คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : skin 05
Episode 5
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา โอ เซฮุนมักใช้เวลาว่างในช่วงหลังเลิกเรียนที่ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทหรือรีบกลับบ้านแวะไปยังงานจัดแสดงภาพของคิม จงอิน เพื่อต่อรองขอซื้อภาพที่เขาติดใจมาไว้ในครอบครอง จากครั้งแรกที่เป็นเพียงภาพที่หมายตา กลายเป็นภาพที่อยากจับจองเป็นเจ้าของ ผลักให้กลายเป็นทิฐิที่ต้องการเอาชนะด้วยอำนาจเงิน และสุดท้ายมันจึงกลายเป็นความผูกพันกับภาพๆ นั้นโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะพยายามเสนอราคามากมายแค่ไหน ฝ่ายผู้วาดเช่นจงอินก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมขายให้เลยแม้แต่น้อย สร้างความหงุดหงิดให้เซฮุนได้ทุกครั้งที่เหยียบย่างเข้าไปในแกลอรี่แห่งนั้น แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้นเขากลับไม่เคยนึกเบื่อที่จะเดินเข้าไปต่อปากต่อคำกับจงอินเลยสักครั้ง เหมือนมันเป็นที่เพียงแห่งเดียวที่เขาสามารถเป็นตัวของตัวเอง เป็นเพียงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนจากตระกูลโอ คนที่ใช้นามสกุลนี้แต่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับใครมากมายนัก เป็น โอ เซฮุน เด็กหนุ่มวัย 19 เจ้าทิฐินิสัยคุณหนูธรรมดาๆ คนนึงเท่านั้น ไม่ใช่ โอ เซฮุน หนึ่งในทายาทผู้มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งประธานบริหารหรือผู้เป็นเจ้าของโอกรุ๊ปทั้งหมดซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศ
“คุณเซฮุนคะ วันศุกร์หน้านี้ตกลงว่าคุณเซฮุนจะเข้าร่วมงานเลี้ยงของบริษัทหรือเปล่าคะ”
เยจีที่หยิบแฟ้มเอกสารกองที่เซฮุนอ่านแล้วออกจากโต๊ะเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ยังคงมองออกไปนอกกระจกใสด้านหลังของโต๊ะทำงาน มองดูตึกสูงระฟ้าที่สะท้อนแสงแดดยามบ่ายจนเป็นประกายตอบรับกันเป็นทอดๆ เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาเข้ามาในห้องนี้....ตั้งแต่ความสูงยังไม่พ้นขอบโต๊ะทำงาน ชะเง้อคอเอาหน้าแนบกระจกจนแก้มยู่ มองดูวิวของเมืองๆนี้ด้วยความตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่ได้มา...กระทั่งปัจจุบันที่บัดนี้เติบใหญ่มุมมองของโลกภายนอกสำหรับเขามันเปลี่ยนไป....มันเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากมายเหลือเกิน
ที่เยจีต้องถามย้ำอีกครั้งเนื่องด้วยเธอบอกเรื่องงานเลี้ยงบริษัทมาให้เซฮุนรับทราบตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ตอบรับหรือตอบปฏิเสธใดๆ แม้สักทาง จนตอนนี้เธอค่อนข้างไม่สบายใจเท่าไรนักด้วยมีหลายคนต้องการคำตอบเรื่องการมาหรือไม่มาของ โอ เซฮุน บุตรชายคนเดียวของประธานคนก่อน
“ได้ยินว่าแทซันต้องไปติดต่องานกับทางฝั่งยุโรปสองอาทิตย์”
“ใช่ค่ะ” คำตอบของเยจีชี้ชัดแจ้งว่าหากเขาไป เขาต้องไปเพียงลำพังคนเดียว เพราะเยจีแม้ปกติจะเป็นคนสอนงานของพ่อให้เขาได้รับทราบและเรียนรู้ แต่เธอเองก็ไม่สามารถออกหน้าไปงานทางการเหล่านี้กับเขาได้เต็มตัวนัก
”....แล้วจำเป็นต้องไปพบใครที่นั่นงั้นรึ?”
“ในงานคู่ค้าและเหล่าผู้มีสิทธิ์ในตำแหน่งประธานน่าจะมากันหมดค่ะ เป็นไปได้ดิฉันว่าคุณเซฮุนควรจะ...”
“ถ้าฉันไม่ไป บรรยากาศในงานอาจจะรื่นเริงดีกว่ามั้ง” คำพูดของเซฮุนทำให้เยจีนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง เซฮุนแค่นยิ้มเย้ยเหยียดตัวเอง ก่อนหันไปมองเลขาของพ่อด้วยใบหน้าเรียบนิ่งและกล่าวต่อ
“ใครที่มาถามหรือใครที่อยากรู้ บอกไปว่า ฉันจะไปร่วมงานด้วยแน่นอน” ร่างบางคว้าหยิบเป้ของตัวเองและเดินออกจากห้องทำงานไป มีลู่หานที่วันนี้คอยดูแลอยู่ข้างกายภายในห้องเดินตามออกไปติดๆ และไปสมทบกับอีกสองคนซึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง
พักนี้การวิวาทระหว่างเจ้านายกับบอดี้การ์ดลดน้อยลงกว่าในคราแรกเริ่มมากนัก คงเพราะไม่ว่าจะทำยังไงสามชาวจีนก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย หรือหากใช้เกินกว่าหน้าที่ ๆ ทำ ทั้งสามก็จะปฏิเสธไม่ยอมทำตาม และขัดใจอย่างมีเหตุผลมารองรับได้เสมอ บวกกับงานที่ต้องเรียนรู้มันมากเพิ่มขึ้นทุกวันจนไม่มีเวลาให้กับการตะแบงใส่ใคร เหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะเพิ่มภาระให้ตัวเองไปมากกว่านี้ บรรยากาศระหว่างเจ้านายกับบอดี้การ์ดจึงดูเรียบง่ายผิดหูผิดตาจนคล้ายจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีกว่าเดิมนัก
ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ยังคงไม่ลดละหรือล้มเลิกในความคิดของตน คงปฏิญาณกับตัวเองว่าสักวันจะทำให้คนพวกนี้ยอมเขาให้ได้ โดยเฉพาะหวง จื่อเทา ที่แม้แต่ลูกเบสบอลที่รู้ดีว่าถ้าหลบแม้สักนิดคนที่โดนจะต้องเป็นนายน้อยตระกูลโอคนที่ตนต้องดูแลปกป้องแน่ๆ แต่จื่อเทาก็ยังหลบให้ลูกไปโดนเซฮุนเข้าเต็มๆ เรียกได้ว่าถ้าภัยมาแบบไม่ถึงตายจะไม่มีทางช่วยเหลือกันเด็ดขาด และคนที่ดีใจกับเรื่องนี้ที่สุดคงหนีไม่พ้นคุณแทซัน ที่ไม่ต้องมานั่งหาบอดี้การ์ดคนใหม่ให้นายน้อย ไม่ต้องปวดหัวคอยรายงานเท็จกับคุณท่านเกี่ยวกับพฤติกรรมของคุณหนู ส่วนสามบอดี้การ์ดชาวจีนเองก็รู้สึกสนุกกับนิสัยของเซฮุนอยู่ไม่น้อย ชอบแหย่ให้คิ้วขมวดเล่นเป็นพักๆ โดยเฉพาะลู่หานที่ขี้เล่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และจื่อเทาที่สนุกเป็นพิเศษยามทำให้ฝ่ายนั้นตวัดหางตามามองกันเมื่อตนไม่ยอมช่วยเหลือ ส่วนคริสถึงไม่แกล้งยั่วโมโหแต่ก็ไม่ตามใจเช่นกัน ต่างคนต่างล้วนเอ็นดูในความปากร้ายแต่จิตใจดีของนายน้อยรายนี้ ชอบในความที่เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่เคยเสแสร้ง หรือทำอะไรลับหลังคนอื่น แม้บางครั้งจะเอาแต่ใจอย่างไร้เหตุผลไปบ้างแต่สถานการณ์ที่เด็กอายุ 19 ต้องพบเจอและกดดันอยู่ทุกวัน มันทำให้ทั้งสามเข้าใจและเห็นใจคนๆ นี้จนมองข้ามนิสัยเสียที่ระบายออกอย่างใจกว้าง
“จะขายรึเปล่ารูปน่ะ ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ” เซฮุนยังยืนกรานจะขอซื้อภาพจากจงอินให้ได้
“ไม่ขาย บอกจนเหนื่อยแล้วนะเนี่ยว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ไป” จงอินบ่นเพราะนี่ก็เข้าไปอาทิตย์ที่สองแล้วที่เซฮุนมาตามตื๊อขอซื้อภาพอย่างดื้อดึงไม่ยอมลงกับข้อเสนอของเขาสักที เมื่ออีกฝ่ายตะแบงเขาเองก็อยากที่จะเอาชนะ เพราะเรื่องเงินทองทั้งหลายเขาไม่เคยสนอยู่แล้ว ปกติที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ทำให้ชีวิตเขาดีพอไม่ต้องขวนขวายอยากมั่งอยากมีอย่างใครเขา ทุกอย่างที่ทำขึ้นตรงกับ “ความพอใจ” และดูเหมือนด้านนั้นเองก็ทำตามความพอใจของตัวเองอยู่ด้วยเช่นกัน
“นี่ฉันไม่เคยต้องมาอดทนรออะไรนานๆ แบบนี้มาก่อนเลยนะ”
“ฉันก็ไม่เคยเจอใครที่ดื้ออย่างนายเหมือนกันเซฮุน ถ้าเปลี่ยนจากผู้ชายมาเป็นผู้หญิงตามเทียวไล้เทียวขื่อกันทุกวันๆ แบบนี้คงดีอยู่หรอก” เอาตามจริงเขาก็อยากให้เซฮุนตอบตกลงเลิกดื้อดึงได้เสียที แต่เพราะเวลาเห็นท่าทางฮึดฮัดของเซฮุนทีไรมันทำให้อารมณ์ดีขึ้นนี่ล่ะถึงได้ยังคงตั้งมั่นปักหลักไม่ยอมถอยให้จนทุกวันนี้ มีเด็กนี่มาโหวกเหวกวันละครั้งก็แก้เบื่อได้ไม่น้อย
“เอ่อ…คุณคิม จงอินใช่มั้ยครับ?” ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาทักทายพร้อมสูจิบัตรในมือ ทำให้บทสนทนา…ที่กำลังกลายเป็นเถียงกันของจงอินกับเซฮุนหยุดลงได้
“ครับผมเอง…มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ?” จงอินหันไปยิ้มรับให้กับชายคนนั้น
“คือ ผม…ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องศิลปะเท่าไรนักหรอกครับ แต่ว่า…” ชายผู้มาใหม่ชี้นิ้วไปยังรูปสีน้ำทะเลที่เป็นประเด็นปัญหาระหว่างจงอินและโอเซฮุนอยู่จนทุกวันนี้
“ภาพนั้น ขายให้ผมได้มั้ยครับ? ผมไม่ทราบหรอกนะครับว่าราคาเท่าไร แต่ผมชอบภาพนี้ของคุณจริงๆ” นั่นทำให้เซฮุนที่ยืนอยู่ถัดออกไปไม่ไกลนักหันไปมองทันทีทันใด ด้วยไม่ทันระวังยังผลให้แสดงสีหน้ากังวลใจออกมาอย่างเด่นชัดจนทำให้จงอินจับพิรุธและยกยิ้มขึ้นมาอย่างผู้มีชัย คริสสะกิดลู่หานพลางกระซิบ....
“ดูท่าวันนี้จะรู้ผลแพ้ชนะของคู่นี้แล้วนะ”
“....ฉันก็ว่างั้น ไม่รอดว่ะ” ลู่หานกระซิบกลับก่อนทั้งสองจะวางตัวเฉยเหมือนอย่างเก่า รอฟังผลลัพธ์ที่พวกตนคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้ายิ่งกว่าพนันบอลกันเสียอีก
“ครับขายครับ”
“คิม จงอิน ภาพนั่นของฉันนะ! ไหนนายบอกว่าจะไม่ขายไง!” เซฮุนเอ่ยสวนขึ้นมาทันทีทำเอาคนที่ขอซื้อภาพเมื่อครู่สะดุ้งและหันไปมองเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาก่อนหันมาขอความเห็นและคำตอบจากผู้สร้างสรรค์ผลงาน
“สำหรับนายไม่ได้มีไว้ขาย แต่สำหรับคนอื่น ขายได้” จงอินหัวเราะในคอเบาๆ ขยิบตาให้เซฮุนก่อนหันไปหาชายคนดังกล่าวอีกครั้ง
“ผมขายให้คุณราคา...”
“โอ๊ยหยุด! ตกลงฉันจะเป็นแบบให้นายวาดภาพ นายห้ามขายภาพนั้นให้ใครเป็นอันขาด! จึ๊!!!” เซฮุนร้องห้ามลั่นแกลลอรี่ ก่อนกัดฟันตอบตกลงเป็นแบบให้อย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก ทั้งจึ๊ปากอย่างหงุดหงิดใจที่สุดท้ายตัวเองก็ต้องเป็นฝ่ายยอมจำนนเสียเอง ทำให้จงอินระบายยิ้มมุมปากอย่างพอใจก่อนหันไปหาผู้ถามซื้อและก้มหัวขอโทษอย่างจริงใจ
“ขอโทษนะครับ ภาพนั้นคงขายให้ไม่ได้แล้ว เอาเป็นว่าผมให้คุณเลือกภาพจากทางด้านโน้น ถ้าชอบภาพไหนบอกผมได้ครับ ผมยินดียกให้เพื่อเป็นการขอโทษที่ไม่สามารถขายภาพสีน้ำทะเลนั่นได้” พลางชี้ไปทางห้องแสดงภาพวาดโซนราคาสูงทั้งหลาย เพราะถือเป็นการขอบคุณด้วยเช่นกันที่มาถามซื้อเปิดช่องโอกาสให้บีบเซฮุนยอมตกลงเป็นแบบวาดภาพโดยไม่รู้ตัว
“ยินดีด้วยนะ ที่จะได้ร่วมงานกัน” จงอินยื่นมือให้จับ แต่เซฮุนกลับมองและทำเฉย จงอินจึงคว้ามือมาจับเขย่าๆ ก่อนถูกสะบัดออกอย่างไร้เยื่อใยด้วยคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างแสดงให้เห็นเด่นชัดว่ายังไงก็ไม่พอใจอยู่ดี
“จะรับภาพไปเลยรึเปล่า จะได้ให้คนมาปลดลงไปให้”
“ถ้าฉันได้ภาพไปแล้ว แล้วไม่มาที่นี่อีกเลยล่ะ? ไม่กลัวหรือไง?” ดวงตาเรียวช้อนตวัดมองพลางถามกลับไม่วายกวนประสาทใส่
“ฉันว่าคนตระกูลโอคงจะมีศักดิ์ศรีพอที่จะรักษาคำพูดของตัวเองนะ ว่างั้นหรือเปล่า โอ เซฮุน?”
“..............” เซฮุนไม่ตอบ ยืนรอให้คนปลดรูปสีน้ำทะเลของเขาลงมาและห่อแพ็คสำหรับเตรียมการขนย้าย มีคริสเดินไปดูและถือมาให้โดยครั้งนี้ไม่ต้องสั่งหรือร้องขอให้ทำให้แม้แต่น้อย
“เสาร์นี้ 11 โมงนะ ฉันจะรอ” จงอินตะโกนไล่หลังพร้อมรอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้าอย่างผู้มีชัยผิดกับท่าทางหงุดหงิดของคุณชายน้อยตระกูลโอที่สาวเท้าเดินเร็วออกจากแกลอรี่ไปอย่างสิ้นเชิง
“บอกแล้วไงล่ะ.....ว่าทุกอย่างมันต้องใช้เวลา” ชายหนุ่มผิวคล้ำแหงนมองดูภาพเทพผู้เหยียบกาลเวลาของตนพลางกล่าวกับตัวเองเพียงลำพัง
“เจ้าหมอนั่นทำเอาเซฮุนจ๋อยไปเลยแฮะ ตลกเป็นบ้า” ลู่หานหัวเราะอารมณ์ดี
“แต่ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ ถูกบังคับทางอ้อมอย่างนั้น” คริสหัวเราะน้อยๆ
“เทา วันเสาร์นี้ ฉันว่านายไปกับเซฮุนคนเดียวก็พอมั้งจะได้ไม่เอิกเกริกนัก” ลู่หานหันหาเทาที่นั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ ฟังพี่ชายสองคนคุยไปกินไปตั้งแต่แรกเริ่ม
“ไปไม่ได้ เสาร์ฉันมีเรียนเสริมเก็บรายวิชาที่ขาดไป พี่ไปกับพี่อี้ฝานสองคนล่ะดีแล้ว” เทาบอกเหตุผลที่พี่สองคนมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ได้
“ช่วยไม่ได้งั้นนายก็เรียนไปแล้วกัน ว่าแต่เข้าเรียนกับเซฮุนบ่อยๆ นี่ยังไม่สนิทกันอีกเหรอ?” คริสถามน้องชายไปตามประสาเพราะหากมีใครสักคนในกลุ่มสนิทกับเซฮุนได้ การคุ้มกัน การทำงานก็คงง่ายเข้าและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม และคนที่สมควรจะสนิทได้ง่ายสุดน่าจะเป็นจื่อเทาที่อายุเท่ากันกับคุณชายน้อยคนนั้น
“จำเป็นต้องสนิทด้วยเหรอ? ฉันก็ทำหน้าที่ของฉัน อายุเท่ากันก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันไม่ใช่หรือไง?”
“ฉันว่าเซฮุนคล้ายนายนะเทา” ลู่หานที่กินอิ่มแล้วเท้าคางจ้องหน้าน้องชายด้วยรอยยิ้มใจดี เทามองพี่แล้วไม่พูดตอบอะไรกลับเดินเอาจานไปล้างเก็บและหนีจากวงสนทนาไปอย่างเงียบเชียบ
“พวกแข็งนอกอ่อนในด้วยกันทั้งคู่” ลู่หานบ่นเบาๆ พลางมองตามน้องชายของตนจนลับตา
เช้าวันเสาร์จื่อเทาออกมายังมหาวิทยาลัยเพียงลำพัง ปล่อยให้คริสและลู่หานเตรียมรับมือกับเด็กมหาภัยของพวกเขาต่อไป เทามักถูกอาจารย์นัดมาเรียนเสริมในรายวิชาบางตัวที่เขาไม่มีเพื่อให้ทันคนอื่นๆ ทางตระกูลโอก็ไม่ได้ว่าอะไรเนื่องจากการเรียนของเขาก็สำคัญพอกับหน้าที่เช่นกัน อีกอย่างวันที่เทาถูกนัดมาเรียนจะตรงกับวันที่เซฮุนอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหน มีคริสและลู่หานคอยประกบดูอยู่ไม่ห่างจึงไม่น่าเป็นห่วงอะไร และเมื่อเรียนเสร็จก็ถือเป็นเวลาส่วนตัวของเขาบ้าง เทามักจะใช้เวลาที่เหลือมานั่งอ่านหนังสืออย่างสงบที่ห้องสมุดเสมอ ๆ วันนี้ก็เช่นกัน ห้องสมุดยังคงเป็นที่ ๆ เขาได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองและผ่อนคลายเหมือนดังเดิม ยกเว้น...เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มร่างบางหน้าตาคุ้นเคยนั่งเท่าคางพลิกเปิดอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดนั่นเอง
เทาเหลือบมองนาฬิกาเรือนโตในห้องสมุดที่ชี้บอกเวลา 11 โมงกว่า.......แถมไม่เห็นแม้เงาของพี่ลู่หานและพี่อี้ฝาน นี่คงหนีออกมาล่ะสิท่า! หลุดจากสายตาสองคนนั้นได้ถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆ โอ เซฮุน แต่เขาเลือกที่จะมองผ่านแล้วลงนั่งห่างจากเซฮุนไปอีกฟากหนึ่ง พอตัวปัญหาหันมาเจอว่าอีกฝ่ายมองเห็นตนแต่กลับไม่พูดไม่จาไม่ทักทายว่ากล่าวใดๆ ทั้งยังเดินหนีไปนั่งไกลห่างจึงลุกเดินตรงเข้าไปหาเสียเอง
“ไม่แปลกใจเลยหรือไงที่เห็นฉันที่นี่น่ะ” เซฮุนถาม แต่เทาก็เอาแต่นิ่งเฉย ไม่ตอบอะไร
“ฉันถาม” มือบางคว้าหนังสือตรงหน้าเทาออกมาถือไว้เสียเอง ทำเอาตาเฉี่ยวคมนั้นเหลือบมองอย่างเสียไม่ได้
“อืม แปลกใจ…เอาหนังสือคืนมา” เขาดึงหนังสือกลับ แต่เซฮุนคงคว้ากลับไปเหมือนเดิม
“นายนี่พูดยาวๆ ไม่เป็นหรือไง…ทำไม? กับฉันนายไม่อยากจะพูดด้วยหรือยังไง? มีปัญหากับฉันมากนักเหรอ” เซฮุนหงุดหงิดเพราะหลายครั้งที่เขามีอารมณ์อยากจะผูกมิตรด้วยกับเทาเพราะเห็นว่ารุ่นๆ เดียวกันและหาอะไรทำแก้เซ็ง จะมักถูกเมินหรือไม่ก็เดินหนีกันอยู่เสมอ
“…มาถามคนอื่นทำไม ตัวของตัวเองไม่รู้บ้างหรือไง…ขอหนังสือ”
“…หนังสือนี่มันน่าสนใจตรงไหนกัน” เซฮุนพลิกอ่านบ้าง แต่เทาก็ไม่ได้พูดว่ากระไรลุกเดินออกไปหยิบเล่มใหม่แทน เซฮุนเลยเดินตามไปก่อกวนต่อ ใจจริงที่เขาหนีออกมาจากบ้านก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาที่ห้องสมุดนี่หรอกนะ แต่...มันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ไปๆ มาๆ ตัวเองก็มาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดินเรื่อยเปื่อยเข้าห้องสมุดมาแล้ว จนเมื่อเงยหน้ามาเจอหวงจื่อเทาและฝ่ายนั้นทำท่าไม่ใส่ใจกัน มันก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ สุดท้ายจึงเป็นฝ่ายไล่ตามเขาเสียเอง
....เหมือนอย่างในความฝัน
“ไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมฉันถึงมาอยู่นี่ได้ ทำไมถึงไม่ไปแกลอรี่ตามนัด” เทาหยิบหนังสืออะไรเซฮุนก็คว้าแย่งไปหมด
“จะอยากรู้ไปทำไม…กับแค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งที่ไม่รู้จักรักษาคำพูดของตัวเอง ถอย วันนี้วันฟรีของฉัน ไม่ใช่เวลางาน” เทาคว้าหนังสือจากมือ “เจ้านาย” แล้วเดินไปให้บรรณารักษ์เช็คยืมให้
“ฉันไม่ได้ขี้ขลาด ฉันแค่....”
“แค่คิดแบบเด็กไม่รู้จักโตว่าไม่ไปดีกว่า...” จากนั้นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งจึงเดินออกจากห้องสมุดไป มีเซฮุนเดินตามไปห่างๆ
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ขึ้นรถไฟยังไงเซฮุนก็ตามไปด้วยตลอด แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาทางลบตอบกลับมาจากเทาอย่างที่คิด ชายหนุ่มชาวจีนยังคงนิ่งเงียบไม่คิดออกปากไล่หรือคิดจะใส่ใจคุณหนูที่ตนต้องคอยเดินตามดูอยู่ทุกฝีก้าวในทุกๆ วัน ไม่ใช่เวลางานคือคำตอบของหวงจื่อเทา แม้วันนี้ตำแหน่งการเดินของคนทั้งสองจะสลับกัน คนหนึ่งที่เคยเป็นฝ่ายนำกลับกลายเป็นผู้ตามหลัง และอีกฝ่ายที่เคยเป็นคนดูแลเดินตามหลังเสมอกลับเป็นฝ่ายเดินนำ
ไม่มีคำพูดคำจาสนทนาระหว่างกัน มีแต่เพียงความเงียบและการเดินตามกันไปอย่างสงบ เซฮุนไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ทำไมต้องมาเดินตามบอดี้การ์ดของตัวเองแบบนี้ แต่เขาก็ทำมันไปแล้วและทำไปโดยไม่เข้าใจความหมายจากการกระทำของตัวเองแม้สักกระผีกเดียว จนมารู้ตัวอีกครั้ง ตนก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าแกลอรี่ของคิม จงอินเสียแล้ว เมื่อมองจื่อเทาคนที่เดินนำเขามาตลอดจนมาถึงที่นี่ หมอนั่นก็ไม่พูดอะไรและเดินหลีกไปอีกทาง สักพักคริสกับลู่หานถึงวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล ร้องถามอย่างโล่งอก
“หายไปไหนมาน่ะ คุณโอ เซฮุน ทุกคนออกตามหาคุณกันทั้งบ้าน เรามาหาคิม จงอินที่นี่ก็บอกว่าคุณยังไม่มา คิดว่าถูกจับตัวไปแล้วซะอีก” ลู่หานโวยด้วยความเป็นห่วง
“แล้วตอนนี้จะเอายังไงครับ จะไปไหน กลับหรือว่าไปหาคิม จงอินตามนัด?” คริสถาม
เซฮุนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงมองดูแกลอรี่ของคิม จงอิน แล้วก้มมองพื้นคลี่ยิ้มให้กับตัวเองน้อยๆ ก่อนจะหันไปมองทางเสาไฟฟ้าที่เลยถัดไปแถวนั้น หลังเสาต้นนั้นยังมีหวงจื่อเทาคนที่เดินนำหน้าเขามาตลอดตั้งแต่อยู่ห้องสมุดจนมาถึงที่นี่กำลังยืนหันหลังพิงเสาอยู่เงียบๆ ไม่ยอมแย้มโผล่กายออกมาให้ใครเห็น
“อืม…มาแล้วนี่นะ ยังไงก็ต้องเข้าไปอยู่ดี คนเราต้องรักษาคำพูด นายว่ามั้ย?” เซฮุนเอ่ยเสียงใสให้เทาได้ยิน รอจนปลายหางตาเห็นว่าหวงจื่อเทาเดินจากไปแล้ว ตัวเองถึงเดินเข้าแกลอรี่ไป เพื่อทำตามคำสัญญาที่ตนให้ไว้กับคนๆ นั้น
ความจริงตอนนี้ไม่ได้สั้นแค่นี้หรอกแต่พิมพ์ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์
ตอนนี้มือขวาเดี้ยงพิมพ์ต่อไม่ได้เลยลงแค่นี้แล้วกันน่ะนะ
ไว้ต่อตอนหน้าละกันฮ่ะ
with love
viruskei
ความคิดเห็น