ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มี Ebook [Yaoi] D.O.D (Deva or Devil)

    ลำดับตอนที่ #12 : Left or Right

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 55




                    ผ่านมาจะพออาทิตย์แล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครหยุดที่จะพูดถึงอุบัติเหตุครั้งใหญ่ยิ่งของสถาบัน SIT-T แห่งนี้
     
    นี่ไม่ใช่เหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม ไฟไหม้ตึกหรือว่าคนจมน้ำตายแต่อย่างใด แต่มันคือเรื่องของคนที่ประสบอุบัติเหตุแขนหักจนต้องเข้าเฝือกนานกว่าหนึ่งหรือสองเดือน ถ้าหากจะเป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาๆ คนหนึ่งในสถาบันก็ คงไม่มีใครพูดถึงและให้ความสนใจกันมากมายขนาดนี้หรอก บังเอิญเพราะเขาคือประธานนักเรียน หรือ ประธานตึกไดม่อน และยังพ่วงตำแหน่งประธานชมรมศิลปะเข้าไปอีก ‘ซึทนะ โทชิยะ’ ไอดอลสุดรักของใครหลายๆ คนนั่นเองที่กำลังถูกพูดถึงมากในตอนนี้ เล่นเอาเรทติ้งการตั้งกระทู้ถามถึงนัทสึกิที่ช่วงก่อนมีมากกว่าซึทนะถึงเท่าตัว ลดฮวบลงไปกลายเป็นกระทู้ถามถึงท่านประธานแองเจิ้ลคนนี้กันไม่ต่ำกว่าสิบกระทู้ในเวลาหนึ่งชั่วโมง
     
    “สรุปว่าไม่ได้หักแต่ก็ใช้การแขนข้างนั้นไม่ได้ชั่วคราวต้องดามเฝือกอ่อนไว้ ห้ามเคลื่อนไหวหนักและไม่สามารถขยับทำอะไรได้....แล้วมันต่างจากใส่เฝือกปูนแข็งๆ ตรงไหน?”
     
    “เห็นว่าหมอก็บอกนะครับว่าควรหล่อเฝือกจะได้ไม่เผลอใช้มือข้างนั้นทำอะไร แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมบอกว่าเฝือกมันเกะกะยังมีงานอีกหลายอย่างที่จะต้องสะสางไหนจะงานโรงเรียนแล้วยังงานที่หออีก เถียงกับหมอจนหมออ่อนใจยกเว้นไม่หล่อเฝือกให้แต่ให้ใช้เฝือกอ่อนแทน เพราะยังไงก็ไม่หักเลยอนุโลมให้ได้ แต่ก็ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ”
     
    “แกรู้ได้ไงซาคิโตะ?”
    “เอ๊า นี่ใครครับนี่ใคร นี่ซาคิโตะนะครับ ไปทำงานรับใช้อยู่ที่ห้องสภากรรมการนักเรียน รุ่นพี่มึซิกิบ่นทุกวันจนจำขึ้นใจได้แล้วว่าเพราะอะไรประธานถึงไม่ได้หล่อเฝือก”
    “ฟังทุกวัน? แล้วเพิ่งจะมาเล่าวันนี้เนี่ยนะ?”
    ชินยะท้วง
     
    “ก็ไม่มีใครถามผมนี่ครับ ว่าแต่รุ่นพี่นัทสึกิหายตัวอีกแล้วเหรอครับเนี่ย พักนี้ไม่ค่อยมาร่วมวงเสวนากันเท่าไรเลย  เหงานะครับผมน่ะ แล้วเดี๋ยวผมก็ต้องเข้าไปช่วยงานสภาอีกแล้วบ่ายนี้ ไม่เห็นหน้ารุ่นพี่นัทสึกิแล้วมันไม่มีกำลังใจจะทำงานเลย”
    ฝ่ามือสองสามข้างพร้อมใจกันตบลงมากลางกบาลของซาคิโตะโดยไม่ได้นัดหมายด้วยความรู้สึกเดียวกันคือหมันไส้
     
    “ไปเฝ้าสังเกตการณ์อยู่อีกล่ะมั้ง” อากิระพูดพร้อมเขมือบขนมลงคอ
     
    “สังเกตการณ์?” ทาคุมิร้องถามเสียงสูง แต่พอมองหน้าทุกคนที่ก้มหน้าก้มตากินขนมพลางยกยิ้มกันน้อยๆ ก็หยุดคิดนิดหนึ่งก่อนค่อยคลี่ยิ้มไม่พูดอะไรและแย่งขนมจากมือเพื่อนมากินต่อ
     
     
    หลายวันที่ผ่านมาก็แอบตามเฝ้าดูตลอดว่าจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ทำอะไรสะดวกหรือไม่ รู้สึกผิดที่ทำให้คนอื่นเจ็บตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้จะเป็นคนประเภทที่ไม่ชอบมากๆ ห่างได้เป็นห่างก็จริง แต่ใช่ว่าจะรู้สึกอยากทำให้ต้องเจ็บตัวเสียหน่อย ครั้นจะเข้าไปหาตรงๆ ก็ไม่กล้า กลัวจะโดนมันด่าไล่ตะเพิดกัน เลยได้แต่คอยแอบตามดูอยู่ห่างๆ พยายามหาจังหวะจะเข้าไปขอโทษแต่ก็ยังไม่กล้าเสียที ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงได้กลัวการเข้าเผชิญหน้ากับหมอนี่ไปได้ เหมือนเด็กทำผิดแล้วไม่กล้าสู้หน้า คงแอบซุ่มดูอยู่อย่างนี้
     
    แต่เท่าที่ดูมาสามสี่วันนี้ก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเท่าไรนะ เรียนก็ไม่ต้องจดอะไรมีคนคอยประเคนเลคเชอร์ให้อยู่เรื่อย พวกอาจารย์ที่เอ็นดูอยู่แล้วพอเห็นแบบนี้เข้าก็เลยอนุโลมไม่ต้องส่งงานอะไรเหมือนคนอื่นเขา น้ำ ข้าว ขนมนมเนยก็มีคนอาสาซื้อให้ตลอด ดีว่าไม่ต้องป้อนเพราะเจ้าตัวใช้มืออีกข้างประเคนอาหารเข้าปากตัวเองแม้จะดูขัดๆ และลำบากอยู่บ้างมันก็แค่นั้น เรือนเพชรพักนี้ก็ไม่ได้เข้าไปเลยเพราะงานที่สภาเยอะมาก เห็นซาคิโตะบ่นว่าพอซึทนะเจ็บแบบนี้แทนที่งานจะน้อยลงกลับมากขึ้นกว่าเก่าไปเสียได้ นั่น..ไม่ทันขาดคำ กำลังเดินตรงไปยังสภากรรมการนักเรียนแล้ว
     
    และกิจวัตรของเราก็คงจะจบลงตรงที่การคอยตามดูหมอนี่เดินไปเดินมาและสิ้นสุดยังห้องสภาฯ เสมอ เอาไว้...พรุ่งนี้ค่อยหาโอกาสเดินไปขอโทษก็แล้วกัน
     
    “พักนี้งานสภาเหมือนแกล้งกันเลยเนอะ มีมาให้พิจารณามากกว่าตอนที่มือยังดีอยู่เสียอีก”
    ซึทนะที่เดินเข้ามาใหม่มองกองเอกสารบนโต๊ะที่เริ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นสามและกำลังจะกินเนื้อที่บนโต๊ะรับงานทั้งหมด
     
    “ฉันถึงบอกให้นายยกให้คนอื่นทำบ้างไงล่ะ ซึทนะ”
    รุ่นพี่มิซึกิบ่นพลางหิ้วกระเช้าดอกไม้และขนมมาวางแถวโต๊ะเก็บเอกสาร เพราะบัดนี้ในห้องนอกจากจะกลายเป็นร้านขายดอกไม้หลากชนิดแล้วยังเป็นเหมือนฟู้ดเซ็นเตอร์อีกด้วย หลายวันมานี่ของต่างๆ มากมายถูกส่งมาจากชมรมนั้นชมรมนี้ บ้างก็จากห้องเรียนแต่ละห้อง จากหัวหน้าชั้นปี จากตัวแทนกลุ่มย่อยนั่นโนนี่ หรือแม้แต่จากสถาบันข้างเคียง จนห้องสภาไม่มีที่จะให้เดินแล้ว ล่าสุดอาจต้องรวบรวมไปบริจาคในนามสภา
     
    “อย่าดีกว่าครับ ไหนๆ ก็เป็นประธานแล้วผมไม่อยากละเลยหรือโยนงานให้คนอื่นน่ะ”
    “นี่มันไม่ใช่เรื่องโยนงานหรืออะไรเลยนะ นายเจ็บแบบนี้ใครๆ ก็รู้”
    “ถูกของรุ่นพี่มิซึกิ”
    “จุนจิคุง?”
     
    “สวัสดีครับรุ่นพี่ ไม่เจอกันนานเลยนะครับแหะๆ นี่ซึทนะถึงแม้ฉันจะเป็นรองประธานที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไรเท่าไร แต่ก็น่าจะช่วยงานนายได้บ้างหรอกน่า ไม่งั้นนายจะเอาฉันมาเป็นรองประธานไปเพื่อไรเนี่ย ถามจริงเหอะ”
     
    จุนจิคุง หรือ รองประธานนักเรียน นั่งยองๆ แถวมุมห้องจึงถูกเหล่ากระเช้าดอกไม้ กระเช้าขนมบังมิดจนไม่มีใครทันสังเกตเห็น ที่สำคัญ สาเหตุที่ลงไปนั่งอยู่นั่นก็เพราะกำลังนั่งจกหยิบขนมและเลือกของกินจากในกระเช้าเยี่ยมออกมายัดใส่เป้กะว่าจะเอากลับไปกินที่หอพักยามอยู่ดึกหรือยามว่าง
     
                    “ผีหลอกแฮะ จุนจิคุงเข้าห้องสภาเนี่ย”
    “อะไรกันครับท่านประธาน ก็เห็นว่าประธานกำลังตกที่นั่งลำบากอาจจะอยากได้รองประธานคนนี้มาช่วยเหลือถึงได้มานี่ไง”
     
    จุนจิ หรือ ‘รองประธานเงา’ เป็นบุคคลที่ตามหาตัวยากยิ่งกว่าใครทั้งหมด หายตัวไว หายหัวแล้วหายหัวลับ และไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ที่สำคัญงานสภาไม่เคยแตะ แต่ถ้าคิดจะทำอะไรแล้วค่อนข้างที่จะขัดใจได้ยาก ขนาดงานแข่งขันประเพณีนัดแรกยังโดดไม่เข้าร่วมเลย แล้วใครว่าก็ไม่สนใจอีกต่างหาก เพราะถึงว่าไปก็เท่านั้น ในเมื่อพ่อของจุนจิคุงเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นสถาบันแห่งนี้ ดังนั้นต่อให้ติดฑัณบนสักร้อยหรือจนขึ้นเล่มใหม่อีกสักพันเล่มก็...ไม่เป็นผลต่อการเรียนของเขาแม้แต่น้อย คงมีแต่ซึทนะนี่แหละที่สั่งได้อย่างกับถูกฝังชิพเอาไว้ แม้ไม่ใช่เพื่อนสนิทกันแต่ก็ถือเป็นเพื่อนร่วมห้องร่วมชั้นเรียนเดียวกันที่พอจะคุยกันรู้เรื่อง และจัดการปัญหาใหญ่ๆ ให้ได้ตามประสงค์
     
    ทุกคนต่างก็สงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนกันว่า ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แล้วทำไมซึทนะถึงเลือกจุนจิคุง แล้วทำไมจุนจิคุงถึงยอมมาเป็นรองให้กับซึทนะ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ ยังคงเป็นความลับของจักรวาลกันต่อไป
     
                    “ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้นสักหน่อยก็พูดกันไปเองทั้งนั้น แล้วไม่ใช่ว่าที่มานี่เพื่อจะมาหาขนมกินเล่นหรอกเหรอ”
                    ซึทนะหัวเราะน้อยๆ พลางชี้ไปยังกระเป๋าเป้ข้างกายจุนจิ
     
                    “อย่างกน่า เอาไปนิดๆ หน่อยๆ เอง นี่จะมาช่วยงานจริงๆ คนเขาตั้งใจมาดี ไหงมองแง่ร้ายอยู่เรื่อยนะ”
                    “งั้นหรอกเหรอ ขอโทษนะที่เข้าใจผิดไป แต่ถ้าอยากช่วยเดี๋ยวค่อยเอาจากที่ฉันพิจารณาแล้วไปสานต่อก็แล้วกัน นายเก่งอยู่แล้วนี่ ช่วงนี้หลายชมรมเลยกำลังมีปัญหาเรื่องแบ่งเวลาการใช้สนาม หรือของบประมาณกันขึ้นมา...”
     
                    “งบประมาณ?? ขอผ่านเหอะยกให้คุณเลขามิซึกิเลยแล้วกัน เรื่องเงินๆ ทองๆ แบ่งสันปันส่วนเนี่ยไม่เอาดีกว่า ขอผ่าน เอาเป็นว่าซึทนะก็ดูๆ งานไปก่อนแล้วกันนะ แยกกองไว้เลย แล้วค่อยเรียกกันอีกที ไปก่อนล่ะ!”
     
                    ว่าแล้วก็แบกเป้ขึ้นหลังแล้วโดดลงจากหน้าต่างไปเกาะต้นไม้ใหญ่ข้างๆ เพื่อปีนลงไปจนถึงพื้น
     
                    “บางทีก็ไม่เข้าใจว่าตกลงนั่นลูกคุณหนูหรือว่าลูกนินจาสำนักไหนกันแน่... สุดท้ายมันก็ชิ่งหนีงานอยู่ดีนะ”
                    มิซึกิมองตามจุนจิที่แลนด์ดิ้งถึงพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างอ่อนใจ
     
                    “สวัสดีครับรุ่นพี่มิซึกิ สวัสดีครับประธาน”
                    ซาคิโตะที่เข้ามาใหม่กล่าวทักทายและโค้งคำนับให้รุ่นพี่ทั้งสองอย่างนอบน้อม
     
                    “สวัสดีซาคิโตะคุง ซาคิโตะคุงมาพอดีเลย ช่วยยกกองนี้กับกองนี้เข้ามาที่ห้องฉันทีนะ”
                    ซึทนะเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ และเดินนำหน้าเข้าห้องประธานไป ซาคิโตะที่เพิ่งเข้ามาจึงวางกระเป๋าเป้ไว้บนเก้าอี้ตัวที่ว่างและหอบกองเอกสารตามหลังซึทนะไป
    น้อยครั้งที่จะได้เข้ามายังห้องประธานนักเรียน นอกจากจะมีอะไรเรียกใช้เท่านั้นซึ่งนี่ก็เป็นครั้งที่สองเองมั้งที่ได้เข้ามา ซาคิโตะค่อยๆ ทยอยขนกองเอกสารเข้ามาทีละเล็กทีละน้อยเพราะกองนึงก็ใช่ว่าจะขนมาได้หมดในครั้งเดียว ขืนฝืนขนเข้ามาทีเดียวแล้วเกิดล้มทำเอกสารปนกันก็จะซวยอีก ดังนั้นหลายรอบก็ยังดีกว่าถูกดุ แม้ทุกคนในสภาจะดูยิ้มแย้มใจดีแต่ถ้าถึงเวลาที่ดุขึ้นมาก็น่ากลัวเอาเรื่องเลยเชียวล่ะ
     
    “หมดแล้วครับ”
    “ขอบใจนะ ซาคิโตะคุง....อืม....ยังไงถ้ากลับจากส่งเอกสารให้รุ่นพี่มิซึกิแล้ว ฝากช่วยมาจัดกองเอกสารเก่าตรงด้านนั้นแยกไว้เป็นหมวดหมู่ทีได้หรือเปล่า มีสมุดจดหมวดหมู่เอกสารวางอยู่ตรงนั้นแน่ะ”
     
    “ได้ครับประธาน”
    ซาคิโตะยิ้มรับแล้วเดินออกไปหารุ่นพี่มิซึกิเพื่อรับคำสั่งต่อไป ก่อนกลับมาช่วยประธานจัดเอกสารในห้องอีกครั้ง ดีนะว่าชอบเล่นเกมประเภททำตามมิสชั่นเลยคิดซะว่าชีวิตเราในตอนนี้ก็เหมือนเกมที่มีคำสั่งต่างๆ ออกมาเรื่อยเพื่อให้จัดการให้สำเร็จจะได้ผ่านไปยังด่านต่อไป มันเลยไม่น่าเบื่ออย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่กว่าจะทำมิสชั่นของคุณเลขาฯ สำเร็จเสร็จสิ้นคุณเลขาที่สั่งงานก็หนีกลับไปก่อนแล้ว ส่วนกรรมการคนอื่นๆ ก็กำลังทยอยกันกลับเหลือก็แต่ประธานคนขยันนั่นล่ะที่ยังคงนั่งตรวจเช็คแฟ้มงานต่อ เลยต้องจัดเอกสารไปอย่างเกร็งๆ เพราะอยู่เพียงลำพังแค่สองคน
     
    แอบเหลือบชำเลืองมองยามเมื่อใบหน้าหวานก้มหน้าตรวจดูเอกสารด้วยท่าทางคร่ำเคร่ง พลางขมวดมุ่นคิ้วในบางครั้ง บางทีปอยผมก็ตกลู่ลงมาจนต้องใช้นิ้วขึ้นเสยแสก แต่ด้วยความเคยชินเลยใช้มือข้างซ้ายที่ดามอยู่ยกขึ้นมาอย่างลืมตัวก่อนชักสีหน้ารำคาญใจและเปลี่ยนมาใช้มืออีกข้างแทน เป็นคนที่ทำอะไรก็ดูดีไปหมดเสียทุกอย่างจริงๆ เคยได้ยินไอ้พวกสาวกมันพูดกันทีเล่นทีจริงอยู่เหมือนกันว่า ถ้าวันไหนสักวันเกิดต้องติดแหงกอยู่ในลิฟท์หรือที่ไหนสักที่กับประธานเพียงแค่สองต่อสอง เห็นทีจะทนความน่ารักไม่ไหวต้องเผลอทำมิดีมิร้ายอะไรลงไปแน่ๆ ซึ่งนั่นยังไม่เคยเกิดขึ้นหรอกเพราะปกติประธานไม่เคยไปอยู่ในที่ลับตาคนเลยสักครั้ง อีกอย่างคนพวกนี้ก็บูชากันเสียจนไม่กล้าแตะต้องด้วยซ้ำ ...แต่พอมาเจอกับตัวตอนนี้เนี่ยก็ทำเอากลืนน้ำลายลงคอลำบากเหมือนกัน เข้าใจไอ้คำจำกัดความที่พวกนั้นมันบัญญัติให้เฉพาะแด่ประธานคนเดียวแล้วจริงๆ กับไอ้ประโยคที่ว่า “สิ่งมีชีวิตที่ปล่อยฟีโรโมนกระตุ้นต่อมอยากอย่างพร่ำเพรื่อ” เนี่ยมันเป็นยังไง ว่าแต่.....แล้วไอ้สมุดจัดเรียงเอกสารพวกนี้มันใช้ยังไงวะ??
     
    “ซาคิโตะคุง?”
    “ค...ครับ!”
    เพราะอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองเกี่ยวกับเจ้าของเสียงเรียกนี้ล่ะมั้ง เลยเมื่อถูกเรียกจึงทำให้สะดุ้งสุดตัวจนเผลอทำสมุดในมือร่วงลงพื้นดังลั่นห้อง พอจะคว้าเก็บมือเรียวสวยของท่านประธานคนงามก็คว้าหยิบไปเสียก่อน ก่อนยื่นคืนให้ด้วยรอยยิ้ม
     
    “ตกใจอะไรกัน เรียกเบาๆ เอง”
    ชายหนุ่มรุ่นพี่หัวเราะลงคอ ทำเอาซาคิโตะหน้าฉีดสียกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ
     
    “ขอโทษครับ มันเหม่อไปหน่อยแหะๆ”
    “เห็นว่าเปิดสมุดพลิกไปพลิกมาอยู่นานแล้ว ไม่เข้าใจตรงไหนหรือเปล่า ถามเราได้นะ?”
    ซึทนะเอียงคอน้อยๆ ก่อนคลี่ยิ้มอย่างใจดี ทำให้คู่สนทนาที่เกร็งๆ อยู่เมื่อครู่หายเครียดไปเป็นปลิดทิ้ง
     
    “เอ่อ....มันก็งงตรง......คือมันก็ทั้งหมดเลยน่ะครับ ขอโทษทีนะครับผมไม่ถนัดพวกงานที่มันมีตารางยั้วเยี้ยน่ะครับ”
    พอบอกไปอย่างนั้นรุ่นพี่ก็พยักหน้าและเริ่มอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกองเอกสารและตารางในสมุดที่มีคนออกแบบทั้งหมดเอาไว้รวมถึงหมายเหตุต่างๆ ซึ่งทำเอาซาคิโตะอ้าปากหวอกะพริบตาปริบๆ อย่างงงๆ
     
    “เข้าใจหรือยัง?”
    “.............”
    “.........งั้นเอาอย่างนี้นะ ถือสมุดไว้หน่อย”
     
    ชายหนุ่มใช้ให้รุ่นน้องยืนถือสมุดและเปิดหน้าว่างออกมา ก่อนหยิบปากกาบนอกเสื้อของตนมากดเปิดและเริ่มเขียนพร้อมพูดอธิบายไปด้วยเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจเรื่องที่ตนกำลังพยายามอธิบายให้ฟังนี้ไปพร้อมๆ กับแสดงตัวอย่างให้ดู ซึ่งมันก็เข้าใจง่ายกว่าฟังพูดปากเปล่าจริงๆ นั่นแหละ
     
    “ทีนี้เข้าใจรึยังล่ะ”
    “อ๋ออออ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับประธาน”
     
    “เรียกรุ่นพี่ก็พอแล้วล่ะ....อืมมมม ยังไงค่อยมาทำต่อพรุ่งนี้ก็แล้วกันวันนี้กลับไปก่อนเถอะ เราฝากปิดห้องสภาด้วยก็แล้วกันนะซาคิโตะคุง”
    “ได้ครับ รุ่นพี่ ขอบคุณมากนะครับแล้วเจอกันที่หอครับ”
    “อื้อ สวัสดี”
    จากนั้นซึทนะจึงหยิบสมุดหนังสือของตนถือเดินออกจากห้องไป
     
    “อ้อ อีกเรื่อง....”
    “ครับ?”
     
    “อย่าบอกใครเป็นอันขาดนะว่าฉันเขียนมือขวาได้... ไม่งั้นรุ่นพี่มิซึกิคงโวยวายใช้งานกันหนักกว่านี้แน่นอน คิกๆ ไปนะ”
     
    แล้วเจ้าตัวก็โบกมือบ้ายบายก่อนเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้รุ่นน้องโค้งลาและกล่าวรับคำอยู่เพียงลำพัง..
     
    “ครับผม~~ จะปิดปากเงียบเลยครับว่ารุ่นพี่เขียนหนังสือได้ทั้งสองมือคร้าบบบบบบบบบบบบ”
    เจ้าหนุ่มลากเสียงยาวอย่างทีเล่นทีจริงก่อนสกิปปี้เท้าเก็บข้าวของหอบหิ้วเป้ตัวเองขึ้นสะพายไหล่และคว้าพวงกุญแจมาไขปิดล็อคห้องสภาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะชะงักกึกร้องลั่นออกมาอย่างลืมตัว
     
    “เฮ้ย! เขียนได้ทั้งสองข้างเหรอ!!!!!!”
    .
    .
    .
    .
    “รุ่นพี่ชินยะ~~~~~~~~~~”
    ซาคิโตะวิ่งสุดแรงเกิดหอบแฮ่กมาคว้าแขนรุ่นพี่คนสนิทของตัวเองไว้ในขณะกำลังเตะบอลอยู่กลางสนาม
     
    “ไอ้บ้าซาคิโตะทำบ้าอะไรเนี่ย กำลังแข่งบอลกินตังค์อยู่ว้อย”
    “รุ่นพี่ แฮ่กๆ รุ่นพี่นัทสึกิอยู่ไหนครับตอนนี้”
    “จะไปรู้เรอะ! ฉันไม่ได้ตัวติดอยู่กับหมอนั่นนะ บ้าจริง เฮ้ย! ทางนั้นน่ะ วิ่งเร็ว ไปเร็วเข้า”
     
    จากนั้นชินยะก็ไม่ได้สนใจรุ่นน้องรายนี้อีกเลย วิ่งตามบอลและกลุ่มเพื่อนในสนามไปอย่างไวว่องทิ้งไว้เพียงฝุ่นคลุ้งที่ตลบไปทั่ว ซาคิโตะจึงวิ่งออกจากสนามและโทรหา อากิระ
     
    “ฮัลโหลอากิระ แฮ่กๆ โอยเหนื่อยว้อย เห็นรุ่นพี่นัทสึกิบ้างมั้ย อยู่แถวนั้นกับนายรึเปล่าวะ”
    “หึ ไม่อ่ะ แกไม่โทรหารุ่นพี่เองล่ะ”
     
    “โทรแล้วไม่รับสายน่ะสิไม่รู้ว่าลืมเปิดเสียงหรือว่าไม่ได้ยิน”
    “เอ...สงสัยจะเป็นงั้น แต่เดี๋ยวยังไงก็คงมาที่ห้องตอนดึกๆ ล่ะมั้ง มีไรวะ? ทำเสียงตื่นเต้นพิกล?”
     
    “เรื่องใหญ่มหึมามากกกกกกกกกกกกกกก ต้องหาเจ้าตัวให้เจอให้ได้ แค่นี้นะเว้ย ฉันไปหารุ่นพี่ต่อก่อน”
    เขาวางสายจากอากิระและวิ่งตามหานัทสึกิต่อพลางก็พยายามโทรหาให้ติดให้ได้แต่เจ้าตัวก็ไม่รับสายเสียที
     
    “ไอ้รุ่นพี่บ้า! ไปอยู่ไหนวะเนี่ย!!!”
    ชายหนุ่มวิ่งไป กดโทรไป พลางบ่นโวยวายและด่าทออีกฝ่ายไปตลอดทาง
     
     
    เย็นย่ำที่อากาศไม่ร้อนจนเกินไป ทั้งเย็นสบายเมื่อลมพัดพาหอบเอากลิ่นไอดินและใบหญ้าเข้าแตะปลายจมูกช่างเป็นสิ่งรื่นรมย์ที่ชื่นชอบมากเสียเหลือเกิน ท้องฟ้าที่สดใสสีฟ้าครามถูกป้ายแต้มด้วยสีขาวจางเป็นเส้นริ้วบางเบาพาดผ่านไปมาเป็นแห่งๆ กับสีส้มอ่อนระเรื่อที่เริ่มย้อมขอบฟ้าจากจุดก่อเกิดอย่างสีแดงฉานของดวงอาทิตย์ที่กำลังคล้อยตัวต่ำลงมาเป็นระยะ ช่างเป็นภาพที่สวยงามน่ามองเสียเหลือเกิน เว้นเสียแต่ว่า....
     
    “จะตามหักแขนกันอีกข้างหรือยังไง?”
    ร่างบางโปร่งสวยที่กำลังชื่นชมความงามของธรรมชาติด้วยดวงตาของตนอย่างแสนสบายใจ มีอันต้องมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันก่อนกระชากเสียงร้องทักอย่างติดจะไม่พอใจนัก
     
    “.......”
    นัทสึกิที่เดินตามอยู่ห่างๆ และหลบอยู่แถวต้นไม้ต้นโน้นทีต้นนี้ทีจึงค่อยๆ ก้าวเดินออกมาช้าๆ และเดินตามร่างบางของประธานนักเรียนต่อไป
     
                    “แค่เดินทางเดียวกันแท้ๆ”
                    “คิดว่าไม่รู้หรือไงว่านายตามฉันมากี่วันแล้วน่ะ มีอะไรกับฉันอีกเล่า นี่! แล้วห่างๆ ไปเลยนะ อย่ามาเดินใกล้ฉัน แต่ละครั้งที่อยู่ใกล้นายมันต้องเป็นเรื่องซะทุกที ทางที่ดีอย่ามายุ่งกันเลยดีกว่า จะขอบใจมาก”
     
                    ซึทนะเอ่ยน้ำเสียงเจืออารมณ์ขุ่นมัวเต็มที่ ก่อนเลี้ยวเดินเข้าไปยังเรือนเพชร สถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ประจำของตนโดยยังคงมีนัทสึกิเดินตามติดไปด้วย ทุกๆ วันหลังจากที่เข้าห้องสภาฯ ซึทนะก็มักจะเข้ามานั่งมองอาทิตย์ตกดินที่เรือนเพชรแห่งนี้ทุกครั้ง นัทสึกิถึงแม้จะตามดูมาโดยตลอดแต่ก็ไม่เคยเดินตามเข้ามาถึงในนี้เลยสักครั้ง หลังจากที่เกิดเรื่องในวันนั้น เพราะรู้สึกผิดและไม่อยากรบกวนช่วงเวลาดีๆ ของคนหนึ่งคน ที่ก็รู้อยู่ว่าถ้าเห็นหน้ากันแล้วจะหงุดหงิดฉุนเฉียวเสียทุกครั้งไป เขาเลยเลือกที่จะไม่แสดงตัวเองให้เห็นไปเสียดีกว่า แต่พอถูกจับได้แบบนี้แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องปิดไปอีกทำไม ยังไงซะสักวันมันก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี
     
                    “นายนี่มันปากร้ายไม่เหมาะกับหน้าจริงๆ”
                    “ฉันเลือกที่ร้ายกับคนที่เหมาะสมก็เท่านั้น”
                    “โห...ได้รับเกียรติสินะเนี่ยแบบนี้”
                    “ถ้าดีใจด้วยเรื่องนี้แล้วล่ะก็... ตามสบายแล้วกัน”
     
                    ซึทนะลงนั่งหลังอิงฝาและแหงนมองหลังคาเรือนกระจกเหมือนอย่างเคย โดยมีนัทสึกิลงมานั่งข้างๆ แบบที่คนนั่งอยู่ก่อนแล้วไม่ได้เต็มใจเท่าไรนัก
     
                    “ว้าวววว สวยโคตร”
                    ชายหนุ่มแหงนเงยมองดูท้องฟ้าในมุมเดียวกันกับซึทนะพร้อมอุทานออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ
     
                    “นี่มันที่ฉันนะ ฉันเจอก่อน”
                    “เอ๊า หวงจริง นายก็นั่งที่นายไปแล้วนั่นไง ฉันก็นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปนั่งบนตัวนายสักหน่อย แต่โหเจ๋งอ่ะ นายนี่มันช่างหาที่สวยๆ แบบนี้ได้เนาะ”
     
                    “แน่นอนสิ ฉันเป็นใครจำไม่ได้หรือไง? เป็นถึงประธานชมรมศิลปะถ้าจะหาสถานที่สวยๆ สักที่นึงได้ มันก็ย่อมไม่น่าแปลกใจอะไรอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ เหอะๆ”
     
                    “หลงตัวเองเป็นบ้า”
                    “ว่าไงนะ”
                    “เปล่า...บอกว่า เก่งเป็นบ้า น่ะ”
                    “เหรอ? ของมันแน่อยู่แล้ว”
     
                    ซึทนะสะบัดผมเล็กน้อยก่อนจ้องมองท้องฟ้านั้นไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ฝ่ายนัทสึกิเองก็เช่นกัน ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจาและแหงนหน้ามองฟ้าที่กำลังค่อยๆ ถูกย้อมด้วยสีส้มไปทีละน้อย....ทีละน้อย
     
                    “นี่.....ฉันขอโทษนะที่ทำให้แขนนาย....พิการไปข้าง”
                    “นี่ขอโทษจริงๆ หรือคิดจะกวนโมโหกันเล่นเนี่ย”
     
                    “พูดจริงๆ ก็แขนนายมันพิการใช้งานไม่ได้ชั่วคราวจริงๆ นี่หว่า”
                    “ไอ้.....หยุดย้ำคำว่าพิการกับฉันสักทีได้มั้ย ฉันแค่เอ็นอักเสบเลยใช้ไม่ได้ตอนนี้แค่นั้น”
     
                    “แล้วมันต่างจากพิการตรงไหน?”
                    “นายนี่มัน.....”
     
                    ทีแรกก็พูดต่อท้ายไปตามนิสัยเท่านั้นไม่ได้ตั้งใจอะไรแต่พอเห็นอีกฝ่ายเถียงเป็นฟืนเป็นไฟและดูจะให้ความสำคัญกับคำว่าพิการซะเหลือเกินมันก็อดไม่ได้ที่จะกวนกันต่อ
     
                    “จุ๊ๆ ทำหน้าบึ้งบ่อยๆ แบบนี้เดี๋ยวก็หน้าแก่ไวหรอก เดี๋ยวมีผลกับแผลกระเทือนหายช้าพิการต่ออีกนะ ดูพระอาทิตย์ไปๆ”
     
                    “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้พิการ!”
                    “ก็เขียนหนังสือไม่ได้ จับอะไรก็ไม่ได้แบบนี้ไม่เรียกว่าพิการได้ไง ยังจะเถียงอีกนะฮะๆๆ”
     
                    ว่าพลางตบไหล่ประธานนักเรียนคนงามอย่างปลอบใจและหยักยิ้มกวนๆ ให้ ก่อนจะดูพระอาทิตย์ต่อ กระทั่งที่รู้สึกถึงมือถือในกระเป๋ากางเกงกำลังสั่นอยู่ แต่พอควักออกมาได้ปลายสายก็วางหูไปแล้ว.....มิสคอลจากซาคิโตะ เกือบยี่สิบสายโชว์ให้เห็นบนการแจ้งเตือนจนต้องลุกขึ้นเดินออกมาอีกทางและกดโทรกลับไปหารุ่นน้องของตน
     
                    “อะไรของมันวะ? โทรกลับก็ไม่ได้ติดอีก”
    (*ถ้าโทรหากันและกันในเวลาเดียวกันจะโทรไม่ติดและจะมีแมสเสจแจ้งเตือนมิสคอลปรากฏในภายหลัง)
     
    นัทสึกิพยายามกดโทรออกหาซาคิโตะอีกครั้งพร้อมหันกลับไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ที่เดิมตรงนั้นเป็นระยะ ร่างบางกำลังนั่งเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดมองตาเขียวปัดมายังเขา เขาจึงส่งจูบให้หนึ่งทีพร้อมทำปากพะงาบไม่ออกเสียงว่า “พิการ” อย่างล้อเลียน ยังผลให้ฝ่ายนั้นหน้าเปลี่ยนสีคล้ายจะแดงจัดด้วยความโกรธก่อนใช้มือขวาหยิบปากกาที่อกเสื้อตัวเองออกมาลากๆๆๆ ลงในกระดาษ ซึ่งนั่นสร้างความแปลกใจให้กับนัทสึกิเป็นอย่างมาก
     
    ติ๊ดๆ
    ติ๊ดๆ
    เสียงร้องเตือนแมสเสจเข้าดังขึ้นหลายครั้งติดต่อกัน แต่นัทสึกิรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า เขามองดูซึทนะที่ก้มหน้าก้มตาขีดๆ เขียนๆ อะไรสักอย่างบนสมุดที่หน้าตักตัวเอง นัทสึกิก้มเช็คแมสเสจข้อความล่าสุดที่ส่งมาหาเขาจากซาคิโตะ....พร้อมเงยหน้าขึ้นมองดูคนผมยาวหน้าหงิกง้ำนั้นยกสมุดขึ้นโชว์สิ่งที่ตนขีดๆ เขียนๆ อยู่เมื่อครู่
     
    ‘ประธานซึทนะเขียนหนังสือได้ทั้งสองข้างซ้าย-ขวา’
     
    ‘ฉันไม่ได้พิการ นายต่างหากที่พิการ(ทางสมอง)’
     
     
    แมสเสจทั้งสองทางถูกส่งเข้ามาประดังในสมองแทบจะพร้อมๆ กัน นัทสึกิแทบจะทิ้งมือถือในมือก่อนถลาปรี่เข้าคว้ามือซึทนะไว้จนทำให้ร่างบางนั้นค่อนข้างตกใจอยู่ไม่น้อย
     
    “นายเขียนมือขวาได้”
    “อ....ก็...อือ ตกใจล่ะสิ อย่ามาว่าฉันพิการอีกเข้าใจมั้ย”
     
    คำตอบชัดเจนแจ่มชัดที่สุดพุ่งเข้ามายังโสตประสาทรับรู้ได้ยิน พาให้ขนลุกเกลียวไปหมดทั้งร่าง นัทสึกิบีบกระชับข้อมือนั้นไว้แน่นจนเกือบจะทำให้อีกฝ่ายร้องท้วงติง เขาคว้าสมุดมาอ่านข้อความนั้นอีกครั้งและอีกครั้ง พยายามอ่านซ้ำไปซ้ำมาในทุกๆ ตัวอักษรโดยแทบจะลืมหายใจ ลายเส้นทุกลายเส้นจากสมุดบันทึกเล่มเล็กที่ชินยะเก็บได้เมื่อตอนงานแข่งประเพณี ไม่มีคืนไหนที่เขาจะไม่หยิบมันขึ้นมาเปิดดู เขาจำลายมือเหล่านั้นได้จนขึ้นใจ ยิ่งกว่าท่องตำราหนังสือเรียนเสียอีก
     
    นัทสึกิจ้องหน้าซึทนะที่ตอนนี้ก็มองกลับมาระคนสงสัยเช่นกัน ว่าทำไมจู่ๆ คนที่กวนโมโหกันอยู่เมื่อครู่ถึงได้เปลี่ยนไป มือหยาบกระด้างที่จับข้อมือเขาไว้สั่นไหวเล็กน้อยพอให้รู้สึกได้ แต่ดวงตาที่เป็นประกายคล้ายเจอของที่ถูกใจนี่สิ? มันคืออะไรกันนะ
     
    “เจอตัวจนได้ S.SIN”
     
    สิ้นคำของนัทสึกินัยน์ตาคู่สวยของซึทนะก็เบิกกว้างด้วยอาการตกตื่น ผิดกับนัทสึกิที่ระบายยิ้มระรื่นอย่างเบิกบานใจ
     
    to be con.....
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×