คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : การต้อนรับของสมาชิกใหม่
ห้องนอนของหอที่นี่ก็ถือได้ว่าโอเคในระดับหนึ่งเลย แถมยังได้รูมเมทที่ดีจึงทำให้การแบ่งเตียงนอนไม่ดูเห็นแก่ตัวกันเกินไป ด้วยเพราะซาคาโมโต้เสนอให้ย้ายทิศของเตียงนอนเสียใหม่ หันหัวนอนไปทางด้านหน้าต่างหรือทิศตะวันออกของห้องและแยกเตียงออกชิดซ้ายและขวาของหน้าต่างจากนั้นจึงนำโต๊ะเขียนหนังสือแยกออกมาคนละมุมตามด้วยตู้เสื้อผ้า มันก็คล้ายๆ กับการจัดวางให้เป็นมิลเลอร์กันนั่นล่ะ ไม่มีใครเหลื่อมล้ำไปกว่าใคร พอย้ายเตียงตู้โต๊ะทั้งหลายกันเรียบร้อยแล้ว รุ่นพี่ก็จับกระเป๋ายัดลงไปในตู้เสื้อผ้าทั้งใบพร้อมเอาเสื้อชุดนักเรียนออกแขวนไว้เพียงไม่กี่ชุด ก่อนขอตัวออกไปประชุมกับพวกคณะกรรมการตึกขาว ตามที่ได้มีประกาศแจ้งตามตัวทั้งหมดออกเสียงตามสายภายในของตึกเมื่อสักสิบนาทีที่แล้วได้ ก่อนจะออกไปซาคาโมโต้ยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ที่นี่ทานข้าวกันตอนหกโมงเย็น ถ้าเขาประชุมยังไม่เสร็จก็ให้ชายหนุ่มลงไปที่โรงอาหารก่อนได้เลย
นัทสึกิลงนั่งที่เตียงและค่อยๆ เอนตัวลงนอนหงายไขว้ขากระดิกเท้าตามนิสัย ก่อนมองไปรอบๆ ห้อง เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ที่ต้องมานอนค้างอ้างแรมอยู่หอพักแบบนี้แทนที่จะไป-กลับโรงเรียนและบ้านทุกวันเหมือนอย่างแต่ก่อน โรงเรียนที่ถูกย้ายแต่ละที่ไม่มีโรงเรียนไหนที่เป็นโรงเรียนประจำเลย เพราะว่าแม่ขอพ่อไว้ ด้วยไม่อยากให้ลูกชายต้องไกลหูไกลตา ทั้งที่เป็นอย่างนั้นมาตลอดแต่ก็เหมือนแม่จะฝืนชะตาลูกตัวเองไม่ได้ โรงเรียนสุดท้ายถึงต้องกลายมาเป็นโรงเรียนประจำแบบนี้ ซ้ำร้ายยังเป็นโรงเรียนชั้นดีติดอันดับของประเทศอีก ไอ้เรื่องเรียนน่ะก็ไม่ได้ขี้เหร่เลวร้ายอะไรนักหรอก แต่มันก็ไม่ได้ดีมากขนาดติดท็อปกับเขาเท่านั้น....ยกเว้นวิชาดนตรีกับพละนะ เรื่องใช้แรงน่ะถนัดสุดๆ มาคิดๆ ดูแล้วไป-กลับมันก็เลยจะต้องเจอกับพวกอันธพาลระหว่างทางเสมอๆ จนเป็นเหตุให้ต้องมีเรื่องราวเข้าโรงพักนั่นโน่นนี่อยู่ตลอด มาคราวนี้เป็นโรงเรียนประจำไม่ต้องออกไปไหนเรียนเสร็จกลับเข้าหอ อยากกินอะไรในโรงเรียนก็มีให้แทบทุกอย่างแม้แต่สวนสาธารณะที่ไว้พักผ่อนหย่อนใจก็ยังมีทางด้านหลังโรงเรียน ก็หวังว่ามันจะไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นแล้วกัน
เสียงมือถือในกระเป๋ากางเกงร้องดังและสั่นขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้นัทสึกิต้องรีบควักออกมารับสาย
“ครับ”
“เป็นไงบ้างหอพัก”
“เออ เจอแล้วพ่อ แม่มเล่นยังกับทายคำวัดไอคิว ดีนะเจอรุ่นพี่คนนึงเขาบอกทางให้ไม่งั้นสงสัยลูกพ่อยังโง่อีกนาน”
“ดีแล้ว แล้วรูมเมทล่ะ.....คงไม่ได้ไปมีเรื่องกับเขานะ”
“วางใจได้ โชคดีมากรูมเมทเป็นรุ่นพี่ที่บอกทางให้นั่นแหละพ่อ ไม่ต้องห่วงยังไม่ได้ไปมีเรื่องกับใคร ผมรักษาสัญญาน่า”
“ได้ยินแบบนั้นฉันก็หายห่วงไปได้บ้าง เนี่ยแม่แกบ่นจะตายเรื่องส่งแกมาเรียนที่นี่ ยังโกรธพ่ออยู่เลย”
“....แม่อยู่แถวนั้นมั้ยพ่อ”
“เปล่า.... แล้วเขาก็บอกว่าไม่อยากได้ยินเสียงแกด้วย”
“อ้าว!”
“กลัวคิดถึง”
“อ้อ..... เล่นเอางง ฝากบอกแม่ด้วยผมสบายดี ยังไม่มีอะไรไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวไว้โกลเด้นท์วีคจะกลับไปบ้านนะ”
“เออ ฉันโทรมาเช็คแค่นี้แหละว่าแกจะไปก่อเรื่องตั้งแต่ถามทางไปหอตัวเองหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ดูแลตัวเองให้ดีล่ะ อย่าลืม...”
“อย่ามีเรื่อง อย่าเรื้อน และอย่าทำตัวมีปัญหา ฉีกยิ้มเข้าข่ม ทำตัวให้เหมาะสมไม่งั้นโรงเรียนดัดสันดานรออยู่...โอเค?”
“ดีมาก คิดอะไรไม่ออกก็ท่องเข้าไว้นะ พ่อไปประชุมต่อล่ะ”
“ครับ ครับ หวัดดีครับ”
นัทสึกิวางสายพ่อและปล่อยโทรศัพท์วางลงบนเตียงข้างตัวพร้อมเป่าลมหายใจออกมาเสียงดังฟู่อย่างเซ็งๆ ก็ถ้าหากมันจะมีปัญหาก็คงเพราะเพื่อนร่วมหอหรือว่าคนในโรงเรียนนี่แหละ ถ้าคิดจะห่างไกลจากผู้คนให้ได้มากที่สุดเห็นทีคงต้องเลือกเป็นชมรมกลับบ้านเท่านั้นซะมั้งนะ
ชายหนุ่มนึกในใจก่อนค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ และเบิกโพลงขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะผุดเด้งผลุงขึ้นนั่งและชะเง้อมองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง เรียกว่าโชคก็น่าจะถูกเพราะวิวที่มองจากห้องนี้เป็นภาพมุมกว้างของหลังโรงเรียนที่เห็นตั้งแต่เรือนเพาะชำทั้งสามหลังและสวนสาธารณะที่ทางสถาบันจัดไว้ให้นักศึกษาของที่นี่ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ต้นไม้ในสวนให้เดาก็คงเป็นต้นซากุระแน่ๆ เพราะปลูกเรียงติดกันขนาดนั้นน่าจะเพื่อไว้ใช้สำหรับเทศกาลฮานามิ(เทศกาลชมดอกไม้) เลยถัดออกไปจากรั้วสถาบันก็เป็นศาลเจ้าใหญ่ ให้เดาอีกก็คงจะต้องมีตำนานอะไรสักอย่างที่เด็กในสถาบันเล่าต่อๆ กันมาเรื่อยจากรุ่นสู่รุ่นจะด้วยตำนานเฮี้ยนหรือว่าตำนานรักก็เหอะ เผลอๆ ก็คงไว้ใช้สำหรับเป็นฐานพิสูจน์ความกล้าช่วงเข้าค่ายชมรมหรืออะไรสักอย่างแหง ไม่ได้ฉลาดอะไรหรอกนะ แต่เรื่องแบบนี้น่ะ มันมีให้เห็นทุกโรงเรียนทุกสถาบันจริงๆ ดังนั้นจากรูปการณ์ที่ยิ่งเป็นหอพักแบบนี้ด้วยแล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่งคงได้ใช้บริการเส้นทางด้านหลังตึกนี้แน่นอน ฟันธงล่วงหน้า.........แต่ขออย่าให้เป็นตำนานเฮี้ยนจะได้มั้ยนะไม่ค่อยถูกกับเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ
“ของก็จัดหมดแล้ว นอนก็นอนไม่หลับ จัดว่าว่างเต็มที่ ดังนั้นไปเดินสำรวจตึกเล่นดีกว่ามั้ยวะเรา”
ชายหนุ่มเปรยออกมาคนเดียวและไม่ต้องรอฟังคำตอบจากใคร ก่อนจะเดินผิวปากออกจากห้อง ดูเหมือนว่าห้องอื่นๆ ที่จัดของเสร็จแล้วและเริ่มออกเดินสำรวจภายในตัวตึกจะไม่ได้มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น เพราะพอเปิดประตูออกมา ตามทางเดินกลับขวักไขว่ไปด้วยนักเรียนมากมายที่บ้างก็เดินคุยกันเล่นกันชี้ชวนกันดู บ้างก็เดินเดี่ยวมองซ้ายมองขวาเรื่อยเปื่อยล่องลอยไม่รู้เหนือรู้ใต้ และบ้างก็ยังยกย้ายของกันไม่เสร็จเอะอะโวยวายกันตามทางเดินให้มั่วไปหมด นัทสึกิค่อยๆ เดินสำรวจไล่ภายในชั้นตัวเองก่อนและค่อยสุ่มขึ้นลิฟท์ไปดูชั้นอื่นบ้าง ตึกขาวถือว่าเป็นตึกใหญ่สุดในบรรดาหอพักทั้งหมดด้วยจำนวนถึงสิบสองชั้นด้วยกัน และที่ชั้นบนสุดของตึกก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นห้องพักส่วนตัวของประธานนักเรียน ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าใครทั้งหมด
ลิฟท์รวมของตึกมีถึงเพียงแค่ชั้น11 ส่วนชั้น 12 จะมีลิฟท์แยกต่างหากออกไป ใครก็ไม่สามารถเข้าไปใช้ได้นอกจากประธานนักเรียนคนเดียวเท่านั้น ถามว่าอยากจะสนใจหมอนั่นหรือเปล่าก็ตอบได้เลยว่า ‘ไม่สน’ แต่ถ้าถามว่าพอคิดถึงหน้าหมอนั่นแล้วอยากจะกวนตีนใส่มั้ย ตอบได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่า ‘อยากมาก’ ชายหนุ่มจึงหยักยิ้มและเลือกปลายทางที่ชั้น 11 จากนั้นก็มองหาบันไดหนีไฟก่อนลองบิดเปิดดู....
“ประกาศ! ขอให้ชาวตึกขาวมารวมตัวกันที่โรงอาหารเดี๋ยวนี้”
เสียงประกาศจากประชาสัมพันธ์ของตึกดังขึ้นระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูบันไดหนีไฟพอดิบพอดีทำเอานัทสึกิถึงกับจึ๊ปากอย่างขัดใจและถอยเดินลงมารวมๆ กันกับนักเรียนคนอื่น เพื่อรอลงลิฟท์ไปยังโรงอาหารตามที่ประกาศเรียก เพราะมัวเดินเล่นจนเพลิน จนลืมดูเวลาไปเลย ถือซะว่าเป็นโชคของเจ้านั่นแล้วกันที่ระฆังช่วยเอาไว้ก่อน
เมื่อลงมายังโรงอาหารต่างคนก็ต่างแห่กันไปเข้าคิวต่อแถวดูกับข้าวกับปลากันแล้ว มีเพียงกรรมการหอแค่คนสองคนเท่านั้นที่คอยดูแลและประกาศบอกเล่ากฏระเบียบต่างๆ ของการใช้โรงอาหารและเวลาเข้าออกหอ การใช้ห้องสมุดของตึก หรือห้องอาบน้ำรวม ที่หากห้องน้ำในห้องพักเสียก็สามารถมาใช้ห้องอาบน้ำรวมของแต่ละชั้นได้เลยแต่ต้องไม่เกินสี่ทุ่มเท่านั้น ส่วนพวกกรรมการตัวหลักๆ หายกริบไม่มีแม้สักคน คาดว่ายังคงประชุมกันไม่เสร็จเป็นแน่ ครั้นเมื่อทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาส่วนตัวที่ใครอยากจะไปทำอะไรตรงไหนก็ตามสบายแต่ต้องอยู่ภายในหอพักนี้เท่านั้น ซึ่งนัทสึกิขอเลือกที่จะอยู่ในห้องตัวเอง เล่นเกมคอมพิวเตอร์ไปจะดีกว่า
เที่ยงคืน รุ่นพี่ซาคาโมโต้ก็ยังไม่กลับเข้าห้องมาสักที แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องไปสนใจ ทำให้ชายหนุ่มปิดไฟเข้านอนและหวังให้มันเป็นคืนแรกที่แสนจะน่าจดจำของตัวเองสำหรับการห่างไกลพ่อแม่และการต้องมานอนอยู่หอพักในสถาบันการศึกษาเช่นนี้
ตีหนึ่ง กริ่งสัญญาณไฟไหม้ร้องดังขึ้น พร้อมกับเสียงประกาศตามสายปลุกให้ทุกคนลุกตื่นจากเตียงนอนและกระวีกระวาดวิ่งหนีตายลงมารวมตัวกันที่สนามหญ้าหน้าตึกด้วยชุดนอนเต็มยศบ้าง ครึ่งท่อนบ้างต่างๆ กันออกไป เพียงแต่...พวกรุ่นพี่ปีสองขึ้นไปจะนั่งกันที่สนามอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพวกเด็กเข้าใหม่ทั้งหลายก็จะทิ้งตัวเหนื่อยหอบกันกลางลานด้วยเพราะวิ่งกันมาจากห้องอย่างไม่คิดชีวิต ซึ่งหมายรวมถึงนัทสึกิเองด้วยเช่นกัน
“สวัสดีทุกคนอีกครั้ง หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดถึงได้ถูกปลุกให้ตื่นกลางดึกแบบนี้ อันเนื่องด้วยประเพณีของชาวหอเรา วันนี้ถือเป็นวันรับน้องใหม่ของหอ ดังนั้นขอให้นักเรียนเข้าใหม่ทุกคนก้าวขึ้นมาข้างหน้านี้ด้วย”
รุ่นพี่มิซึกิ เลขาประจำตึกขาวป่าวประกาศทำให้ปีหนึ่งและนักเรียนเข้าใหม่ทุกคนเดินออกมาทั้งที่ยังคงหอบแฮ่กกันอยู่อย่างนั้น
“ด้วยเพราะเราอยากให้ทุกคนได้รับสิ่งดีๆ เมื่ออยู่ในสถาบันแห่งนี้ดังนั้น เราจึงมีถุงเครื่องลางนำโชคมามอบให้กับทุกคนไม่ขาดและไม่เกินพอดีเด๊ะ เป็นเครื่องลางนำโชคที่ได้รับมาจากชมรมศิษย์เก่าอีกทีหนึ่ง ปลุกเสกแล้วเรียบร้อยเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่จะให้กันง่ายๆ มันก็คงไม่ใช่ SIT-T สังเกตชื่อย่อของสถาบันเราสิ ร้องไห้กันตั้งแต่ตัวย่อเลยฮ่าๆๆๆ (SIT-T) ดังนั้นครับพี่น้องกล้วยเรียกพี่เลยงานนี้ ถุงเครื่องลางจะอยู่ที่คุณประธานหอของเรา ซึ่งตอนนี้ได้ไปนั่งรอหรือเดินเล่นสวยๆ กันอยู่ที่....สักห้องนึงหรือสักที่นึงล่ะแถวตึกขาว หาตัวเขาให้เจอแล้วขอเครื่องลางจากประธานที่รักมา 11 คนแรกที่มาถึงก่อนจะได้รับคูปองทานอาหารกลางวันฟรี 1 อาทิตย์ ส่วน 11 คนที่มาถึงทีหลังจะต้องดูแลทำความสะอาดห้องอาบน้ำทั้ง 11 ชั้นเป็นเวลา 1 อาทิตย์ กติกาโคตรง่ายๆ เลยใช่มั้ยล่ะ แต่บอกก่อนว่า อุ๊บตอนนี้ไฟที่ตึกขาวเสียจ่ะ ลิฟท์ใช้การไม่ได้ ใช้บันไดได้เพียงอย่างเดียว ประธานของเราจะอยู่ชั้นหนึ่งหรือว่าชั้น 11 หรือจะเป็นสวนสาธารณะหลังตึก เรือนเพาะชำ หรือแอบซ่อนอยู่กับกลุ่มพวกเราที่สนามหญ้าแห่งนี้ หุหุ”
เสียงร้องโหยดังขึ้นมาทันควันเมื่อมิซึกิพูดจบ แต่กลับสร้างเสียงหัวเราะให้พวกรุ่นพี่ที่ปูเสื่อนั่งจิบชาและเริ่มชี้ชวนกันพนันว่ารุ่นน้องคนไหนจะมาก่อนและมาหลัง ยังไม่ทันที่เสียงจอแจจะเงียบสนิทลง มิซึกิก็เป่านกหวีดลั่นและตะโกนจนสุดเสียง
“เริ่มได้! ขอให้โชคดี อย่าลืมว่า ชายทช (ทชซามะ) ของเรามีขานะ ดังนั้นหากันให้เจอล่ะ”
และแล้วประเพณีการรับน้องหอพักก็ได้เริ่มต้นขึ้น.....
หากบอกว่าการได้อยู่เหนือคนอื่น แต่ต้องแลกมาด้วยการไร้ซึ่งความเป็นส่วนตัวและลำบากขนาดนี้ เขาก็เริ่มอยากกลับไปใช้ชีวิตปกติตามเดิมแล้วเหมือนกัน ชายหนุ่มร่างบางลงนั่งขัดสมาธิเท้าคาง รอให้รุ่นน้องมาเจอตนและรับถุงนำโชคของทางฝ่ายชมรมศิษย์เก่าไป ป่านนี้คนอื่นคงจะนั่งสรวญเสเฮฮากันอยู่ตรงลานสนามหญ้าหน้าตึกและพนันขันต่อกันไปอย่างสนุกสนานแล้วแน่ๆ ถึงเขาจะไม่ได้อยากร่วมวงตรงนั้นด้วยสักเท่าไร แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งประธานแบบนี้ก็คงแว่บไปงีบที่ห้องตัวเองได้ล่ะ ไม่ต้องมานั่งฝืนใจถ่างตารอใครก็ไม่รู้มาตามหาพร้อมฉีกยิ้มหวานให้กำลังใจและกล่าวคำอวยพรยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับอยู่แบบนี้ มันใช่เรื่องน่าสนุกเสียเมื่อไรกัน
“เหนื่อยหน่อยนะ ยินดีต้อนรับสู่ SIT-T และตึกขาวอีกครั้ง สู้เขาล่ะ ไปให้ทันนะ”
ซึทนะเอ่ยบอกรุ่นน้องด้วยรอยยิ้มและยื่นถุงนำโชคให้
“ขอบคุณมากครับประธาน เห็นพวกรุ่นพี่บอกว่าประธานจะหลบไปหลบมา ไม่คิดว่าจะหาง่ายแบบนี้”
“อย่าเลย แค่วิ่งในตึกมืดๆ นี่ก็ลำบากกันแย่แล้ว เราไม่อยากให้ลำบากกันน่ะ เก็บแรงไว้สู้กับตึกอื่นตอนวันแข่งนัดแรกจะดีกว่า”
“ขอบคุณคร้าบบบ”
ใบหน้าหวานยิ้มใจดีให้กับรุ่นน้องอีกครั้งทำเอาคนที่ได้รับรอยยิ้มแทบจะลอยไปติดเพดานห้องกันเลย โดยหารู้ไม่ว่าคนที่ปากบอกว่าทำเพื่อทุกคนอยู่นั้นกำลังทำเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากการละเล่นนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ต่างหาก รุ่นพี่ซาคาโมโต้ก็ช่างยุเสียเหลือเกิน มันน่าโมโหนัก แล้วทุกคนก็เชื่อเขาด้วยนี่สิยิ่งทำให้โมโหเข้าไปใหญ่ ปกติประเพณีรับน้องใหม่ของหอ จะต้องแบ่งคณะกรรมการหอออกเป็น 3 คน เพื่อย่นเวลาในการตามหาไม่ให้ยืดยาวออกไปทั้งคืน แต่นี่ยังไงกันดันพูดในที่ประชุมมาได้ว่า
“ทชจิน่ะเหมือนเป็นกำลังใจของทุกคนแค่ทุกคนได้เห็นรอยยิ้ม จากที่วิ่งขึ้นวิ่งลงตามหาตัวใครสักคนมาตลอดคืน มาเจอยิ้มหวานๆ และคำพูดให้กำลังใจเพราะๆ แค่นี้ก็หายเหนื่อยหายเคืองกรรมการหอกันไปเป็นปลิดทิ้งแล้ว และหลังจากนี้ต่อให้เป็น 11 คนสุดท้ายก็เถอะ พอถึงเวลาที่ต้องแข่งกับพวกตึกอื่น บรรดาสมาชิกหอก็คงยอมถวายหัวสู้เพื่อประธานกันล่ะ ลองคิดกลับกันดูสิ คนเราเหนื่อยสายตัวแทบขาด ใกล้จะหมดแรงเต็มทนยังต้องมาเจอหน้าเหี้ยมๆ ของมิซึกิหรือคนอื่นน่ะ เล่นเอาท้อกันได้ง่ายๆเลยนะ”
สิ้นคำของรุ่นพี่ซาคาโมโต้ที่ประชุมก็ต่างมองหน้ากันและผงะกันเองโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนรีบหันกลับไปจ้องหน้าซึทนะที่ระบายยิ้มบนใบหน้าไม่จางและมองทุกคนกลับด้วยดวงตากลมใสแบ๊วอย่างเคย ทำให้ต่างพากันยกมือเห็นด้วยแบบไม่ต้องคิดอะไรอีก และนั่นล่ะ....คือที่มาของความหงุดหงิดใจที่ซึทนะไม่อาจปฏิเสธใครได้ จะโวยวายไม่ชอบรึก็จะผิดคอนเซปที่ตัวเองสร้างเอาไว้แต่แรก จะโอดครวญไม่ทำรึก็ไม่ได้อีกเพราะตำแหน่งประธานมันค้ำคอ ได้แต่ยิ้มใจดีเอียงคอมองทุกคนและรับปากเป็นมั่นเหมาะด้วยความเต็มใจ แม้ในใจจะกำลังเดือดปุด กรีดร้องและลุกขึ้นตรงเข้าบีบคอทุกคนเรียงตัวแล้วก็ตาม
ซึทนะเลือกห้องสมุดที่ชั้นสามของตึกเป็นศูนย์กลางให้ทุกคนหาตนพบได้ง่ายเข้า โดยไม่คิดจะย้ายที่ไปไหน จริงๆ ก็มีคนนึงล่ะที่ไม่อยากให้หาตัวเขาเจอและอยากให้เจอเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ต้องรับสิทธิ์ทำความสะอาดห้องอาบน้ำไป ดังนั้นจึงหลบหลังบานประตูหรือตามซอกตู้เสียก่อนเพื่อดูว่าคนที่เข้ามายังห้องสมุดนั้นคือใคร ถ้าหากเป็นไอ้เจ้าบ้านั่นล่ะก็ กะไว้ว่าต่อให้ต้องโกยเอาหนังสือมาถมตัวให้มิดก็คงยอมกันล่ะ แต่คนแล้วคนเล่าก็ยังไม่ใช่หมอนั่นสักที เวลาผ่านไปเนิ่นนาน กระทั่งเครื่องลางที่ตัวเหลือเพียงแค่อันสุดท้าย ต่างคนต่างวิ่งวุ่นกวดกันลงจากตึกเพื่อที่จะได้ไปให้ถึงเส้นชัยก่อนจะกลายเป็นกลุ่มบ๊วยที่ซวยล้างห้องอาบน้ำทั้งสัปดาห์
ใบหน้าสวยหยิบเครื่องลางชิ้นสุดท้ายกำไว้ในมือและเดินออกจากห้องสมุดอย่างสงสัย... ก่อนมายืนกลางทางเดินบันไดระหว่างชั้นและสอดส่ายสายตาในความมืดเพื่อมองหาหน้ากวนๆ ของเจ้าคนที่ตนกำลังนึกถึงอยู่ เมื่อมองเวลาในมือถือ ก็ให้ต้องกอดอกยืนพิงผนังและขยับเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะอย่างเฝ้ารอ เสียงโห่ร้องและโวยวายที่ด้านล่างเริ่มดังขึ้นเป็นระยะๆ สึทนะจึงชะโงกหน้าออกไปตรงหน้าต่างและหยิบเครื่องลางออกมาโบกให้กรรมการด้านล่างดูว่าเหลืออีกหนึ่งราย ก่อนจะกลับมายืนนิ่งกอดอกมองซ้ายมองขวาหาร่างเจ้าคนที่หายตัวไปและเป็นคนสุดท้ายที่ทุกคนยังคงรอเพื่อปิดเกมการรับน้องหอครั้งนี้ แต่รอนานเท่าไรก็ไม่เห็นว่าคนๆ นั้นจะออกมาเสียที พาให้ประธานคนงามที่ไม่ชอบการรอคอยและกำลังหงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ออกเดินงุ่นง่านวนหาเจ้านักเรียนใหม่นี่เสียเอง
“อยู่ไหนน่ะ นัทสึกิ! ไอ้ตัวซวยเอ๊ย อยู่ไหนออกมาได้แล้วเจ้าโง่ ฉันนั่งอยู่ห้องสมุดเป็นนานสองนานไม่ได้ไปไหนเลย ทำไมยังหาฉันไม่เจออีกวะ นัทสึกิ วู้~~”
สึทนะไล่เดินไปตามห้องและพยายามร้องเรียกแต่ก็ไม่ได้รับเสียงใดๆ ตอบกลับมานอกจากเสียงสะท้อนของตัวเอง เมื่อดูเหมือนความเงียบจะเข้าครอบคลุมกันจนเกินไป เขาจึงตัดสินใจเดินกลับลงมาด้านล่างเพื่อมารวมกับทุกคนที่สนาม
“ว่าไงประธาน”
“เหลือเครื่องลางอีกชิ้นน่ะ รุ่นพี่มิซึกิ รุ่นพี่ซาคาโมโต้”
“ฝรั่งทำเกินป่าววะ?”
“เออนั่นสิ เขาให้เรามาเกินหรือเปล่า จริงๆ นักเรียนใหม่มาครบแล้วมั้ง?”
เหล่าบรรดากรรมการหอทั้งหมดเดินมาชุมนุมกันพร้อมออกเสียงออกความเห็นเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ผิดปกติเกินไป
“เมื่อกี้เราลองเดินดูจนถึงชั้นที่ห้าแล้วแต่ไม่เจอ....เลยลงมาหาทุกคนตรงนี้ก่อน”
ซึทนะเอ่ยบอกพร้อมใช้นิ้วหัวแม่มือเสยผมขึ้นทัดหูและซับเหงื่อที่เริ่มผุดซึมตรงแถวขมับ เพราะออกแรงเดินตามนัทสึกิด้วยตนเอง
“หรือจะอยู่ที่ชั้นสูงกว่านั้น?”
“ผมว่าทำเกินมากกว่า”
“ไม่เกิน / มีอีกคน”
สองเสียงที่แม้จะเป็นคนละคำพูดแต่ก็เป็นความหมายคล้ายคลึงกัน ซึทนะและซาคาโมโต้เอ่ยจบก็หันมองหน้ากัน แต่เป็น ซึทนะที่พูดออกมาก่อน
“ไม่เกินหรอก นี่ของ นัทสึกิ โช เรารอเขาแล้วแต่ยังไม่มาสักที เราว่ากระจายกันตามหาดีกว่านะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ใบหน้าสวยดูยุ่งขึ้นถนัดใจและเริ่มสั่งการให้เหล่ากรรมการออกค้นหาภายในตึกโดยที่ตนเองก็เม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ซาคาโมโต้และทุกคนจึงหันมองหน้ากันและเป็นซาคาโมโต้ที่แบ่งงานทุกคนให้ออกค้นหาไปทีละชั้นอย่างละเอียด ก่อนแยกย้ายมิซึกิเผลอบ่นเหมือนคุยกับตัวเองอย่างลืมตัว
“นี่จะอัจฉริยะเกินไปหรือเปล่าวะเนี่ย นักเรียนเข้าใหม่เป็นร้อย จำได้อีกว่าเหลือใครที่หายไป จะน่าทึ่งเกินไปแล้วนะเนี่ยประธานนักเรียนรุ่นนี้”
“นั่นดิ สุดยอดเป็นบ้า”
คงมีก็แต่ซาคาโมโต้เท่านั้นที่ฟังและไม่ได้พูดออกความเห็นอะไร อย่างซึทนะ คงไม่ใช่นั่งท่องชื่อคนทุกคนหรอก เพียงแต่นัทสึกิ เป็นคนที่....อะไรสักอย่างแน่ สึทนะถึงได้จำได้แม่นขนาดนี้ เมื่อทุกคนออกค้นหา ร่างแบบบางของประธานนักเรียนยังคงยืนทิ้งสะโพกอิงพิงเสากัดเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิดต่อไปกระทั่งจู่ๆ ก็เบิกตาโพลงและผลุนผลันออกเดินสาวเท้ายาวๆ ไปยังด้านหลังตึก ท่ามกลางสายตาฉงนของเหล่าผู้ที่นั่งรอกันตรงนั้น
“ประธานจะไปไหนวะ”
“จะรู้เหรอ ไปที่สวนซากุระหรือเปล่า ตะกี้ฉันเองยังเดินไปหาประธานที่นั่นเลย”
“แล้วทำไมประธานแกไม่รออยู่เฉยๆ วะ?”
“กูจะรู้มั้ย”
แล้วเหล่าบรรดาผู้ที่เฝ้ารอว่าประเพณีรับน้องหอคืนนี้จะจบยังไงก็เริ่มวิพากวิจารณ์เดากันไปต่างๆ
ซึทนะเดินเร็วๆ เข้าไปยัง “เรือนเพชร” และเริ่มพยายามเพ่งมองหาคนที่เขาคิดอยู่ในใจ คืนนี้แม้ไม่ใช่คืนเดือนเพ็ญแต่พระจันทร์เสี้ยวโค้งสวยสีอ่อนก็ยังคงส่องแสงสลัวพอให้มองเห็นอะไรๆ ที่อยู่ตรงหน้าได้บ้าง กลุ่มพุ่มต้นกระบองเพชรน้อยใหญ่ยังคงอยู่ในที่เดิมของมันพร้อมชูหนามแหลมรอบตัวสู้แสงนั้น เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ความเงียบที่มีอยู่ในทีแรกจึงเริ่มส่งเสียงดังกรอบแกรบตามเท้าที่ก้าวย่าง ก่อนจะรู้สึกถึงเงาตะคุ่มๆ ที่พุ่งพรวดออกมาตรงหน้าพร้อมกับสัญชาติญาณของตัวเองที่ก้มต่ำหลบจนล้มลงไปกับพื้น
“ใครวะ! ผีหรือคนวะ!”
เสียงโวยวายเอ็ดตะโรเหมือนข่มความกลัวของตัวเองในความมืดร้องลั่น ทำให้ซึทนะถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไอ้บ้า! ฉันเอง นี่คิดจะทำร้ายร่างกายกันเลยหรือไงห้ะ?”
ซึทนะกดมือถือเพื่อให้แสงจากจอมือถือส่องสว่างเข้าที่หน้าของตน และยื่นส่องหน้าเจ้าคนที่เขากำลังตามหาตัวอยู่เมื่อครู่
“เหย นายเองหรอกเหรอ มาได้สักที มา เอาเครื่องลางมา ง่วงจะตายแล้วจะได้ไปนอนสักที”
คำกล่าวทักทายยามเมื่อรู้ว่าเป็นใคร ทำเอาซึทนะแทบกรี๊ดออกมาให้รู้แล้วรู้รอด จากนั้นก็รู้สึกถึงมือแกร่งที่จับคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนและฉุดให้ลอยหวือขึ้นลุกยืนตามเดิม ก่อนแบมือออกมาตรงหน้า
“มาๆ เอาเครื่องลางมา”
“อื้อหือ ไอ้เจ้าเซ่อเอ๊ย ทำคนอื่นเดือดร้อนไปทั่วยังไม่สำนึกอีกนะ”
“เดือดร้อน? อะไรวะ?”
“ช่างเหอะ ไปที่สนามได้แล้ว นี่เอ้า เครื่องลางของนาย เอาไปสักทีฉันไม่อยากเก็บไว้นานนักหรอก”
ซึทนะเอาเครื่องลางที่ตนกำไว้ในมือมาโดยตลอดจับยัดใส่มือที่แบรอรับของนั้นแบบเสียไม่ได้ เครื่องลางที่ชื้นไปด้วยเหงื่อสร้างความสงสัยให้นัทสึกิอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ถามอะไร นอกจากตอบ “ขอบใจ” และรีบวิ่งออกจากเรือนเพชรนี้ไป
“เดี๋ยวก่อน!”
“อะไร?”
ก่อนที่ร่างสูงโปร่งนั้นจะวิ่งออกจากเรือนเพชรไป ซึทนะตัดสินใจร้องทักเพื่อถามในเรื่องที่ตนสงสัย
“นายอยู่นี่นานหรือยัง”
“ตั้งแต่เริ่มแหละ”
“....ทำไมมาอยู่ที่นี่”
“เพราะนายชอบที่นี่ไงล่ะ ไปก่อนนะ”
นัทสึกิหันกลับมาตอบด้วยรอยยิ้มและโบกมือบ้ายบายก่อนรีบวิ่งออกจากเรือนเพาะชำแห่งนี้ไป ทิ้งให้ซึทนะที่รอฟังคำตอบเมื่อครู่ค่อยๆ คลี่ยิ้มน้อยๆ บนมุมปากและหุบลงอย่างรวดเร็วก่อนบ่นอุบอิบออกมาเหมือนไม่รู้จะพูดยังไงต่อ
“ใครที่ไหนจะมานั่งมืดๆ ในที่แบบนี้กันนะ เจ้าทึ่มเอ๊ย”
To be con....
ความคิดเห็น