คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Lucky :: 004 :: การอยู่ร่วมกันของอู๋อี้ฝานและลู่หาน
ถ้าโชคลางมีอยู่จริง พรหมลิขิตเองก็อาจจะมีอยู่บนโลกมนุษย์นี่จริงเหมือนกัน
ห้องพักที่อู๋อี้ฝานอยู่ เป็นตึกถัดไปจากตึกที่ผมอยู่เพียงแค่สองตึกเท่านั้น แถมดูจะเป็นเจ้าของเดียวกันอีกต่างหาก ผมไม่ได้บอกเขาซะทีเดียวว่าห้องผมอยู่ตรงไหน เพราะดูท่าทางเขาเองก็คงไม่ใส่ใจอยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวผมสักเท่าไรนัก เลยได้แต่เดินเงียบ ๆ ตามเขาขึ้นห้องไป
“โห! นี่ห้องนายเหรอเนี่ย!!!”
ผมร้องตกใจอย่างแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อได้เข้ามาภายในตัวห้อง ....จะไม่ให้ตกใจได้ไงล่ะครับ ห้องขนาดเท่ากันกับผมเด๊ะ เออ แน่ล่ะก็เจ้าของเดียวกันนี่ แต่ที่ผมร้องตกอกตกใจอยู่ในตอนนี้เป็นเพราะห้องของอู๋อี้ฝานมันเต็มไปด้วยตุ๊กตาน้อยใหญ่วางเรียงรายแทบจะทั่วอาณาบริเวณของตัวห้องล้วนแต่ขนปุกปุยนุ่มนิ่มทั้งสิ้นแม้แต่บนพื้นก็ตาม
ถามว่ารกมั้ยมันไม่รก....เมื่อเทียบกับห้องของผม สกปรกมั้ยก็เปล่า...เมื่อห้องผมควรพูดแบบนั้นมากกว่า เพียงแต่ตุ๊กตามันเยอะเกินไป คำที่เขาพูดกับผมเมื่อครู่ที่ว่า “ห้ามแตะต้องของ ๆ ฉัน” ฟังดูมันเป็นไปไม่ได้เลยจริง ๆ
“นั่งตรงนี้ก่อนแล้วกัน”
อู๋อี้ฝานมองซ้ายมองขวาและใช้มือก้มหยิบตุ๊กตาโตโตโร่กับบันนี้จังมากอด ใช้มือข้างที่ว่างจับแขนเทดดี้แบร์ขนาดเกือบเท่าตัวคนลากออกไปกองไว้อีกทางพลางใช้สายตาบอกเป็นนัย ๆ ให้ผมทราบว่านี่คือ ‘ที่นั่ง’ ที่เขาบอกให้ผมไปนั่งรอ
ผมมองไปรอบ ๆ ห้องของเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรไปมากกว่าห้องผมนัก เว้นก็แต่ชุดโฮมเธียร์เตอร์กับทีวีจอใหญ่ยักษ์ที่แทบจะคับห้องนั่นล่ะ ท่าทางคงทุ่มให้กับการเอนเตอร์เทนตัวเองน่าดูชม
ไม่นานอู๋อี้ฝานก็เดินกลับมาจากมุมห้องครัวพร้อมกระเป๋าอะไรสักอย่างที่มีฝุ่นจับเป็นก้อน เขานั่งลงตรงหน้าผม เปิดกล่องออก ค้นและคุ้ยขวดยาในกระเป๋าเสียงดังกุกกัก อ้อ...มันคือกล่องยาสามัญประจำบ้านนั่นเอง แต่จากรูปการแล้วนั้นไซร้....ขนาดด้านนอกฝุ่นยังจับเขรอะซะขนาดนี้แปลว่าเจ้าของไม่ค่อยได้ใช้งานมันบ่อยครั้งนักและอาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่ในบ้าน ดีไม่ดียาในกล่องอาจหมดอายุไปแล้วก็ได้
แต่ก่อนจะได้ทันพูดอะไรออกไป หมอนั่นก็จึ๊ปากทำเสียงไม่พอใจเดินกลับเข้าห้องครัวไปใหม่และกลับมาพร้อมกับห่อผ้าที่จ่อแตะเข้ามากดทับลงตรงข้างริมฝีปากบริเวณที่โดนจ้วงหมัดเข้าใส่ ทำให้ผมรู้สึกถึงความเย็นจัดและเปียกชื้นที่ส่งผ่านมา ผมจ้องหน้าเขา เขาก็จ้องหน้าผมกลับก่อนค่อย ๆ กดผ้าห่อน้ำแข็งเน้นลงบนผิวเนื้อผมเป็นจังหวะ
“โทษที ในกระเป๋ายาท่าทางจะใช้ไม่ได้ ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรว่ายาจะหมดอายุก่อนกำหนดหรือเปล่า เพราะฉันเก็บเอาไว้นานจนลืมไปแล้วเหมือนกันว่ามีมันอยู่ เอาน้ำแข็งประคบแทนก่อนแล้วกันนะ”
ดีมากเชียวล่ะที่คิดได้แบบนั้น! เพราะสภาพกระเป๋ายานายมันไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดนะอู๋อี้ฝาน.. ผมอยากจะพูดแบบนั้นออกไปจริง ๆ แต่ก็ต้องเงียบปากไว้ก่อน เพราะขืนปากดีบ่นออกไปแล้วทำให้หมอนี่ไม่พอใจนึกไล่ตะเพิดกันขึ้นมา ทีนี้ล่ะคงได้ซวยสมใจอยากแน่
“อ....อื้อ ขอบใจ ......เอ่อ....ไม่ยักรู้ว่านายเองก็เป็นพวกมาเรียนไกลเหมือนกัน คิดว่าอยู่กับครอบครัวซะอีก” ด้วยสภาพห้องดูแล้วอยู่คนเดียวแน่นอน ทั้งที่ปกตินักเรียนต่างชาติส่วนใหญ่ที่รู้จักกันจะอยู่กับครอบครัวที่มาตั้งรกรากที่นี่ แต่อู๋อี้ฝานกลับเป็นเหมือนกันกับผม ที่เพียงเช่าห้องอยู่ลำพังใช้ชีวิตเพียงลำพัง
“.......”
“บ้านที่จีนนายอยู่ที่ไหนเหรอ?”
“.........”
“นาย...”
“.....ยังไงฉันก็ยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่นายพูดนั่นสักเท่าไรหรอกนะ”
“เอ๋?”
มือหนาใหญ่และเรียวยาวนั้นชะงักค้างค่อย ๆ ยัดผ้าใส่มือให้ผมทำของผมเอง จากนั้นจึงลุกเดินเอากระเป๋ายาไปเก็บที่ ผมเลยถือวิสาสะลุกเดินตามเขาไป
“ก็เข้าใจนะว่ามันเป็นเรื่องที่ฟังดูเหลือเชื่อ ขนาดฉันเองฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ เอาเหอะ นายจะคิดยังไงก็แล้วแต่ เรื่องจะทำให้คนอื่นเชื่อใจทั้งที่ก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมานานมันเป็นเรื่องยากจริง ๆ แต่ฉันว่าถึงจะไม่มีเรื่องนี้เข้ามาข้องเกี่ยว เราก็ยัง....สามารถสนิทกันได้ใช่หรือเปล่า อู๋อี้ฝาน?”
“..............”
“.............”
“ห้องอาบน้ำอยู่นั่น ครัวอยู่ตรงนั้น ห้องนอนมีห้องเดียว ส่วนฟูกนอนสำรองไม่มีเพราะฉันไม่เคยให้ใครมานอนที่บ้าน นอนเตียงเดียวกันคงได้นะ”
“อะ.....อื้อ”
“ผ้าขนหนูอยู่ในห้องน้ำ ส่วนเสื้อเดี๋ยวจะเอามาให้ นายไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน ฉันจะไปเคลียร์ของที่ห้องสักหน่อย” เขาชี้ไปที่ห้องน้ำและเดินสวนกับผมไปยังห้องนอนที่ผมลองชะโงกหน้าดูแล้ว เต็มไปด้วยตุ๊กตาไม่ต่างกันจากด้านนอกนี่ ผมว่าหมอนี่ดูเป็นคนเข้าถึงยากและออกจะประหลาด ๆ นิดหน่อย อืม...หรือว่าเยอะกันนะ
จะว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายก็เหมือนจะถูก หรือไม่งั้นอาจเป็นเพราะอยู่กับคนที่ไม่ถูกใจเช่นผมคนนี้ก็เป็นได้.... ก็ลองดู........ตอนนี้ผมเหมือนตกกระไดพลอยโจรไปแล้วด้วยนี่นา เป็นเมื่อก่อนมันจะเชื่อหรือไม่เชื่อผม มันจะคุยหรือไม่คุยกับผม ผมก็คงจะไม่สนใจ แต่ตอนนี้กวางบ้าที่น่ารักตัวนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เพราะชีวิตผมส่วนหนึ่งถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่มองไม่เห็น แถมมือที่มองไม่เห็นยังคิดจะเหวี่ยงผมไปทางไหนอีกก็ไม่รู้ได้ ผมรู้เพียงอย่างเดียวคือ แม้ตอนนี้จะยังหาทางออกอื่นไม่เจอแต่บางทีสักวันผมอาจจะมองหาวิธีที่ดีกว่านี้ได้...หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เพียงแต่เวลานี้...ผมคงต้องพึ่งอู๋อี้ฝานไปก่อน
เนี่ย...จะให้ผมทำอึนไม่สนใจใยดีไม่พูดคุยกับมันแบบนั้นผมทำไม่ได้หรอกนะ คนที่ปกติพูดพร่ำไปเรื่อยแล้วจะไม่ให้พูดมันยากมากเหอะ! ยิ่งเป็นคนจีนเหมือนกันด้วยแล้วมันควรจะดีใจไม่ใช่หรือไงที่ได้เจอเพื่อนร่วมชาติน่ะ! พูดก็พูดเถอะ ไม่แน่ ผมอาจต้องอยู่กับเจ้าท่อนไม้นี่ตลอด 24 ชั่วโมงเลยก็ได้ แล้วอีแบบนั้นจะให้ผมนั่งบื้อใบ้ไม่พูดไม่จาเลยได้ยังไง คงไม่ใช่ผม ลู่หาน กวางบ้าของเพื่อน ๆ แล้วล่ะครับ
อาบอยู่ไม่นานคุณเจ้าของห้องก็เคาะประตู ยื่นตะกร้าพร้อมเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนอยู่ในนั้นครบ ผมได้ยินเสียงทีวีอยู่สักพักแล้วเงียบไป ก่อนเป็นเสียงเพลงดังแทรกขึ้นมาคล้ายหมอนั่นลังเลที่จะเปิดในตอนแรก หลังจากนั้นก็มีเสียงฮัมเบา ๆ ตามมาอีกเป็นพัก ผมเผลอเพลินฟังเสียงอยู่ในห้องน้ำเป็นนานสองนานจนหมอนั่นเบาเพลงลงแล้วตะโกนถามขึ้นมาเพราะจะใช้ห้องน้ำบ้าง ผมถึงรีบคว้าเสื้อมาผลัดเปลี่ยน เสื้อผ้าของอู๋อี้ฝานตัวใหญ่กว่าที่คิดเยอะทำเอาผมต้องพับขากางเกงชุดนอนขึ้นอีกหลายทบ เซ็งชะมัด ทำไมไม่เกิดมาสูงเหมือนหมอนี่บ้างนะน่าอิจฉาเป็นบ้า!
“โทษที มัวฟังเพลงที่นายเปิดเพลินน่ะ”
ผมหัวเราะแหะ ๆ เกาหัวแกรกบอกเขา อู๋อี้ฝานเพียงแค่พยักหน้า “อือ” รับรู้แล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไป
“นี่ อู๋อี้ฝาน” ผมเรียกเขาทำให้เขาหันกลับมามอง
“เอ่อ..... เปล่าคืองี้......เอ่อ อ๋อ.....ฉันขอเข้าไปนอนก่อนเลยได้ป่ะ มันง่วงมากแล้วน่ะ”
จริง ๆ ไม่ได้คิดจะพูดเรื่องนอนหรอกครับ จะพูดเรื่องเดิมนั่นล่ะ แต่ผมก็กลัวว่ามันจะดูเป็นการเร้าหรือจนเกินไป เขาอาจพาลอารมณ์เสียหงุดหงิดไปมากกว่านี้
“.......”
“.................”
“.....รอก่อนแล้วกัน รีโมททีวีอยู่บนโต๊ะนั่น แต่ถ้าจะฟังซีดีก็ตรงชั้นนั้น แต่ระวังหน่อยอย่าให้ตุ๊กตาที่วางอยู่ตกลงมาได้ไม่งั้นฉันเล่นนายแน่ และ...ห้ามเข้าห้องนอนก่อนฉันเด็ดขาด”
สั่งเสร็จเขาจึงพาร่างอันสูงใหญ่ของตนเดินเข้าห้องอาบน้ำไป ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่กับคำสั่งแปลก ๆ ที่ว่า ห้ามเข้าห้องนอนก่อน? หรือเขากลัวว่าผมจะขโมยของในห้อง? แต่ผมก็เข้ามาถึงในนี้แล้วนะ ถ้าจะกลัวควรกลัวผมยกเค้าบ้านซะมากกว่ามั้ย??? รึกลัวผมจะไปเจออะไรที่ไม่อยากให้ใครเห็นเข้า??? เพราะอะไรกันล่ะ? เอ.....เอาเหอะ เอาเป็นว่าเจ้าของบ้านบอกว่าไงผมก็คงต้องว่าตามนั้น
ต้องบอกว่านานมากกกกกกกกก นี่อาบน้ำหรือล้างไส้ใครช่วยบอกผมที ทำไมไม่วิ่งผ่านน้ำแบบผมบ้าง คนอะไรอาบน้ำเกือบสองชั่วโมงแล้วยังจะให้นั่งทรมานรออีก! รอจนนั่งสัปหงกแล้วด้วยซ้ำ ครั้นพอออกมา อู๋อี้ฝานผู้ไม่แคร์สายตาของเพื่อนร่วมห้องคนใหม่อย่างผมก็เดินเฉิดฉายด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันรอบเอวมา กับผ้าขนหนูผืนสั้นคลุมหัวประหนึ่งนักมวยที่เพิ่งให้น้ำเตรียมจะขึ้นชกต่อ พูดก็พูดเหอะ บอดี้สวยมากครับ กล้ามเนื้อที่..ถึงแม้ว่าผมจะมีแต่ก็มีได้ไม่สวยเท่านี้ ผมไม่คิดว่าหมอนี่จะหุ่นดีขนาดนี้เลยนะ เพราะปกติเห็นแค่เขาในชุดเสื้อเชิร์ตขาวม้วน ๆ พับ ๆ ที่แขนขึ้น วัน ๆ ก็เอาแต่ใส่แว่นอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องสมุด ร้อยวันพันปีจะเห็นทำอย่างอื่นกับเขา.....เป็นคนที่น่าเบื่อจริง ๆ เออแว่นตา...พอเอาออกแล้วต้องบอกว่าหมอนี่หน้าคมมากเชียวล่ะ ดูดีไปคนละแบบกับตอนที่ใส่ไว้เลย
มัวแต่สังเกตสังกาจนอู๋อี้ฝานใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยตอนไหนไม่รู้ มารู้อีกทีหมอนั่นก็พาร่างตัวเองหายเข้าไปในห้องนอนแล้ว มีแต่ผมนี่แหละที่เพิ่งจะรู้ตัวและเดินตามเข้าไปอย่างลนลาน
“ห้องน่าจะเหมือนกับที่นายเคยอยู่เพราะตึกนี่ก็เจ้าของเดียวกันกับนาย”
“อื้อ อ๊ะ! นายรู้ได้ไงอ่ะ”
“เห็นนายไปเล่นเกมแถวนั้นก็รู้แล้วว่าต้องตึกแถวนี้ที่นายพักอยู่ เพราะมันก็มีอยู่แค่ตรงนี้เท่านั้นที่ปล่อยให้เช่าน่ะ เรื่องแค่นี้ใครก็คิดได้ไม่ใช่หรือไง”
“อ้อเรอะ งี้นี่เอง ฉันไม่เห็นจะได้คิดเลยแฮะว่านายอยู่แถวนี้ ฮะ ๆ นึกว่ามาเดินเล่นหาเพื่อนหรืออะไรทำนองนั้นซะอีก” ผมพยักหน้าคิดตามแต่ได้ยินเสียง หึ! จากเจ้านั่นคล้ายด่ากันเป็นนัย ๆ ว่าโง่นั่นล่ะ
เตียงนอนไม่ได้กว้างขวางอะไรนักเพราะก็เป็นเตียงที่ให้มาพร้อมกับห้องเช่า เราจึงต้องนอนเบียดกันนิดหน่อย ....จริง ๆ ต้องบอกว่าถ้าอู๋อี้ฝานตัวเล็กเท่าผมหรือเล็กกว่านี้สักหน่อย ยอมเอาตุ๊กตาลงจากเตียงสักสามสี่...อืมมมม ห้าตัวเถอะขอร้องงง มันคงจะพอดีล่ะครับ เพียงแต่เรื่องจริงไม่ใช่แบบนั้น หมอนี่ตัวโตและสูงใหญ่กว่าผมมากชนิดที่หากยืนด้วยกันหัวผมคงเลยไหล่ไปหน่อยเดียวเองมั้ง เลยทำให้เตียงดูคับแคบลงไปถนัดตา
ผมนอนตะแคงหันข้างให้ในขณะที่ก็อยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกันกับเขา แสงไฟจากโคมหัวเตียงดับลงพร้อมความเงียบที่วูบดับตามมา ผมผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลายพร้อมหลับตาลงและหลับลึกสู่ห้วงนิทราที่หลายวันมานี้ต้องทนทรมานฝันร้ายอยู่หลายคืน คืนนี้จะเป็นคืนที่ผมได้นอนอย่างเต็มตื่นกับเขาเสียที พรุ่งนี้ผมจะต้องเตรียมเก็บของแพ็คลงกล่องอืม.... แต่ห้องผมมันก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากเสื้อผ้า หนังสือเรียนและเกมส์ เครื่องเล่นซีดีกับทีวีก็ไม่มีเพราะส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้อยู่บ้านเอาทีวีมาก็เอามาเปลืองเนื้อที่ห้องเปล่าๆ ดูจากแลปท็อปเอาก็ได้ไม่ต่างกัน ขนง่าย ๆ ฮะ ๆๆ สบายล่ะ วันสองวันก็คงขนของออกมาไว้ที่นี่ได้หมดไม่ยาก
“กวางโจว...”
“เอ๊ะ?”
จู่ ๆ ที่ผมกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ กับการขนของย้ายบ้าน คนข้างกายผมก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“.....บ้านเกิดฉันอยู่กวางโจว”
“..........บ้านนาย....?”
“เท่านั้นแหละราตรีสวัสดิ์”
จากนั้นอู๋อี้ฝานก็เงียบเสียงไปคล้ายจะหลับไปซะจริง ๆ ความจริงผมว่าหมอนี่ก็ไม่ใช่คนที่น่าเบื่ออะไรนะ กลับจะตลกเสียด้วยซ้ำ ผมหันกลับไปหาเขาและสะกิดไหล่เบา ๆ
“นี่ ๆ ส่วนบ้านฉันอยู่ปักกิ่งนะ ฉันเป็นลูกคนเดียวแต่ก็มีญาติผู้น้องอยู่คนหนึ่งที่สนิทกัน หมอนั่นเป็นลูกครึ่งเกาหลี ชื่อ เซฮุน แต่ไม่ได้อยู่ที่โซลนี่หรอก ส่วนใหญ่จะมาเจอกันช่วงเทศกาลหรือว่าว่างตรงกันเสียมากกว่า เป็นพวกขี้แกล้ง กวนโมโหหาใครเหมือนไม่มีแล้ว แต่ก็เป็นเด็กที่ตลก อยู่ด้วยแล้วไม่เบื่อดี แก้เหงาไปได้เยอะ ไว้ถ้าหมอนั่นมาฉันจะแนะนำให้รู้จัก เชื่อเหอะนายต้องคิดเหมือนกันแน่ ๆ ว่าเซฮุนน่ะ ปีศาจชัด ๆ”
“..................ฉันก็ลูกคนเดียว....แต่ไม่ได้สนิทกับญาติคนไหนสักเท่าไร”
“จริงดิ! แล้วแบบนี้...”
“....จะนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์” แล้วผมก็ถูกพูดตัดบทไปซะเฉย ๆ ผมว่านะ หมอนี่ไม่ใช่คนขี้รำคาญหรอก แต่เป็นพวกทำตัวไม่ถูกกับคนที่ตัวเองเพิ่งรู้จักเสียมากกว่า ก็ผมเห็นตอนที่เขาเล่นบาสกับเพื่อน ๆ น่ะออกจะเฮฮาร่าเริงนี่นา
“อู๋อี้ฝาน ฉันเรียกนายแค่ อี้ฝานได้หรือเปล่า”
“........ตามใจ”
“เฮ้ จะว่าไปนายก็หน้าตาดีใช่ย่อยนะ ไม่คบสาวไหนบ้างเรอะ? เอ... รึว่าฉันจะตกข่าวเองนะ ฮะๆๆ”
ผมบอกพลางหัวเราะลงคอเบา ๆ จากที่หันหลังให้กันอยู่ อี้ฝานเขาเลยหันกลับมาประจันหน้ากันกับผมโดยที่ไม่พูดอะไรอยู่เป็นนานสองนาน
“..................”
“..................”
“......ฉันไม่สนใจผู้หญิง”
“.........ฮะ ๆๆๆ อ๋อ เป็นงี้นี่เอง ฮะ ๆ .....ห้ะ!” พอผมได้ยินแค่นั้นดวงหน้าที่จ้องมองผมกลับและใกล้จนเกือบจะชิดหน้าผมก็ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอาการเจ็บหลังและก้นกบของผมในทันทีทันใด ......
ไม่ใช่เขาหรอกครับที่ถอยห่างออกไป แต่เป็นผมนี่แหละที่ตกใจจนถอยหลังตกเตียงดังแอ่ก! ขาข้างหนึ่งยังคงพาดอยู่บนขอบเตียงแต่ตัวทั้งตัวพร้อมด้วยผ้าห่มที่กระชากไว้เป็นหลักก็หล่นลงมากองกับพื้นห้องด้วย
เจ้านั่นหัวเราะเสียงใสพร้อมทั้งยื่นหน้ามาดูอย่างสมเพช
“ถ้าจะหนีไปนอนที่พื้นฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ เพราะเตียงจะได้กว้างขึ้นด้วย แต่....ดีใจด้วยล่ะ ลู่หาน นายไม่ใช่สเปคฉัน ราตรีสวัสดิ์”
อี้ฝานส่งยิ้มกวน ๆ มาให้ ก่อนดึงผ้าห่มจากผมกลับขึ้นไปห่มตัวเองบนเตียงนอนและไม่พูดอะไรอีกเลย ซึ่งผมเองก็พูดอะไรไม่ออกเช่นเดียวกัน อึ้งจนงงไปหมดแล้วครับตอนนี้ ผมว่านะ ชีวิตผมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาจจะนอนหลับไม่เต็มตื่นเหมือนอย่างหลายคืนที่ผ่านมาอีกเหมือนเดิมซะล่ะมั้ง.....
======== #ficluckyman ==========
“เฮ้....ตื่นสักทีสิกวางบ้า ขืนนายยังไม่รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอีก นายจะทำฉันสายนะ”
เสียงที่คุ้นหูแว่วดังขึ้นมาพร้อมปลายนิ้วที่สะกิดตรงบั้นเอวผม.....นิ้วเหรอ? ผมสะลึมสะลือลืมตามองดูก็พบกับปลายนิ้ว.....เท้า.....ที่ยังคงแหย่สะกิดประหนึ่งผมเป็นสิ่งปฏิกูลยังไงยังงั้น
“เฮ้ย ไม่ใช่ขี้นะจะได้เอาเท้ามาแหย่กันแบบนี้เนี่ย” ผมใช่มือปัดเท้าเขาออกไปให้ห่าง
“ก็แล้วใครใช้ให้ลงไปนอนที่พื้นกันล่ะ เห็นกลม ๆ เป็นก้อน ๆ ก็นึกว่าใช่น่ะสิ” หมอนั่นพูดจบก็หัวเราะร่วนลงคออย่างอารมณ์ดีและลุกเดินไปแต่งตัวต่อ ปล่อยให้ผมล้มลงไปนอนเกาหัวกบาลตัวเองอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน แต่ทำอะไรไม่ได้จึงจำใจต้องเดินไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่หัวเสียแต่เช้านี่แหละ
เราสองคนขึ้นไปหยิบของใช้ส่วนตัวของผมที่จำเป็นบางส่วนมาไว้ที่บ้านของเขาก่อนออกไปเรียน ซึ่งหมอนั่นพอเห็นห้องของผมก็ถึงกับอึ้งไป พร้อมบอก หวังว่าผมจะไม่ทำให้ห้องเขารกยิ่งกว่าที่เป็นอยู่และคงไม่รุงรังเหมือนกับห้องของผมหรอกนะ ชริ! นายมาช่วงที่ฉันอ่อนเพลียและจิตหลอนจนไม่มีกะจิตกะใจจะจัดห้องต่างหาก!
“เดี๋ยวฉันจะไปห้องสมุด”
“ฉันว่าจะไปหาเพื่อนที่ชมรมดนตรีสักหน่อย”
“อือ... งั้นค่อยเจอกันที่ห้องเรียน บาย”
“เอ๊ะ!” “เอ๋!”
ด้วยความเคยชินของเราทั้งคู่บทสนทนาเลยเหมือนเป็นชีวิตประจำวันที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พอนึกได้ต่างคนก็ต่างหันกลับมามองกันและกัน แล้วก็เป็นผมที่เริ่มหันซ้ายหันขวาก้าวขาเข้าหาอู๋อี้ฝานทีละก้าว ๆ ก่อนจะส่งยิ้มหวานเกาหัวแกรกอย่างอาย ๆ ให้เขา
“ลืมไป....เรา......คงต้องไปที่เดียวกันล่ะมั้งนะ”
“คงงั้น....ห้องสมุด”
“แล้วเดี๋ยวค่อยไปหาเพื่อนที่ชมรม....” ผมต่อความแผนการเดินทางของเราทั้งสองด้วยรอยยิ้ม แต่ก็กลับถูกหมอนั่นพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“ฉันต้องอยู่ห้องสมุดจนกว่าจะขึ้นเรียน คงไปห้องชมรมกับนายไม่ได้ เพราะงั้นถ้านายยังไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรเพี้ยน ๆ กับตัวเองก็นั่งหาอะไรอ่านที่ห้องสมุดไปซะแล้วกัน” เจ้าของร่างสูงโปร่งเดินไปในทางที่เขาตั้งใจจะเดินไว้ตั้งแต่แรก ยังผลให้ผมซึ่งคงต้องเป็นผู้ตามที่ดีเดินตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้
วันแรกผ่านพ้นไปแบบหืดแทบขึ้นคอ ผมต้องทำเรื่องย้ายชมรมเพื่อไปอยู่ชมรมเดียวกับอู๋อี้ฝานและบอกกับเพื่อนในกลุ่ม ว่าผมกำลังสนใจสายงานที่เกี่ยวกับห้องสมุด รวมถึง อู๋อี้ฝาน “เจ้าชายห้องสมุด” ที่อาจารย์วิชาภาษาอังกฤษแนะนำให้คบหาสนิทกันไว้ เนื่องจากเขาเก่งในวิชาภาษาซึ่งเป็นวิชาที่ผมอ่อนหรือเรียกได้ว่า แทบจะถูกถีบถูกยันถูกเข็ญให้ผ่านมาได้จนตอนนี้ และมันก็ดูสมเหตุสมผลกับการที่ผมจำเป็นต้องสนิทแนบแน่นติดหนึบอยู่กับเพื่อนใหม่คนนี้ตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไป
อ้อที่เรียกว่าเจ้าชายห้องสมุดน่ะไม่ใช่เพราะหล่อทุกคนเลยตั้งให้แบบนั้นหรอกนะ เพียงแต่อี้ฝานวัน ๆ ก็ขลุกอยู่แต่ที่นี่ ทุกคนเลยเรียกเขาแบบนั้น ในความเป็นจริงผมว่าควรเรียกเขาว่า “ผู้คุมกฎ” เสียมากกว่า
หลายวันที่ผ่านมา ผมได้ตระหนักว่า เขากับผมพวกเราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลยแม้สักอย่างเดียว ในแต่ละวันพวกเราจำเป็นต้องเลือกว่าจะไปทางไหน ระหว่างสิ่งที่ผมเลือกกับสิ่งที่เขาเลือก แล้วสุดท้ายทุกครั้งที่ต้องเลือกก็จะเป็นผมเสมอที่ต้องยอม ....ยอมจำนนด้วยเหตุผล ผมอยากจะไปทำอย่างนั้น เขาอยากจะไปทำอย่างนี้ ผมจะเอาไอ้นั่นแต่เขาจะเอาไอ้นี่ เหตุผลของเขามักอยู่ในเรื่องของ “สิ่งจำเป็น” เสมอและเป็นสิ่งจำเป็นที่ผมไม่สามารถโต้แย้งได้
ตัวอย่างเช่น เรื่องของห้องสมุด เพราะเขาเป็นคนคุมห้องเขาจึงต้องไป ส่วนผมอยากจะไปเม้าท์กับเพื่อนในตอนเช้า เพราะอะไรไม่มีเหตุผลแค่อยากเม้าท์เฉย ๆ ผมเลยต้องเดินตามเขาไปห้องสมุดทุกเช้า ผมกะจะไปนอนกลางวันบนดาดฟ้าแต่เขามีนัดกับเพื่อน ๆ เอาไว้แล้ว ว่ามีเล่นบาสกระชับมิตรระหว่างห้องไม่ไปไม่ได้ ซึ่งนั่นหมายถึงห้องผมด้วยเหมือนกัน ผมจึงต้องตามเขาไป เนี่ย! มันล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ผมไม่สามารถปฏิเสธที่จะไม่ทำตามใจเขาได้เลยสักอย่าง
เอ้อ แต่ผมค้นพบอย่างหนึ่งล่ะ! ผมอยากนั่งหลังห้องเพราะอยากนอน แต่เขาต้องนั่งข้างหน้าเพราะถูกหมายหัวจากคาบก่อน อันนี้ผมไม่จำเป็นต้องไปนั่งด้วยกันกับเขา ผมสามารถนั่งหลังห้องเพื่อแอบงีบหรือเล่นทอยเหรียญกับเพื่อน ๆ แก๊งผมได้ เพราะยังไงก็ยังถือว่าใกล้กับเขาไม่ได้ห่างไกลกันมากจนรัศมีความโชคดีของมันส่องมาไม่ถึง
และนั่นก็เป็นเวลาเดียวที่ผมสามารถอยู่กับเพื่อน ๆ ได้ โดยที่ไม่มีใครทันสงสัยว่าทำไมผมถึงจะต้องติดหนึบกับอู๋อี้ฝานไปตลอด 24 ชั่วโมง
แม้ทุกครั้งที่มีแข่งบาสกัน กลุ่มผมจะเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระไม่ต้องไปนั่งเชียร์ข้างสนามหรือหากพวกมันไม่มีพวกผม มันก็คงจะเล่นกันเองได้ไม่ลำบากอะไร แต่พอได้มาลองดูลองนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว กลับกลายเป็นว่า ผมได้ร่วมรับรู้ถึงความสนุกและความตื่นเต้นที่ได้เชียร์ห้องตัวเองหรือแอบเหล่สาวต่างห้องรวมถึงชวนเพื่อนต่างห้องคุยได้โดยไม่ต้องรู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใด เพียงแต่มีอยู่อย่างที่ผมสงสัยก็คือ หมอนั่น....แม้จะเล่นบาสกับทุกคน ลงเล่นบ้างหรือนั่งขอบสนามบ้าง ทั้ง ๆ ที่มันมาเล่นกับทุกคนในทุกครั้ง แต่ผมกลับไม่เห็นว่าเขาจะสุงสิงกับใครเท่าไร คุยพูดเล่นหัวเท่าที่จำเป็น แล้วมันดูออกได้ง่ายมากว่าเจ้าตัวไม่ได้อยากจะคุยกับใครเลย...ถ้าไม่จำเป็น
พวกผมที่ไม่ค่อยมา ยังจะรู้จักและสนิทกับกลุ่มคนในทีมที่ลงไปเล่นในสนามซะมากกว่าอู๋อี้ฝานเสียอีก
“เฮ้ย ไอ้กวางบ้า เย็นนี้ไปคาราโอเกะกันดีกว่าว่ะ ไม่ได้ไปแรดกันนานแล้วนะเฟ้ย”
“นั่นเดะ! ตั้งแต่กลายเป็น badluck guy ไปเนี่ย หงอยซะไม่มีดี” สองตัวตลกประจำห้องแบคฮยอนชานยอลตบหลังผมดังอั่ก และออกปากชวนไปเที่ยวอย่างไม่มีปิดบัง
“เออหงอยจะเป็นง่อยเลยล่ะ ดีเหมือนกันไม่ได้ปลดปล่อยซะนาน วันนี้ถึงเช้ากันเลยดีมะ?”
ผมตอบรับคำไอ้พวกบ้าก๊วนผมอย่างเริงร่า ก่อนจะเหลือบตาไปเห็นร่างสูง ๆ หล่อ ๆ ที่เริ่มจะชินตา ชี้ไปทางด้านนอกห้องเพื่อบอกเป็นนัย ๆ ว่ามันจะไปไหนสักที่ ที่ไม่ใช่ในห้องนี้อีกต่อไป เวรล่ะครับ! ลืมอีกจนได้ แม้จะอยู่กันมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่ชินสักที ดันตกปากรับคำเพื่อนพ้องไปซะดิบดีแล้วด้วยสิ ตอนนี้ผมมันไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปนี่นา ผมมีกระดูกแขวนคอ มีโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นผูกติดอยู่กับใครอีกคน จนทำให้การไปไหนมาไหนอย่างอิสระเสรีทำไม่ได้อีกต่อไป.....
ความจริงแล้วหมอนั่นต่างหากมั้งที่ควรจะเป็นฝ่ายบ่นเรื่องนี้.....
ดูหน้าเขาสิ คนอย่างนั้นเหรอจะไปกับกลุ่มเพื่อนผม? ตาย... แค่คิดก็....มีหวังเพื่อนหดหายหมดแน่กว่าจะเรียนจบ ลู่หาน เอ้ย ลู่หาน
“เอ่อ.....โอ๊ย! ปวดท้องว่ะ ขอไปห้องน้ำก่อนนะพวกนาย สงสัยเพราะเมื่อคืนกินข้าวแกงกะหรี่ค้างคืนแหงเลยว่ะ ไปก่อนนะพวก” ผมตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จกุมท้อง งอตัวเหมือนปวดหนักพลางก็ลุกวิ่งออกไปอย่างไม่รอฟังใครทักท้วง เพื่อตามอี้ฝานตัวนำโชคของผมไปอย่างแนบเนียน
“แย่แน่....ขืนเป็นแบบนี้ทุกวันต้องแย่แน่ ๆ”
“อื้อ”
“ตอนนี้เจ้าพวกสองตัวตลกนั่นอาจกำลังสงสัยอยู่ก็ได้ว่าทำไมฉันไปไหนมาไหนกับนายตลอด”
“อื้อ”
“กับแค่ติวอังกฤษ ไม่ถึงขนาดต้องตัวติดกันนักหรอกมั้ง”
“อื้อ”
“แต่ถ้าไม่สนิทกันไว้แล้วใครที่ไหนมันจะยอมติวให้กันล่ะ เอ...แล้วถ้าพวกนั้นคิดไปในอีกแง่...คิดว่าฉันจีบนายล่ะ”
“อื้อ” ผมเหล่มองหน้าไอ้คนที่ได้แต่ตอบว่า ‘อื้อ’ อยู่แค่คำเดียวแค่นั้น แล้วก็ให้โมโหลมขึ้น
“อู๋อี้ฝาน นายช่วยคิดหน่อยไม่ได้หรือไงกันวะ ตอบแค่อื้อกับอ้าแค่นี้ มันไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลยนะรู้หรือเปล่า”
“แล้วนายจะให้ฉันตอบว่ายังไงกันล่ะ” เขาวางหนังสือที่อยู่ในมือลงกับโต๊ะพร้อมหันมามองจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง...แต่มันก็ทำให้ใจเต้นแรงขึ้นมานิด ๆ กับดวงตาคมคู่นั้นที่มองมา ฮึ่ย! ไม่ใช่เวลามั้ยวะ
“ก็อย่างเช่น....อย่างเช่น......นายก็ออกความเห็นมาว่าให้บอกไปเลยว่าเพราะอะไรถึงต้องติดหนึบกันอยู่แบบนี้”
“แล้วพอนายค้าน?”
“ฉันก็คงค้านทำนองที่ว่า จะไปบอกความจริงประหลาด ๆ แบบนั้นได้ไงกันวะ! ใครที่ไหนมันจะไปเชื่อ!” ผมกระแทกเสียงตอนท้ายเหมือนเวลาที่ถกเถียงปัญหากับเพื่อน ๆ
“อืม....ก็จริงของนาย แล้วยังไงต่อดี?”
“อี้ฝาน นายก็อาจจะออกความเห็นต่อมาอีกว่า เรื่องที่กลัวใครหาว่ามาจีบฉันไม่ต้องห่วง เพราะไม่มีใครรู้ว่าฉันเป็นแบบนี้”
“เท่านั้นล่ะ ตามนั้น” เจ้าเสาไฟฟ้าแรงสูงพูดปิดประเด็นแล้วคว้าหนังสือนิตยสารชั้นนำที่มีแฟชั่นเซ็ทคอลเลคชั่นใหม่มาเปิดอ่านอีกครั้ง
“เอ๋?”
“นายก็ตอบเองถามเองได้หมดทุกคำถามแล้ว ว่าฉันจะพูดว่ายังไง จะตอบนายกลับยังไง แล้วจะให้ฉันพูดไปทำไมกันล่ะฮึ?”
“อ๊ะ.....ก....ก............ก็.....ปัทโธ่ว้อย~”
“คิก ๆ จุ๊ ๆๆ ห้องสมุดงดใช้เสียงนะ ลู่...หาน” เจ้าบ้าอู๋อี้ฝานหัวเราะร่วนลงคอใส่ผมและยิ้มขำกับตัวเองอยู่แบบนั้นไม่ยอมหยุด
“......ทำไมนายถึงไม่ค่อยหัวเราะล่ะ? เวลาหัวเราะนายดูดีออก? อ๊ะ! ฉ....ฉันไปหาหนังสือแถวนั้นอ่านก่อนแล้วกันนะ” เวร เผลอพูดอะไรไม่คิดอีกแล้วไงล่ะ หมอนี่ยิ่งไม่ชอบให้ยุ่งเรื่องส่วนตัวอยู่ ทักไปแบบนั้นเดี๋ยวก็เหวี่ยงเราเข้าให้อีก ชักช้าอยู่ใยกวางน้อยเอ๋ย ขืนอยู่อาจถูกด่าได้ หนีตายไปแถวตู้หนังสือสองสามตู้ด้านนั้นดีกว่า
“......พูดแบบนั้นคิดจะจีบฉันหรือไง?”
“ห้ะ?” ก่อนที่ผมจะลุกเดินออกมาก็ได้ยินประโยคเด็ดจากไอ้หมอนั่นซะเต็มสองรูหู จนต้องหันกลับไปมอง ซึ่งเขากลับนั่งอ่านหนังสือของเขาเฉย
“อะไร?” อี้ฝานเหลือบตามองผมน้อย ๆ พร้อมตั้งคำถาม
“ก็เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรล่ะ?”
“เปล่านี่? ฉันพูดอะไรเหรอ?” ชายหนุ่มตรงหน้าเลิกคิ้วสูงคล้ายไม่เข้าใจว่าผมพูดอะไรออกมา และเขาไม่รู้ว่าผมหมายความว่าอะไร
“เมื่อกี้นายพูดนี่”
“เปล่า? ฉันพูดว่าอะไรล่ะ????” อี้ฝานมองหน้าผมด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มติดมุมปากเจือจางพาให้อุณหภูมิในร่างผมสูบฉีดร้อนผะผ่าวที่ใบหน้าจนถึงหูขึ้นมาเสียดื้อ ๆ อีกแล้ว...ดวงตาคู่นั้นทำให้รู้สึกแปลก ๆ ไปอีกแล้ว ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินคือหูแว่วหูหาเรื่องไปเองหรือว่ายังไง ดังนั้นจึงต้องล่าถอยถอนคำพูดของตัวเองไปเสียก่อน .....ก่อนที่จะถูกต้อนให้จนมุมไปมากกว่านี้
“เออสงสัยฉันหูแว่วไปเองมั้ง ฉันไปหาหนังสืออ่านก่อนแล้วกัน” แล้วผมก็เดินเกาหัวแกรกออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าไอ้คนข้างหลังมันฟุบหน้าลงกับหนังสือพลางหัวเราะชอบอกชอบใจกับเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อครู่นี้แค่ไหน
“เจ้ากวางบื้อเอ้ย” อู๋อี้ฝานเอ่ยเบา ๆ พลางยกแขนขึ้นเท้าคางเอียงคอลอบมองเพื่อนร่วมห้องที่เดินเกาหัวแกรกกรากไปยังชั้นหนังสือใกล้ ๆ และดูเหมือนจะเดินสะดุดเท้าตัวเองเกือบล้มหน้าคว่ำ หันรีหันขวางจัดเสื้อแสงให้เข้าที่ก่อนเดินไม่รู้ไม่ชี้ไปยังชั้นหนังสือที่ตนตั้งใจไว้แต่แรก ครั้นเขย่งเอื้อมหยิบหนังสือที่อยู่เหนือตัวเองขึ้นไปและทำมันหล่นลงมาใส่หัวก็คลำป้อยน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วงพาลใช้เท้าเตะขอบตู้หนังสืออย่างแค้นเคืองใจ
ชายหนุ่มหัวเราะลงคอเล็ก ๆ มองตามร่างบางนั้นไปตลอดด้วยรอยยิ้ม
to be con.....
แป๊บๆ สี่ตอนแล้วอย่างไวอ่ะ ฮ่าๆๆ
ตอนนี้สองคนเค้าเริ่มมาอยู่ที่ห้องเดียวกันแล้ว
ต่างคนต่างมีอะไรแปลกๆ ให้ตามลุ้นกันต่อไปในตอนหน้านะ กร๊ากกก
ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันค่าาา
บอกแล้วว่าเรื่องนี้เบาหัวมั่กๆ!
With love Viruskei
ความคิดเห็น