ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT 2JAE - jeabeom x youngjae

    ลำดับตอนที่ #56 : Little prince and the Huntsman #midnight2jae [END]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.19K
      14
      29 มี.ค. 59



    Little prince and the Huntsman

    Timing : after the sunset

    Genre : Disney Horror


    _____________




     “ข้าบอกเจ้าไปแล้ว! เมื่อไรจะปล่อยซักที!!” 

    เด็กหนุ่มแก้มกลมตะโกนสุดเสียง เขาหอบหายใจหนักเพราะความเหนื่อยอ่อน ปากอิ่มสีหวานแดงช้ำ เจ้าตัวเอาแต่กดเม้มมันทุกครั้งที่รู้สึกไม่สบอารมณ์


    ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งง่วง แถมความโมโหยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ 


    “ย๊าา! เจ้าบ้า! ข้าบอกให้ปล่อยไงเล่า!!” 

    ใบหน้าร้อนระอุ เหงือไหลไปตามแนวกรามสวยก่อนจะกลิ้งหยดลงมาบริเวณหางคิ้วพอดี..


    “ถ้าเจ้าพูดความจริง ข้าจะปล่อยเจ้าไป”  

    เขาพยายามขยับตัวหันไปมองตามที่เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น แต่ในสถานการณ์ตอนนี้แค่บังคับคอตัวเองยังเป็นเรื่องยาก แม้จะพอรู้ว่าบุคคลปริศนานั่งเยื้องจากเขาไปไม่ไกล เอี้ยวมองจนคอแทบเคล็ดยังไงก็เห็นแค่ซีกหน้าคมและไฝบริเวณเปลือกตาสองจุดของอีกคนเท่านั้น


    “ก็บอกว่าเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาๆ เจ้าฟังไม่รู้เรื่องหรอ!”

    “ไม่มีใครอยู่แถวนี้นอกจากข้า”


    “..ก..ก็ หมู่บ้านข้างๆ เจ้าไม่เคยไปแน่” 

    “งั้นหรอ? แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม” 


    “หนีออกจากบ้าน”

    “หนี? หนีเพื่ออะไร”

    “โดนพ่อแม่ใช้งานหนักเกินไปน่ะสิ!” 

    “...หึ” 


    คำแก้ตัวทำให้คนตัวโตหลุดหัวเราะ เขายันตัวเองขึ้น เดินมาประจันหน้ากับอีกคนตรงๆ ไล้สายตามองใบหน้าหวานอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดวงตาเรียวเล็ก จมูกรั้น กลีบปากแดงฉ่ำไม่แห้งกร้านเหมือนเขา ผิวเนียนใสถึงจะมีคราบฝุ่นดำตามตัว แต่กลิ่นกายกลับบริสุทธิ์เสมือนว่าทั้งชีวิตไม่เคยแตะต้องสิ่งสกปรก


    เหงื่อเม็ดเล็กบนตัวเจ้าเด็กนี่อาจจะสะอาดกว่าน้ำที่เขาใช้ดื่มกินซะอีก.. 

    กระทั่งลมหายใจยังหอม.. 


    “ถ..ถอยไปได้แล้ว!”  

    แม้ว่าร่างบางจะไม่ต้องฝืนร่างกายเพื่อหันมองอีกคน แต่เจ้าตัวเดินมาใกล้เกินไป พอได้เห็นในระยะประชิดกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก 


    กล้าจ้องหน้าชเวยองแจว่าที่กษัตริย์คนต่อไปของเมืองนี้ได้ยังไงกัน.. 


    “พ่อแม่คงใช้เจ้านั่งหายใจอยู่เฉยๆทั้งวัน คงเหนื่อยมากสินะ..”

    “......”


    คนตัวเล็กเงียบ..

    เสมองไปทางอื่น ฮึดฮัดสะบัดตัวไปมาเพื่ออาศัยแรงเหวี่ยงให้เคลื่อนไหวได้บ้าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาร่างเล็กแทบจะอ้วกออกมา ภาพที่เห็นหมุนตามแรงเหวี่ยงเป็นวงกลม หันกลับมาอีกทีคนตรงหน้าก็ทำท่าจะทิ้งเขาไปซะแล้ว


    “นี่จะไปไหน! เจ้าปล่อยข้าไว้แบบนี้ไม่ได้นะ!”

    “หาทางเองแล้วกัน ตอนมายังมาได้”


    “จะบ้าหรอ ห้อยหัวอยู่แบบนี้ใครจะไปทำอะไรได้!”

    “ใครสน”


    หน๋อย อย่าให้หลุดไปได้นะ จะให้ท่านพ่อจับเจ้าบ้านั้นมาตัดคอประจานแล้วเสียบไว้ที่ประตูเมืองซะให้เข็ด


    “เออ ไปเลย! เช้าเมื่อไรจะมีคนตามหาข้าเจอ ถึงตอนนั้นเจ้าไม่ตายดีแน่!” 

    “.......”


    ได้ผล..

    คำขู่ทำแผ่นหลังหนาหยุดกึก 

    กลัวแล้วละสิ ให้รู้ซะบ้าง บังอาจทำร้ายลูกชายคนเดียวของกษัตริย์จะเป็นยังไง


    “เช้างั้นหรอ..”

    “ใช่ อีกไม่นานเกินรอหรอก”


    “ถ้าเจ้าเป็นคนแถวนี้อย่างที่ว่าจริง เจ้าจะรู้ว่าที่นี่..ไม่เคยเช้า”

    “ว..ว่าไงนะ...”


    “ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า เมฆดำปกคลุมไปทั่ว แสงแดดส่องลงมาไม่ถึงข้างล่าง ถ้าโชคดีฟ้าเปิด นานๆทีจะได้เห็นแสงอาทิตย์ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเจ้า อันตรายทั้งนั้น”

    “ม..ไม่เห็นว่าจะเป็นแบบนั้น อย่ามาหลอกกันซะให้ยาก” 


    “ถ้าให้เดา เจ้าคงหนีออกจากบ้านมาตอนกลางคืน เดินทางมาถึงชานเมืองก็เกือบเช้า เท่ากับว่าเจ้าเข้าป่ามาตอนที่พระอาทิตย์อยู่ตรงหัว เจ้าจะไม่เจออะไรก็ไม่แปลก”

    “เจ้ากำลังบอกว่าตอนนี้ไม่ใช่กลางคืนงั้นหรอ..”

     

    “แนะนำนะ นอนที่นี่ให้พ้นคืนแล้วกลับไปทางเดิมซะ” 

    “นี่! แล้วจะทิ้งข้าไว้แบบนี้จริงๆรึไง!” 

    “เรื่องของเจ้า”

    “ข้าเป็นถึงเจ้าชายของเมืองนะ จะทิ้งข้าไม่ได้!” 

    “…ถ้าเจ้าเป็นเจ้าชายได้ ข้าก็เป็นราชาได้เหมือนกันละ”

    “ข้าพูดจริงนะ!”

    “สรุปว่าเจ้าเป็นลูกชาวบ้านแถวนี้หรือเป็นลูกชายราชาเมืองกันแน่”

    “เป็นคนที่สั่งประหารชีวิตเจ้าได้ ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้”

    ร่างเล็กเหนื่อยจะเถียงเต็มทน เกือบหนึ่งชั่วโมงที่ห้อยโตงเตงเพราะกับดักพรานป่างี่เง่า หนำซ้ำยังต้องประทะคารมกับคนแปลกหน้าร่วมหลายนาที พอยอมบอกความจริงไปก็ยังจะตั้งท่าจะมีปัญหาอีก แบบนี้เขาก็ไม่รู้จะสนทนากับพรานคนนี้ได้ยังไงแล้ว 


    “ถ้าเป็นถึงเจ้าชาย ทำไมต้องหนีจากชีวิตสุขสบายในราชวังด้วยละ”

    “ก็มันน่าเบื่อ! เจ้าไม่เข้าใจหรอก”

    แน่นอน นอกจากเจ้าชายแล้ว จะมีใครเข้าใจชีวิตในราชาวังได้ยังไง


    “เหตุผลเด็กน้อยสิ้นดี”

    “ข้าบอกแล้วก็ปล่อยซักทีสิ”

    “..ช่วยเพราะรำคาญเสียงโวยวายหรอกนะ” 

    คนตัวเล็กชักสีหน้าแทนคำขอบคุณ ช่วยหรอ..เป็นคนทำให้เขาตกอยู่ในสภาพแบบนี้แท้ๆ มันคือความรับผิดชอบต่างหาก และถ้าม้าคู่ใจไม่เตลิดหนีไปก่อน คงไม่ต้องหวังพึ่งคนแบบนี้หรอก


    เชือกถูกแก้มัดจนปลายอีกด้านหนึ่งเลื่อนต่ำลงมา เป็นผลให้ชเวยองแจสัมผัสพื้นดินได้ซักที เขารีบดึงเชือกน่ารังเกียจออกไปให้พ้นตัว ลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบากเพราะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปหมด


    “เมื่อยชะมัด..”

    “หมดเรื่องของข้าแล้ว หวังว่าจะไม่เจอกันอีก”

    “เห้ย เดี๋ยวๆๆ” 

    ร่างเล็กพรวดเข้าไปรั้งแขนแกร่งเอาไว้ 


    “อะไร” 

    “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย แล้วห้ามทิ้งข้าด้วย” 

    “คำถามอะไร?”

    “เรื่องที่..ตอนนี้ไม่ใช่ตอนกลางคืนอย่างที่เจ้าว่า จริงรึเปล่า..”

    เอ่ยถามออกไปเสียงเบา เขาเองไม่แน่ใจนักว่าคนตรงหน้าพูดเรื่องจริง แต่ตามความรู้สึกมันควรจะเช้าตั้งนานแล้ว บัดนี้กลับมืดมิดไร้แสงสว่างจนกลัวว่าจะเป็นตามที่พูด 

     

    “เจ้าคิดว่าเจ้าออกจากบ้านมาครบยี่สิบสี่ชั่วโมงรึยังละ”

    การเดินทางยาวนานจนร่างกายอ่อนแรง ความง่วงและความหิวเริ่มประท้วงเพราะไม่ได้พักเป็นเวลานานเกินไป อย่างน้อยน่าจะเกินสิบสองชั่วโมงแน่ๆ เท่ากับว่าคนตัวโตไม่ได้โกหกน่ะสิ..


    “ล..แล้วเจ้าเป็นใคร เป็นคนรึเปล่า ทำไมถึง..”

    “ข้าไม่จำเป็นต้องบอก เราแยกกันตรงนี้”

    “ได้ยังไง เจ้าต้องช่วยข้านะ!”

    “เหตุผล?”

    “เพราะข้าเป็นเจ้าชาย องค์ชายชเวยองแจ ส่วนเจ้าเป็นแค่พรานป่า” 

    รูปลักษณ์ภายนอกทำให้ยองแจตัดสินไปแบบนั้น แต่งตัวมิดชิด เสื้อผ้าทำจากหนัง รองเท้าบูทยาวสีเข้ม แถมยังสะพายอาวุธ 


    “พรานป่า? เจ้าชาย..คนส่วนมากที่นี่หยาบช้าล้วนเป็นพวกไพรบ้าตัณหา โลภมาก ก่อความวุ่นวายทั้งเล็กและใหญ่ไม่จบไม่สิ้นจึงถูกส่งมา หรือท่านจะเรียกป่าแห่งนี้ว่าคุกก็ได้.. ยังอยากไปกับข้าอยู่ไหม”

    “งั้นเจ้าก็เป็นโจร..”


    พรานป่าแค่นหัวเราะพลางคว้าเอาผ้าคลุมราคาแพงบนพื้นโยนให้เจ้าของก่อนออกเดินเป็นการตัดบท การบอกชื่อคงไม่เกิดผลประโยชน์อะไร ‘อิมแจบอม’คิดแบบนั้น


    “ถ้าจะตามข้ามา เราต้องไปตั้งแต่ตอนนี้”



    _____________




    “เหนื่อยแล้ว เราหยุดพักก่อนได้ไหม”

    “ถ้าอยากจะตายอยู่กลางป่า ก็เชิญ”

    “ก็ไม่เห็นต้องรีบเดินขนาดนี้เลยนี่” 

    “เดี๋ยวก็รู้..” 

    จมูกรั้นพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะทำปากขมุบขมิบเลียนแบบคนข้างหน้า 

    จะต้องเดินไปอีกนานแค่ไหน แค่นี้ก็ข้ามป่ามาหลายร้อยกิโลเมตรแล้วมั้ง เกิดมาทั้งชีวิตยังไม่เคยเดินเยอะขนาดนี้มาก่อน หนำซ้ำยังเป็นการเดินในป่ามืดๆ หาแสงสว่างอะไรไม่ได้นอกจากเปลวไฟเล็กจากคบเพลิง


    “พักซักห้านาทีคงไม่—”

    “ชู่ว..”

    มือหนายกขึ้นมาเป็นเชิงปราม เขาเบาฝีเท้าลงพลางกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ


    “อะไร..”

    “ทีนี้เจ้าจะได้รู้ไงว่าถ้าไม่รีบเดินจะเจอกับอะไร”

    สายตาตำหนิมองไปที่ร่างเล็กราวกับว่าเขาเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องอะไรบางอย่าง ข้อมือบางถูกฉุดให้ออกเดินต่อ แต่คราวนี้ต้องเร่งความเร็วให้มากกว่าเป็นสองเท่า แทรกตัวฝ่ากิ่งไม้ใบหญ้าโดยที่แทบจะไม่ได้มองทาง เหยียบอะไรต่อมิอะไรไปจนรู้สึกแสบไปหมด 


    “ช้าหน่อยจะได้ไหม” 

    เขาพยายามเดินตามให้ทัน ร่างสูงไม่ได้ตอบรับคำขอแต่ออกปากสั่งเสียงเข้ม 

    “เอาผ้าคลุมปิดจมูกไว้” 


    ไม่รู้ว่าเจ้าพรานนี่ได้ยินเรื่องที่เขาพูดรึเปล่า ยองแจถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ดีแต่สั่งแต่กลับไม่สนใจเขาสักนิด ทว่าอยู่ๆ อุณหภูมิเย็นเยือกขึ้นกระทันหัน มือเท้าเย็นเฉียบไร้เรียวแรงฉับพลันราวกับถูกฝั่งในหมอกน้ำแข็ง ลมหายใจติดขัดจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น 


    คนตัวโตหันมาเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ 

    ร่างเล็กไม่ได้ทำตามที่เขาบอก.. 


    “ข้าบอกให้ปิดจมูกเอาไว้ไง”

    เสียงทุ้มฟังดูอู้อี้สำหรับยองแจ ภาพตรงหน้าเลือนลาง แต่ยังพอมองเห็นกลุ่มหมอกควันสีดำที่ใกล้เข้ามาก่อนที่สติเขาจะดับมืดลง



    _____________




    “อืมม..” 

    ยองแจค่อยๆลืมตาขึ้น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่นเพราะความรู้สึกพะอืดพะอม ภาพแรกที่เห็นคือกองไฟและเงาตะคุ่มๆของใครคนหนึ่งหลังกองไฟนั่น และสัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังมองมา


    “เอานี่ไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวซะ” 

    อิมแจบอมโยนเศษผ้ามาให้ในขณะที่เขานั่งอยู่อีกฝากต้องรีบคว้าเอาไว้ ความชื้นจากผืนผ้าสร้างความเย็นให้มากกว่าเดิม เข้าใจว่าคงเป็นผ้าชุบน้ำให้รู้สึกดีขึ้น 


    ตามจริงอิมแจบอมจะเช็ดตัวให้ก่อนที่ยองแจจะตื่นก็ได้ แต่กลัวว่ามือเปื้อนฝุ่นดินของเขาจะทำให้ยองแจสกปรกตามไปด้วย ที่สำคัญกลัวจะออกแรงกับเจ้าตัวมากไปจนแก้มใสๆนั่นช้ำไปซะก่อน


    “เมื่อกี้..มันอะไร”

    เสียงแหบแห้งเอ่ยถามพลางค่อยๆชันตัวนั่ง ยังคงมีอาการปวดนึบเหมือนถูกบีบศรีษะอยู่ตลอดเวลา


    “หลังพระอาทิตย์ตกดิน ก็เป็นแบบนี้แหละ”


    “หลังพระอาทิตย์ตกดินหรอ..”

    อิมแจบอมสบตาเพียงชั่วครู่ให้เป็นคำตอบ ก่อนจะออกปากอธิบาย


    “ผืนป่าทุกแห่งล้วนมีชีวิต หินทุกกอง ต้นไม้ทุกต้น สัตว์ทุกตัว มีชื่อมีชีวิตแทบทุกอย่าง..”

    หรือแม้แต่สายลม.. เสียงทำนองร้องก้อง คำรามน่ากลัวยามเมื่อมันไม่ได้ดังใจ เบาหวิวระงมวังเวงยามเมื่อมันหวาดกลัว 

    ร่างเล็กกระชับกอดตัวเองแน่น  นึกหวาดผวาในใจเมื่อเห็นแววตาลึกล้ำสงบนิ่งจากคนตรงหน้า


    “ที่นี่เป็นป่าต้องห้าม..” 

    ตอบพร้อมยื่นกระบอกน้ำให้ ดวงตาเล็กมองมันเพียงชั่วครู่ก่อนจะรับมาดื่มโดยไม่ลังเล เขากระหายน้ำมาเกือบครึ่งวันได้ 


    ริมฝีปากสีโอรสจรดเข้ากับปากกระบอก ร่างสูงเผลอจ้องอย่างลืมตัว น่ามองราวกับภาพวาดราคาแพงที่เขาไม่มีวันได้เห็น ดูเหมือนว่ารอบกายถูกฉาบไปด้วยความขุ่นมัว มีเพียงคนตรงหน้าเท่านั้นที่มีสีแดงสดแต่งแต้ม


    พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก..


    “..โทษนะ ข้าดื่มหมดเลย” 

    ยองแจวางกระบอกน้ำไว้ให้ใกล้ๆทำอิมแจบอมต้องละสายตาออกจากกลีบปากสีหวาน เขาพยักหน้ารับเล็กน้อยพลางหันไปใส่ฟืนเพิ่มในกองไฟตามเดิม 


    อากาศในนี้เย็น แต่ก็อุ่นกว่าข้างนอก ร่างบางกวาดสายตามองก็พบว่าเขาอยู่ในถ้ำเล็กๆ ข้าวของอุปกรณ์วางเต็มบนโต๊ะที่ถูกทำขึ้นง่ายๆ ห่างออกไปมีเพียงความว่างเปล่าและเงามืด


    “เจ้าอยู่ที่นี่หรอ”

    “ชั่วคราว”

    “คนเดียว?” 

    “อืม” 


    “เจ้าอยู่ได้ยังไง..”

    “แค่..จำเป็นต้องอยู่ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก”

    “ในที่น่ากลัวแบบนี้น่ะหรอ..”

    ชเวยองแจไม่เข้าใจท่าทีของแจบอม สีหน้าไม่มีความหวาดกลัวอยู่แม้แต่น้อย เสี้ยวหน้าคมสะท้อนแสงไฟไหววูบไปมา ยิ่งทำให้เขานึกแปลกใจไปมากกว่าเดิม เหตุใดจึงนิ่งสงบได้ถึงเพียงนี้ 


    “ตอนกลางวันก็ไม่ต่างจากป่าทั่วๆไปนักหรอก”

    “แต่ตอนกลางคืนมัน..น่ากลัว แถมยังอยู่คนเดียว..”

    “ข้ามีเพื่อนเป็นพวกสัตว์กินพืชแถวฝั่งตะวันตก พอกลางคืนมาถึง..ก็แค่ต้องรีบเข้านอน”

    ถึงเจ้าตัวจะพูดราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องยาก แต่วูบหนึ่งประกายในแววตาคมไม่ได้แสดงออกแบบนั้น เขาต้องอยู่อย่างยากลำบากในทุกวัน ได้กลิ่นสัตว์ร้ายในอากาศ ความมืดคลืบคลานสู่พงไพรบนพื้นโลก ใบไม้และยอดหญ้าสูงชัน เสียดสีหยอกล้อกลายเป็นเสียงกระซิบถึงภัยที่มองไม่เห็น 


    จากที่คิดแปลกใจกับความกล้าหาญในตอนแรก ตอนนี้ยองแจรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอ..

    ถึงจะน่าเกรงขามแต่ก็น่าสงสารในขณะเดียวกัน


    “เจ้าเป็นถึงนายพราน แต่มีเพื่อนเป็นสัตว์เนี่ยนะ” 

    เสียงหวานแกล้งพูดติดตลกให้บรรยกาศดีขึ้น 


    “เชื่อด้วยรึไง”

    “หมายความว่าไง” 

    “เจ้าเชื่อคำพูดของคนแปลกหน้าทุกคนเลยรึไง” 

    “......” 


    “บางทีข้าอาจจะไม่ใช่คน” 

    “......”


    “หรืออาจจะเป็นหมาป่า”

    “......”

    “หรือไม่ก็พวกโรคจิตจอมหิวโหย”


    “ห..หยุดนะ” 

    อะไรกัน? จู่ๆก็พูดแบบนี้ หากคนตรงหน้าเป็นอย่างที่พูดมาทั้งหมดจะทำยังไง 


    “หลอกง่ายซะจริง”

    “สรุปเจ้าเป็นใครกันแน่” 

    “เจ้าชายอยากให้เป็นอะไร ข้าเป็นตามบัญชาท่านได้ทั้งนั้น” 

    อิมแจบอมลุกขึ้นตอบ พลางจองหน้าเจ้าชายด้วยสายตาหยอกเย้า 


    “อย่ามาเล่นลิ้นกับข้านะ” 

    เห็นแบบนั้นยองแจเลยลุกขึ้นบ้าง ท่าทางไม่น่าไว้ใจ และถ้าหากเป็นโจรจริงๆเขาจะได้วิ่งหนีได้ทัน


    “ทำไมละ.. ในเมื่อพ่อของท่านเป็นคนกำหนดวรรณะคนทั้งเมืองอยู่แล้ว ท่านเองก็คงไม่ต่างกันนัก“ 

    ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปหา ฝ่ามือหยาบกร้านวางท้าวกับผนังถ้ำ ก่อนจะโน้มตัวตามลงไปพิจรณาใบหน้าเนียนใกล้ๆ ชเวยองแจมีสีหน้าตื่นตระหนก เบียดตัวชิดผนังมองดูปากหยักยกยิ้มด้วยความหวาดระแวง 


    “ก..โกรธแค้นอะไรพ่อข้า..” 

    แจบอมคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสดี มีไม่มากนักที่จะได้อยู่กับลูกชายราชาเมืองสองต่อสอง กษัตริย์ที่ตัดสินโทษพ่อเขาโดยไร้ซึ่งความยุติธรรม ในตอนนั้นแจบอมอายุไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ เขาแอบตามผู้เป็นพ่อเข้ามาในป่าต้องห้ามหวังตามหาเพราะเขาไม่เหลือใคร แต่มันก็สายเกินไป..


    “พ่อของท่านน่ะหรอ..หึ”

    “ถอยไปนะ..” 

    ดวงหน้าขาวสั่นระริก น้ำเสียงพรานป่าจ้องอาฆาตหมายจะล้างแค้น ชเวยองแจคิดว่าคืนนี้เขาคงถูกขวานเหล็กฟาดฟันไม่ต่างจากสัตว์สี่ขาเป็นแน่ 


    ดวงตาคมหรี่มลงพิจารณาใบหน้าเจ้าชาย วาดฝันเห็นกษัตริย์ตรอมใจอย่างทรมานเหมือนที่เขาเคยโดยกระทำ


    ทว่า..


    ยิ่งจ้องมอง ยิ่งขัดแย้งในใจ

    กลิ่นหอมเย้ายวนราวกับดอกไม้ กลีบปากแดงเชื้อเชิญเสมือนเวทมนต์สะกด เขากำลังคุมขัง ไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกต่อไป สองสายตาประสานกันชั่วครู่แต่กลับเป็นดังสายสัมพันธ์เกี่ยวรั้งให้ขยับเข้าหากัน 


    ภาพตรงหน้าสว่างไสวในความมืด..


    นี่มันอะไร.. 


    ร่างเล็กเม้มปากแน่น จากความหวาดกลัว แปรเปลี่ยนเป็นความประม่า เขารู้สึกว่ามันใกล้เกินไป ใกล้จนมองเข้าไปในดวงตาเรียวคมนั้นได้ชัดเจน แววตาน่าลุ่มหลงและอ่อนโยน ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจกันและกัน ใกล้จนรู้สึกว่าพรานป่าคนนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด 


    ระยะทางระหว่างกันสั้นลงเรื่อยๆ 


    สันจมูกโด่งขยับเข้าไปคลอเคลียแก้มเนียน สูดเอาความหอมที่เขาไม่เคยได้สัมผัส 


    อิมแจบอมเชยคางเรียวให้เชิดขึ้น เกลี่ยริมฝีปากอิ่มแผ่วเบา ก่อนจะหยอกเย้าปลายลิ้นฉ่ำ เสียงหายใจหอบหนักจากคนตัวเล็กทำให้เขาตัดสินใจส่งเรียวลิ้นเข้าไปแตะสัมผัสมัน 


    หวาน.. 

    หวานกว่าผลไม้ที่สุกงอมจนได้ที่ 


    พนันได้เลยว่าเขาไม่เคยเจอรสชาติเริศรสแบบนี้มาก่อน หรือถ้าหากมันเป็นสิ่งล้ำค่าที่ไม่อาจพบเจอได้ง่ายๆ ใครต่อใครคงสละชีวิตเพื่อแย่งชิงให้ได้มา


    อิมแจบอมกดจูบอ้อยอิ่ง ขบเม้มกลีบปากบางไม่ห่าง


    ยองแจถูกดึงความสามารถในการทรงตัวออกไปจนหมด ร่างกายหนาทาบทับตัวเขาติดกับผืนผนังเย็บเฉียบ เขาเหมือนกำลังจะหมดลมหายใจ... 


    กล้ามเนื้อหยุ่นซุกซน ดุนดึงย้ำๆราวกับจะยึดความหอมหวานนี้ไปเป็นของตัวเอง


    ภายในถ้ำดำมิดแต่แสนโรแมนติก ทุกแห่งดูสวยงามในชั่วพริบตาทั้งๆที่พึ่งได้เจอกันไม่นาน 

    วิเศษกว่าคราวที่เขาได้เห็นแสงอาทิตย์ซะอีก  


    แจบอมอาจเป็นหมาป่าแบบที่เจ้าตัวพูดไว้ หมาป่าผู้หิวโหยเฝ้ารอเหยื่อเป็นเวลาแรมปี และเมื่อมันได้ลิ้มรสสมดั่งใจจึงไม่สามารถถอยห่างจากของขวัญชิ้นนี้ได้แม้แต่วินาทีเดียว 

     

    แต่ในขณะเดียวกัน

    หยาดน้ำตาหยาดเล็กทำเขาชะงัก.. ถอนจูบเพียงเพราะสัมผัสเปียกชื้นข้างแก้ม


    ใบหน้าเรียวบัดนี้ขึ้นสีระเรื่อ ปากอิ่มแดงช้ำ แววตาหลุบมองต่ำ


    “..เจ็บหรอ” 

    ร่างบางส่ายหน้า.. ยองแจเองก็ไม่รู้ว่าเขาร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไร เพียงแต่เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกเหมือนตัวเองล่องลอยไปไกลแสนไกล 


    แจบอมผละออกจากคนตัวเล็กก่อนจะทรุดลงนั่งอีกฝากหนึ่ง พร้อมกับกักเก็บความจริงไว้บางอย่าง

    ความหยิ่งทะนงที่เขานั้นมีอยู่ ไม่คิดให้ใครเข้าใจ 


    “พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปส่งเจ้าที่ชายป่า”

    “.......”

    “หลังจากนั้นเจ้าต้องกลับไปที่เมืองด้วยตัวเอง”

    “.......”

    “อยู่กับข้าไม่ปลอดภัย” 


    “...เจ้าไม่ได้ทำให้ข้า..กลัวซะหน่อย” 

    ยองแจลูบแขนตัวเองเล็กน้อยเพราะความหนาว หรือบางทีอาจจะเพราะความประม่า.. เมื่อตั้งสติได้จึงขยับตัวเข้าไปนั่งข้างๆกองไฟ ตรงข้ามกับที่แจบอมนั่ง เขาแทบไม่กล้าเงยหน้าสบตากับอีกคน


    แต่ร่างสูงกลับลุกขึ้นพรวด ออกคำสั่งกับเจ้าชายเสียงเข้ม 


    “ข้าจะไปเอาฟืนมาเพิ่ม อย่าไปไหนเด็ดขาด” 

    ไม่รู้ว่าตายองแจพล่ามัวไปเองรึเปล่า เขาเห็นเรียวตาคมฉายแววแปลกๆ ไม่ดุดันเหมือนเคย 


    แผ่นหลังเดินออกไปจนลับสายตา พยายามเพ่งมองเท่าไรก็ไม่เห็นเงาสูงๆนั้นแล้ว ยองแจมองไปรอบๆพลางหันกลับมาสนใจกองไฟ นิ้วเรียวแตะปากตัวเองเบาๆ นึกถึงสัมผัสรุ่มร้อนไม่ต่างจากเปลวไฟเมื่อกี้ 


    ถ้าเจ้านั่นทำอีกเขาคงให้ท่านพ่อตัดหัวแล้วเสียบประจานที่ประตูเมืองจริงๆ โทษฐานทำหัวใจเขาเต้นผิดปกติ จนบัดนี้มันยังเต้นรัวส่งเสียงดังน่ารำคาญอยู่เลย... 


    ยองแจกระชับผ้าคลุมแน่น ลมหนาวพัดผ่านไปหลายครั้งจนความร้อนจากกองไฟก็เอาไม่อยู่


    “อากาศจะหนาวขึ้นเป็นพิเศษ เราต้องพักอยู่ในนี้จนกว่าจะเช้า”

    แจบอมกลับเข้ามาพร้อมฝืนจำนวนหนึ่ง เขาเติมลงไปจนกองไฟมีขนาดใหญ่ขึ้น ความเงียบเข้าปกคลุมมีเพียงเสียงประทุของกิ่งไม้เล็กๆ ขยับไปนั่งอิงผนังเมื่อแน่ใจว่ามันจะให้ความอบอุ่นได้ตลอดทั้งคืน 

    แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ช่วยให้ร่างเล็กอุ่นขึ้นมากนัก ยองแจยังคงกอดตัวเอง ต่างจากแจบอมที่มีท่าทีสบายๆ


    “ไม่หนาวหรอ”

    “..ชินแล้ว” 

    “.......” 

    “ถ้าหนาวก็ขยับมานั่งตรงนี้ก็ได้ ข้า...จะนั่งเฉยๆ” 

    ร่างสูงเสนอที่นั่งข้างๆ ยองแจมองอีกคนอย่างชั่งใจ ไม่ใช่ว่าเขากลัวว่าแจบอมจะทำอะไรอีก แต่คิดว่าหัวใจเขาคงส่งเสียงน่ารำคาญอีกแน่ถ้าไปอยู่ใกล้ๆ เจ้าหัวใจคงไม่ชอบแจบอมเท่าไร.. 


    และเพียงลมหนาวพัดมาโอบล้อมรอบตัวเข้าอีกครั้ง ทำยองแจตัดสินใจขยับไปหาอีกคนทันที 


    คนตัวโตนั่งหลับตานิ่งเหมือนที่สัญญาไว้ ถึงจะนั่งข้างกันแต่ก็ยังคงหนาวอยู่ดี ยองแจขยับเข้าไปอีก นั่งนิ่งไม่ไหวติงเผื่อว่ามันจะช่วยได้บ้างเหมือนที่แจบอมทำ พยายามอยู่หลายนาทีแต่ก็ไม่ดีขึ้น ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปยองแจคงไม่ได้นอนทั้งคืนแน่ 

    หรือต้องขยับเข้าไปอีก.. 


    คิดได้แบบนั้นก็ลองขยับเข้าไปหาทีละนิดช้าๆเพราะกลัวอีกคนตื่น 


    ทำไมพรานป่าถึงไม่สะทกสะท้านกับลมหนาวเลยนะ.. 

    ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองอย่างนึกอิจฉา 


    “ถ้าหนาวมากก็มานี่” 

    “อ้ะ..” 


    ฉับพลัน 

    ยองแจถูกรั้งเอวบางไปนั่งติดกันจนเกือบจะเกยบนตัก แจบอมถอดผ้าคลุมออก เอามาคลุมตัวเขาไว้ทั้งคู่


    แบบนี้มันใกล้ไปไหม.. 

    เจ้าหัวใจต้องไม่ชอบแน่ๆ 


    “อุ่นขึ้นไหม” 

    “...ก็..อืม” 


    ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุ่นขึ้นเยอะ แต่ว่า หัวใจเขามันเริ่มประท้วงอีกแล้ว ได้ยินมันเต้นตึกตักชัดเจน ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกดี.. ดีกว่าที่เคยเพ้อฝันไว้ซะอีก


    คงเป็นความร้ายกาจของป่าต้องห้ามแน่ๆ ทำเขาปั่นป่วนไปหมด..


    ทั้งคู่คล้อยหลับไปพร้อมกับอ้อมกอด พวกเขาฝันถึงกันและกัน แม้แต่พรานป่าผู้ไม่เคยพบเจอฝันดี วันนี้เขาได้รับมันเพียงเพราะความใกล้ชิดในระยะเวลาสั้นๆ ดั่งโลกมืดมิดลบเลือนคล้อยเคลื่อนไป อ้อมกอดนำความอบอุ่นเกินขึ้น ป่าแห่งนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แสงประกายสดใสจากรอยยิ้ม หมอกควันพลันหายลับสายตา  


    _____________



    เวลาผ่านไป แจบอมรู้สึกตัวตื่นกลางดึก ได้ยินเสียงหวานใสจากคนในอ้อมอก ยองแจยังคงนอนซบลาดไหล่หนาเพื่อความอบอุ่น


    ในขณะเดียวกันยองแจกำลังร้องเพลง.. 

    เขาแทบจะจินตนาการถึงเสียงเพลงไม่ได้แล้ว ครั้งสุดท้ายที่เคยฟังก็เมื่อประมานสิบปีก่อน หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ยินอะไรที่ไพเราะเสนาะหูอีกเลย จนมาวันนี้


    ทว่า..ภายใต้เรื่องราวจากปากบางกลับมีเสียงของความโกรธแค้นดังแว่วเขามา 


    “ยองแจ..เราต้องไปกันแล้ว..!”

    ร่างเล็กสะดุ้ง ไม่ทันรู้ตัวว่าแจบอมตื่นขึ้นมาเมื่อไร แต่เขาถูกฉุดให้ลุกขึ้นวิ่งแทบจะทันที

    ผ้าคลุมพัดสะบัดตามแรงลม เลี้ยวออกจากปากถ้ำด้วยความรวดเร็ว 


    “เดี๋ยว! เดี๋ยว.. เช้าแล้วหรอ แล้วทำไมถึงต้องรีบขนาดนี้” 

    “ไม่ ยังไม่เช้า.. แต่พวกมันตั้งใจมาหาเรา”

    “ทำไม..”

    “เจ้าทำให้สิ่งที่ไม่เคยได้เกิดขึ้นเลย อาจเกิดขึ้นมา.. รีบไปเถอะ”


    พวกเขาวิ่ง.. และวิ่งอยู่นานหลายชั่วโมง.. หนทางเอาชีวิตรอดขึ้นอยู่กับความเร็วและความลับของการเดินทาง

    ป่าโบราณ อบอวนด้วยความทรงจำ ความโกรธเกรี้ยวมีพลังอันยิ่งใหญ่ซ่อนหลับใหลอยู่


    การมาของเจ้าชายพร้อมแสงสว่าง บรรดาลให้ต้นไม้ต่างร้อนรุ่มจนคุมไม่อยู่ รุ่มร้อนคลุกกรุ่นในใจ พวกมันคิดแต่เรื่องร้ายในราตรีอันเปลี่ยวเหงา พวกมันไม่ย้อมให้แสงสว่างเกิดขึ้นแม้แต่วินาทีเดียว แม้แต่แสงของดวงดาวที่คลืบคลานผ่านไปแต่ไม่เคยได้เห็น ทุกวันยาวนานราวชั่วอายุไข ผู้คนจะต้องรับใช้และถูกจองจำในเงามืด..


    ฟุบ..!!

    ยองแจล้มพับลงกับพื้นเพราะรากไม้ ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาทำลายเรี่ยวแรงหายไป 


    “ไหวไหม..”

    แจบอมถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว 

    “ยังพอไหวอยู่..”

    มือหนาแตะนวดเข้าที่ข้อเท้าเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่หากว่าพวกเขาช้าเกินไปเสียแล้ว ลมหนาวคลืบคลานเข้ามาใกล้อีกครั้ง แทบจะทันทีที่แจบอมฉุดคนตัวเล็กเข้ามาใต้โพรงไม้ทึบพลางปิดปากอิ่มไม่ให้ส่งเสียงร้อง ยองแจทำได้เพียงมองเงาสีดำวนเวียนไปมาเงียบๆ 


    รอบตัวเย็นยะเยือก มีเพียงความร้อนจากคนข้างตัวเท่านั้นที่ช่วยเขาได้ แจบอมกุมมือและกอดเขาแน่น..


    ใครจะรู้ว่าผืนป่าพูดอะไรกับเงามืด หวังเพียงว่าเหล่าสายลมจะไม่บอกที่ซ่อนพวกเขาซะก่อน เล่ห์ลิ้นชั่วร้ายของมันทำให้มนุษย์ธรรมดาสิ้นสติคลานสี่เท้าเหมือนสัตว์เดรัจฉานได้อย่างง่ายดาย


    และดูเหมือนสายลมจะเข้าข้าง เวลาเช้าใกล้จะมาถึง เงาดำร้อนรนหายไปทางตะวันตก หมายจะหาตัวการที่ทำให้ความชั่วสั่นคลอนก่อนพระอาทิตย์ใกล้เข้ามา


    “ไปกัน มาทางนี้..”

    อันตรายอาจย้อนกลับ ต้องซ่อนตัวจนกว่าจะเช้า

    ซึ่งอีกไม่นาน


    _____________



    ด้วยระยะทางกว่าหลายไมล์ที่วิ่งผ่านมา แจบอมตัดสินใจพักเอาแรงใต้ต้นไม้ใหญ่ พระอาทิตย์ขึ้น เวลานี้ปลอดภัยแล้ว และอีกไม่ไกลจะถึงชายป่า 


    “ทำไมเจ้าไม่หนีไป เจ้าเองก็รู้ทางเข้าทางออกดี”

    ยองแจถามขึ้นในขณะที่เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดมิด ที่จริงอยากจะชวนให้อีกคนออกไปพร้อมกันมากกว่า แต่ไม่รู้ว่าควรพูดยังไง


    “ข้าอยู่มานานเกินไป” 

    “……”

    “สำหรับเจ้ายังพอมีเวลา อย่างมากที่สุด เจ้าจะจำข้าไม่ได้” 


    “..หมายความว่าไง” 

    “บางทีข้าก็สงสัยนะ เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองของพ่อตัวเองเลยรึไง” 

    “นั้นคือเหตุผลที่ข้าหนีออกมานี่ยังไงเล่า”

    ชเวยองแจถูกเลี้ยงยิ่งกว่าไข่ในหิน นับประสาอะไรกับเรื่องร้ายๆนอกเขตพระราชวัง 


    “ป่าต้องห้าม กลืนกินความทรงจำของมนุษย์ ยิ่งใช้เวลาอยู่นานเท่าไร เมื่อกลับออกไปความทรงจำจะถูกลบเลือนตามช่วงเวลา คนส่วนมากไม่สามารถแยกกลางวันกลางคืน ยิ่งหาทางออกยิ่งถูกทำร้าย เดินวนเวียนอยู่ที่เดิมใช้เวลาร่วมหลายเดือน กว่าจะออกจากที่นี่ได้ก็สูญเสียไปมาก อย่างน้อยอาจกลายเป็นคนสติเลอะเลือน อย่างมากคงจะกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวเอง”


    เพราะความทรงจำมนุษย์คือสิ่งที่ถนอมสายโลหิตของป่าแห่งนี้...


    “ใจร้ายจัง..”

    “ไม่ต้องห่วง เจ้าอยู่ที่นี่แค่สองวัน” 


    เขาไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น


    แต่เขาห่วง..

    ห่วงเจ้าพรานป่ามากกว่า


    “งั้นเจ้าควรบอกชื่อข้าได้แล้ว”

    “……”

    เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย


    “ยังจะเรื่องมากอีก”


    “ก็ได้..แจบอม ข้าชื่ออิมแจบอม”

    “อิมแจบอม..”

    “อืม”


    “ข้าจะจำเอาไว้..”

    ยองแจหันไปบอกเสียงหนักแน่น แจบอมหัวเราะพร้อมกับหันมามองหน้าเขาเช่นกัน


    “พ้นจากชายป่าข้างหน้าไป เจ้าก็จะลืม”

    “……”


    มันอยู่อีกไม่ไกล ใช้เวลาไม่ถึงช่วงโมงฝันร้ายนี้ก็จะจบลง..


    “ลืมหรอ ข้าเป็นถึงเจ้าชายนะ...”

    สองสายตาประสานกันอีกครั้ง แววตาคู่หนึ่งเต็มไปด้วยความหวัง เต็มไปด้วยพลังยิ่งใหญ่ มันมีอำนาจมากพอที่จะทำลายความหยิ่งทะนงในใจอีกคนได้ มันดึงดูดให้กลีบปากทั้งสองคนขยับเข้าหากันได้อย่างง่ายดาย..


    เรียวลิ้นรุกล้ำ อ้อดอ้อนให้อีกฝ่ายตอบรับ และพรานป่าก็ได้สิทธิ์นั้นจากเจ้าชาย สงครามแห่งความโหยหาฟาดฟันกันอยู่หลายนาที


    รอยจูบงดงามบดคลึงแนบแน่น หมายจะประทับความทรงจำให้คงอยู่นานแสนนาน 

    เขาหวังให้รอยจูบนี้ฝั่งลึกลงไปในใจ 

    เขาหวังให้รอยจูบชนะมนต์สะกดชั่วร้าย


    เขากดจูบคนเขารักให้นานตราบเท่านาน นานเท่าที่เวลาพอจะมี..


    วินาทีที่กลีบปากเขาทั้งสองผละออกจากกันเหลือเพียงสายตาที่จ้องมองกันอย่างลึกซึ้ง 

    แจบอมเป็นฝ่ายผละออก ด้วยความไม่เต็มใจ..


    “แจบอม..ข้า..”

    “ไม่ต้องพูดอะไร เรื่องทั้งหมด..เป็นฝันดีท่ามกลางฝันร้าย”

    “..เจ้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ฝัน..เจ้ามีตัวตน เจ้า—“


    “เจ้าชาย!! ทหาร! เจ้าชายอยู่ทางนั้น!” 

    เสียงตะโกนโห่ร้องดังก้องไปทั่วป่า กลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังควบม้ามาทางนี้

    องครักษ์ของกษัตริย์..  


    “ท่านพ่อ..”


    “ถึงเวลากลับบ้านแล้วเจ้าชาย อย่าให้พวกเขาเข้ามาลึกกว่านี้”

    แจบอมรั้งคนตัวเล็กให้ยืนขึ้น ไล้สัมผัสไปตามโครงหน้าแผ่วเบาเพื่อปลอบใจ สีหน้ายองแจไม่สู้ดีนักเขาไม่อยากเห็นมันก่อนจากกัน


    “แต่ว่า..”

    “หวังว่าท่านจะจดจำเวลานี้ไว้.. ถ้าหากเป็นไปได้..”


    “จับเจ้าโจรนั้นไว้!!”


    ไม่นะ..



    _____________




    ปวดหัว.. 

    ปวดหัวไปหมด..


    “องค์ชาย ตื่นแล้ว..”


    หิวน้ำ..


    “องค์ชายฟื้นแล้ว ทหาร! รีบไปทูลพระราชาว่าองค์ชายทรงฟื้นแล้ว”

    ชเวยองแจค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น เห็นใบหน้าหญิงสาวคุ้นเคย และห้องนอนของเขาเอง


    “เราหิวน้ำ..”

    “น้ำ.. ได้เพคะ นี่ค่ะ”

    แก้วน้ำถูกยื่นมาให้ เจ้าชายทรงรับมาดื่มจนหมดจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้น 


    “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเราปวดหัวแบบนี้”

    “เจ้าชายถูกลักพาตัวไปยังป่าต้องห้าม พวกทหารบอกว่าเป็นฝีมือลูกชายโจรคนหนึ่ง”


    ลักพาตัว?


    “หรอ..ทำไม..เราจำอะไรไม่ได้เลย..”

    “เป็นเรื่องจริงเพคะ คืนนี้ฝ่าบาทจะประหารเจ้าคนชั่วนั่นที่ลานกลาง ให้คนทั้งเมืองได้รู้ว่าไม่ควรทำเยี่ยงนั้น”


    “แล้ว.. ทำไมเราไม่เป็นอะไรเลย ถ้าเราโดนลักพาตัวจริง”

    “เอ่อ.. หม่อมฉันก็ไม่รู้เพคะ”


    แปลก..

    เขารู้สึกเหมือนแค่เข้านอนแล้วตื่นขึ้นมาอีกวันเท่านั้น ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ มันอาจจะเป็นแค่เพียงเรื่องเล่าของพวกทหารและเหล่าคนครัว สร้างเรื่องขึ้นมาเล่าเพื่อความบันเทิงไปวันๆ


    “เราจะไปคุยกับท่านพ่อ”



    _____________




    “ลูกยังไม่หายดี ทำไมถึงรีบร้อนมาพบพ่อนัก”

    “แม่นมบอกลูกว่าพ่อจะประหารเจ้าคนนั้น มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือครับ” 

    “มันกักตัวลูกไว้ในป่าต้องห้าม เหตุผลแค่นี้ไม่พอรึไง”


    ราชาสะบัดหันไปอีกทางเพราะความร้อนใจ จะต้องทำวิธีไหนลูกชายคนเดียวของเขาถึงจะเข้าใจว่าเพราะความรัก จึงไม่อาจเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยได้


    “แต่ลูกก็ไม่เป็นอะไรหรือได้รับบาดเจ็บตรงไหนนี่ครับ อีกอย่าง..ลูกไม่เห็นจำได้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจริง”

    “มันเกิดขึ้นจริง..หรือลูกจะต้องเห็นหน้าไอ่โจรชั่วช้านั่นก่อนลูกถึงจะจำได้ ลูกหายตัวไปสองวันนะ..” 


    “ก็ดีนี่ครับ..ลูกอยากเจอเขา”

    “…ก็ได้..พ่อจะให้ลูกได้เจอ ที่ลานประหารคืนนี้”



    _____________



    นับเป็นเรื่องราวที่วุ่นวายที่สุดในชีวิต ความน่าเบื่อในชีวิตราชวงค์ก่อนหน้านี้หายไปในพริบตา ใครจะรู้ว่าจู่ๆจะตื่นมาพบกับความกลหล เดือดร้อนใหญ่โตไปทั้งเมือง 


    ชเวยองแจนั่งเคียงข้างกษัตริย์ท่ามกลางชาวเมืองนับหมื่น รอการมาของนักโทษที่ว่า..


    จนป่านนี้เขายังนึกไม่ออกเลยว่าเกิดเรื่องลักพาตัวอะไรนั่นจริงๆ เพราะงั้นการให้คนคนหนึ่งมารับโทษทัณฑ์ที่เจ้าตัวไม่ได้ก่อก็คงเลวร้ายในฐานะผู้ปกครองเมืองไปซักหน่อย 


    เสียงฮือฮาดังกู่ก้องเรียกความสนใจให้เจ้าชายเงยหน้าขึ้นมาได้อย่างดี ทหารสองคน เดินคู่มากับใครบางคนที่เขาไม่เห็นหน้า นั่นคงเป็นเจ้าโจรคนนั้น 


    ร่างกายดูอิดโรย เนื้อตัวมอมแมม 

    ดูท่าทางไม่สมประกอบเหมือนไร้ซึ่งวิญญาณ..


    “เจ้านั่นล่ะ..” ราชาเอ่ย 


    ยองแจพยายามจ้องมอง เผื่อว่าเขาจะคิดอะไรออก แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีแม้แต่ความคิดที่เกี่ยวกับคนตรงหน้าเลย 


    นักโทษถูกมัดมือไว้ทั้งสองก่อนจะตรึงขึ้นเหนือหัว ทหารนายหนึ่งบังคับให้เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นเพื่อให้ชาวเมืองได้เห็น 

    และเจ้าชายก็ได้เห็น..


    แววตาเลื่อนลอย

    สันจมูกโด่ง 

    ปากหยักหอบหายใจอย่างทรมาน..


    “มันบอกว่ามันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร”

    “…….”

    “ไม่รู้ แม้กระทั้งชื่อตัวเอง..”

    “…….”


    “ลูกจำมันได้ไหม”


    “..ไม่”


    “แล้วชื่อของมันละ?”


    “ลูก..ไม่รู้..”


    ราชาถอนหายใจ เจ้าลูกชายโจรคนนั้นอยู่ในป่าต้องห้ามมานาน คงใช้วิธีชั่วร้ายในป่าทำองค์ชายให้ลืมเลือนการกระทำของมัน 


    “งั้นพ่อคงต้องจัดการมันซะ”


    ทันใดนั้น

    เสี้ยววินาทีที่สายตาอ่อนแรงมองมา

    จ้องมองมาทางเขาอย่างจงใจ..


    ยองแจรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง.. บางอย่างที่ยากจะอธิบาย..

    ทั้งคู่จ้องมองกันโดยไม่มีใครละสายตา 


    “นักโทษ.. ข้าขอถามว่าเจ้ารู้จักชื่อลูกชายข้าหรือไม่..”

    “……”

    “ข้าถาม! เจ้าไม่ได้ยินรึไง!”


    “..ไม่” 

    เสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน 


    “เจ้าจะปฏิเสธว่าเจ้าไม่ได้กักขังลูกข้าหรอกหรือ”

    “..ข้าไม่รู้”


    เบาหวิวเหมือนสายลม..


    “ทหาร..”

    “ครับพระองค์!”


    “ประหารนักโทษซะ!”


    “เดี๋ยวก่อน!!” 

    องค์ชายร้องห้ามก่อนที่ทหารจะได้ยกคมดาบขึ้น 


    เขาค่อยๆยืนขึ้นโดยมีสายตาทุกสายตาจับจ้อง รวมถึงนักโทษเองด้วยเช่นกัน


    “ลูกจะทำอะไร?”

    “ขอลูกได้คุยกับเขา..”


    ยองแจเดินเข้าไปใกล้ ทรุดตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน 

    แววตาคนตรงหน้าหวาดกลัวสั่นระริก..


    “เจ้าเป็นใคร..”

    “..ข้าไม่รู้”


    “เจ้าไม่รู้จักตัวเองงั้นหรือ”

    “..ปล่อยข้า”


    “…….”

    “ปล่อยข้าตาย..”


    “ทำไม..”

    “ข้าทรมาน..ข้าไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร..”


    “……”


    น้ำเสียงปวดร้าว ลมหายใจถี่รัว 

    ยองแจเลื่อนมือไปสัมผัสเสื้อสีขาวบนตัวอีกคน ไล้ขึ้นไปตามแนวลาดไหล ก่อนจะหยุดอยู่ที่โครงหน้าคม เสียงฮือฮาดังอื้ออึงขึ้นมาอีกครั้ง แต่เขาไม่สนใจ 


    สายตาคู่นี้มีพลังบางอย่าง ดึงดูดให้เขาต้องทำแบบนี้ อยากจะทำแบบนี้..


    “ยองแจ ลูกลุกออกมาเถอะ”

    ผู้เป็นพ่อพูดเสียงเข้ม 


    เจ้าชายตอบรับคำขอของราชาด้วยการประกบจูบกับนักโทษอย่างนิ่มนวล..

    สะกดทุกสายตาให้หยุดนิ่งไปทั่วทั้งบริเวณ..


    ความหอมหวานยามที่ทั้งสองได้ใกล้ชิดกัน ตอกย้ำความทรงจำบางอย่างกลับคืนมา

    ลมหายใจถี่กระชั้นของร่างสูงค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติราวกลับถูกปลอบประโลมด้วยรอยจูบ 


    ‘หวังว่าท่านจะจดจำเวลานี้ไว้.. ถ้าหากเป็นไปได้’


    บางสิ่งที่ไม่เคยเกิด 

    อาจเกิดขึ้นมา..


    “เจ้าชื่อ..อิมแจบอม..”

    “……”


    “แล้วเจ้าจำข้าได้ไหม..”

    กระซิบถามชิดริมฝีปากด้วยความหวัง 


    “..เจ้าน่ะหรอ”

    “……”


    ไม่อยากให้มันเป็นเพียงฝัน

    ขอให้จูบนี้ชนะความชั่วร้าย

    ได้โปรด..


    “ชเวยองแจ..” 

    “……” 


    “ที่จริงแล้วข้าเรียกเจ้าว่า ความรัก..”


    บางสิ่งที่ไม่เคยเกิด 

    เป็นจริงขึ้นมา..




    _____________

    จบแบบเร็วๆ 5555 ไม่รู้ว่าชอบกันไหม
    มันเป็นฟิคที่เขียนส่งโปรเจค #midnight2jae นั่นเอง 
    ตอนเขียนส่งคือรีบมากก ไม่มีเวลาแต่ก็อยากเขียนส่ง เลยออกมาเร็วๆงงๆสั้นๆแบบนี้ 555 
    ชอบไม่ชอบบอกได้นะคะ ^^ ส่วนถ้าใครอยากอ่านสกรีมในทวิต แท็ก #midnight2jae ได้เลย 

    ส่วนฟิคเรื่องอื่นๆ รอ..วนไปค่ะ XD คือตอนนี้จะกระอักเลือดตายกับธีสิสแล้ว
    ขอทิ้งช่วงยาวๆไปทำตัวจบก่อนนะคะ TT แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อัพเลยนะ
    เขียนอยู่ เขียนแบบทีละนิดละน้อย 555555 
    สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่รอ ที่อ่าน ที่ติชมกันค่า ^^ #GOT2JAE 

    ? cactus
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×