คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Lucky :: 003 :: ฉันต้องการนายอู๋อี้ฝาน
“อู๋อี้ฝาน!”
ผมวิ่งกระหืดกระหอบตามเจ้าร่างสูงนั่นออกมาจากร้านเกมพร้อมร้องตะโกนเรียกให้เขาหยุด หมอนั่นหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าเฉยชาเหมือนทุกครั้ง
“อะไร”
“นาย....นายแบบว่าคือ...”
“????”
“คือเนี่ยคือฉัน แล้วนายก็ แบบ”
ผมทำมือชี้โบ้ชี้เบ้ ชี้ตัวเองชี้เขาโบกมือไปมาในอากาศ เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นพูดว่ายังไงดี แล้วอยู่ ๆ อู๋อี้ฝานก็ยกยิ้มก่อนหัวเราะเสียงใสออกมา
“ฮะ ๆ นายนี่ตลกดีแฮะลู่หานสมกับที่เพื่อนนายเรียกกวางบ้าแล้วจริง ๆ ฉันไปก่อนล่ะ จะกลับไปเล่นเกมต่อที่บ้าน” พูดจบอู๋อี้ฝานก็ทำท่าจะเดินละจากผมไปจริง ๆ ผมจึงก้าวขา เอื้อมมือไปคว้าแขนของเขาไว้ จนทำให้เจ้าตัวคนที่ถูกรั้งหันกลับมามองอีกครั้งอย่างตั้งคำถาม
“นายสนใจจะแชร์ห้องเช่ากับฉันมั้ย? อู๋อี้ฝาน”
“หือ?”
ไม่รู้จะบอกว่าไงนี่ครับ จะบอกว่า เฮ้ นายเป็นตัวนำโชคของฉันนะ แบบนี้มันคงว่าผมบ้า เพราะปกติถึงแม้จะอยู่ห้องเดียวกันแต่คุยกันนับครั้งได้ เกิดพลั้งปากพูดออกไป คงถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ เป็นแน่
“พอดีวันก่อนฉันเจอห้องหนึ่งน่ะบรรยากาศดีมาก ทั้งสบายทั้งกว้างขวาง แต่ราคามันค่อนข้างสูง เลยหาคนแชร์ห้องด้วยอยู่ นาย...สนใจมั้ย?”
“อ้อ....... แต่ฉันชอบห้องที่อยู่นี่อยู่แล้วคงไม่ย้ายล่ะ โทษทีนะ นายลองถามเพื่อน ๆ นายดูแล้วกัน ไปล่ะ” หมอนั่นตอบปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมแม้สักนิด เดินข้ามถนนทิ้งผมไว้เลย แหงสิ สนิทก็ไม่สนิท คุยกันก็ไม่เคย ใครมันจะมาอยู่ด้วยล่ะวะครับ ผมได้แต่มองตามและถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง พูดก็พูดเถอะ พักนี้ผมถอนหายใจเป็นอาชีพจริง ๆ จนแทบจะติดเป็นนิสัยแล้ว
ผมเดินเตร็ดเตร่อยู่ครู่ใหญ่ก่อนตัดสินใจพาร่างที่แสนจะโทรมของตัวเองมาจนถึงบ้านของเหมย เซียนและคุณย่า วันนี้คุณย่าแกหลับอยู่ครับยังไม่ตื่นเห็นเหม่ยเซียนบอกว่า แกจะชอบหลับไว้ก่อนเพื่อตื่นมารอดูซีรีส์ เพราะกลัวจะเผลองีบระหว่างละครฉายจบ เฮ้อ.....เชื่อเขาเลยครับคนแก่สมัยนี้
“เอ่อ เธอดูแย่กว่าวันก่อนอีกนะเนี่ย ลู่หาน”
“แหงสิครับ ทั้งตกบันได ทั้งหัวฟาดพื้น หัวแตก แขนหัก พรุ่งนี้ขาจะขาดหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“หรือไม่งั้น....ก็อาจจะถูกรถชนตายไปเลยก็ได้”
“เหม่ยเซียน คุณนี่มัน....” พี่สาวคนนี้พูดเรื่องความเป็นความตายของคน ๆ หนึ่งได้หน้าตาเฉยดีจริง ๆ หัวจิตหัวใจไม่คิดจะปลอบประโลมให้คนอื่นเขาหมดกังวลลงไปบ้างเลยหรือไงกันวะ
“พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสินะที่คุณย่าทำนายไว้ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้วล่ะลู่หาน เรื่อง “ตัวช่วย” ของนายน่ะ หาเจอรึยัง?”
แค่ผมได้ยินคำถามตรงประเด็นกับที่ผมตั้งใจจะมาในวันนี้ ผมก็รีบเล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟังจนหมดเปลือกเกี่ยวกับเรื่องของอู๋อี้ฝาน เธอพยักหน้ารับและยกยิ้มให้ประหนึ่งผมรอดตายแน่นอนแล้วยังไงยังงั้น
“แหม แบบนี้ก็รอดตายแล้วน่ะสิ ไม่เห็นจะต้องถ่อสังขารมาถึงนี่เลยลู่หาน”
“รอดหรือเปล่าไม่รู้นี่สิครับถึงได้มา หมอนั่นเป็นเพื่อนห้องเดียวกันก็จริง แต่คุยกันยังไม่ค่อยได้คุยเลย วัน ๆ ก็นั่งเพ่งอยู่แต่กับหนังสือไม่ค่อยสุงสิงกับใคร นิสัยใจคอเป็นไงผมก็ไม่รู้”
“ก็รีบ ๆ รู้ซะสิ กับอีแค่นี้ ใกล้แค่เอื้อมจนไม่รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นเจอชะตาดวงตกแบบนายจะโชคดีได้อย่างนายหรือเปล่าเถอะลู่หาน บางคนตัวช่วยอยู่ถึงอียิป บ้างต้องบินไปเยอรมันเครื่องบินตกตายก่อนมีถมไป พรุ่งนี้นายก็เดินไปแล้วบอกว่า เรื่องมันเป็นงี้นะ นายช่วยฉันได้หรือเปล่า ไม่เห็นจะยาก” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มเหมือนเรื่องทั้งหลายมันได้คลี่คลายลงแล้วพลางจิบชาต่อไปอย่างสบายอารมณ์
“พูดง่ายแต่ทำยากสิ ไม่ไหวมั้งครับ ขืนผมพูดออกไปมีหวังมันหาว่าผมบ้าแน่ ๆ ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้บ้างหรือไงกัน”
“อืม.....วิธีอื่นเหรอ......อืมมมมม..........ต้องอยู่ใกล้ ๆ กันถึงจะโชคดี ออกห่างแล้วโชคร้ายสินะ...อืม โอ๊ยง่ายจะตาย เรื่องแค่นี้!” เหม่ยเซียนดีดนิ้วดังเป๊าะแถมขยิบตาให้ผมข้างหนึ่งทำเอาความหดหู่ที่ผมเคยมีได้คลี่คลายเห็นแสงระยับตาขึ้นมาได้บ้าง
“ทำไงครับ?”
“ขอแต่งงานไปเลยไง ไม่ยินยอมก็ทำให้สมยอมไปซะ เท่านี้ก็ได้มาอยู่ใกล้ ๆ ตัวแล้วไม่เห็นยาก!”
“จะบ้าเรอะ! ไอ้เพื่อนที่ว่าเนี่ยมันผู้ชายนะ!!!!”
“ผู้ชายนี่ยิ่งง่ายใหญ่ มอมยาโปะยาสลบแล้วปล้ำซะ ตื่นมาก็แบล็คเมล์ไปว่าไม่งั้นจะประกาศให้ทุกคนรู้ เท่านี้ล่ะเสร็จโจรแล้ว โฮะ ๆๆๆ ฉันนี่ฉลาดอะไรแบบนี้นะ” หญิงสาวสูงวัยกว่าแหงนหน้าหัวเราะอย่างภูมิใจในตัวเอง นี่ผมเลือกปรึกษาคนถูกจริง ๆ หรือเปล่าวะ
“ให้ผมตายซะดีกว่า!”
“งั้นนายก็จงไปตายซะ! ฉันมีทางเลือกให้ได้แค่นี้แหละย่ะ!”
เธอพูดจบก็จิบน้ำชาต่อ ก่อนตะโกนปลุกคุณย่าที่นอนรอคิมทันอยู่ในห้องนอน ผมล่ะเชื่อเลยจริง ๆ ทำไมตอนเจอกันครั้งแรกไม่เห็นมีวี่แววว่าจะร้ายกาจได้ขนาดนี้ฟระ นี่ไม่ทันไร เจอกันแค่ครั้งที่ 3 ก็แผลงฤทธิ์เดชสุดแสบเสียแล้ว .....ไอ้สาวที่พูดจาไพเราะอ่อนหวานครั้งนั้นมันหายไปไหนกันล่ะ เหม่ยเซียน นางฟ้างั้นเหรอ นี่มันนางมารร้ายชัด ๆ........สาววาย....เจ๊คนนี้แมร่งสาววายชัวร์ ไม่งั้นจะมายุให้ผมใช้วิธีพิสดารอะไรแบบนี้ได้ยังไงกัน แค่คิดถึงหน้ากวน ๆ กับหุ่นเก้งก้างของหมอนั่น ผมก็ขนลุกแล้วล่ะ ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่ปริปากบ่นสักคำ แต่นี่น่ะ.......นี่มันผู้ชายนะ ผมก็แย่น่ะสิ ตัวใหญ่แบบนั้นจะไปจับกดมันได้ไงกัน ฮึ่ย!
วันที่ 4 หรืออีกนัยหนึ่งมันคือวันตัดสินชะตาชีวิตของผม
ผมตัดสินใจตื่นแต่เช้าก้าวเท้าอย่างมั่นคงแต่มันก็ต้องลื่นล้มอีกจนได้ เอาเป็นว่าผมขอตัดพวกวิบากกรรมทั้งหลายที่ผมประสบก่อนจะมาถึงโรงเรียนได้ก็แล้วกันนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงโรงเรียนกันเสียที
ผมตรงดิ่งไปยังห้องสมุดที่ซึ่งมี อู๋อี้ฝานเทพประจำองค์ส่วนตัวของผม เป็นคนคุมประจำห้องอยู่ เพียงแต่ผมมาเช้าเกินไปหมอนั่นยังมาไม่ถึง จึงต้องนั่งรอเฝ้าหน้าห้องกันแบบนี้ ผมไม่เคยคิดจะมาโรงเรียนตอนเช้ามาก่อน แต่เมื่อคืนมันเกิดเหตุให้ต้องอยากมาอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะหลังจากที่กลับจากบ้านของเหม่ยเซียนแล้ว รู้มั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตวัยเรียนของผมคนนี้บ้าง?
หลานเจ้าของอพาร์ตเม้นท์ต้องย้ายมาเรียนที่เมืองนี้ เจ้าของบ้านเลยสุ่มเลือกห้องแล้วก็มาตกเอาอีตรงห้องของผม มีอันให้สัญญาเช่าห้องเป็นโมฆะ แม้ผมจะได้ค่าเสียหายส่วนหนึ่ง แต่ก็กำลังจะกลายเป็นคนไร้บ้าน เพราะที่นี่มันทั้งถูกแสนถูกและใกล้โรงเรียนที่สุดแล้ว ครั้นจะบอกแม่ก็ยังไม่รู้ว่าชะตาชีวิตตัวเองวันพรุ่งจะเป็นยังไง นี่ผมซีเรียสจริง ๆ นะครับไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย ผมนอนกระส่ายกระสับทั้งคืนปิดตาลงก็เห็นแต่เรื่องไม่ดี มีอะไรมาทำให้สะดุ้งตื่นอยู่ตลอด กลัวว่าจะเห็นยมทูตกางปีกอ้าแขนรอรับวิญญาณกันอยู่ตรงปลายเตียง เพราะงี้ผมถึงได้รีบโกยมาโรงเรียนไงล่ะ ลู่หานที่เคยเป็นลัคกี้แมน ผู้ซึ่งใคร ๆ ต่างอิจฉา ตอนนี้ต้องตกอับถึงเพียงนี้เชียวเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย
“จะคืนหนังสือหรือไง?”
เสียงที่ผมหอนหา(แค่ตอนนี้เท่านั้นนะ) ดังเข้าหูพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของอู๋อี้ฝานที่กำลังเดินเข้ามาราวกับมันมีห่วงวงแหวนแห่งแสงของเทวดาตัวน้อย ๆ ล้อมรอบยังไงยังงั้น แสงอาทิตย์ที่สาดทอทางเบื้องหลัง ตอนนี้ต่อให้มันไม่ใช่เทวดาผมก็ว่ามันเป็นเทวดาแล้วล่ะ ผมกระโจนวิ่งเข้าไปหาราวกับว่าสนิทกันมาแต่ชาติปางไหน ทำเอาอู๋อี้ฝานผงะถอยหลังอย่างแปลกใจ
“มาแล้วเหรอ อู๋อี้ฝาน” น้ำเสียงสุดแสนจะดีใจของผมทำให้เขาคิ้วขมวดมองกันอย่างสงสัย
“อะ...อื่อ แต่นายคงต้องคืนกับรุ่นน้องที่เฝ้าแทนวันนี้นะ เพราะฉันพัก 1 วันน่ะ”
“แปลว่าวันนี้นายจะไม่อยู่ห้องสมุดงั้นเรอะ?”
“…..ก็ทำนองนั้น”
“แต่นายเป็นประธานห้องสมุดนี่” ผมใช้เสียงสูงถามคล้ายตัดพ้อว่าเขาบกพร่องต่อหน้าที่ เพราะถ้าเขาไม่อยู่ห้องสมุดแล้วผมจะหาตัวเขาเจอมั้ยล่ะครับโรงเรียนกว้างซะขนาดนี้ ห้องสมุดแทบจะเป็นที่สิงของอู๋อี้ฝานอยู่แล้วใคร ๆ ก็รู้ แล้วถ้าเขาไม่อยู่ตรงนี้ผมก็ไม่รู้จะไปหาเขาได้จากที่ไหนเหมือนกัน
“ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องอยู่เฝ้าที่นี่เสมอไปนี่นา นายมีอะไรกับฉันหรือเปล่า? ดูนาย...แปลก ๆ ตั้งแต่เมื่อคืนนะกวางบ้า”
“อย่ามาเรียกกวางบ้านะ! เอ่อ...อ้อ เรียกได้ ๆ แหม ฮะๆ” ลืมตัวครับดันเผลอตวาดมันไปซะได้จนเกือบกลับลำไม่ทันแสร้งหัวเราะลงคอทำหน้าเป็นตบไหล่มันไปสองสามครั้ง
“ว่าแต่ แล้วนายจะไปไหนล่ะถึงได้ให้รุ่นน้องเฝ้าแทนเนี่ย”
“สนามบาส”
“ห้ะ?”
“ทำไม?” พอผมได้ยินเหตุผลของมันแล้วก็ร้องห้ะขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ทำเอาอู๋อี้ฝานชักสีหน้าอย่างไม่พอใจก่อนกระชากเสียงใส่กัน
“เปล่า ๆ อ๋อ นี่ไง พอดีเลยคือฉันก็ว่าจะไปดูพวกเพื่อนมันเล่นอยู่เหมือนกัน ไปด้วยกันเลยแล้วกันเนาะ ๆ ๆ” ผมส่งยิ้มหวานแล้วผายมือให้เขาเดินนำหน้าไปก่อนและเดินตามไปขนาบข้างพลางชวนคุยเรื่องไก่กาไร้สาระเรื่อยเปื่อยอย่างโคตรจะพยายามให้เนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ววันนี้ทั้งวันไม่ว่าอู๋อี้ฝานจะไปที่ไหน ผมก็จะคอยแอบเดินตามอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ผมลองเช็คดูครับว่าถ้าเดินห่างจากหมอนั่นเป็นระยะเท่านี้ปลอดภัยมั้ย แล้วถ้าห่างออกมาอีกจะเป็นยังไง ซึ่งมันเป็นวิธีทดสอบให้เมคชัวร์อีกครั้งว่าผมจะไม่พลาดกับ “ตัวช่วย” ที่ตัวเองคิดได้ด้วยตัวเอง
มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ ถ้าผมอยู่ไกลเกินกว่าระยะรัศมีของตัวช่วยขึ้นมาปุ๊บ เป็นเรื่องขึ้นมาปั๊บ แม้แต่หมอนั่นเข้าห้องน้ำผมยังต้องเนียนทำเป็นยืนอยู่ตรงแถวหน้าห้องน้ำเลย เพื่อนสนิทมิตรสหายพากันสงสัยว่าวันนี้ผมเป็นอะไรกับอู๋อี้ฝาน ถึงได้เดินตามติดหมอนี่หรือชวนมันคุยได้ทั้งวัน
ผมไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามใครหรอก ขืนมัวตอบคำถามพวกมัน ไอ้เจ้านี่จะคลาดกับผมเอาน่ะสิ นี่ก็เย็นแถมเลิกเรียนแล้วด้วย ผมจะทำยังไงดี จะดักตีหัวแล้วลากมันกลับห้องดีหรือเปล่า? แล้วต้องตีสักกี่ไม้มันถึงจะตาย เอ๊ะ? ถึงจะสลบกันล่ะ? เพราะถ้าผมกลับบ้านไปมือเปล่าโดยไม่มีมันติดกลับไปด้วย ผมอาจเละติดถนนสายไหนสักสายก็เป็นได้....
“เฮ้ย!... มีอะไรอยากจะพูดกับฉันหรือเปล่า”
ผมหันซ้ายหันขวาและชี้ที่ตัวเอง หมอนั่นจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจเต็มทน
“นายนั่นแหละ จะมีใคร จะพูดอะไรก็พูดมา นายตามฉันตลอดทั้งวันแล้วนะวันนี้”
“เหหหหหห? คิดไปเองหรือเปล่า ฉันไม่ได้ตามอะไรนายนะ คิดมากน่า ก็เห็นว่าห้องเดียวกันเลยอยากคุยด้วยเท่านั้นเอง”
“ห้องเช่านั่นน่ะ ยังไงฉันก็ไม่ย้ายหรอกนะกวางบ้า ถ้านายคิดจะมาตื้อให้ฉันแชร์ด้วยล่ะก็ บอกอีกทีว่าไม่! เข้าใจแล้วนะ จะได้เลิกตามฉันสักที”
เขาพูดจบก็หันหลังไม่เหลียวกลับมามองผมอีก ผมจึงต้องเดินตามเขาไปห่าง ๆ พอเขาหันกลับมาก็ทำเดินปกติแซงหน้าไป แล้วไปหยุดรอผูกเชือกรองเท้าบ้าง ทักทายหมาแมวแถวข้างทางบ้างไปตามประสา
ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงทุกขณะ และดูเหมือนเส้นความอดทนของอู๋อี้ฝานเองก็จะขาดผึงลงไปแล้วด้วยเช่นกัน ร่างสูงโปร่งเดินอาดเข้าหาผมพร้อมกระชากคอเสื้อจนตัวผมแทบลอย
“ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรนายถึงพยายามจะกวนประสาทฉันทั้งวันนะเจ้ากวางเปี๊ยก เห็นฉันเฉย ๆ ที่โรงเรียนอย่าคิดว่าฉันเป็นพวกเฉื่อยทนให้ใครมาวุ่นวายกวนโมโหได้ ฉันไม่ชอบยุ่งกับใครไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย แต่ก็อย่าคิดว่าใครจะมายุ่งกับฉันได้โอเค้?”
ดวงตาคมแข็งกร้าว บ่งบอกว่าพร้อมจะมีเรื่องเสมอแม้ซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นสายตานั้น...ไม่สิ..พอหน้าใกล้กันแบบนี้ผมถึงเพิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่แว่นสายตาเลยสักนิดแต่เป็นเพียงแว่นตาธรรมดาที่ดูคล้ายแว่นสายตาเท่านั้น หมอนี่ทำไมต้องใส่แว่นปลอม ๆ แบบเด็กเนิร์ดทั่วไปกันด้วยวะ? ช่างเหอะเพราะตอนนี้นัยน์ตาคมกริบของอู๋อี้ฝานมันกำลังทำให้ผมอดที่จะเสียวสันหลังวาบไปไม่ได้ ผมปัดมือเขาออกจากคอเสื้อและจัดเสื้อแสงให้เป็นระเบียบตามเดิมก่อนโต้วาจากลับไปอย่างสุดที่จะทนแล้วเช่นกัน
“เออว้อย ก็ไม่ได้อยากจะทำให้โมโหหรอกนะ แต่...แมร่งเอ๊ย~ เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน!”
ผมบ่นโวยวายคนเดียวต่อด้วยการพูดเองเออเองเสร็จสรรพ ทำให้หมอนั่นที่หน้าหงิก ๆ อยู่กลับมาขมวดคิ้วอีกหนและคงกำลังรอฟังที่ผมจะบอกต่อไปนี้ เอาวะเป็นไงเป็นกัน พูดสักนิดดีกว่าไม่มีโอกาสที่จะพูดล่ะวะ!
“ที่ฉันตามนาย ก็เพราะว่านาย....นายเป็น..เอ่อ คือ วะ! ฉันรักนายคบกับฉันเถอะ อู๋อี้ฝาน!!!!”
“....................”
“ไป! เราย้ายไปอยู่ด้วยกันวันนี้เลย เรื่องข้าวของเครื่องใช้นาย เดี๋ยวฉันจะจัดการขนมาให้เองหรือไม่งั้น ให้ฉันย้ายเข้าไปอยู่กับนายก็ได้ ค่าใช้จ่ายเราแชร์กันได้หรือจะให้ฉันออกทั้งหมดก็ไม่มีปัญหา ฉันจะไม่ยุ่งไม่กวนใจอะไรเลย ขอแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ เห็นหน้ากันทุกวันทุกเวลาก็พอแล้ว”
ผมกลั้นใจพูด ๆๆๆๆ แบบไม่เว้นวรรคหายใจจนหอบฮั่กเมื่อสาธยายจนจบ โธ่ก็คิดจะบอกความจริงอยู่หรอก แต่ ๆๆๆๆ แต่มันพูดไม่ออกอ่ะ แถมคำของเหม่ยเซียนมันยังเป็นเหมือนกับเวทมนตร์สะกดจิตกัน มันเวียนวน วนเวียนอยู่ในหัวนี่ตั้งแต่เมื่อคืนทำเอาผมเผลอหลุดไปทั้งแบบนั้น เออ หมู่หรือจ่าก็ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าลิ้นมันส่งภาษาออกไปแล้ว ที่เหลือก็คง...
“....................”
“....................”
“............................ฮะๆ ตลกดีนะนาย ไปก่อนล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน” อู๋อี้ฝานเงียบไปเป็นครู่เมื่อฟังผมพูดจบและมองดูผมที่ยืนหอบหายใจตัวโยนอย่างคนขาดออกซิเจน สุดท้ายหมอนั่นก็ยกยิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก โบกมือลาผมไปอย่างช้า ๆ
“เฮ้ ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่านายน่ะ เฮ้ย.... นี่ตอบมาสิวะ อู๋อี้ฝาน เฮ้ย~”
ผมร้องตะโกนเท่าไร หมอนั่นก็ไม่หันกลับมาตอบ ผมจึงปรี่เดินเข้าไปหาเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาถึงได้หยุดเดินและจ้องหน้าผมเขม็งก่อนปล่อยหมัดขวาตรงเข้าที่แก้มซ้ายกันอย่างจังจนล้มลงไปกองอยู่บนพื้นปูนที่เย็นชืด สีหน้าของอู๋อี้ฝานตอนนี้มันดูน่ากลัวและก็น่า....หลงใหลไม่แพ้กัน เฮ่ย! สติผมไปไหนหมดแล้ววะ
“หยุดเล่นตลกได้สักทีลู่หาน ฉันเหลืออดกับนายแล้วจริง ๆ ถ้าขืนนายยังตามฉันมาอีกล่ะก็ ....ฉันฆ่านายแน่!” พูดจบร่างสูงนั้นก็ปัดแขนเสื้อตัวเองเดินต่อไป ผมลูบแก้มและจัดกรามให้เข้าที่เข้าทาง พร้อมเช็ดริมฝีปากตัวเองเพื่อดูว่าเลือดออกมามากแค่ไหนก่อนตะโกนสวนกลับ
“ต่อให้นายไม่ฆ่าฉัน ฉันก็ตายอยู่ดี อู๋อี้ฝาน! ฉันกำลังจะตาย!”
“?” เขาชะงักฝีเท้า ชำเลืองมองผมด้วยหางตาเล็กน้อย
“ฉันกำลังจะตาย อาจจะเป็นหลังจากที่นายเดินจากไป หรือไม่ก็คืนนี้ พรุ่งนี้เช้า แต่ที่แน่ ๆ คือวันนี้เป็นวันตัดสินของฉัน”
“ขืนนายยังไม่เลิกเล่นบ้าบอนี้อยู่อีกล่ะก็ ฉันจะอัดนายอีกหมัดแน่ ๆ”
“เกิดมาฉันมีแต่เรื่องดี ๆ มาตลอดทั้งชีวิต ไม่เคยมีครั้งไหนที่โชคร้ายเลยสักครั้ง แล้วดูฉันตอนนี้สิ สะบักสะบอม หัวแตก เข้าเผือก โดนไล่ออกจากอพาร์ตเม้นท์ เป็นหนี้บอลแทนเพื่อน สารพัดจะชิบหาย แมร่งเซ็งชะมัด......คนที่แจ้งเตือนเรื่องความซวยของฉัน เขาบอกว่าฉันต้องหาตัวช่วยเพื่อให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี ถ้าหาเจอชีวิตฉันก็จะกลับมาสงบสุข แต่ถ้าไม่....ภายในสี่วันซึ่งมันก็คือวันนี้ ......ฉันจะตาย ฉันหามาตลอด ทั้งทำบุญสะเดาะเคราะห์ เข้าวัดนั่งสมาธิ หาเครื่องรางของขลังจนแล้วจนรอดมันก็ไม่ใช่เลยแม้สักอย่าง ฮะ ๆ บ้าดีแท้ นายรู้มั้ยว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไร” ผมนิ่งไปเป็นพักแหงนมองดูเสาไฟที่กำลังค่อย ๆ ทยอยจุดติดขึ้นมาทีละดวง ทีละดวง
“.....ไอ้ตัวช่วยที่ว่านั่นน่ะ พอฉันอยู่ใกล้จะรู้สึกถึงความปลอดภัยขึ้นมาในทันที เคยโชคร้ายยังไงแค่อยู่ใกล้ก็กลับโชคดีดวงเฮงขึ้นมาซะเฉย ๆ อุบัติเหตุที่เคยกลัวก็ไม่เกิด ควานหาแทบเป็นแทบตายสุดท้ายมันกลับกลายเป็นคนไปซะได้ แล้วไอ้คนที่ว่ามันก็เป็นนายนั่นแหละ ......อู๋อี้ฝาน...”
“.............ฉันบอกแล้วนะว่าให้นายหยุดเพ้อเจ้อได้สักที ลู่หาน!”
“ฉันไม่ได้เพ้อเจ้อ ไม่ได้กำลังเล่นตลกให้นายดูสักนิด ฉันกำลังเล่าความจริงที่ว่าทำไมฉันถึงได้ตามติดนายทั้งวันขนาดนี้ต่างหาก ถ้าวันนี้นายไม่มาโรงเรียนฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง พูดกันแบบตรง ๆ ...ฉันกำลังขอร้องนาย...”
“........”
“ขอร้องล่ะ.....ฉันต้องการนาย อยู่กับฉันหน่อยได้มั้ย…..อู๋อี้ฝาน”
ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง จ้องมองเขาอย่างขอความเห็นใจเป็นที่สุด เราทั้งคู่ต่างเงียบงันกันไปไม่ต่างกัน และเป็นหมอนั่นที่ทอดถอนหายใจเบา ๆ ตอบกลับผมจริงจังเช่นกัน
“ขอโทษนะ ฉันคงช่วยนายไม่ได้หรอก บาย....เจอกันพรุ่งนี้”
ไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วที่เขาพูดบอกลาผม เพียงแต่การบอกลาครั้งนี้มันฟังดูน่าใจหายยังไงบอกไม่ถูก ผมหัวเราะลงคอให้กับชีวิตตัวเอง ขำที่ดันบ้าไปบอกรักผู้ชายเพื่อจะเอาชีวิตตัวเองให้รอด นี่ถ้ามันตอบรับรักกลับมา ผมควรจะทำยังไงดีล่ะ ก็ดีแล้วที่มันเห็นผมเป็นตัวตลก แต่ก็รู้สึกขอบใจที่ยังอุตส่าห์ทนฟังเรื่องที่น่าจะเรียกว่าเป็นเรื่องเหลวไหลเพ้อเจ้อ ทั้งที่มันเกิดกับผมจริง ๆ จนจบ
ผมปัดกางเกงที่คลุกฝุ่นและหยิบมือถือที่เพิ่งถอยมาใหม่กดเบอร์โทรหาแม่ เสียงล้อรถที่เสียดสีกับพื้นถนนมากมายและของอะไรสักอย่างที่กำลังร่วงหล่นลงมาพร้อมแรงฉุดรั้งที่กระชากตัวผมออกอย่างแรงจนล้มคว่ำคลุกฝุ่นลงไปอีกหน ความอบอุ่นที่แนบกับลำตัวคืออ้อมอกของใครอีกคน ใครบางคนที่ผมหวังขึ้นมาจับจิตว่าจะต้องใช่ ผมลืมตาขึ้นมองดูและพบกับใบหน้าเดิมที่เพิ่งทิ้งรอยกำปั้นเอาไว้บนแก้มซ้ายของผม หัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำเพราะอาการตกใจหรือเพราะดีใจผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันเกิดหลังจากที่ได้เห็นใบหน้านี้อยู่ใกล้ ๆ กันอีกครั้ง
“ถ้าหาตัวช่วยอื่นได้ นายต้องย้ายออกไปจากห้องฉันนะ”
“ด...ได้”
“ของ ๆ ฉัน ห้ามยุ่งห้ามแตะแม้แต่ชิ้นเดียว เรื่องของฉันกับของนายเราไม่เกี่ยวกัน ถ้านายล้ำเส้นแม้สักนิด นายเตรียมตัวย้ายออกไปได้”
“ตกลง......”
เขาละมือจากที่โอบกอดผมไว้และลุกขึ้นเดินนำหน้าโดยไม่พูดอะไรแม้สักคำ ทำให้ผมต้องรีบวิ่งตามไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยขาที่ก้าวถี่เพื่อให้ตามเขาจนทัน และสุดท้ายอู๋อี้ฝานก็เป็นฝ่ายลดความเร็วในการเดินลงในที่สุด
Talk with me
เอาล่ะๆ หลังจากปล่อยให้งงมาสองตอนติดตอนนี้ก็คิดว่าทุกคนคงรู้แล้วนะว่าลู่หานตามหาอะไร
และทำไม อู๋อี้ฝานมันมาเกี่ยวอะไรด้วย หลังจากนี้ก็เตรียมลุ้นเรื่องวุ่นๆ ของสองคนนี้กันได้เลย
บอกแล้วเรื่องไม่เครียดไปเรื่อยๆ ตามความป่วนของชะตากรรมในเรื่องฮ่าๆๆ
แต่ตอนต่อคงเป็นอีกสักสองสามวันล่ะมั้ง
ขอบคุณที่ติดตามมาอ่านเรื่องต๊องๆ เรื่องนี้กันนะจิ๊
with love viruskei
ความคิดเห็น