่ยอมให้เรียกหรือว่า.........จะเก็บไว้ให้ เปาจื่อ เรียกได้คนเดียวกัน”
ปึ่ง! อี้ฝานทุบโต๊ะดังปึ่งอย่างที่ผมไม่ได้คาดเอาไว้ก่อน เขามองหน้าผมนิ่งด้วยดวงตาคมกริบที่แข็งกร้าวหรืออาจเรียกได้ว่าน่ากลัวนั่นล่ะ ก่อนค่อย ๆ ลุกเดินเอาถ้วยไปทิ้งในส่วนครัว ผมสังหรณ์ใจแปลก ๆ และเริ่มประมวลผลทุกสิ่งด้วยตัวเอง พร้อมเริ่มกลืนน้ำฝืดคอ อยากรู้แต่ไม่อยากถาม แต่ถ้าไม่ถามมันก็เหมือนกับมีก้อนกรวดก้อนเล็ก ๆ หลุดเข้ามาอยู่ในรองเท้าที่สวมอยู่...เหยียบโดนให้เจ็บนิด ๆ ปนรำคาญแต่ไม่สร้างบาดแผล
“หรือว่านายกับมินซอกเป็น......”
“เปล่า เราเป็นแค่ sex friend กัน”
ตรึง! เหมือนเพดานบ้านจะถล่มลงมาใส่ร่างผมทั้งร่าง ผมรู้สึกคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียนขึ้นมาตงิด ๆ เจ้าหน้าขาวที่แสนดีกับไอ้เสาไฟฟ้าไม่มีปากนี่เป็นอย่างนั้นกันงั้นเหรอ? นี่ผมหลุดเข้ามาในโลกอะไรกันครับ ทำไมคนปกติ ๆ อย่างผมถึงต้องมาเจออะไรที่ไม่สมควรจะเข้ามาอยู่ในชีวิตแบบนี้ด้วยกัน แบบนี้เขาเรียกว่า ชีวิตวิกฤตหรือเปล่าวะ??
============== #ficluckyman =============
“ไม่คิดจะมานั่งหน้าห้องบ้างเหรอ?”
“ไม่เอาอ่ะ ก็รู้ ๆ อยู่ว่าวิชานี้กับฉันไม่ถูกกัน ขืนไปนั่งข้างหน้าแล้วออกอาการเบื่อจนออกนอกหน้าให้ อาจารย์แกเห็น นอกจากจะโดนหมายหัวแล้ว คราวนี้ฉันคงได้ตกอังกฤษสมใจแหง นั่งหลังแหละดีที่สุดเจอกันท้ายคาบแล้วกันเพื่อน”
อู๋อี้ฝานถามผม แต่พอได้คำตอบหมอนั่นก็หันกลับไปไม่ใยดีหรือแม้แต่จะเซ้าซี้อะไรกันอีกเลย ก็มันน่าเบื่อนี่นา ต่อให้พยายามอยากจะสนใจแค่ไหน ถ้าไม่ชอบยังไง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่ออยู่ดี ผมทำไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่าดื้อหรือรั้นเพราะไม่ชอบนะ แต่เคยลองพยายามจะทำความเข้าใจกับมันมาแล้วหลายครั้งมาก ผลสุดท้ายมันเลยจบลงด้วยอีหรอบเดิมทุกครั้งคือ หงุดหงิดเพราะไม่รู้เรื่อง ง่วงนอนพาลจะหลับเพราะไม่เข้าใจ ร้อนรนนับเวลาถอยหลังให้มันหมด ๆ คาบไปสักที แล้วถ้าขืนไปแสดงอาการแบบนั้นทั้งที่ตัวเองก็นั่งอยู่ข้างหน้าแท้ ๆ ล่ะก็ คุณเอ๊ย สงสัยจะไม่จบแค่สอบซ่อม อาจมีทั้งเทศนาสั่งสอน ให้ทำงานนั้นงานนี้จนอยากร้องก็ร้องไม่ออกกันเลยเชียว
ออด~~~ เสียงออดดังว่าหมดเวลาเล่นเอาแทบจะซับน้ำตาด้วยความปรีเปรมด์ เพื่อนข้าง ๆ ที่เป็นพวกเดียวกัน บิดขี้เกียจหาวหวอดอย่างไม่แคร์สายตาของใคร หลายคนเอ่ยปากว่า “หมดกรรมไปอีกวัน” เลยก็มี
“นี่นาย....ไปห้องสมุดกัน”
“เหอ?” ยังไม่ทันได้พักหายเหนื่อยจากความทรมานเพราะนั่งเกร็งกับวิชาภาษาอังกฤษเมื่อครู่ เจ้าร่างสูงหัวหน้าห้องสมุดจอมวางอำนาจอย่างอู๋อี้ฝานก็เดินเข้ามาหาผมพร้อมทั้งเอ่ยปากสั่งอย่างที่มันเคยทำทุกวันซะแล้ว
“เมื่อเช้าก็ไปแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องไปอีกเนี่ย”
“……งั้นฉันไปคนเดียว”
นั่น! ให้มันได้อย่างนี้สิ เป็นงี้ทุกที! มันน่ะ...ถ้าไม่อ้างเหตุผลที่ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ ก็จะต้องใช้คำว่า ไปคนเดียวทุกครั้งสิน่า!!! แล้วผมปล่อยให้มันไปคนเดียวได้ที่ไหนกัน ขืนเป็นแบบนั้นคนที่ซวยน่ะ ผมคนเดียวไม่ใช่หรือไง เวรกรรมแต่ชาติปางไหนของผมกัน นี่จะต้องตัวติดกับมันไปจนถึงเรียนจบกันเลยมั้ยวะเนี่ย
“เออ ๆ เดี๋ยวเก็บของก่อนรอแป๊บ” สาบานได้เลย ภายในวันสองวันนี้ผมต้องพาเขาไปหาเหม่ยเซียนให้จงได้ สองยายหลานนั่นถึงจะไม่น่าเชื่อถือเท่าไรแต่บางทีอาจมีวิธีจับผมแยกกับไอ้บ้านี่ได้บ้าง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ลองไม่รู้ล่ะ เพราะขืนอยู่แบบนี้ต่อไป ผมต้องกลายเป็นทาสมัน ไม่ก็ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองต้องคอยเดินตามอะไรที่มันคิดเอาไว้ทั้งหมดสักวันแหง คิดแล้วก็แค้นนนน~~~
“ถามจริงเหอะ ชอบอะไรที่ห้องสมุดนี่นักหนา ถึงได้มาสอยตำแหน่งผู้ดูแล ประธานชมรมห้องสมุดอะไรพวกนี้ ดูแล้วนาย...ก็ไม่เห็นจะได้อ่านหนังสืออะไรอื่นสักเท่าไร นอกจากหนังสือบาสกับนิตยสารน่ะห้ะ”
ผมถามจบ อี้ฝานเขาก็หันกลับมามองหน้ากันอย่างไร้อารมณ์และแสนจะเย็นชาอ่านได้ด้วยสัญชาติญาณทำนองว่า “อย่ายุ่งได้มั้ยเรื่องของฉัน” ประมาณนี้
“เออ คนเรา อยู่ด้วยกันมันก็ต้องรู้จักรู้อะไรกันไว้มั่ง ไม่ใช่เพื่อนถามก็หันมาจ้องหน้าปานจะกินหัวกบาลเพื่อนอย่างนี้ นี่เรียนมารยาทมามั่งมั้ยวะนายเนี่ย”
“......ถึงสักที รำคาญหู.....”
ดู๊ ดูมันพูดเข้า! ไอ้เวรนี่ พูดจาแต่ละอย่างน่ารักน่าเตะซะเหลือเกิ๊น พรุ่งนี้! พรุ่งนี้ยังไงผมก็จะต้องลากมันไปหาเหม่ยเซียนให้ได้!!! ผมทนอยู่กับมันนานกว่านี้ไม่ได้แล้วให้ตายเหอะ ไอ้บ้าอู๋อี้ฝาน!!!!!
“เออ ตัวใครตัวมัน จะออกไปก็เรียกด้วยแล้วกัน ชิ” กวางแห่งรุ่งอรุณผู้มีจิตใจแสนดีงามเช่นผมเอ่ยกระทั้นเสียง เดินโฉบไปหาหนังสือนิตยสารบ้าบอ เลี้ยงนก ตกปลา ไอดอลงี่เง่าอ่านมั่วซั่วอย่างฉุน ๆ อ้อ ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมว่าเดินไปดูแถวพวกชั้น “เหนือธรรมชาติ” อะไรพวกนี้ดูดีกว่า เผื่อจะมีวิธีดี ๆ ให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมนี้ไปได้ ผมเดินสิงอยู่แถวตู้ชั้นดังกล่าว เปิดหาดูแบบเหวี่ยงแหไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งพูดคุยกับรุ่นน้อง รุ่นพี่ผู้หญิงที่เดินเข้ามาแถวตู้นี้เพื่อหยิบหนังสือ “เทพธิดาพยากรณ์” หรือ “ตำราทายรัก” อะไรเทือก ๆ นั้นอ่านแก้ว่าง ไสยศาสตร์อยู่คู่กับผู้หญิงจริง ๆ จะอายุเท่าไรก็ยังคงสนใจกับไอ้ตำราหลอกเด็กพวกนี้อยู่ เรื่องเหนือธรรมชาติมันจะไปมีจริงได้ยังไงกัน~ เออ...แต่ว่าไม่ได้แฮะ กับผมมันก็ถือว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเหมือนกันนี่นะ
ผมลงนั่งประจำตู้ตรงนั้นเพราะขี้เกียจจะหยิบไปอ่านที่โต๊ะ เบื่อก็ไถก้นไปอิงข้างฝา เมื่อยก็ขัดสมาธิอ่านตรงพื้น ยังไงไอ้คนดูแลห้องสมุดมันก็ไม่เดินมาว่าอยู่แล้วนี่ ในเมื่อมันนั่งอ่านหนังสือของมันอยู่ตรงเคาท์เตอร์ไม่ยี่หระกับอะไรหรือ...ใคร? เอ๋?????
“อ้าว เฮ้ย ไปไหนแล้วล่ะ? เมื่อกี้ก็นั่งอยู่ไม่ใช่เหรอไงวะ?”
จากที่นั่งเกาะขอบระเบียงชั้นสองมองผ่านซี่ไม้ยึดระเบียงลงมา เพื่อกวาดตาหาไอ้ตัวโชคดีประจำตัว(ชั่วคราว)ของผม กลับต้องกลายเป็นลุกยืน มองดูให้รอบ ๆ บริเวณ หาย......หายไปไหนแล้วจริง ๆ ด้วย เค้าท์เตอร์ไม่อยู่...ตู้นิตยสารก็ไม่เห็น เฮ้ย ไปไหนของมันวะ อย่าบอกนะว่าคิดจะฆาตกรรมกันทางอ้อมด้วยการแอบดอดออกไปนอกห้องสมุดเพื่อให้ไกลจากผม แล้วให้เกิดอุบัติเหตุระเบียงผุชำรุด หรือชั้นหนังสือหล่นทับ หรือถูกใครหาเรื่องอัดตายคาที่ ที่นี่น่ะ?? ฮึ่ย! ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าท่า
“ไอ้คุณอู๋ เอ็งหายไปไหนของเอ็งฟระ!!!!” .....ทำอะไรไม่ได้นอกจากสบถบ่นกับตัวเองเบา ๆ และเริ่มออกเดินตามหามัน ตามตู้หนังสือที่คิดว่ามันน่าจะเดินไป วันนี้มันอาจจะทำตัวเป็นคนดี เอาหนังสือที่เขาอ่านแล้ววางทิ้งไว้ที่โต๊ะไปเก็บตามชั้นก็ได้ใครจะรู้ ถึงที่ผ่านมามันจะไม่เคยมีประวัติแบบนั้นก็ตาม....
ผมเดินทั่วชั้นสองก็ยังไม่เห็นวี่แววของมันสักที ทำเอายิ่งร้อนใจหนักเข้าไปอีก มองลงมาข้างล่างไม่เห็นยิ่งพาให้หัวใจหล่นวูบเป็นระรอก แต่ถ้าคิดอีกทีนี่ผมก็ยังอยู่ดีเป็นสุขไม่มีเหตุพิลึกพิลั่นอะไร มันต้องอยู่ในนี้นี่แหละ ไม่น่าจะไปไหนไกล แต่ความอยากรู้อยากเห็นและความรู้สึกที่จะเอาชนะด้วยการหาให้เจอ มันเริ่มเดือดพล่านขึ้นมาในกระแสเลือดซะแล้ว
“......ชั้นสองไม่มี ชั้นล่างไม่เห็น เคาท์เตอร์ไม่ปรากฏ อื่มมมมม หรือว่า....”
ผมกอดอกชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปมาและเริ่มพูดคนเดียวคล้ายเล่นเกมนักสืบโคนันอยู่ ก่อนหยุดสายตาลงตรงป้ายห้องที่เขียนว่า “ห้องเก็บหนังสือชำรุด” พลางกระหยิ่งยิ้มย่อง ก้าวกระโดดสกิปปี้เท้าลั้ลลาลงมา
“คิดจะแอบให้ฉันกลัวการถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวเหรอ ใสเจียว่ะเพื่อนเอ้ย ลู่หานซะอย่าง ไม่โง่เฟ้ย~ หุหุ อุ๊บ!” หลังจากที่ตั้งใจจะผลักประตูเข้าไปจ๊ะเอ๋ไอ้บ้านั่น ผมก็ต้องผงะ ตะครุบปากตัวเองให้ปิดสนิท ค่อย ๆ โผล่แต่ตาข้างหนึ่งมองลอดช่องระหว่างประตูที่เปิดแง๊มเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ดูดีที่เคยเห็นจนคุ้นตาคุกเข่า หันหลังให้ประตูจนทำให้มองเห็นเพียงแค่แผ่นหลังและอากัปกิริยาท่าทางที่เจ้าตัวกระทำอยู่ ...กับมินซอก เพื่อนใหม่ที่เราเพิ่งเจอหน้ากันไปเมื่อวานหมาด ๆ
มินซอกกำลังยืนหันหน้ามาทางนี้พร้อมด้วยมือสองข้างที่คว้าจับขยุ้มศีรษะของเพื่อนร่วมห้องผมไว้ต่ำกว่าเอวเล็กน้อย สีหน้าท่าทางชวนให้ขนลุกชูชัน เสียงเครือในลำคอกับเสียงการกระทำที่น่าอับอายด้วยปากนั่น ทำเอาผิวแก้มผมร้อนวูบวาบขึ้นมากะทันหัน
“....เพราะไม่ให้ฉันไปห้องนาย ฉันถึงต้องเรียกนายมาที่ห้องนี้น่ะสิ ฝานฝาน”
“ยังไงก็ได้ แล้วแต่นาย” ร่างสูงหยุดการกระทำและแหงนหน้ามองอีกฝ่ายก่อนตอบพลางเริ่มเร่งเร้าอีกครั้ง
“ทำไมไม่ไปบ้านฉันล่ะ ถ้าห้องนายไม่สะดวกบ้านฉันไม่มีปัญหานะ อึ๊ พอแล้ว ...เฮ้ ฝาน.ฝ...”
ผมกลืนน้ำลายเหนียวคอ เพราะว่ากันตามจริง วีดีโอโป๊ที่ซุกไว้ใต้เตียงหรือที่ปัจจุบันนี้มันอยู่ก้นกระเป๋าเสื้อผ้านั่นน่ะ ผู้หญิงล้วน ๆ ชายหญิงล้วน ๆ จะมีเลสเบี้ยนมันก็มีบ้างประปราย แต่ไอ้ผู้ชายกับผู้ชายแบบนี้น่ะ New Arrival สำหรับผมเกิ๊น เกินกว่าจะคำนวณด้วยคณิตศาสตร์ได้กันเลยเชียวล่ะว่าผมจะซื้อมาดูหรือมายืนแอบดูอยู่แบบนี้...ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่....เพราะไอ้ความอยากรู้อยากเห็น และเพราะไอ้มุมที่แอบดูอยู่นี่ มันเป็นมุมที่เห็นแต่สีหน้าผู้ถูกกระทำ ส่วนผู้กระทำเห็นได้แค่เพียงแผ่นหลัง สีหน้าต้องจิ้นกันเอาเอง มันเลยทำให้ผมเผลอจับบานประตูให้แง๊มเปิดออกไปอีกนิด อีกนิด....และอีกนิด
“อ๊ะ!” โครม!
ผมเผลอเสียหลักจนตัวทั้งตัวโผล่ถลานอนแนบแน่นอยู่บนพื้นห้อง ทั้งยังทำให้คนทั้งคู่หันมามองเป็นตาเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายตาเอาเรื่องที่ไม่พอใจของเจ้าเสาไฟฟ้าแรงสูงรูมเมทของผม อู๋อี้ฝาน หมอนั่นกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง...อะไรนะ? ไม่ได้ยินเลย พูดว่าอะไรนะ? พูดว่า.....
ป๊อก!
“จะหลับให้ถึงชั่วโมงหน้าเลยมั้ย ลู่หาน!!!”
“เฮ้ยฉันเปล่า ฉันเปล่า ฉันไม่ได้แอบ.......”
แปรงลบกระดานไวท์บอร์ดปลิวมาตกปั่ก! ลงบนหัวผมทำเอาสะดุ้งพรวด โผลุกยืนอย่างสุดกำลังจนหัวเข่าชนกับโต๊ะและร้องโวยวายปฏิเสธตามนิสัย ต่อเมื่อได้เห็นว่าคนทั้งห้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษกำลังหันมาจ้องมองดูผมพร้อมด้วยอาจารย์ผู้สอนที่ขยับแว่นตาเขียวปั่ด ห่างออกไปไม่ถึง 4 แถวโต๊ะเรียน ผมจึงต้องหุบงับปากไม่พูดอะไรต่อให้เสียเรื่อง
“แอบอะไร...”
“เอ่อ....แอบหลับครับ ขอโทษครับ ผิดไปแล้วครับ เมื่อคืนผมอ่านหนังสือเตรียมสอบวิชานี้ไว้ดึกไปหน่อยน่ะครับ พอดีคะแนนเก็บผมน้อย ผมเลยว่าจะชิงอ่านล่วงหน้าให้เยอะ ๆ ไว้ก่อนที่จะสอบใกล้ ๆ นี้จะได้ไม่พลาดอีกน่ะครับ ขอโทษคร๊าบ” ผมโค้งก้มหัวเป็นพัลวัน ไหลไปตามเนื้อผ้ากล่าวขอโทษอาจารย์ไม่หยุดปาก ซึ่งก็ได้คำตอบกลับมาจากอาจารย์ว่า “ตอแหล” ไปเต็ม ๆ พร้อมเสียงหัวเราะเฮฮาสมน้ำหน้าจากเพื่อนทั้งชั้นเรียน
ผมแอบเหลือบมองไอ้ตัวต้นเรื่องที่นั่งอยู่หน้าห้อง หมอนั่นส่ายหัวอย่างเอือมระอาแล้วหันกลับไปจดเลคเชอร์ต่อ..... แค่ฝันไป.....โหย โล่งอกไปทีดีที่ไม่ใช่เรื่องจริงนะ ลู่หานเอ้ยลู่หาน
========= #ficluckyman =========
“จะจ้องอีกนานมั้ย?”
“...ห...หา?”
ขณะที่นั่งแทะขนมปังแยมสตรอเบอรี่อยู่ตรงบันไดหนีไฟข้างตึก จู่ ๆ หมอนั่นก็โพล่งขึ้นมาทำให้ผมงง ๆ และถามกลับอย่างสงสัย
“..........”
“อ๊ะ! อ๋อ ๆๆ ก็เห็นกินน่าอร่อยเลยอยากกินขนมปังไส้กรอกแบบนายมั่งแค่นั้นเอง เหอะ ๆ” ผมหัวเราะแห้ง ๆ หันหน้าหนีไปอีกทาง แน่ล่ะว่าถ้าเป็นคนอื่นเขาก็คงจะถามกลับมาอีกรอบว่า “ยังจะมาหาเหออะไร ฉันถามว่าจ้องฉันทำไม” ตัวอย่างสมมติครับ เป็นตัวอย่างที่รับรองได้ว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของคนส่วนใหญ่จะถามซ้ำอีกรอบ แต่กับอี้ฝาน....... ถ้ามันถามแล้วเราเผลอถามกลับด้วยคำถามเช่น อะไร ห้ะ ว่าไงนะ นั่นคือจุดจบของคำถามข้อนั้นกันเลยทีเดียว มันจะกริบและไม่ถามอะไรอีก เพราะงั้นเพื่อไม่ให้เป็นการน่าสงสัยจนเกินไป หรือจะทำให้มันสงสัยมากกว่าเดิมก็ไม่ทราบ ผมจึงใช้วิธี ตอบ ๆ มันไปซะมันจะได้ไม่มาติดใจอะไรอีก
คือเรื่องของเรื่องน่ะ ....ผมกำลังมองริมฝีปากของอู๋อี้ฝานอยู่ พูดแล้วก็อายตัวเองวะครับ นั่งกินขนมปังอยู่นี่แหละแล้วอยู่ ๆ พอนึกถึงฝันเมื่อกี้ขึ้นมา ตามันเลยเหล่ไปจ้องปากบาง ๆ นั่นเข้าซะแล้ว ริมฝีปากที่กัดขนมปังพลางเคี้ยวช้า ๆ สายตาคมจ้องมองดูสนามบาสเก็ตบอลที่เขาเล่นชู๊ตห่วงกันอยู่โดยไม่สนใจคนอย่างผมที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ นี้แม้แต่น้อย
เขายกนิ้วหัวแม่มือขึ้นเช็ดซอสที่เลอะตรงมุมปากออกเป็นระยะ พร้อมกับใช้ปลายลิ้นเลียนิ้วที่เปื้อนซอสนั่นอีกที เอ่อ...คือมันก็เป็นอากัปกิริยาปกติของมันที่ผมเห็นอยู่เป็นประจำนั่นแหละ เพียงแต่วันนี้.......เอิ่ม.... feel different ครับ พูดไม่ถูกกันเลยทีเดียว ได้แต่นั่งจ้องอ้าปากหวอมองเขาเสียจนถูกสังเกตได้ด้วยต่อมรับความรู้สึกใต้ผิวหนังล่ะมั้ง
“ตะกละ”
“เอ๊ะ! ก็แค่อยากกินไม่ได้ให้แบ่งให้ซักหน่อย”
“เหมือนกันนั่นแหละ”
“ก็บอกว่าเปล่าไง แค่คิดเฉย ๆ นายนี่!!!” ผมล่ะเบื่อมันจริง ๆ ไอ้บ้าเนี่ย ผมว่านะพวกคุณคงรำคาญผมเหมือนกันที่ผมบ่นแบบนี้อยู่เสมอตั้งแต่เจอกับมันมา แต่ผมก็ขอบอกอีกครั้งล่ะว่าผมเบื่อมันจริง ๆ นะครับ! วันไหนหลุดจากมันได้จะร่ายยาวถึงนิสัยเสีย ๆ ของมันให้รู้สำนึกเสียบ้างตั้งแต่ต้นจนจบเลยเถอะ!
“กินสิ” อู๋อี้ฝานหรือไอ้บ้าที่นั่งข้าง ๆ ผม จู่ ๆ ก็พูดสั้น ๆ พร้อมยัดขนมปังที่มันกำลังกินอยู่เข้ามาในปากกัน......ตั้งใจว่าจะอ้าปากด่าเลยกลับกลายเป็นอ้าปากงับขนมปังไส้กรอกในมือมันไปซะนี่ จะคว้าจากมือ มันก็ดึงหนี พอเคี้ยวหมดมันก็มองหน้ายิ้ม ๆ คล้ายจะล้อเลียน ผมเลยคว้ามือมันทีเผลอแล้วงับขนมที่เหลือเข้าปากให้หมดเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป พอทำหน้าเป็นผู้ชนะใส่ มันก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียดังลั่น จิ้มนิ้วลงมาตรงแก้มที่เลอะซอสของผมก่อนจะรูดป้ายให้เลอะเป็นทางยาวและจิ้มเข้ามาป้ายลิ้นผมจนผมร้องแหวะในความที่มันเล่นอะไรซกมกแบบนี้
“แหวะ ไอ้เลว มือเปื้อนอะไรมั่งก็ไม่รู้ยังมาป้ายลิ้นคนอื่นอีก แหวะ ถุยๆๆๆๆ”
“ฮะ ๆ กวางตะกละซื่อบื้อ” อี้ฝานหัวเราะชอบใจไม่พอยังเอามือเปื้อน ๆ ของมันมาป้ายที่กางเกงของผมอีก จนผมร้องเฮ้ยคว้ามือมันไว้แทบไม่ทัน ไอ้บ้านี่ ไอ้บ้านี่ แมร่ง......แมร่ง.........
“ซกมกชิบเป๋ง ไอ้บ้าเอ้ย กางเกงฉัน” แบบนี้เขาเรียก พูดน้อยแต่ต่อยหนักหรือว่าขี้แกล้งเป็นสันดานกันแน่วะ
ผมหัวเสียมากกับวิธีเล่นซกมกเปื้อน ๆ ของมัน เป็นอีกครั้งที่ผมจับทางอะไรกับมันไม่ถูก บทมันจะแกล้งกวนอารมณ์เหมือนเด็ก ๆ มันก็ทำ บทจะไม่เล่นด้วยมันก็ไม่เล่นกับผมเอาซะเลยจนอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า ชีวิตนี้มันเคยหัวเราะเต็มที่กับเขาบ้างหรือเปล่า
ผมมองมือที่เปรอะเลอะแยมสตรอบเอรี่ของตัวเอง และมองหน้าอู๋อี้ฝานที่ยังคงหัวเราะอ้าปากกว้างสะใจที่แกล้งผมได้ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ก่อนยัดนิ้วลงไปในปากมันเพื่อป้ายแกล้งเลียนแบบบ้าง แต่ผลที่ได้กลับมามันตรงข้ามกันอย่างไม่น่าให้อภัย!
มือใหญ่คว้าข้อมือของผมเอาไว้ และดูดรั้งแยมหวานตรงปลายนิ้วเสียงดังจ๊วบก่อนลากเลียตรงที่เปื้อนแทบจะทุกนิ้วด้วยรอยยิ้มที่แปลความหมายไม่ออก รู้อย่างเดียวว่าหน้าผมตอนนี้อุณหภูมิมันสูงจนร้อนเหลือเกิน!
“กินอะไรเลอะเทอะเป็นเด็ก ๆ ไปได้ ซื่อบื้อ” แน่นอนว่าถึงแม้มือของอี้ฝานจะเลอะแต่ก็ไม่เลอะเท่ากับของผม ขอบปากที่เลอะแยมปนกับซอสพริกแลจะเป็นเป้าหมายต่อไปของปลายลิ้นของอี้ฝาน???? มันมองจ้องมาจนผมผงะถอย
“.......”
“.......”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังแทรกขึ้นมาสองครั้งและหยุดไป ทำให้เหตุการล่อแหลมที่อยู่ในหัวผมเป็นอันต้องถูกระงับไว้ชั่วครู่ อือ มันเป็นเสียง Message เข้านั่นเอง ไม่รู้ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้ามันทำแบบนั้นจริงอย่างที่ผมคาดการณ์มั่ว ๆ ไว้ ผมจะยอมหรือเปล่า???
“......ไปห้องสมุดกัน” เจ้าของปริศนาที่ผมไม่อาจคาดเดาได้พูดชักชวนกันด้วยน้ำเสียงปกติไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย... ผมคงคิดบ้า ๆ ไปเองล่ะ อี้ฝานจะทำแบบนั้นกับผมไปเพื่ออะไรกัน เพราะงั้นจึงได้แต่ลอบพรูลมหายใจและถามกลับเช่นเคยตามนิสัย
“เหอ? ไปทำไม?? ก็เพิ่งจะไปเมื่อเช้า”
“งั้นก็อยู่นี่ เดี๋ยวไปคนเดียว” แล้วเจ้าตัวก็ผลุนผลันลุกเดินไปทันที ทำไงได้ล่ะ ขืนอยู่คนเดียวก็ซวยอ่ะเด่ะ เรื่องอะไร ห้องสมุดก็ห้องสมุดวะ เรียนจบผมอาจได้โล่ นักอ่านดีเด่นก็ได้ล่ะมั้ง
ห้องสมุด...
“นายไปอ่านหนังสือแถวนั้นก่อนแล้วกัน เสร็จธุระแล้วจะเรียก”
“เออ!” ผมเดินเซ็ง ๆ ไปอ่านหนังสือเล่นตามที่มันไล่ อ่านอะไรไรดีล่ะ ไม่รู้จะอ่านอะไร ไปชั้นสองจะมีอะไรให้อ่านมั้ย....อะ...เอ๋????
“ห้องสมุด ...ชั้นสอง อ...อ...ไอ้อี้ฝาน!!!!!!”
ผมรีบหันขวับกลับไปหาหมอนั่นอีกรอบ ก็เห็นมันกำลังเดินหลังไว ๆ เข้าไปในห้องที่เขียนว่า “ห้องเก็บหนังสือชำรุด” พระเจ้า! นี่ผมยังไม่ตื่นจากความฝันใช่หรือเปล่า? ผมวิ่งอ้าวลงจากบันไดและตรงดิ่งไปที่หน้าห้องนั้นทันที พร้อมกับเสียงที่ผมไม่ใคร่อยากจะเดาเท่าไรนัก
“ทำให้หน่อยได้มั้ย” เสียงมินซอกดังลอดออกมาผะแผ่วออกแนวออดอ้อนให้เห็นใจ
“รอไม่ได้ขนาดต้องเรียกกันมาเลยหรือไง”
“ใช่ ถ้านายไม่ทำให้กัน ฉันแย่แน่ ๆ”
เผียะ! ผมตบแก้มตัวเองให้ตื่นจากภวังค์เพราะคำที่ได้ยินเมื่อครู่ แต่......ไม่ตื่น ไม่สะดุ้ง ไม่มีแปรงลบกระดานลอยมา งั้นมันก็.....เรื่องจริง!! เจ้าพวกนี้มัน~~
“เฮ้ย พวกนาย!” ผมเปิดผั่วะเข้าไปกลางบทสนทนาเพื่อห้ามคนทั้งสองไม่ให้ทำผิดอย่างในฝัน จนพวกเขาสะดุ้ง หันมามองอย่างตกใจ
“.........”
“อ้าว กวางน้อย นายอยู่นี่ด้วยเหรอ?” เปาจื่อหรือมินซอกเอ่ยทักพลางโบกมือให้ด้วยรอยยิ้ม
“เข้ามาทำไม?” เพื่อนร่วมห้องคนสำคัญของผมเอ่ยถามตาขวาง
“ก็..ก็...แล้วพวกนายทำอะไรกันอยู่เหรอ? แหะ ๆ”
“เออ....นี่อย่ามัวชักช้าเลย รีบ ๆ ทำให้มันเสร็จ ๆ เร็วเข้าไม่งั้นฉันแย่แน่” มินซอกยังคงพูดเร่งเร้าต่อ
“ของแบบนี้มันทำปุบปับกันได้ที่ไหนกันเล่า” ไอ้เจ้าบ้าอี้ฝานก็พูดทั้งที่ทำมือยุกยิก ๆ อะไรสักอย่างที่ผมมองไม่เห็นเพราะตัวมันบัง
“พ...พวกนายจะทำอะไรกันอ่ะ”
“หนังสือที่ยืมเพื่อนมามันขาดน่ะสิ ถ้าเอาไปคืนทั้งสภาพนี้โดนอัดเละแหงม ๆ ฉันเลยเอามาให้ฝานฝานซ่อมให้น่ะ”
“ซ่อมวันนี้น่ะได้ แต่คืนวันนี้ไม่ได้หรอกนายก็รู้ กว่ากาวจะแห้งอีก แล้วฉันก็ไม่ได้เก่งกาจขนาดจะทำให้มันเหมือนเดิมได้โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตหรอกนะ”
“ฝานฝาน นายช่วยฉันทีเถอะนะ จะดูออกหรือไม่ออกยังไงค่อยไปแก้ตัวเองทีหลังแล้วกัน เอาให้มันรอดไปวันหนึ่งก่อนก็ยังดี เนี่ยเดี๋ยวฉันจะไปพูดถ่วงเวลาไว้ก่อน พรุ่งนี้มะรืนนี้ค่อยเอาไปคืนมันก็ได้ นะๆๆ” มินซอกยกมือท่วมหัว ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องของผมถอนหายใจยาว พลิกหนังสือเล่มหนาไปมาคล้ายจะดูความเสียหายว่ามากน้อยเพียงใด ส่วนผม......ก็ได้แต่ถอนหายใจโล่งอกด้วยเช่นกันที่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ในฝัน
“ถอนใจทำไม?” ขณะที่ยกมือขึ้นลูบอกอย่างโล่งใจ คำถามกะทันหันจากเสาไฟฟ้าต้นเดิมก็ถูกตั้งขึ้นให้ต้องสะดุ้งอีกครั้ง
“เออ...ก็โล่งใจแทน เปาจื่อ เอ้ย มินซอกไงที่มีเพื่อนอย่างนาย สามารถช่วยเหลือเพื่อนได้แม้ในยามคับขัน”
“.......งั้นเหรอ” หมอนั่นเงียบไปแป๊บหนึ่งก่อนก้มหน้าทำเป็นจับนั่นนี่ที่หนังสือ แล้วลอบยิ้มเล็ก ๆ อยู่คนเดียว...แต่ผมเห็น ท่าทางมันจะภูมิใจน่าดูที่สามารถทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนของมันได้เนี่ย คนเราก็มีความสุขที่ต่างกันไปได้จริง ๆ นะครับ แค่ถูกชมว่ามีประโยชน์ก็ดีใจจนยิ้มออกมาซะ............ดูดีเชียว อยู่กับเราทำไมไม่ยิ้มแบบนี้บ้างวะ น่าหมั่นไส้เป็นบ้า....
“มีไรให้ช่วยป่ะ? เดี๋ยวช่วย”
ผมเดินเข้าไปใกล้และพูดออกไปตามมารยาท บอกตามตรงผมไม่มีความรู้หรือมีกะใจอยากจะช่วยหรอก แค่พูดไปให้ดูดีเท่านั้นเอง
“ช่วยออกไปข้างนอกนั่นก็แล้วกัน”
“หา....นี่ไล่ฉันเหรอวะเนี่ย! แต่...นั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่คบกับแกมาเลยว่ะ จะกลับก็บอกแล้วกัน ไปอ่านหนังสือก่อนล่ะ ไปก่อนนะเปาจื่อ เอ๊ะ! ว้าลืมเรื่อยเลยวุ้ย มินซอก บาย~~~”
ผมชี้หน้ามันเมื่อถูกออกปากไล่และยิ้มหวานให้เพื่อให้รู้ว่าผมพอใจเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ต้องอยู่ในห้องอับ ๆ เช่นนี้ ก่อนพยักหน้าให้มินซอกครั้งหนึ่งและเดินจุ๊ยออกจากห้องไป เอ...แต่ปล่อยให้อยู่กันสองคนดีหรือเปล่านะ ....เอาวะ! พูดถึงเหตุผลและสิทธิมนุษยชน ผมว่าผมล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคลของหมอนั่นมากเกินไป นอกจากจะไปรบกวนอยู่ด้วยกับมันแล้ว ยังทำให้กิจวัตรประจำวัน หรือประจำอาทิตย์อะไรของมันมั่วซั่วไปหมด มันอยากไปไหนกับใครก็ไปไม่ได้ ต้องมาติดแหงกอยู่กับผมที่ซึ่ง...มันไม่ได้อยากอยู่ด้วยสักเท่าไรเลยอีก ดังนั้นเอาเป็นว่า เรื่องของสองคนนั้น ผมจะไม่ยุ่ง ไม่เป็นก้างแล้วกัน บางทีนี่อาจจะเป็นข้ออ้างของมินซอกที่แต่งขึ้นมาเพื่อที่จะได้มาเจอกับอู๋อี้ฝานก็ได้นะ ผมจะไม่ยุ่ง ไม่ยุ่ง ๆๆๆๆ ไม่ยุ่งจริง ๆ อยากทำอะไรกันก็ตามสบายตามใจเถอะ มันไม่ได้สร้างความลำบากอะไรให้ผมเท่านั้นก็พอ
ผมสะดุ้งอีกครั้งหลังจากกำลังอ่านนิยายหลอนซาดาโกะอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อโทรศัพท์ที่ตั้งสั่นไว้เกิดทำงานขึ้นมาในเวลานี้
“ฮัล ฮัลโหล ๆ”
“เออ ไอ้ตัวดี หายหัวไปไหนเลย ไม่ยักโผล่มาที่ผับบ้าง เพื่อน ๆ คิดถึงนะเว้ย”
“จงแด! เออ โทษที ช่วงนี้ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้แวะไป อย่าเพิ่งถีบฉันออกจากวงนะเว้ยเฮ้ย ลู่หานจะคัมแบ๊คในไม่ช้า”
“นี่นายอยู่ไหน ทำไมต้องกระซิบด้วย ได้ยินไม่ถนัดเลย”
“...ห้องสมุดว่ะ”
“โอ้โห หายหน้าหายตาไปแป๊บเดียวจากกวางกลายเป็นหนอนหนังสือไปแล้วเหรอเนี่ย เฮ้ย ห้องสมุดไม่มีหนังสือโป๊ให้อ่านหรอกนะเฟ้ย ลู่หาน”
“เออจริง คิดว่ามีซะอีก เฮ้ย ไอ้นี่ พูดเล่นอยู่ได้ มีอะไรหรือเปล่า โทรมาตามกันแบบนี้เกิดไรขึ้นเหรอ ร้อยวันพันปีไม่ยักกะโทรหา”
“ว่าไปนั่น ทำยังกับฉันเป็นเพื่อนแย่ ๆ ประเภทไม่มีเรื่องไม่นึกถึงไปได้ แต่จริง ๆ มันก็มีอะไรทำนองนั้นเหมือนกันวะ”
“มีอะไรเหรอจงแด แต่นายเสียงฟังแหบ ๆ นะ”
“เออนี่แหละถึงได้โทรมา ฉันไม่สบายหวัดลงคอ หมอบอกครั้งนี้หนักเอาการเลยไปร้องไม่ได้ แต่วงรับงานมาแล้วว่ะ ดังนั้นคืนนี้ต่อให้แกแขนขาด ขาขาดก็ต้องมาให้ฉันนะ”
“เฮ้ยวันนี้พอดี...”
“หยุดคิดที่จะปฏิเสธว่ะลู่หาน เอาเป็นว่าคืนนี้เจอกัน 3 ทุ่มนะเว้ย ที่เก่า ไม่มาตัดเพื่อนว่ะ บาย”
ตู๊ด ๆๆๆๆ และแล้วสายก็ตัดขาดไป จงแด เพื่อนวงเดียวกันกับผมที่รับเล่นดนตรีด้วยกันตามผับเมื่อก่อนโทรตามตัวซะแล้ว หลังจากที่มันให้ไปร้องด้วยกันอยู่หลายครั้งแต่ถูกผมบอกปัดมันไปช่วงที่มีปัญหาอยู่นี่ คือเคยพยายามหลายต่อหลายครั้งนะที่จะลากอี้ฝานยักษ์ใหญ่ไปด้วยกันกับผม แต่บทสรุปคือ ดึก...จะนอน ผมเลยจบเห่ ต้องโทรขอโทษขอโพยคุณเพื่อนให้หาคนมาแทนไปก่อนเพราะภารกิจในชีวิตยุ่งเหยิงจนไม่สามารถอธิบายให้ฟังเป็นคำพูดได้
จงแดน่ะ ผมพูดอะไรเขาก็เข้าใจอยู่หรอก เขาไม่ซักไม่ถามถึงเหตุผลความเป็นไปว่าเพราะอะไรหรือยังไง แถมยังบอกด้วยว่า ถ้าผมพร้อมที่จะให้เขายื่นมือเข้ามาช่วยเมื่อไรให้บอกได้เสมอ แล้วก็ไม่เซ้าซี้ผมอีกเลย แต่มาวันนี้ดูเหมือนว่ามันจนด้วยวิธีจริง ๆ ไม่งั้นเขาคงไม่โทรมาหรอก ไอ้ผมน่ะไม่มีปัญหา แต่คนที่มีปัญหาคือหมอนั่นต่างหาก อู๋อี้ฝาน ตัวปัญหาอันใหญ่ยิ่งในชีวิตของผม และชีวิตผมก็ขึ้นตรงกับเขาโดยตรงจนกระทั่งปัจจุบันดีไม่ดีอาจยาวถึงอนาคตข้างหน้าก็เป็นได้ งานนี้ผมตายแน่ ๆ
========== #ficluckyman ============
เสียงฟ้าร้องครืนคำรามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ช่วงนี้อากาศกลับมาหนาวเป็นพิเศษอีกครั้งแล้วก็เริ่มมีฝนตกโปรยปรายให้พอหัวใจหวิวกันได้เป็นระยะ ๆ พยากรณ์อากาศบอกว่ามีพายุดีเปรสชั่นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้แถบชายฝั่งฝนก็เลยมีมาอย่างที่เป็นอยู่นี้ .......หนาวแล้วยังเปียกอีก ทรมานมากจริง ๆ นะครับ ผมน่ะไม่เท่าไรแต่ไอ้คนที่จะเป็นจะตายเพราะสภาพอากาศวิปริตแบบนี้ เห็นจะมีแต่เจ้านี่แหละ ที่นั่งอ่าน นั่งฟังพยากรณ์อากาศเกาะติดทุกสถานการณ์ยังกับตัวมันจะไปเรียนต่อด้านนี้อย่างจริงจัง
ทุ่มนึงเข้าไปแล้ว.....ผมยังไม่ได้พูดอะไรกับอู๋อี้ฝานเลยสักคำ ไม่ได้กลัวมันนะ แต่เซ็งกับคำตอบที่คาดว่าจะได้รับ จึงได้แต่นั่งเล่นมือถือแล้วลุกไปมองหน้าต่างกลับมากด ๆ มือถือ เดินเข้าห้องน้ำแก้เก้อก่อนจะกลับมาเล่นมือถือใหม่
“อะไรของนาย”
หมอนั่นเอ่ยถามผมทั้งที่ยังชี้รีโมทไปที่จอทีวีเพื่อเปลี่ยนช่องดูรายการไปเรื่อย ๆ
“อะไร?”
“ทำท่าทำทางผิดปรกติ” พูดนำมาก่อนแบบนี้ คล้ายเปิดโอกาสให้บอกเรื่องที่อยากพูดพอดีเลย
“พอดีว่า...”
“เหนื่อย ง่วงแล้ว”
“อะไรวะ! เพิ่งจะทุ่มกว่า ๆ เอง จะมาง่วงได้ไง อย่ามาตอแหลหน่อยเลย ฟังคนอื่นเขาพูดมั่งเด่ะ!” แค่จะเอ่ยเกริ่นนำ มันก็ปิดการสนทนาด้วยคำว่า “ง่วง” ทันทีเหมือนเช่นทุกครั้งที่มันไม่อยากจะทำอะไรให้หรือไม่อยากจะฟังคำผม เนี่ย! มันเป็นซะแบบนี้แล้วจะไม่ให้ผมเซ็งได้ไงกันล่ะ
“ก็เหนื่อย อยากนอน”
“วันนี้เพื่อนฉันโทรมา บอกว่าไม่สบายคืนนี้ร้องเพลงไม่ได้ อยากให้ฉันไปร้องแทนเพราะมันหาคนอื่นไม่ได้แล้วจริง ๆ ถ้าไม่ไปมันจะเลิกคบกับฉัน เพราะงั้นยังไงคืนนี้ฉันก็ต้องไปให้ได้”
“นั่นมันก็เรื่องของนาย ฉันไม่ชอบไปที่หนวกหู ๆ แบบนั้น”
“แล้วจะให้ฉันเสียเพื่อนหรือไง”
“มันก็เรื่องของนายไม่ใช่หรือไง” พูดไปอี้ฝานก็เลื้อยลงนอนขวางไปกับพื้นและดูทีวีของมันต่อ
“ขอเหอะ ครั้งนี้คอขาดบาดตายจริง ๆ ไม่ไปฉันแย่แน่ ช่วยกันสักครั้งไม่ได้เหรออี้ฝานๆๆๆ”
“..................”
“คืนนี้คืนเดียวจริง ๆ แล้วฉันจะไม่ขออะไรนายแล้วจริง ๆ นะ ๆๆๆๆ” ผมอ้อนวอนเสียงอ่อนเสียงหวานสุดชีวิต ทำตาปริบ ๆ ดั่งลูกกวางน้อยที่น่าสงสาร
“....................”
“โห ไอ้ใจดำ! ทีฉันยังยอมให้นายไปห้องสมุด ไปหาเปาจื่อ ไปร้านกาแฟที่เจ้านั่นทำงานอยู่ ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ได้อยากไปด้วยเลย แล้วยังปล่อยให้อยู่กันสองต่อสองไม่จุ้นจ้านอีกนะ” ผมโวยวาย พยายามขุดหาหนี้บุญคุณที่เคยยอมมันไว้ในแต่ละครั้งออกมาให้มันรู้สึกสำนึกบ้าง และไม่ลืมเรื่องเมื่อบ่ายที่มินซอกนัดมันออกไปเจอด้วยเช่นกัน ไม่รู้ว่าได้ผลหรือไม่เพราะมันชะงัก หันกลับมามองผมในทันที
“อย่ายุ่งเรื่องระหว่างฉันกับมินซอก แล้วฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเรียกมินซอกว่าเปาจื่อน่ะ!”
“จะเรียก ๆๆๆ มีไรมั้ยวะ! แมร่งเอ๊ย ไม่ง้อก็ได้ ถ้านายไม่ไปก็นอนอยู่นี่แหละ ฉันจะไปคนเดียว ฉันลืมไปว่าฉันมันก็แค่คนที่มาขอพึ่งนายให้นายช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่นายเองไม่ได้อยากจะช่วยกันแม้แต่น้อย ปล่อยให้ฉันไปตายด้านนอกนั่นเลยก็ดี ไอ้ใจดำ!”
ผมว๊ากไปก็เก็บของใช้ใส่กระเป๋าเป้ รูดซิบปิดแรง ๆ ให้รู้ว่าเคืองและคว้าเสื้อโค้ทกันหนาวมาใส่อย่างฉุนเฉียว ก่อนเดินปึงปังออกจากห้องมา....คนเดียว
ตลอดทางกว่าจะถึงผับ ถึงไม่ตายก็ทุลักทุเลน่าดู ผมโทรหาเหม่ยเซียนเพื่อเช็คเรทติ้งความอับโชค ยัยเจ๊แกบอกว่าอาจเป็นเพราะผมได้ซึมซับโชคดีจากอู๋อี้ฝานมาได้ระยะหนึ่งแล้วหรือมี “กลิ่น” ของมันติดตัวบ้างเลยทำให้สถานการณ์ไม่ถึงขั้นเลวร้าย ร้ายแรงเลือดตกยางออก ฟังแล้วคล้ายพวกที่หลอกเจ้ากรรมนายเวรอย่างเช่น “รถคันนี้สีแดง” เทือก ๆ นั้นเลยนะ เหมือนกับผมไม่มีมันแต่มีกลิ่นมีไออุ่นของเขาติดตัวอยู่เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอด เลยทำให้หลอก “ความโชคร้าย” ไปได้ระดับหนึ่ง
ผมเดินเข้าไปด้านในร้านจากทางด้านหลัง แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกรั้งจับต้นแขนเอาไว้ จนอดคิดในใจขึ้นมาไม่ได้ว่าขออย่าให้มีเรื่องมีราวอะไรเกิดก่อนเจอจงแดเลย ขอแค่นั้นจริง ๆ
“จะเหยียบแล้วนะ” เสียงที่คุ้นหูเอ่ยขึ้นเบา ๆ พร้อมดึงตัวเบี่ยงไปอีกทาง ผมก้มลงมองพื้นก็เห็นกอง.....อ้วกที่ไม่รู้ว่าใครมันช่างเมาได้แต่หัววันมาแหวะทิ้งเรี่ยราดไว้แถวนี้ แต่ที่เหนือความคาดหมายคือไอ้คนที่คว้าผมไว้นี่มากกว่า
“นาย....”
“ขาก็สั้นแค่นี้ แต่ทำไมเดินเร็วนักล่ะ” อู๋อี้ฝานในชุดกางเกงยีนส์เข้ารูป เสื้อดำคอเต่าคลุมทับด้วยโค้ทหนังกันหนาวกับรองเท้าขาวหุ้มข้อยาว ผมไม่เคยเห็นเขาในชุดพวกนี้มาก่อนเลยจริง ๆ ปกติเห็นใส่แต่เสื้อเชิร์ตขาวเสื้อกันหนาวไปเรียน อยู่บ้านก็เสื้อย้วย ๆ เดินแถวบ้านกับกางเกงลุง ๆ ทำนองนั้น แต่วันนี้มันดู.......ดี เสียจนผมคิดว่าผมตาฝาดเพราะหมกมุ่นอยู่แต่กับหมอนี่มากไปแล้ว
“นาย...มาได้ไงวะ?”
“ขึ้นรถไฟมาพร้อมกับนายนั่นล่ะ แต่อยู่อีกตู้นึง ขี้เกียจเบียดคน”
อ้อ เพราะหมอนี่อยู่ในบริเวณรัศมีเองสินะ โชคของผมมันถึงได้ติด ๆ ดับ ๆ แบบนี้
“เปล่า หมายถึง....ทำไมนายถึงยอมมา....” ผมเงยหน้าเพื่อมองเขาจนคอแทบตั้งบ่าเพราะความสูงของเรามันห่างกันมาก เขาก็จ้องสู้ตาผมอยู่แค่ไม่นานและเบนหลบหนีไปเสียทั้งหน้าก่อนปล่อยมือออกจากต้นแขนกัน
“นอนไม่หลับ ไม่มีหมี”
คำตอบห้วน ๆ ฟังดูเหมือนไร้แก่นสารจากผู้ชายตัวโต ๆ คนหนึ่ง ทำเอาผู้ชายอย่างผมหน้าชาวาบและรู้สึกใจเต้นตุ่บขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ความรู้สึก.....เหมือนมีใครเอาไฟมาจิ้มช็อตในร่างกายเป็นพัก ๆ แอบดีใจอยู่นิดหน่อยกับเรื่องที่ว่า ผมเองก็มีความสำคัญสำหรับเขาไม่น้อยไปกว่ามินซอกเลย
“ตลก ใครเป็นหมีกัน เออ จะสามทุ่มแล้ว ฉันไปรายงานตัวกับเพื่อน ๆ ก่อน นายนั่งสักโต๊ะนึงแล้วกัน อยากกินอะไรก็กินไป เดี๋ยวฉันบอกเจ้าของร้านให้เอง”
“แต่ถ้าฉันง่วงฉันจะกลับบ้านก่อนนะ จำไว้”
“เออ!” ผมพูดรับคำมันและรีบเดินไปเปิดประตูหลังร้าน พลางนึกอะไรขึ้นได้อีกอย่าง จึงตะโกนเรียกเขาเอาไว้
“เฮ้ย นี่เดี๋ยว!”
“............” หมอนั่นไม่พูดอะไรแต่หันกลับมามองเมื่อได้ยินเสียงผมทัก
“.....ขอบใจ” พูดจบผมจึงเปิดประตูทันที เสียงเพลงจากด้านในดังลอดออกมาที่ข้างนอกนี้และดับลงเมื่อผมปิดบานประตูในมือ และแม้เสียงเพลงข้างในผับจะดังมากเท่าไร แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองมันเต้นตึกตักโครมครามแข่งกับจังหวะดนตรีเหล่านั้น อู๋อี้ฝานจะได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่าผมไม่สน เพราะผมได้พูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกออกไปแล้ว ตอนนี้..............อายเหมือนกัน ที่เอ่ยพูดอะไรแบบนั้นออกไปกับคนอย่างหมอนั่น แต่....ไม่รู้สิ ปกติก็ขอบใจเพื่อนฝูงเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ทำไมกับเหตุการณ์นี้ผมถึงรู้สึกหน้าร้อน ๆ ยังไงพิกลนะ????
วันนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นวันที่ผมสุดจะสุขเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ได้ปลดปล่อยการมาผับเพื่อร้องเพลงเล่นดนตรีแบบนี้นานเหลือเกิน เหล่าเพื่อนฝูงก็พลอยแฮปปี้ไปด้วยเมื่อเห็นผมมายืนแอ๊คอ๊าคอยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะจงแดที่โผเข้ากอดอย่างแสนจะดีใจ ผมหายไปไม่มาเล่นดนตรีกับพวกเขานานมากถูกถามว่าหายไปไหนทำไมไม่ยอมมาร้องเพลงด้วยกัน ก็ไม่สามารถพลั้งปากบอกเหตุผลออกไปได้ พวกเขาคงว่าผมบ้าแน่นอน ดีไม่ดีจะพลอยคิดว่าผมไม่อยากมาถึงได้หาข้ออ้างงี่เง่าแบบนั้นมาพูด
สปอทไลท์ที่สาดส่องลงต้องกาย เพื่อนฝูงที่ยืนประจำตำแหน่งของตัว คนดูที่ต่างมองตรงมายังเวที ขยับหัวขยับตัวเล็ก ๆ ตามจังหวะพร้อมเสียงปรบมือเมื่อเล่นจบ ช่างเป็นพลังงานที่ต่อชีวิตให้ผมได้ไปอีกหลายวันจริง ๆ ระหว่างที่แสดงสดอยู่บนเวที ผมเหลือบมองหาเจ้าของร่างสูงโปร่งที่วันนี้ดูดีผิดหูผิดตากว่าทุกวัน หมอนั่นเลือกที่จะนั่งโต๊ะริมสุดของฝั่งขวา มีหญิงสาวหลายรายเยี่ยมหน้าเดินเข้าไปทักทายและกลับออกมา อืม แน่ล่ะ ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมก็อาจจะเผลอใจเดินเข้าไปทักเหมือนกันถ้าเห็นผู้ชายรูปร่างหน้าตาแบบนี้มานั่งดื่มอยู่ลำพังในมุมสงบ เพียงแต่เจ้าหล่อนทั้งหลายหารู้ไม่ว่าไอ้ผู้ชายหน้าตาดีดูภูมิฐานคนนั้นมัน “ไม่ชอบผู้หญิง” ก็เท่านั้นเอง คำที่อี้ฝานบอกผมในวันแรกที่ผมย้ายเข้าไปอยู่ที่ห้องของเขา ยังคงลอยว่ายวนอยู่ตลอดเวลา ช่วงแรก ๆ ก็อดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้ ว่าผมจะรอดปากเหยี่ยวปากกาไปได้หรือไม่ แต่จนกระทั่งตอนนี้เขาไม่เคยทำอะไรที่ส่อให้เห็นถึงการกระทำที่เรียกว่า “ลวนลาม” หรือ “แต๊ะอั๋ง” หรือ “ล่วงละเมิดทางเพศ” อะไรพวกนั้นสักครั้ง
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องนอนกอดหมีอุ่น นั่นผมถือว่าเป็นเรื่องปกตินะ มันไม่ได้มีความหมายใด ๆ อื่นแอบแฝงเลย เพราะผมเองก็ชอบที่จะมีคนอยู่ใกล้ ๆ เช่นเดียวกัน ส่วนเรื่องปลายลิ้นที่ไล้เลียกินแยมจากนิ้วผมนั่น... ช่างเหอะ คิดแล้วปวดหัวเปล่า ๆ
“โอ๊ยวันนี้บ้าชะมัด ฉันเผลอร้องผิดไปตั้งหลายเพลง”
“เพราะไม่ค่อยได้มาไง ไอ้กวางจอมมั่ว!”
หลังจากเล่นโชว์จบผมเดินบ่นปนขำออกมาภายในห้องพัก ทำให้ถูกจงแดตบเบา ๆ ที่ศีรษะพร้อมส่งน้ำดื่มให้
“เออแหม นิดหน่อยน่า! มากล่าวหาแบบนี้ กวางแห่งรุ่งอรุณเสียใจมากนะเว้ย ฮือ ๆ” ผมแกล้งตีหน้าเศร้าส่งเสียงฮือเบะปากแสร้งร้องไห้เรียกร้องความสนใจ จนทุกคนพากันขำ
“แต่สุดยอดจริงๆ ว่ะเสียงนายยังดีเหมือนเดิมเลย งานหน้าต้องมาอีกให้ได้นะห้ามเบี้ยวล่ะ ขืนเบี้ยวล่ะก็....”
“อ๋อ ดะ....หึย จงแดอย่ามาขู่กันแบบนี้สิ นายก็รู้ว่าช่วงนี้ฉันกำลังมีปัญหาเรื่องเรียนอยู่ ขืนออกมาแรดบ่อย ๆ คงได้ F ติดตัวมาแน่เห็นใจกันบ้าง ขอทำคะแนนหรู ๆ สักนิดก่อน รับประกันมาไม่ขาดจนนายตกกระป๋องไปเลยเถอะ” จะตอบว่า ‘ได้เลย’ หน้าไอ้เจ้าอู๋อี้ฝานก็แว่บแปล๊บขึ้นมาในหัวทันทีทันใด ทำเอาต้องรีบกลืนคำที่กำลังจะหลุดปากบอกเพื่อนลงคอกลับไปที่เก่า
“ทั้งปีล่ะ กวางซื่อบื้อเอ้ย งั้นก็รีบ ๆ เก็บคะแนนอะไรของนายไปซะให้เสร็จ ๆ จบ ๆ ไปสักทีเถอะ เพื่อนฝูงจะตัดออกจากกองมรดกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
“เออน่า ใจเย็น ๆ ใกล้แล้วอีกนิดหน่อยเอง เออจริงสิ นายมียาแก้ปวดหัวบ้างหรือเปล่า ขอฉันหน่อย สงสัยเพราะวันนี้อากาศจะเย็นเกินไปไม่ได้ติดหมวกมาด้วย หัวเย็นเกินจนปวดหัวเป็นบ้า”
“ในกระเป๋านั่นน่ะหยิบเอาได้เลย ซิบซ้ายหรือขวานี่แหละ เดี๋ยวฉันไปหาเจ้าของร้านแป๊บ” จงแดตบลงบนไหล่ผมทีสองทีและชี้มือไปยังกระเป๋าของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเดินหลีกออกไป คนคนอื่น ๆ ก็เริ่มเก็บเบส เก็บของลงประเป๋ากันอย่างไม่ใส่ใจกันนัก ผมจึงเดินมาคุ้ยเป้ของจงแดตามที่เขาบอกและหยิบยาแก้ปวดหัวขึ้นมาแกะกิน วางถุงไว้ที่โต๊ะ สักพักจงแดถึงได้เดินกลับเข้ามา
“เออใช่วันนี้ฉันมีเพื่อนมาด้วย ยังไงขอกลับก่อนแล้วกันนะ ทิ้งมันไว้คนเดียวไม่รู้แม่งหนีกลับไปหรือยังเนี่ย”
“เพื่อน? ผู้หญิง???”
“ไม่ ๆ ผู้ชายสิวะ รูมเมทน่ะ ช่วงนี้เงินช็อตเลยต้องหาคนหารค่าห้อง ไม่งั้นไม่เหลือตังค์ถึงสิ้นเดือนแน่ วันนี้มันบอกว่าอยากมาดูเลยให้ตามมาด้วยกัน ไปก่อนนะว้อย รีบว่ะ แล้วไงเดี๋ยวไว้ฉันโทรหา” ผมกอดและตบหลังจงแดรวมถึงทุกคนเบา ๆ เหมือนเช่นทุกครั้งที่เล่นไลฟ์เสร็จ พลางยกมือขึ้นลา รีบก้าวเท้าเดินปลีกตัวออกมา ก่อนจะถูกถามถึง ‘รูมเมท’ ที่ว่าให้มากเรื่องมากราวไปกว่านี้...ดูท่าทางอี้ฝานคงเดินออกมาจากร้านแล้วล่ะ เพราะโต๊ะที่เขานั่งเมื่อตอนผมร้องเพลงถูกจับจองโดยคนอื่นไปแล้ว
“อ้อ อยู่นี่เอง”
“อื้อ” เขาตอบเพียงเท่านั้นแล้วออกเดินดุ่มไปในทันที เป็นผมที่ต้องรีบตามและฝอยถึงความสนุกปลื้มปริ่มที่ได้ร้องเพลงร่วมกับเพื่อน ๆ อีกครั้ง เราเดินกันจนมาถึงสถานีรถไฟเพื่อรอรถเที่ยวสุดท้ายกลับบ้าน โอย....ทำไมยาแก้ปวดถึงไม่ออกฤทธิ์สักทีฟระ ดูเหมือนตอนนี้จะยิ่งปวดหัวมึนหัวเสียกว่าเมื่อครู่อีกนะ
“เป็นอะไร?”
“ปวดหัวน่ะ สงสัยอากาศจะเย็นมาเกินไป อเลิร์ทเกินด้วยมั้งอาดีนาลีนเลยหลั่งจนปวดหัวเมื่อยตัวขนาดนี้”
“.....สม” อี้ฝานหันมาถามเมื่อผมทำหน้าไม่ค่อยสบายเท่าไร ก่อนจะสมน้ำหน้าซ้ำเมื่อผมบ่น.....มันน่านักนะ..
สักครู่เราก็เห็นรถไฟเที่ยวสุดท้ายกำลังเปิดประตูรับผู้โดยสารเข้าไป ผมถูกอี้ฝานจับต้นแขน ดึงให้รีบวิ่งไปให้ทันประตูที่จะปิดในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ฝ่ามือที่กำรวบต้นแขนของผมไว้จนแน่น ทำเอาปั่นป่วนมวนท้องยังไงบอกไม่ถูก มันแล่นแปลบเข้ามาพร้อมกับความมึน ๆ งง ๆ คล้ายสติจะพร่าเลือนลงไปได้ในทุกขณะ นี่ท่าทางผมจะป่วยเอาซะแล้วใช่มั้ยเนี่ย
ณ ห้องพักนักดนตรี
ในขณะนั้นเอง......
“หือ? ชิบหายแล้วไง” จงแดสบถกับตัวเองเมือเห็นถุงซองยาบนโต๊ะข้างกระเป๋า
“อะไรเหรอ?” เหล่าสมาชิกในวงเอ่ยถามที่จู่ ๆ เขาก็สบถออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“แกอยากได้คำอธิบายยาว ๆ หรือสั้น ๆ ดีล่ะ?” จงแดตอบเพื่อน ๆ ด้วยใบหน้าปั้นยากทำให้ทุกคนจ้องกลับและรอฟังคำตอบจากนักร้องนำของวงที่วันนี้ป่วยจนต้องให้เพื่อนมาร้องแทน
บนรถไฟที่แน่นขนัดผมกับอู๋อี้ฝานถูกบีบอัดแน่นเป็นปลากระป๋องอยู่ในตู้ขบวนที่ไม่รู้ว่าตู้อื่นเขาจะแน่นแบบนี้บ้างหรือเปล่า หมอนั่นเบียดแทรกตัวเข้าไปพิงประตูอีกฝั่ง โดยมีผมยืนหันหน้าชนกับมันอย่างเลี่ยงไม่ได้...จริง ๆ ก็ไม่ใช่หน้าชนหรอก หน้าผมชนอกมันซะมากกว่า ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงด่าและบ่นเรื่องหายใจไม่ออกแน่ แต่ทำไมตอนนี้ไม่รู้สึกอยากด่าเลยสักนิด
“ถ้าออกมาให้ไวกว่านี้ก็ไม่ต้องทนเบียดกับคนอื่นแล้ว”
เจ้าของร่างสูงบ่นด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็ก ๆ พลางหันมองกระจกด้านนอกที่ซึ่งไม่มีอะไรจะให้มองเลยแม้แต่น้อย ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างที่ได้รูปของเขาจนอดนึกชมในใจไม่ได้ว่าหมอนี่มันดูดีเหลือเกิน
“จ้องทำไม”
“วันนี้นายดูดีกว่าทุกวันนะ”
“หือ?” คำถามเรื่อยเฉื่อยที่เขาเปรยออกมาเมื่อรู้ว่าถูกมอง ถูกผมตอบกลับโดยไม่ได้คิดที่จะปิดบัง ทำให้เจ้าตัวที่เอ่ยปากถามคล้ายจะทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่
เสียงรถวิ่งกระเทือนและส่ายไปมาเล็กน้อย จากนั้นก็เลี้ยวโค้งตามรางอย่างที่ผมและหลาย ๆ คนบนขบวนไม่ทันได้ตั้งตัว เสียหลักไปนิดหน่อย หน้าผมกระแทกอกอู๋อี้ฝานไม่มากพอตั้งตัวได้ แต่ดูเหมือนพวกไร้กระดูกด้านหลังผมจะพากันทำให้ผมแทบจะซบอกหมอนี่ไปเลยทีเดียว เขาคว้าต้นแขนผมไว้โดยแรงอีกครั้ง คล้ายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่คนเรามักจะทำ ๆ กันอยู่เสมอยามที่เห็นใครสักคนเสียหลัก.... อีกแล้ว...ทำไมทั้ง ๆ ที่ควรจะรู้สึกเจ็บเมื่อถูกบีบตรงเนื้ออ่อนของแขน ผมกลับรู้สึกจิ๊ด ๆ และร้อนวูบขึ้นมาแทนกัน? นี่ใส่เสื้อกันหนาวอยู่ด้วยนะไม่ใช่แขนเปลือยอีกต่างหาก
ผู้หญิงด้านข้างที่เผลอวาดมือมาคอ ทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง ปัดมือเธอออกอย่างทันควันจนเธอหันมองและโค้งน้อย ๆ ขอโทษอย่างงง ๆ ตอนนี้จะถอยไปยืนตรงที่เก่าก็ไม่ได้ เพราะผู้คนเบียดกันหนักข้อกว่าเมื่อครู่และกำลังจะทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจยังไงพิกล จากที่ปวดหัวและเมื่อยมึนตอนนี้คล้ายอาการเมาคนจะสาหัสกว่าเสียด้วยซ้ำ
“เป็นอะไรน่ะ?” อู๋อี้ฝานก้มลงถามผมใกล้ ๆ เพราะคงเห็นสีหน้าที่ค่อนข้างไม่สู้ดีนักของผม แต่ผมว่ายิ่งมันเข้าใกล้ ผมยิ่งแย่ไปกว่าเดิม กลิ่นบุหรี่ที่ติดบนเสื้อโค้ทผสมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากผมของหมอนั่น ทำให้เลือดในตัวสูบฉีดผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็นและโดยเฉพาะ......โดยเฉพาะ ???
“ถามว่าเป็นไรหรือเปล่าหน้าซีดพิกล เป็นลมบนนี้ขึ้นมาฉันปล่อยทิ้งเลยนะ”
เหมือนจะใจดีแต่ก็กลับโฉดโหดร้ายได้ในประโยคหลัง นี่แหละอู๋อี้ฝานที่ผมอาศัยอยู่ด้วย แต่ตอนนี้เรื่องน่าห่วงกว่าปากเสีย ๆ ของหมอนี่มันก็คือ....
“เออ ๆ ไม่เป็นไร แต่....ช่วยขยับไปไกล ๆ หน่อยได้มั้ย ปวดหัว”
“........ตลกหรือไง เห็นว่ามันว่างขนาดนั้นเลยเรอะ? หน้านายแดงขึ้นมาแล้ว ไข้ขึ้นหรือไงกวางบ้า” พูดไม่พูดเปล่า ยังจะถือวิสาสะยกมือขึ้นมาอังแก้มผมอีก โอ๊ย นี่ถ้าร้องด่าได้ไม่อายใครจะด่าแล้วนะ ปกติเคยคิดจะดูดำดูดีกันเสียที่ไหน มาตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน คนกำลังมีปัญหาดันผีเข้าห่วงกันขึ้นมาซะอย่างนั้น
ผมปัดมือเขาออกแบบไม่ใยดีและก้มหน้าไม่คุยกับเขาอีก พยายามทำให้ตัวเองให้นิ่ง เงียบ สงบที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั้งมือถือเครื่องน้อยในกระเป๋ากางเกงดันสั่นขึ้นมาให้สะดุ้งและร้อนวูบวาบขึ้นมา จะล้วงมือไปกดรับสายก็ไม่รู้ทำไมถึงอยากให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นไปก่อน จนเหมือนอาการสั่นมันไปทำให้คนข้าง ๆ สะกิดบอกผมให้รับสักที ผมจึงจำใจต้องหยิบมันออกมา ที่สำคัญกว่านั้นคือไอ้เจ้ายักษ์เสาไฟฟ้าแรงสูงมันใช้มืออ้อมโอบรอบเอวผมพร้อมดึงเข้าหาตัวอย่างช้า ๆ จนผมสะดุ้งเฮือก คว้าปัดออกแต่ไม่เป็นผล ผมแหงนมองหน้ามัน มันก็มองกลับคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ท..ทำอะไรของนายวะ!”
“ยืนไม่ถนัด หลังมันชนอยู่กับอะไรไม่รู้เจ็บ ฝากขาไว้ข้างนึงแล้วกัน” อี้ฝานอธิบายแค่นั้นแล้วก้าวขายาว ๆ ออกมาด้านหน้าข้างหนึ่ง เพื่อแทรกเหยียบยืนตรงพื้นที่ว่างระหว่างขาทั้งสองข้างของผม ทำให้ผมและมันหากมองจากที่ไกล ๆ อยู่ในท่าล่อแหลมที่สุด! (ซึ่งตอนนี้คงไม่มีใครสามารถทำได้เพราะเบียดกันเป็นปลากระป๋องทั้งนั้น) โอย.....ยิ่งเบียดกันแบบนี้ผมก็ยิ่งแย่หนักกว่าเก่าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก อยากให้หลับตาแล้วถึงบ้านเลยจริง ๆ
“ฮ..ฮัลโหล”
“กวางน้อย อยู่ที่ไหนแล้ว”
“บนรถไฟน่ะสิ จงแดนายโทรมาก็ดีแล้วฉันมีเรื่องจะถาม”
“คิดว่าพอจะรู้นะว่านายหมายถึงอะไร ฉันก็จะโทรมาเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน นายใกล้ถึงบ้านหรือยังน่ะ”
“คงอีกสักครึ่งชั่วโมงได้มั้งกว่าจะถึง นี่ จงแด” กำลังจะเอ่ยปากพูดต่อเพื่อนปลายสายก็ไม่วายแทรกพูดถามอีก
“หิวน้ำ คอแห้ง มั่งมั้ยลู่หาน”
“ใช่ คอแห้งมากกกก มึนหัวด้วย ปวดหัวก็ยังไม่หายเลยด้วยซ้ำ แล้วเนี่ย..” กำลังจะเอ่ยต่อ ต้นขาของอู๋อี้ฝานก็คล้ายจะขยับยุกยิกทำให้ผมร้อนวูบอีกหน
“เอ่อ คือยาที่นายกินไปนั่นน่ะ”
“เออใช่ ไอ้ยาที่ฉันกินน่ะ”
“ยาแก้ปวดหัวอยู่ฝั่งซ้าย ยาปลุกอยู่ฝั่งขวา ฉันเห็นนายวางซองยาปลุกไว้บนโต๊ะ แปลว่านายกินเข้าไปแล้วใช่มั้ยวะ? ลู่หาน?”
“อะไรนะจงแด? นายว่าฉันกินยาอะไรเข้าไปนะ? อ๊ะ เฮ้ย!” เท่านั้นมือถือที่อยู่ในมือ ก็ถูกเพื่อนร่างสูงตรงหน้าคว้าไปฟังแบบไร้สมบัติผู้ดีเสียแล้ว ผมไม่รู้ว่าจงแดว่ายังไงต่อบ้างในโทรศัพท์ รู้แต่ว่าหมอนั่นมันยืนฟังอยู่ได้สักพักก็กดปิดวางหูไปพร้อมหันมามองหน้าผมอย่างเซ็ง ๆ
“นายนี่มัน..................ขยันหาเรื่องแท้ ๆ”
To be con…….
----------------------------------
Talk with me
ฮิ้ววว ตอนที่ 6 แล้ว อย่างรวดเร็ว หวังว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะชอบคริสลู่เวอชั่นนี้กันนะ ช่วงหลังลู่หานทำเรื่องตลอดๆ ห่างอู๋ไม่เคยได้ จนอยากจับมัดให้อยู่กับอู๋ไปตลอดซะให้รู้แล้วรู้รอด ฮ่าๆๆ ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อด้วยนะ กับตอนหน้าค่า
with love
viruskei (เมย์)
ความคิดเห็น