คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Lucky :: 002 :: ตัวช่วย
ผมกลับมาที่ห้องพักพร้อมค้นกระเป๋าตัวเองไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเงิน กระเป๋าสะพาย เป้ กล่องใส่ดินสอปากกา ลิ้นชักโต๊ะ ตู้รองเท้า ใต้หมอน แต่ค้นเท่าไรก็หาไม่เจอสักทีเรียกได้ว่าแทบจะพังห้องตัวเองอยู่แล้วเถอะ ชิบเป๋งทิ้งไปแล้วหรือไงวะเนี่ย
“ย้ากกกก อยู่ไหนวะเนี่ย~~~~!!!!” ชายหนุ่มร่างเล็กร้องโวยวายลั่นห้องอย่างเหลือจะทน
“โอ้ย! หนวกหู เสียงดังทำไมวะ!”
“ขอโทษครับบบบ”
ปกติทำเสียงดังแค่ไหนก็ไม่เคยถูกบ่น มาวันนี้แค่ประโยคเดียวเหมือนจะถูกฆ่าให้ตายได้แล้ว ลู่หานเอ้ย ถ้านายหาไม่เจอมีหวังนายคงได้สิ้นชีพอย่างที่แม่นั่นพูดเอาไว้แหง ๆ
“ในเสื้อหรือเปล่าวะ?”
ชายหนุ่มผู้โชคร้ายเอ่ยกับตัวเองพลางปรี่ตรงไปยังตะกร้าผ้าที่ยังไม่ได้ซักออกแรงรื้อค้นทุกซอกมุมและทุกตัวที่อยู่ในนั้นอย่างบ้าคลั่ง ในใจก็ภาวนาขอให้โชคดีที่เคยมีอยู่ยังคงหลงเหลือพอให้ได้ใช้ในเวลาฉุกเฉินเช่นนี้บ้าง
“เจอแล้ว~~~~ สวรรค์ยังไม่ทิ้งคนดีเช่นลู่หาน นามบัตรแบบพลาสติกไม่บุบสลาย กวางแห่งรุ่งอรุณรอดแล้วเว้ย”
ผมลิงโลดยิ่งกว่าได้ค่าพนันบอลคืนเสียอีกตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนักว่าคนที่มีชื่ออยู่บนนามบัตรนั้นจะสามารถช่วยเหลือผมได้จริงหรือไม่ ไวเท่าความคิดผมจดที่อยู่ เบอร์โทร และชื่อของเธอลงบนสมุด และกระดาษโน้ตอีก 3 ใบ ใช้มือถือถ่ายเก็บไว้อีกครั้ง เผื่อว่านามบัตรหาย ยังมีสมุด สมุดหายก็ยังมีกระดาษสำรอง รวมถึงรูปที่ถ่ายไว้ในมือถืออีกด้วย อ้อ กันเหนียวอีกอย่าง หมึกเพอมาเน้นท์ครับ ผมใช้หมึกแบบลบไม่ออก เขียนลงไปบนท้องแขนตัวเองด้วยอีกเช่นกันก่อนรีบเดินทางไปตามที่อยู่ในนามบัตรนั้นทันที
ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรจะร้องไห้หรือว่าหัวเราะดี ทุกอย่างมันเหมือนกลั่นแกล้งผมไปเสียหมด สมุดผมหาย มือถือโดนล้วงบนรถไฟพร้อมกับกระเป๋าเงินที่มีเงินอยู่จำนวนหนึ่งและในนั้นก็ยังมีนามบัตรของเหม่ยเซียนอยู่ด้วย กระดาษที่จดไว้ 3 แผ่นลืมทิ้งไว้บนโต๊ะที่ห้อง ชีวิตมันเชี่ยได้โล่เหลือคณาครับ โชคดีที่ยังมีเงินติดกระเป๋าเป้อยู่บ้างนิดหน่อย หลังจากแจ้งความเรื่องของหายเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงเดินทางต่อจนมาถึงที่อยู่ที่ว่าด้วยลายแทงบนท้องแขนของตัวเอง ตอนผมรู้ว่าทุกอย่างมันได้หายไปหมดแล้ว ผมแอบคิดในใจเหมือนกันนะว่า ครั้งต่อไป ผมจะประสบอุบัติเหตุแขนข้างที่จดที่อยู่ไว้ขาดหรือเปล่า? แต่เคราะห์ดีที่มันไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น เฮ้อ....
“ก๊อกๆๆ”
“เข้ามาสิ ลู่หาน”
เสียงที่เคยได้ยินแม้จะแค่เพียงครั้งเดียวแต่มันก็ทำเอาใจผมชื้นขึ้นมาอีกเยอะ ว่าแต่เหม่ยเซียนรู้ได้ยังไงว่าเป็นผมกันนะ?
“รบกวนด้วยครับ....”
“ฉันเตรียมชาไว้ให้แล้ว มาสิ” เธอเอ่ยพร้อมเดินนำหน้าผมเข้าไปในบ้านทำเอาผมงงอีกเป็นระรอกที่ 2
“คุณ...เอ่อ เหม่ยเซียน พูดเหมือนรู้ว่าผมจะมา...วันนี้เลยนะครับ?”
“ฉันไม่รู้หรอก แต่คุณย่าท่านบอกให้เตรียมชาไว้น่ะ พอเตรียมเสร็จเลยนึกถึงหน้านายขึ้นมาได้ แล้วก็เป็นนายจริง ๆ ที่มาเคาะประตูบ้านฉันวันนี้ ดื่มก่อนสิ” หญิงสาวใช้มือผลักถ้วยชามาตรงหน้าผมเบา ๆ ผมจึงก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนหยิบขึ้นมาจิบ
“ขอบคุณครับ....ว่าแต่คุณย่างั้นเหรอ?”
“อาฮะ”
“คือว่าผม.......ขอโทษครับ ที่วันนั้นผมพูดไม่ดีออกไป” ลู่หานก้มหัวขอโทษต่ำอย่างจริงใจ ด้วยเพราะเขารู้สึกผิดจริง ๆ ที่วันนั้นเผลอทำกิริยาไม่ดีใส่คนตรงหน้าทั้งที่เธอล้วนเตือนด้วยความเป็นห่วง
“อื้อ ฉันไม่ได้โกรธอะไรนักหรอก ไม่ต้องขอโทษกันก็ได้เรื่องแล้วไปแล้ว เอาจริง ๆ ถ้าหากฉันเจอแบบนี้คงรู้สึกตลกเหมือนกันที่อยู่ ๆ ใครก็ไม่รู้มาพูดเรื่องพิศดารประเภทนั้น”
“แล้ว...เหม่ยเซียนรู้ได้ยังไงครับ”
“ตระกูลฉันเป็นผู้มีญาณทิพย์ แต่ฉันก็ไม่ได้มีสัมผัสพวกนั้นจริงจังเท่าไรนะ บางครั้งมันนึกอยากมามันก็มา ไม่รู้สิ อยู่ ๆ ตอนที่เห็นนายแถวสระน้ำมันก็แว่บเข้ามาในหัว ฉันเลยบอกนายไปตามที่รู้เท่านั้นล่ะ”
“’งั้นเข้าเรื่องเลยนะครับ ผมมาวันนี้เพราะอยากจะทราบว่า ทำยังไงผมถึงจะหาย ทำยังไงผมถึงจะกลับไปเป็นอย่างเก่าได้ แบบ...ไม่ต้องถึงขนาดโชคดีถูกรางวัลตลอดเหมือนแต่ก่อนก็ได้ ขอแค่ไม่ซวยเท่าที่กำลังเป็นอยู่แค่นั้นผมก็พอใจแล้ว เหม่ยเซียนพอจะบอกผมได้มั้ยครับว่าผมต้องทำยังไง”
“งั้นฉันก็ขอบอกตามตรง” เธอเว้นช่วงเงียบเสียงไปนาน
“ ....ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“หา?” ผมถามเสียงสูง
“ตามนั้น”
“คุณรู้หรือเปล่าว่ากว่าที่ผมจะมาหาคุณจนเจอได้ ผมต้องผ่านอะไรบ้าง ทั้งกระเป๋าหายโทรศัพท์โดนล้วง ถูกจับ ก่อนหน้านั้นก็กระถางบ้างล่ะ หกล้มบ้างล่ะ หมากัดบ้างล่ะ เกือบโดนชนบ้างล่ะ สารพัดจะถาโถมกันเข้ามา และมันก็ดูจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ๆ จนผมแทบเป็นบ้า นอนผวาไปแล้วว่าตื่นขึ้นมาอวัยวะผมจะอยู่ครบ 32 มั้ยนะครับ!”
“โทษทีนะ ฉันช่วยอะไรนายไม่ได้จริง ๆ ฉันเห็นแค่นั้นฉันก็บอกได้แค่นั้น แต่.......”
“แต่?”
“คุณย่าอาจจะช่วยได้ก็ได้ รอสักหน่อยเดี๋ยวท่านคงลงมาแล้ว นายดันมาตอนท่านดูละครที่มินโฮเล่นอยู่น่ะ ผิดเวลาไปนิด” เธอตอบพร้อมจิบชาอย่างสบายอารมณ์
“มินโฮ? คิมทัน???” เธอยักไหล่เป็นคำตอบทำเอาผมแทบอยากลุกขึ้นไปตะโกนกรีดร้องที่หน้าต่าง ความเป็นความตายของผมขึ้นอยู่กับคิมทันไปแล้วสินะ ผมรออยู่ได้สักครึ่งชั่วโมงหญิงชราในชุดสีหม่นก็เดินยิ้มใจดีออกมา เห็นแล้วรู้สึกใจชื้นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่นมาก ๆ
“นี่ใช่หรือเปล่าเด็กหนุ่มที่ว่า.... รอบตัวเธอดู.........ทะมึนดีนะ คิก ๆ” หลังจากที่เธอมองหน้าผม เธอก็กล่าวออกมาเบา ๆ ก่อนใช้มือปิดปากหัวเราะอยู่ในลำคอ
“เอ่อ.... สวัสดีครับ ลู่หาน ที่แปลว่ากวางแห่งรุ่งอรุณ ขอรบกวนด้วยครับ”
“สวัสดีจ่ะพ่อหนุ่ม”
“คือผม....”
“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าจะช่วยชีวิตเธอได้ยังไง”
“อ้าว!” ผมร้องสวนออกไปหลังจากที่เธอพูดจบ
“ว่ากันตามตรงคือ ตัวเธอเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าตัวเองต้องทำยังไง” คำกล่าวของหญิงชราพาให้ใจที่มีหวังดั่งแสงสว่างสาดส่องดูริบหรี่ดับแสงวูบไปเสียดื้อ ๆ ถ้ารู้แล้วจะต้องมาหาถึงที่นี่ทำไมกันเล่า!
“แล้วอย่างนี้ผมจะต้องดั้นด้นมาถึงเนี่ยเพื่ออะไรกันล่ะครับ คุณย่าครับ... ผมขอร้อง ไม่มีวิธีแก้อะไรสักนิดเลยเหรอครับ จะเป็นเครื่องรางของขลังปลุกเสก หรือพิธีกรรม ตัวช่วยอะไรก็ได้ ผมเชื่อหมดทุกอย่างจริง ๆ เพราะถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ผมว่าสักวันผมคงได้ตายอย่างที่เหม่ยเซียนบอกแน่ ๆ”
“ตัวช่วยน่ะมีแน่นอน เพียงแต่เธอต้องหามันด้วยตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปลุกเสกมันขึ้นมาให้เธอได้หรอกนะ ลู่หาน แต่ถ้าถามฉัน...... 4 วัน.........”
“ครับ?” ผมถามเธอเสียงสูงอีกครั้ง แต่เธอกลับทำสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่พูดอะไรออกมาอีกเป็นเวลาค่อนข้างนานพอควรจนกระทั่ง
“เธอมีเวลา 4 วันที่จะหาตัวช่วยที่ว่าให้เจอ หากว่ากันตามจริง ชะตาเธอน่ะมันดับแสงลงไปทุกที ๆ โชคร้ายจะรุนแรงขึ้นทุกขณะ เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และท้ายที่สุด........” ลู่หานกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกเมื่อฟังคุณย่าแกพูดจบ
“โฮะๆๆๆ เอาน่ะพ่อหนุ่ม อย่าไปคิดมากคนเรามีเกิดก็ต้องมีดับเป็นของคู่กันธรรมดาอยู่แล้ว ถ้า 4 วันนี้ยังหาอะไรไม่เจอก็นั่งรถกลับไปหาพ่อหาแม่ซะ ไม่ก็ให้พวกท่านมาหาก็ได้ถ้ากลัวว่ารถจะคว่ำไประหว่างทางเสียก่อน คึ ๆ”
แล้วสองย่าหลานก็ยกน้ำชาขึ้นจิบก่อนส่งยิ้มให้ผมเหมือนกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องปกติธรรมด๊าธรรมดา ผมบอกลาคนทั้งสอง เดินกลับบ้านอย่างระมัดระวังตัวเองที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยใจคอที่ห่อเหี่ยว จะโทรบอกพ่อแม่ดีหรือเปล่า? เซฮุนอีกล่ะ หมอนั่นมันจะยังหัวเราะใส่ผมอีกมั้ย หรือว่าจะกังวลไปด้วยจนวิ่งมาหากันที่นี่ ไม่สิ ไม่ดีกว่า ขืนเป็นแบบนั้นคงวิตกจริตไปกันหมดแน่ แต่พ่อแม่ก็ไม่ใช่คนที่จะเชื่อเรื่องอะไรทำนองนี้ บางทีอาจจะคิดว่าลูกชายตัวเองบ้าไปแล้วก็ได้
คนมันจะดวงกาลีจริง ต่อให้ระวังตัวแค่ไหนมันก็ยังกาลีอยู่เหมือนเดิม ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ผมจะเป็นบ้าซะจริง ๆ แล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้
“เฮ้”
“ห้ะ?”
ฟิ้ว~! เสียงร้องทักผมจากทางด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปมอง และมันก็โชคดีจริง ๆ ที่ผมหยุดหันไปมองตามเสียงทักนั้น ไม่อย่างนั้นคงถูกมอเตอร์ไซด์เฉี่ยวเจ็บไปแล้ว
“จะข้ามถนนก็ดูสัญญาณไฟด้วยสิ ไฟแดง (*ไฟแดงคนข้าม) อยู่ไม่เห็นหรือไงนายน่ะ”
“….อู๋อี้ฝาน นายเองเหรอ เอ่อ...ขอบใจ พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ ฮะ ๆ” ผมก้มหัวขอบใจเจ้าเสาไฟเดินได้ต้นนี้ด้วยรอยยิ้มฝืน ตอนนี้จริง ๆ ผมคิดว่ารอยยิ้มมันอาจจะไม่มีบนหน้าผมแล้วก็ได้ สีเลือดเองอาจจะไม่มีเหลือแล้วเหมือนกัน คิดไปคิดมาก็ให้ไหล่ลู่ตกลงโดยอัตโนมัติ สี่วันของผมที่เหลืออยู่มันจะเป็นยังไงต่อไปกันนะ
“อื้อ ไม่เป็นไร เป็นคนอื่นเขาก็คงเตือนเหมือนกันนั่นล่ะ”
“บ้านนายอยู่แถวนี้เหรอ”
“หึ มาเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลใกล้ ๆ นี่น่ะ ไปก่อนนะนาย เสียเวลามากแล้ว” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เอ่ยบอกพร้อมสาวเท้าเดินก้าวยาว ๆ ข้ามถนนไป อู๋อี้ฝานเป็นเพื่อนร่วมห้องเดียวกันอีกคนหนึ่งของผมแต่เราไม่เคยพูดคุยกันสักเท่าไรเลยจริง ๆ คงเพราะเจ้าตัวที่ชอบขลุกอยู่แต่ในห้องสมุดกับสนามบาสบ้างเป็นครั้งคราวและด้วยออร่าที่แผ่ซ่านกระจายออกมาเหมือนไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่งย่ามด้วยสักเท่าไร คนเพื่อนมากอย่างผมเลยรู้สึกไม่อยากจะสน หากใครอยากอยู่ตัวคนเดียวแล้วอยู่ได้ก็เรื่องของเขา ผมขออยู่กับพวกบ้าบอ วัน ๆ หัวเราะไปเรื่อยอย่างชานยอลและแบคฮยอน สองคนคู่หูนั่นจะดีกว่า
ความสัมพันธ์ของผมกับอู๋อี้ฝาน เราจึงเป็นเพียงแค่คนที่มีชื่ออยู่ในห้องเรียนเดียวกันเท่านั้น
“ไปก่อนนะ เสียเวลามากแล้ว ชริ ไอ้หมอนี่แมร่งน่าหมันไส้ชะมัด นี่ถ้าไม่ถือว่าช่วยกันไว้ล่ะก็ พ่อด่ากลับแล้วนะเนี่ย โหย กลุ้มว้อย แล้วฉันจะทำยังไงกับชีวิตต่อไปดีวะเนี่ย”
ลู่หานขยี้ทึ้งหัวตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีพร้อมกับรถที่วิ่งผ่านมาด้วยความเร็วสูงและ.......เหยียบลงบนน้ำขังข้างทางจนมันกระเด็นเข้าใส่ชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายอย่างไม่ปราณีปราศรัย
3 วันผ่านพ้น
ทั้งไปสะเดาะเคราะห์ก็แล้ว เอาน้ำมนต์ที่วัดก็แล้ว พัดควันธูปเข้าตัวก็แล้ว ไหว้ศาลเจ้าที่เขาว่าดังว่าศักดิ์สิทธิ์ก็แล้ว พกเครื่องรางไม่รู้กี่อย่างต่อกี่อย่างก็ยังไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ที่สำคัญ ล่าสุดหัวเพิ่งแตกมาสด ๆ ร้อน ๆ จากหินที่เด็กเอาใส่หนังสติ๊กแล้วเล็งยิงนกแต่มันดันมาตกลงบนหัวคนที่ซึ่งคือหัวผม! หนำซ้ำพอถอยหลัง ขาก็พลาดลื่นไถลลงมาจนแขนเดาะต้องเข้าเผือกอีก เขียนหนังสือไม่ได้ เสียงพาลแหบหายโดยไร้สาเหตุ เล่นไลฟ์กับเพื่อนไม่ได้ ทำเอาแต่ละคนที่วงด่าแช่งชักหักกระดูกกันซะไม่มีชิ้นดี
ชีวิตชักจะไม่ปลอดภัยขึ้นมาทุกขณะจิตแล้วนาทีนี้ อยู่บ้านก็ลื่นในห้องน้ำ เดินถนนก็เกิดอุบัติเหตุ อยู่โรงเรียนก็ยิ่งอันตรายจากความประมาทของคนรอบข้างทั้งหลายทั้งปวง เห็นจะมีก็แต่ห้องสมุดนี่แหละที่ปลอดภัยที่สุด มากี่ครั้งไม่เคยเกิดเรื่องสักครั้ง เพราะอาศัยนั่งอยู่กับเก้าอี้ตลอดไม่ได้ไปไหน ของมีคมหรือโคมระย้าอะไรก็ไม่มีให้เห็น ให้มันเกิดร่วงลงมาได้ มองแล้วมันคือหลุมหลบภัยที่ดีที่สุดแล้วจริง ๆ
แต่เมื่อวานถือว่ายังมีเรื่องดีในชีวิตกับเขาอยู่บ้างเหมือนกัน กระเป๋าเงินที่หายน่ะสิ มันกลับมาแล้ว มีนักเรียนคนไหนไม่รู้เก็บได้จากถังขยะเลยเอาไปส่งไว้ที่ประชาสัมพันธ์ ของอื่นอยู่ครบยกเว้นเงินในกระเป๋าเท่านั้น แหงสิ ไอ้คนที่มันล้วงไปมันจะเก็บกระเป๋าไว้ทำไมกันล่ะ
วันนี้ก็วันที่ 3 เข้าไปแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นขาหรือแขนอีกข้างของผมกันนะที่ต้องสังเวยความโชคร้ายนี้ มันเหมือนเรื่องโกหกจริง ๆ นั่นล่ะที่คนโชคดีสุด ๆ อย่างผมจะถึงตาอับจน ลำบากแสนเข็ญเสียได้ขนาดนี้ ผมโทรหาแม่และน้องชายตัวดีอย่างเซฮุน ญาติที่ผมสนิทที่สุด ทนฟังมันบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ชวนคุยให้หัวเราะเสียงลั่นใส่หูสารพัดสิ่งแล้ววางไปด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเก่า จริง ๆ ต้องบอกว่า รักมันขึ้นมาอีก 10 เท่าได้มั้ง เคยคิดว่าสิ่งที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตคือมีมันเป็นญาติกัน แต่คิดอีกทีตอนนี้ผมว่า โชคร้ายที่สุดของผมคงไม่ใช่เซฮุนอีกต่อไปแล้ว
“มานั่งห้องสมุดอีกแล้วเหรอวะแก เกิดจะรักเรียนขึ้นมาหรือไง ไอ้ badluck ”
“แล้วแกเห็นฉันนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่หรือไงล่ะ?”
“โถ ก็พูดไป กวางบ้านี่มันจะกล้าไปหยิบหนังสือเรียนที่ไหน ขืนมันเดินขึ้นไปหยิบเกิดตู้ทั้งตู้ล้มครืนลงมามีหวัง อู้อี้ฝาน แมร่งเอาตายแหง ฮ่า ๆ ๆ ไอ้คนโชคร้ายเอ้ย หยิบจับอะไรก็เป็นเรื่องไปซะหมด กรั่กๆๆ” ดูเอาเถอะครับ ไม่มีมิตรแท้ในหมู่เพื่อนเลยใช่มั้ยเนี่ย มีแต่คนจ้องจะทับถม แต่มันก็พูดความจริง เพราะถึงแม้ผมจะคิดว่าห้องสมุดเป็นที่ ๆ ปลอดภัยที่สุด เพราะไม่เคยเกิดเหตุอะไรขึ้นกับผมเลยแม้สักครั้งที่นี่ แต่ผมก็ไม่คิดจะเสี่ยงเข้าไปหยิบจับอะไรตามตู้หรือชั้นสูง ๆ หรอกครับ เพราะถ้ามันล้มเป็นโดมิโน่หรือหล่นล้มมาทับตัวผม ผมคงแย่แน่นอน ผมถึงได้เลือกที่จะมานั่งแหมะอยู่ตรงที่โล่งรโหฐานไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอยู่ทุกวันยังไงกันล่ะ
“เฮ้ยนี่ พูดถึงอู๋อี้ฝานนึกขึ้นได้ สรุปไอ้คนที่เก็บกระเป๋านายได้น่ะ เป็นเพื่อนหมอนั่นว่ะ น้องสาวฉันเป็นเวรห้องประชาสัมพันธ์พอดีมันบอกว่าหมอนั่นมากับเพื่อนเอาเป๋านายมาส่งคืนให้”
“แล้วเพื่อนมันไม่ใช่เพื่อนเราเหรอวะ? มันก็อยู่ห้องเดียวกับเราไม่ใช่รึไง” ผมเท้าคางถามออกไปเรื่อยเปื่อย
“ไม่ใช่ว่ะ เป็นเพื่อนมันอีกห้องหนึ่ง ไม่ใช่คนห้องเดียวกับเรา เห็นว่าชื่อมินซอกที่ทำงานพิเศษอยู่ร้านคอฟฟี่ชอปแถวบล็อกบีมั้ง แต่ฉันว่าแมร่งประหลาดทั้งมันทั้งเพื่อน”
“เออใช่เห็นด้วย หลายวันก่อนโน้นฉันเห็นอู๋อี้ฝานเดินถือตุ๊กตาตัวใหญ่ ๆ กลับบ้านด้วย หน้าอย่างโหดหิ้วตุ๊กตา โคตรขำเถอะ”
“ส่วนเจ้าคนที่ชื่อมินซอกนั่นก็ขาบ้าบอล เหมือนจะเป็นคนนิ่งแต่ก็ต๊องใช่ย่อยสรุปแมร่งบ้าทั้งคู่ เหมาะจะเป็นเพื่อนกันแล้วล่ะ ฮ่าๆ”
“เหอะ ๆ เฮ้อ.....” ผมหัวเราะผสมโรงไปกับเพื่อน ๆ พลางถอนหายใจยาวเหยียดอย่างเหนื่อยใจ ตอนนี้เรื่องใครหน้าไหนก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องของตัวผมเองแล้วล่ะครับ เวลาที่ร่อยหรอลงไปทุกทีกับวันคืนที่แสนจะหมดไปอย่างรวดเร็ว ใครจะบ้าบอลหรือบ้าตุ๊กตาก็เรื่องของมันแล้ว ตอนนี้ผมสิที่เหมือนคนจะเป็นบ้า!
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน ร้านปาจิงโกะที่เคยเข้าไปเล่นกวาดเงินมากมาย ยามไม่มีเงินใช้ ทำให้ผมคิดถึงขึ้นมาจับจิต ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว...ผมเองก็อยากจะลองเสี่ยงดวงดูอีกสักครั้งสองครั้งเหมือนกันนะ ไม่แน่โชคร้ายมันอาจจะปลิวหายไปตามสายลมแล้วก็ได้............ซะเมื่อไร ยิ่งเล่นยิ่งหมดตัว ยิ่งเล่นก็ยิ่งไม่อยากยอมแพ้ อย่างว่าคนมันเคยได้นี่ครับ มาตอนนี้เสียก็ย่อมไม่ยอมเป็นธรรมดา ผมไม่เชื่อหรอกนะ ว่าดวงตัวเองจะตกสุดๆ ขนาดไม่ได้อะไรสักอย่างเลย อย่างน้อยมันต้องมีสักตาหนึ่งล่ะวะ เล่นสล็อตก็ได้ กับอีแค่หมุน ๆ สักทีเถอะ มันต้องได้สักครั้ง แค่ครั้งเดียวจะเลิกเลยจริง ๆ
“แมร่งเอ้ย~~!!!! อะไรวะ หมดไปจะครึ่งแสนแล้วนะเว้ย บ้าชิบ!”
“...นายอีกแล้วเหรอ?”
เสียงที่คุ้นหูกล่าวทักขึ้นมาทำให้ผมหันไปมองด้วยหน้าตาที่หงุดหงิดเต็มสตรีม
“เอ๊า.... เวรกรรมอะไรวะเนี่ย เจอนายอีกแล้วเหรอวะ อู๋อี้ฝาน”
“นั่นสิ เวรกรรมจริง ๆ นั่นแหละที่มาเจอ Badluck guy อย่างนาย ดูท่าฤกษ์จะไม่ค่อยดีสักเท่าไรแล้ว อุตส่าห์ว่าจะมาเล่นสักเกมสองเกม เฮ้อ งั้นกลับก่อนดีกว่าพรุ่งนี้ค่อยมาเล่นใหม่”
“ว่าใครเป็นตัวโชคร้ายฟระไอ้นี่!”
“ก็นายไม่ใช่เหรอ ลู่หาน ทั้งห้องเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่านายน่ะโชคร้ายแค่ไหน”
“หน็อย! โชคร้ายตรงไหนกัน ที่นี่ไม่ใช่ห้องสมุดให้นายมาเบ่งได้แล้วนะเฟ้ย”
“เหรอ? แล้วใครนะที่ตะโกนซะลั่นเมื่อกี้ว่าหมดไปจะครึ่งแสนน่ะฮึ?” ร่างสูงกล่าวด้วยอมยิ้มน้อย ๆ เห็นแล้วมันจี๊ดดดดด~~~ ขึ้นสมองโคตร ๆ แม้จะจริงอย่างที่มันพูด แต่ไม่ได้สนิทกันขนาดให้มาว่ากันได้แบบนี้นะเฟ้ยไอ้นี่
“นั่นก็แค่ลอง ๆ ดูเท่านั้น คอยดูครั้งนี้เถอะจะเอาแจ๊คพ็อตให้ดู”
“เชิญ” อู๋อี้ฝานกล่าวเสียงเรียบพร้อมกอดอกยืนมองดูผมอยู่ทางด้านหลัง
แกร่ก! ปึ่กๆๆๆๆ
ผมหยอดเหรียญลงไปพร้อมสับสล็อตให้วิ่งเร็วจี๋และรอลุ้นสภาพที่ออก ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้เฟ้ย นาทีนี้หน้ามืดครับ ไง ๆ ก็ไม่ยอมถูกคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทมาด่ากันเสียหายแน่นอน ภาพแถวแรกค่อย ๆ หยุดลง แถวสองก็หยุดลงตามมาเช่นกัน และแถวที่สา............ม เหอ?.......
“ถ.....ถ....ถูกเหรอ ว้อยยยยยยยยย แจ๊คพอตว้อยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ผมร้องเสียงลั่นดีใจจนลืมตัวยกแขนข้างที่เข้าเผือกไว้ขึ้นมาจนเจ็บแปลบถึงได้หดกลับลงไปตามเดิม ดูท่าทางไอ้โชคร้ายที่ว่ามันจะออกไปจากชีวิตผมแล้วจริง ๆ นั่นแหละ คุณย่านั่นพูดจาเกินจริง เรื่องทั้งหลายมันก็แค่ช่วงเสี้ยวเวลาหนึ่งเท่านั้น ชีวิตผมได้กลับมาปกติสุขแล้วทีนี้ ลู่หาน นายกลับมาเป็นลัคกี้แมนคนเดิมแล้ว!
“ฟลุ๊คน่า! Badluck อย่างนายเนี่ยนะจะถูกแจ๊คพอต อีกทีเป็นไงกวางดื้อ?” คำว่ากวางดื้อของอู๋อี้ฝานเสียดแทงเข้ามาจนทำให้หน้าของผมหงิกง้ำชำเลืองมองค้อนขวับเขาให้เสียหนึ่งวงใหญ่ หมอนี่ปากไร้หูรูดพูดอะไรมาให้ระคายเคืองหูจริง ผมหยอดเหรียญลงไปอีกหนพร้อมสับสล็อตให้เดินเครื่องและภาวนาให้ได้เหมือนกันกับเมื่อครู่...
“วะฮ่าๆๆๆ เป็นไงล่ะ ได้อีกแล้ว ไอ้หนุ่มมหาเฮงกลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วว้อย ฮะๆๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ซวยอีกแล้ว รอดตายแล้วว~~~”
ผมร้องตะโกนอย่างดีอกดีใจอีกครั้ง มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ โชคดีของผมกลับมาแล้ว กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน นี่ถ้ารำได้ผมคงลุกขึ้นรำแล้วล่ะ ถ้าจะไม่กลัวคนหาว่าผมเป็นบ้าหรือผีเข้า อู๋อี้ฝานมองผมคิ้วขมวดก่อนพูดบ่น ๆ กับตัวเองที่ตั้งใจให้ผมได้ยินด้วยว่า “ไร้สาระ!” ก่อนเดินออกไปจากร้าน แต่ผมไม่สนหรอก เรื่องของมัน อิจฉาล่ะสิ ที่คนดวงดีอย่างผมมีชีวิตอยู่บนโลก
หึ หึ ลู่หาน ชายหนุ่มผู้โชคดีที่สุดแห่งยุค
ผมหมุนสล็อตอีกครั้ง ด้วยความสุขใจ แต่......ก็ถูกกินไป ผมหยอดเล่นต่อ....ก็ถูกกินไปอีก ผมย้ายไปเล่นอย่างอื่นก็แห้วอีก เงินที่ได้มาเมื่อครู่มันเริ่มหมดอีกแล้วสิ ไม่เข้าใจ.... ก็โชคผมกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
“เดินดูทางด้วยสิ ไม่เห็นหรือไงว่าไฟแดงอยู่น่ะ”
“เห็นน้องสาวบอกว่าอู๋อี้ฝานกับเพื่อนเป็นคนเอาไปส่งให้นะ”
ตัวช่วยน่ะมีอยู่ แต่เธอต้องหามันด้วยตัวเอง
“เล่นแทบตายเสียไปแทบครึ่งแสน.........”
“ตัวโชคร้ายอย่างนายอยู่ งั้นฉันมาเล่นพรุ่งนี้ก็ได้”
“อู๋อี้ฝาน นี่นายอีกแล้วเหรอ?”
“ห้องสมุดเป็นหลุมหลบภัยที่ดีที่สุดสำหรับเราในตอนนี้แล้ว”
“จริงของอู๋อี้ฝานที่ว่าห้องสมุดห้ามใช้เสียง อีกอย่างหมอนั่นก็เป็นคนดูแลห้องสมุดด้วยนี่”
ตัวเธอเองเท่านั้นที่จะรู้.....ว่ามันอยู่ที่ไหน
พรึ่บ! ลู่หานตาลุกโพลงเบิกกว้าง ลุกยืนอย่างหุนหัน
“หมอนั่น!!!!!”
to be con.....
ความคิดเห็น