คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Lucky :: 005 :: ตุ๊กตาหมีของอู๋อี้ฝาน
“อยากกินน้ำ”
“นายแค่ขยับตัวสองสามทีก็ถึงแล้วไม่ใช่หรือไงฟะอี้ฝาน”
“ก็จริง... แต่ไม่อยากขยับ”
อู๋อี้ฝานกับน้ำเสียงที่ผมชินชาและชาชินด้วยจำใจ เอ่ยใช้กันประหนึ่งเป็น “ทาส” ในเรือนเบี้ยของเขา เหตุผลง่าย ๆ อ่านนิดเดียวก็เข้าใจและร้องอ๋อในทันทีก็คือ อาทิตย์หน้ามีเทสย่อยเก็บคะแนนวิชาภาษาอังกฤษ หรือถ้ายังมีคนไม่เข้าใจก็จะขยายให้รู้ชัด ๆ แบบเจาะจงลงไปว่า ผม-อ่อน-ล่อแล่ ถึงขั้นอาจตกได้ในวิชาดังกล่าว ผู้ที่จะสามารถฉุดผมให้พ้นวิกฤตหลุมลึกที่ตัวเองเป็นคนขุดเอาไว้เองตั้งแต่สมัยเด็กจนถึงปัจจุบันนี้มีเพียงไอ้คนที่นอนเคี้ยวมันฝรั่งทอดกรอบงับ ๆ ไปพลาง อ่านนิตยสารแฟชั่นไปพลางแล้วคอยชี้นิ้วสั่งผมให้ทำนั่นโน่นนี่สารพัดสิ่งที่เขาอยากจะสั่งอยู่นี่ล่ะครับ
พูดก็พูดนะ ความจริงแล้วมันไม่ได้เก่งเลอเลิศอะไรหรอก! ไม่ได้ติดอยู่ในอันดับ TOP 5 ของชั้นปีด้วย ก็แค่......ที่ 7 เท่านั้นเอง ไม่เห็นจะน่าชูคอตรงไหนใช่มั้ยล่ะ! อา....เพราะงั้นผมที่หมา(D) วิ่งเล่นกันให้พล่าน ถึงต้องพึ่งมันอยู่นี่ไง แม้อี้ฝานจะเป็นครูที่ไม่ได้เรื่อง แต่การเก็งข้อสอบและอ่านตามที่เขาโน้ตหรือจดไว้ก็ช่วยได้ไม่ใช่น้อยเลยจริง ๆ ส่วนไอ้ที่นอนเอกเขนกสบายอารมณ์สั่งอยู่นั่นน่ะไม่ใช่อะไรเลย..... แกล้งกันชัด ๆ แค่เอ่ยปากขอยืมโน้ตที่เขาจดหรือว่าขออะไรที่เก็งเอาไว้ว่าจะออกเท่านั้นล่ะ....งานเข้ากันเลยทีเดียว ใช้ทำนั่นทำนี่ตะบี้ตะบันจนชักเริ่มจะหนักข้อขึ้นทุกที แถมยังทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน พูดน้อยต่อยหนัก มาประโยคสั้นแต่ได้ใจความไม่มีการรบเร้า ไม่มีการแจ้งแถลงขยายความต่อให้ยาวยืด นึกจะใช้ก็พูดห้วน ๆ สั้น ๆ เถียงมัน มันก็ไม่เถียงกลับ นิ่ง...สนิท และท้ายที่สุดผมก็เป็นฝ่ายต้องยอมทำตามที่เขาบอก
พักหลังมานี้เริ่มออกลายแล้วด้วยซ้ำ จากที่เคยเฉย ๆ พูดด้วยไม่ตอบกลับ กลายมาเป็นตอบกลับน้อยแต่เสียดหัวใจหลาย ถ้าเป็นเด็กที่ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ อู๋อี้ฝานคนนี้คงจัดอยู่ในหมวด “ดื้อเงียบ” แต่กับหมอนี่ที่แก่เกินเด็กแล้วและไม่อยู่ในกฎเกณฑ์อย่างชาวบ้านชาวช่องเขาคงต้องเรียกว่า “แกล้งกันอย่างเงียบ ๆ” ล่ะนะ.... จะไม่เรียกงั้นได้ไง มันน่ะ เออ เรียก “มัน” นี่แหละเหมาะสมแล้ว ฮึ่ย! มันเล่นผมตลอดเวลาและตลอดเวลา อาจเพราะเริ่มคุ้นเริ่มสนิทแล้วหรือไงไม่รู้ ถึงได้เป็นแบบนี้ เหมือนเฉย ๆ ไม่มีอะไรแต่ถ้าลองคิดกับสิ่งที่มันพูดให้เยอะ ๆ ให้ลึก ๆ ล่ะก็ เหมือนถูกหลอกด่าชัดๆ !!!!
“บทนี้นายขีดไว้เยอะจังวะ ขี้เกียจอ่านชิบ”
“งั้นก็วางไว้”
“.......ว้อยอยากไปเกมเซ็นเตอร์~~~~”
“..............”
“ได้ยินที่พูดมั้ยเนี่ย? จะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว วัน ๆ หมกอยู่แต่กับห้องสมุด กลับบ้านมายังต้องมานั่งอ่านหนังสือยุบยับยั้วเยี้ยนี่อีก” ผมลงไปนอนแผ่ตีโพยตีพาย โยนหนังสือไปไกล ๆ ตัว อย่างเหลือจะทน
“ใครฉุดขาไว้กัน” ไอ้คนที่นอนกินมันฝรั่งอยู่เมื่อครู่ เปิดปากพูดเบา ๆ แล้วลุกเดินหนีเข้าไปล้างมือในครัว
“ไม่ฉุดก็เหมือนฉุดล่ะวะ นายเล่นไม่ยอมไปไหนด้วยกันเลยนี่หว่า! แล้วฉันจะไปได้ไงล่ะ!” ผมกระแทกเสียงที่ประโยคสุดท้ายให้ฟังดูหนักแน่นและใส่อารมณ์ แต่หาเป็นผลต่อไอ้คนฟังไม่
“หนาว ขี้เกียจออกบ้าน ไม่อ่านหนังสือแล้วใช่มั้ย จะฟังเพลง”
พูดได้แป๊บ ๆ อู๋อี้ฝานก็ไม่รอฟังคำตอบจากผม เปิดพาวเวอร์เครื่องเสียงแล้วอัดโวลลุ่มไปกว่าครึ่ง เล่นเอาฟังอะไรไม่รู้เรื่องอีกเลย กวางแห่งรุ่งอรุณเช่นผมลุกขึ้นนั่งเท้าคางมองเครื่องเสียงมันกับหูฟังสเตอริโอสุดล้ำไฮเทคที่วางกองอยู่หน้าเครื่องอย่างเซ็งอารมณ์ ไอ้เวร...มีหูฟังไม่รู้จักใช้ อัดลำโพงซะขนาดนั้น กลัวข้างห้องไม่รู้หรือไงว่าตัวเองมีเครื่องเสียงน่ะ แมร่งคิดได้อย่างเดียวเหอะ... ‘แมร่งแกล้งกรู’ ......เซ็ง!..... หลุดจากมันเมื่อไรนะ จะไม่เหลียวหลังกลับมามองแม้ปลายหางตาเลยคอยดู ฮึ่ม!
ผมขยี้หัวแรง ๆ อย่างหาที่ระบาย ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำให้มันได้ระบายออกทางอื่นบ้างซะก็ดี ว่าไปนี่ไม่ได้ไปหาเหม่ยเซียนอีกเลยหลังจากที่รอดชีวิตมาได้ หรือผมจะหาโอกาสพาไอ้คนนิสัยเสียไปรู้จักกับเหม่ยเซียนดีนะ? แล้วจะพาไปเพื่ออะไรงั้นเหรอ? ในเมื่อเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอยากจะเจอกัน จะเจอไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้อีกเช่นกัน นั่นสิ... เอ...แต่อย่างน้อยเราควรโผล่ไปให้เห็นสักนิดหรือเปล่าว่ายังอยู่ดีมีสุข? และได้ตัวช่วย..ที่ไม่ช่วยอะไรเท่าไรเลย..มาอยู่ในกำมือสำเร็จ?
ลู่หานคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ได้ไม่ทันไรก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมือถือที่วางอยู่บนหลังชักโครกร้องเสียงลั่นและสั่นจนสะเทือน ชายหนุ่มรีบหยิบมากดรับสายด้วยเพราะนั่นคือคนที่กำลังคิดถึงอยู่เมื่อครู่พอดี พลางลอบคิดในใจว่า หนังเหนียวตายยากแท้แม่คุณ…..เหม่ยเซียน
“ฮัลโหล ๆ เจ้ากวางน้อยหรือเปล่าน่ะ นายไม่ได้รับสายจากโลกวิญญาณหรอกใช่มั้ย”
“ครับ สวัสดีครับ ผมยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย!” ผมตอบกลับเธอไปก่อน หัวเราะลงคอเบา ๆ
“แหมมม หายเงียบไปเลยนะ จะมีกะจิตกะใจโทรมารายงานผลกันสักนิดรึก็เปล่า คิดจะให้เป็นห่วงตายหรือไง สรุปจับกดเพื่อนนายคนนั้นไปแล้วใช่มั้ย? หรือว่าโดนกดซะเอง นายถ่ายคลิปไว้หรือเปล่าที่จะแบล็คเมล์เขาน่ะ ฟอร์เวิร์ดมาให้ฉันตามเบอร์นี่บ้างนะ เข้าใจหรือเปล่า”
“เดี๋ยวนะ! นี่เป็นห่วงผมหรือว่าอยากดูคลิปกันแน่เนี่ยเหม่ยเซียน! ผมไม่ได้ไปข่มขืนใครหรือถูกใครกดหรอกนะ จะบ้าเรอะ!”
“อะไรกัน! ลู่หาน นายนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ เสียเวลาโทรมาเป็นบ้า” เจ๊เหม่ยแกเหวี่ยงใส่โทรศัพท์มาอีกเป็นชุดแบบที่ผมแทรกไม่ได้แม้สักคำต้องทนฟังแกพร่ำบ่นไม่สมหวังอย่างที่พยายามดันให้ผมทำก่อนหน้านั้นนั่นคือการกดอู๋อี้ฝานให้ตกเป็นทาสและต้องอยู่ด้วยกันตลอดไปอะไรทำนองนั้น ฟังแล้วอยากจะจับรถไปบีบคอเจ๊ซะให้ตายไปตรงหน้าจริง ๆ
“พอหยุด ๆ ผมกับอู๋อี้ฝานเป็นเพื่อนกัน ถึงเขาจะ...ชอบผู้ชายด้วยกันมันก็ไม่มีเรื่องแปลก ๆ อะไรแบบนั้นหรอกน่า อย่าหวังไปหน่อยเลย!”
“โถ เป็นเกย์อีกต่างหาก อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเดี๋ยวนายต้องเสร็จแหง ตัวเท่าลูกหมาจะไปสู้อะไรใครเขาได้ระวังเถอะลู่หาน คิก ๆ แต่ยังไงก็ดีแล้วนะที่ได้ยินนายเถียงฉันเสียงใสขนาดนี้ แสดงว่านายคงไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ แต่อย่าประมาทไปทำให้คน ๆ นั้นไม่พอใจจนโยนนายออกจากบ้านได้ล่ะ ตราบใดที่ยังหาตัวช่วยอื่นไม่ได้นายก็ต้องพึ่งเขาไปตลอด หาทางคิดเผื่อแผนสองไว้บ้างก็ดี ฉันดีใจนะที่ยังได้คุยกับนาย”
“อ....อื้ม แล้วผมจะระวัง ขอบคุณครับเหม่ยเซียนที่เป็นห่วง” ผมหัวเราะและยิ้มคนเดียวในความหวังดีของแม่สาววายผู้พยากรณ์คนนี้
“แต่ถ้าได้กันแล้วต้องรีบโทรบอกฉันนะ”
“เหม่ยเซียน!!!” แม่คุณยังไม่วายทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะเสียดรูหูก่อนวางสายไปดื้อ ๆ ผมออกจากห้องน้ำ คว้ารีโมทเครื่องปรับอากาศมากดเร่งให้อุณหภูมิห้องเย็นกว่าเดิมอีกนิดเพราะอี้ฝานมักชอบปรับเสียจนร้อนเกินไปอยู่เรื่อย โดยไม่ทันสังเกตแม้สักนิดว่า ......อี้ฝานผู้นำโชคดีมาสู่ผมไม่ได้สิงอยู่ในห้องนี้ ณ เวลานี้อีกแล้ว
“เอ๋?....” ผมจ้องรีโมทที่จู่ ๆ พอกดลงไปตัวหนังสือบนหน้าปัดก็พร่าเลือน ลองกระแทกกับฝ่ามือสองสามครั้งดังแป่ก ๆ และกดย้ำ ๆ ปุ่มมันปรากฏคำว่า Error ขึ้นหลาให้เห็น ลองเอาทุบลงกับฝ่ามืออีกสองสามที มันก็ขึ้น ๆ หาย ๆ แล้วก็ ผึง! ถ่านหลุดกระเด็นออกมาพร้อมฝาครอบ ต่อหน้าต่อตาและคามือ
กลิ่นเหม็นคล้ายอะไรไหม้เริ่มโชยอ่อน
แกร่ก! เสียงลูกบิดประตูห้อง ทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าชิบเป๋ง อู๋อี้ฝานตัวนำโชคประจำตัวมันออกไปข้างนอกและเพิ่งกลับเข้ามานี่เอง คงเพราะผมมัวคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องน้ำ บวกกับเสียงเพลงที่เจ้าบ้านั่นกระหน่ำเปิดซะดังเลยทำให้ไม่รู้ว่าเขาออกจากห้องไปตอนไหน
มือเล็ก ๆ รีบคว้าถ่านกลับมาใส่ ตบฝาปิดลงให้เข้าที่เหมือนเดิม ก่อนเหวี่ยงมันไว้บนโต๊ะเตี้ยกลางห้อง ลงนอนหอบฮั่กคว้าหนังสือภาษาอังกฤษของอู๋อี้ฝานมาอ่านอย่างเร่งด่วน พร้อมกับกลิ่นเหม็นไหม้ที่โชยแรงขึ้นทุกขณะ
“....กลิ่นอะไร?”
ดวงตาคมกริบของอี้ฝานมองจ้องผมที่นอนอ่านหนังสืออยู่อย่างจับผิดกัน และบ่นพึมพำเดินผ่านไปนั่งอยู่หน้าเครื่องเสียง เสียบหูฟังเข้าเครื่องคล้ายกลัวว่าผมจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ซึ่งแน่นอนว่าลู่หานคนนี้ไม่คิดตอบคำถามเจ้าของห้องอย่างแน่นอน
“มะ...เมื่อกี้นี้”
“หือ?”
“เมื่อกี้นายไม่อยู่ห้องเหรอ?” ผมค่อย ๆ ชะเง้อโผล่มาแค่ดวงตาให้พ้นขอบหนังสือเพื่อคุยกับอี้ฝาน
“อื้อ ลืมไปว่าเมื่อวานเจ้าของบ้าน มาถามเรื่องค่าไฟเดือนนี้ นายน่ะ....”
“ห้ะ!”
“......เดือนที่แล้วยังไม่ได้ให้ค่าเช่าห้องอีกครึ่งเลย...นายได้กลิ่นอะไรหรือเปล่า? เหมือนอะไรไหม้?”
“อ๊ะ! จริงสิ ลืมสนิทเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันถอนให้แล้วกันนะอี้ฝาน” เรื่องอะไรจะตอบ! ผมกลบเกลื่อนพยายามไม่พูดถึงเรื่องอะไรไหม้ ๆ ที่ว่านั่นเผื่อว่าเขาจะลืมมันไปได้โดยง่าย
“อื้อ” เจ้านั่นพูดจบก็ครอบหูฟังไม่สนใจอะไรกันอีก ผมจึงรีบตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือต่อ จนกระทั่ง....
“..................................”
มือใหญ่ ๆ ของหมอนั่นขยับเอื้อมหยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศบนโต๊ะ หมายจะเพิ่มอุณหภูมิให้อุ่นขึ้น เขากดเสียงดังติ๊ด ๆ พลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย ผมเหลือบมองผ่านขอบหนังสืออีกครั้ง พอเมื่อเจ้าของสายตาขี้สงสัยมองจ้องกลับมา ผมก็รีบคว้าหนังสือขึ้นบังหน้าไม่ปริปากพูดจาอะไรแม้สักคำเดียว
คุณเจ้าของห้องผู้มีรูปร่างอันสูงใหญ่ ที่นั่งเฉยอยู่เมื่อครู่ลุกยืนกดรีโมทยุกยิก ๆ แหงนหน้าดูเครื่องปรับอากาศด้วยใบหน้าที่เริ่มยุ่งขิงกว่าเก่า ผมเหลือบมองผ่านขอบหนังสือเป็นรอบที่ร้อยพร้อมเอ่ยถามเบา ๆ อย่างแกล้งไม่รู้
“มีอะไร?”
“นายไปยุ่งกับรีโมทเครื่องปรับอากาศมั่งหรือเปล่า?”
“เปล๊านี่? ไม่ได้ทำอะไรเล้ยยย นั่งอ่านหนังสือเฉย ๆ”
“แน่นะ?”
“.....แน่....มั้ยวะ?.....เอ่อ.คือๆๆๆ...ล่าสุดตอนนายลงไปหาเจ้าของบ้าน ฉันเลยปรับอุณหภูมิตามปกติ แล้ว...”
“ให้ตายเหอะ ฉันห่างนายไม่ได้เลยจริง ๆ ใช่มั้ยกวางบื้อเอ๊ย!” ใบหน้าเรียบเฉยที่ทุกวันเคยถูกสต๊าฟเอาไว้ให้เป็นดั่งรูปปั้น บัดนี้เปลี่ยนเป็นหงิกสนิทขมวดมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างไม่พอใจโดยไม่ต้องสงสัย มันทำเอาผมจ๋อยลงไปทันทีทันใดด้วยเช่นกัน
“ฮีทเตอร์ไม่ทำงาน แล้วคืนนี้จะอยู่กันยังไง นายบ้าหรือเปล่า บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามแตะต้องของทุกอย่างในห้องฉันน่ะ! แล้วยังตอนฉันไม่อยู่อีก!! งี่เง่าเป็นบ้า!” อี้ฝานตวาดเสียงลั่น ไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย แต่ใครจะยอมถูกด่าอยู่ฝ่ายเดียวกันล่ะ นายไม่ยอมอยู่เองไม่ใช่หรือไง ถ้าจะออกไปข้างนอกก็บอกกันก่อนดิวะ รู้ก็รู้อยู่ว่าทิ้งกันไว้คนเดียวไม่ได้ ยังจะออกไปอีก เฮอะ!
“ก็...ก็มันร้อนนี่! ฉันเลยปรับให้มันเย็นขึ้นอีกนิด ใครจะไปรู้เล่าว่านาย....ไม่ได้อยู่ในห้อง” ผมเสียงแข็งตอนแรกและเสียงอ่อยในท้ายประโยค ก่อนโวยวายตะแบงอีกครั้ง
“แล้วจะไปรู้เหรอว่าแค่กดปุ่มเดียวจะพังได้น่ะ! นายแหละผิดออกไปทำไมไม่บอกกันก่อนวะ”
“ตัวซวยชัด ๆ”
“อู๋อี้ฝานนายว่าใคร!”
“อยู่เฉย ๆ ก็ไม่เป็นเรื่องแล้วแท้ ๆ”
“นี่หาว่าฉันยุ่งเหรอวะ!” ผมเขย่งคว้าคอเสื้อไอ้บ้านั่นลงมาต่ำแต่ก็ต่ำไม่ได้มากนักเพราะความสูงของเรามันห่างกันพอสมควร หมอนั่นไม่ได้ก้มลงมามองหน้าผมหรือแม้แต่คิดจะปัดมือออกด้วยซ้ำ มันถอนหายใจเฮือกยาวจนคล้ายจะหมดปอด สีหน้าที่เกรี้ยวกราดโกรธผมในทีแรกพลันหายไปคล้ายไม่เคยทำหน้าดุใส่กันมาก่อน พูดด้วยน้ำเสียงคล้ายเหนื่อยใจ
“ไว้บอกคุณป้าเจ้าของพรุ่งนี้แล้วกัน......ไปเอาเสื้อกันหนาวมาใส่ไป”
“หา?”
“จะไปหาที่อุ่น ๆ อยู่ฆ่าเวลาน่ะสิ!”
.
.
.
.
และแล้วผมก็ได้มาเล่นเกมเซ็นเตอร์สมใจอยาก ที่ ๆ อุ่นและใกล้สุดแถมเปิดดึกดื่นค่อนคืนก็คงมีแค่ที่นี่เท่านั้นล่ะที่จะช่วยเหลือพวกเราได้ อีกอย่างยังเป็นช่องทางการหาเงินซ่อมเครื่องปรับอากาศที่ห้องอย่างง่ายได้อีกด้วย
“โฮ่ ๆ ๆ ได้อีกแล้ว ๆ แหมอะไรจะดวงดีปานนี้วะเนี่ย ฮะ ๆ ๆ” ผมเล่นเกมอย่างแสนสุขโดยมีเจ้าเสาไฟฟ้าหน้าดุอู๋อี้ฝานนั่งจิบชาร้อนอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่สนใจอะไรกับผมนัก มันนั่งเงียบเป็นปกติของมัน ผมก็เล่นเริงร่าปกติของผม จนนึกอยากคุยด้วยเพื่อสลายบรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมระหว่างเราทั้งสอง
“นี่ ๆ นายไม่เล่นหน่อยเหรอ?”
“เอาเหอะ” เขาตอบแค่นั้น จิบชาต่อ
“ถามหน่อย”
“ไม่ตอบ”
“ไอ้นี่! แค่จะถามว่าทำไมเวลานายออกไปไหนมาไหนถึงต้องใส่แว่นด้วยน่ะ สายตาก็ปกติแท้ ๆ”
“ใส่ไว้ให้พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างนายถามนี่ไง”
“ไอ้....” ผมหันไปทำท่าจะด่า แต่มันกลับหัวเราะเบา ๆ นั่งไขว่ห้างและหันไปอีกทาง
“ใส่แล้ว....ดูเป็นคนดีมั้งเลยใส่” พอเอ่ยบอกถ้อยความดั่งปริศนาธรรมทิ้งท้ายไว้เสร็จสรรพมันก็ทำท่าจะลุกไปทางอื่น ผมเลยเผลอคว้าชายเสื้อเขาเอาไว้อย่าผวาลืมตน
“จะไปไหน อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวนะ” อี้ฝานชำเลืองมองมือเล็กที่อยู่ตรงชายเสื้อเขาก่อนช้อนตามองหน้าระบายยิ้มน้อย ๆ จนผมต้องละมือออก หันกลับไปจ้องหน้าจอเกมอย่างเดิม
“จะไปดูตรงนั้นหน่อย เดี๋ยวมา”
“ไม่เอานะ เกิดฉันพลาดเงินที่จะเอาไปซ่อมฮีทเตอร์ก็หมดกันพอดีสิ นั่งอยู่ก่อนเลย ฉันขาดนายไป ตายกันพอดี”
“..................”
อู๋อี้ฝานไม่พูดตอบอะไร ลงนั่งที่เดิมและมองดูผมเล่นเกมต่อ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ตัวสักนิดหรอกว่าตัวเองเผลอทำอะไรลงไป กับการพูดโดยไม่ผ่านกระบวนการคัดกรองจากสมองเช่นนี้น่ะ เออ ชีวิตทำไมต้องคิดเยอะล่ะ พูดไปแล้ว ทำไปแล้วก็ปล่อยมันไปเถอะ
เวลาผ่านนานพอดู ไอ้ที่อยากเล่นก็เล่นหมดแล้ว ไอ้ที่อยากได้ก็ได้มาจนครบแล้ว ครบถ้วนทุกอย่างจนไม่รู้จะทำอะไรต่อดี ที่สำคัญตอนนี้มันดึกเต็มที ผมเห็นอี้ฝานหาวตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่หมอนั่นก็ไม่ปริปากเรียกให้ผมเลิกสักคำ ความจริงผมง่วงเหมือนกันนะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะไปไหนได้ สุดท้ายเราจึงพ่ายแพ้ให้กับความต้องการของร่างกายตัวเอง ต่างคนต่างหาวหวอดถี่ยิบ มุ่งหน้ากลับมาบ้านที่หนาวเหน็บเพราะฮีทเตอร์พังโดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือนัดแนะใด ๆ กัน
เราสองคนไม่พูดไม่จา ผมคว้าเสื้อกันหนาว อี้ฝานก็คว้าเสื้อกันหนาว ต่างฝ่ายต่างต้องการทำความอบอุ่นให้ร่างกายเพิ่มมากเข้าเพราะความเย็นจัดของห้องนอน เราแทรกตัวสอดเข้าใต้ผ้าห่มนวมผืนหนาที่มีอยู่ในห้อง ห้องที่เงียบกริบและหนาวเหน็บ ยินเพียงเสียงลมหายใจที่ผ่อนออกมาของผมกับเขาสลับกัน แม้เมื่อครู่จะง่วงนอนใจแทบขาด แต่เอาเข้าจริงบรรยากาศแบบนี้มันทำให้หลับไม่ลงซะจริง ๆ เหม่ยเซียนนั่นแหละตัวดีทำให้ผมเป็นแบบนี้ คำพูดเจ้าหล่อนยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่รู้จบ
“................”
“แค่ก ๆ......เอ่อ” ผมกระแอมไอเป็นพิธีเพื่อเรียกร้องความสนใจก่อนนำเข้าเรื่องที่จะพูดต่อ
“หนาวเนอะ”
“อื้อ”
“.....ขอโทษที่ทำให้นายลำบากไปด้วย” ผมเอ่ยปากขอโทษเขาน้ำเสียงอ้อมแอ้มอย่างเด็กที่ทำความผิดและสำนึกอยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะยอมรับว่าเป็นความผิดของตัวเอง
“คราวหน้าระวังหน่อยแล้วกัน” อี้ฝานบอกก่อนหันหลังให้ผมและมุดขดในผ้าห่มมากกว่าเก่า
“นายต้องขดตัวขนาดนี้เลยเรอะ?” เมื่อเห็นแบบนั้น ผมเลยเอ่ยทักเพราะรู้สึกว่าพื้นที่ของเตียงนอนมันแคบลงจากเหตุที่เขาขดตัวมากจนกินเนื้อที่ของเตียงไปเสียกว่าครึ่ง
“ฉันเป็นพวกขี้หนาวน่ะ ไม่มีอะไรแล้วก็นอนสักทีเหอะ ชวนคุยอยู่ได้”
“นี่แน่ะ ไว้ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะตอบแทนนายได้ ฉันจะหามาให้แล้วกัน คราวนี้ต้องขอโทษนายจริง ๆ นะ นะๆๆ อี้ฝาน” ผมหัวเราะร่วนลงคอเอิ๊กอ๊ากเมื่อเห็นว่าหมอนี่ตัวโตเสียเปล่าแต่ขี้หนาวเป็นบ้าเป็นหลัง เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ความจริงคนตัวโตๆ ก็มีส่วนที่น่าเอ็นดูได้เหมือนกันแฮะ
“เอาตุ๊กตาอุ่น.....”
“ห้ะ? อ๊ะ!!!” ไม่ทันได้ถามเอาประโยคขยายจากคำว่า “เอาตุ๊กตาอุ่น“ ของมัน ผมก็รู้สึกถึงแรงกระชากโอบกอด น้ำหนักตัวที่โถมเข้ามาอย่างเต็มที่ และแน่นเป็นพิเศษ คนตัวโตโผซุกเข้ามาที่อกใช้แขนเหวี่ยงกอดอย่างไม่ปราณีปราศรัย
“ตัวนายเท่าตุ๊กตาหมีตัวข้างนอกนั่นเลย แต่อุ่นเป็นบ้า”
“อ...อะ...ร... เฮ้ย!” มือทั้งสองข้างที่ค่อนข้างเย็นจัดแทรกเข้ามาใต้เสื้อจนสัมผัสได้ถึงผิวเนื้อของผมบริเวณเอวและแผ่นหลัง ลมหายใจอุ่นรินรดลงมาบนอกแทรกผ่านเนื้อผ้าของเสื้อสเว็ตเตอร์ตัวเก่งทำเอาใจวูบไหว
“เป็นตุ๊กตาหมีให้วันนึงแล้วจะช่วยติวอังกฤษเพิ่มให้” ก่อนผมจะโวยวายอะไรหนอนดักแด้ตัวเขื่องตัวนี้มันก็เอ่ยบอกการกระทำที่มีทั้งหมดจนเข้าใจในทันที
“เอ่อ....แต่มัน...จั๊กจี้ว่ะ นายเอามือออกไปได้เปล่าวะเนี่ย” ผมท้วงติงตะกุกตะกัก พร้อมลดมือลงไปจับแขนเขาเพื่อดันออกอย่างนิ่มนวล แต่มันเหนียวแน่นหนึบยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์เสียอีก ทั้งยังกระชับกอดให้แน่นเข้าพลางเลื่อนลูบหลังเล่นไปมาอย่างไม่ได้รุกรานอะไร.... ยิ่งซุกหน้าลงมามากเท่าไรก็ยิ่งให้รู้สึกใจเต้นรัวมากขึ้นเท่านั้น คำพูดของเหม่ยเซียนยังคงเวียนมาในหัวไม่ขาดสาย ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายมันเป็นยังไงไม่เคยรู้ รู้แต่ตอนนี้ที่ถูกกอดมัน....จั๊กจี้เป็นบ้า
“อุ่นสบายจัง......” คำพูดสั้น ๆ ทำให้ผมหยุดความคิดทั้งหลายที่ฟุ้งซ่านในหัวไปเป็นปลิดทิ้ง หากให้คิดในอีกแง่มุมหนึ่งที่ไม่ใช่ทางร้าย คนขี้หนาวจะมีอะไรดีไปกว่าการได้กอดของสักอย่างหรือคนสักคนเพื่อให้ได้ไออุ่นกันล่ะ? ผมเองก็ตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับเขาไม่ใช่หรือไงตอนนี้ แม้ไม่ได้ขี้หนาวมากมายแต่อากาศเย็นที่ค่อย ๆ โรยตัวลงมามันก็ทำเอาแขนขาเย็นมากได้เช่นกัน คิดได้ดังนั้นผมเลยเอื้อมกอดเขาบ้างเพื่อหาไออุ่นกักเก็บไว้ในยามค่ำคืนที่ดวงกาลีของตัวเองทำพิษให้ตัวเอง
“แล้วติวให้ผ่านนะเว้ย นายเป็นหนี้ฉันบ้างแล้วนะ....”
“................” กริบ.......อี้ฝานกริบเงียบเสียงไปยังกับว่ามันหลับแล้วยังงั้นแหละ ผมรออยู่เป็นชาติ ด้านนั้นคงยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำกลับมาแม้แต่น้อย
“อี้ฝานนายหลับแล้วเหรอ คุยกันอยู่ดี ๆ เนี่ย”
“เปล่า....”
“เอ๊า! แล้วไม่รู้จักตอบล่ะวะ ปล่อยให้พูดคนเดียวอยู่ได้”
“กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ”
“คิดว่า?” ผมก้มพยายามจะมองเขาแต่ก็ไม่เห็นหน้า เห็นเพียงเส้นผมสีอ่อนที่ทิ่มลงมาตรงคางให้จั๊กจี้เล่นเท่านั้น
“คิดว่า...........ครั้งหน้าถ้าฉันไม่อยู่ นายจะระเบิดบ้าน หรือว่าเผาบ้านฉันกันแน่ ง่วงแล้วนอนก่อนนะ ราตรีสวัสดิ์ กวางบ้า”
“อ....ไอ้.......” ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอด ด้วยความโมโหจนม่อยหลับไปทั้งที่ยังถูกกอดและกอดมันไว้เสียแน่นปั่กอย่างนั้น แรงกอดที่กอดกระชับคลายวงออกเป็นระยะ แม้ตอนแรกจะทำให้ค่อนข้างหลับตาลงได้ลำบาก เพราะไอ้คำที่ว่า “ฉันไม่สนผู้หญิง” นั่นก็ตาม แต่สัมผัสที่ไม่รุกราน ทั้งยังแสนจะอบอุ่นในอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ คงทำให้ผมมั่นใจและรู้สึกปลอดภัยกับการถูกเจ้าร่างสูงซุกหน้าและทั้งตัวลงมาแนบกันแบบนี้........
อย่างไม่เคยนึกคิดว่ามันจะเป็นก้าวอีกก้าวของความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสอง
ความคิดเห็น