ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Lose in München :: ผจญคนในมิวนิค

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 :: ไม่อยากจะต้องชื่อตอนว่า "ออกเดินทาง!"

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 53














    ทุกอย่างไม่มีเวลามากไปกว่านี้

    ฉันต้องรีบ.








    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    .










    - - - - - วันที่ 10 ตุลาคม  ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ - - - - -



    "เซ่าหยีหายยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!"

    "ไม่หายเว้ยยยยย  มันเช็คอินไปก่อนแล้ว"


    เฟิร์นพูดตอบฉันมาหลังจากฉันได้โวยวายขึ้น
    เซ่าหยี เพื่อนร่วมชะตากรรมชาวไต้หวันของพวกเรามาถึงสนามบินเป็นคนแรกหลังจากที่ฉันได้บอกให้มาเจอกันตีห้าครึ่ง

    แต่ฉันมาหกโมง - -  นี่เป็นนิสัยที่เลวร้าย


    อย่างไรก็ตาม เครื่องบินออก 6.55 !!


    และจุดหมายแรกของพวกเราคือ "สนามบินสุวรรณภูมิ"






    เอาล่ะ ฉันมองไปรอบๆ เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเช็คอินเพื่อนขึ้นเครื่องบินลำเดียวกับฉัน และพ่อแม่พี่น้องของพวกฉันทั้งหกคนที่มาส่งกัน


    หกคน

    แต่ตอนนี้ (ถ้านับเซ่าหยี)  ก็มีแค่ห้า


    ...


    "แบงค์หายยยยยยยยยยยยยยย!!!!!"
    "เออว่ะ โทรหาดิ๊"
    "ไม่ต้องๆ มันกำลังมา"

    จูนเอ่ยขึ้นมาบ้าง เพราะได้ทำการโทรตามไปแล้ว ในขณะที่เอิร์ดเช็คอินเสร็จพอดี และเฟิร์นก็ไปเช็คต่อ


    อย่างที่ฉันบอกไป การเดินทางครั้งนี้มีแค่พวกเราหกคนเท่านั้น
    ดูน่าตื่นเต้นดีใช่ไหมล่า?


    "แล้วตกลงมีใครไปรับที่สุวรรณภูมิมั๊ย??"
    ผู้ปกครองของพวกเราถามคำถามนี้เป็นรอบที่ร้อย  ฉันก็อยากจะตอบซะเหลือเกินว่า

    'เออ  ไม่มีซักคน'

    แต่ลองตอบแบบนี้สิ เผลอๆจะไม่ได้ไป - -



    "อ้ออออ มีคนจากสถาบันเกอเธ่ไปรับไง" ว่าแล้วฉันก็แถไปนั่น - -

    อย่างไรก็เถอะ เป็นช่วงเวลาที่น่าเวียนหัวเสียจริง ถ้ามันผ่านพ้นไปเร็วๆได้จะดีมากเลยล่ะ..


    "น้องคะ  น้องต้องไปเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกรอบนะคะ เพราะชื่อในตั๋วกับพาสปอร์ตของน้องไม่ตรงกัน"
    "อ้าว ทำไมล่ะ?"

    งานเข้าฉันจนได้ - -

    พ่อของฉันไม่น่าไปได้ยินเลย ดูเหมือนเรื่องราวจะใหญ่โตขึ้นไปอีก



    แต่ทันใดนั้นเอง... 
    จู่ๆก็มีมหาชนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในสนามบิน

    อะไรกัน? กลุ่มคนพวกนี้เป็นใครน่ะ? มาทำอะไรกันเยอะแยะ?


    ...


    แล้วทุกอย่างก็กระจ่าง..  เมื่อกลางวงล้อมของกลุ่มคนนั้น ปรากฏร่างของใครคนหนึ่งขึ้นมา..


    "สวัสดี"
    "ไอ้แบงค์ - -  แกจะขนญาติมาทำไมเยอะแยะวะ"
    "ก็พวกเขาอยากมาส่ง.. เลยต้องรอพวกเขาอาบน้ำกัน"
    ในที่สุด ผู้ร่วมชะตากรรมคนสุดท้ายก็มาถึงพร้อมกับญาติหลายคนราวกับจะมาส่งดาราขึ้นสนามบิน

    "รีบๆเช็คอินเร็วลูก"
    ผู้ปกครองของพวกเราดูเหมือนจะตื่นเต้นมากกว่าเสียอีก และรีบให้แบงค์ไปเช็คอิน อย่างไรก็ตามความวุ่นวายทุกอย่างจะจบลง



    เมื่อพวกฉันก้าวเข้าไปในห้องผู้โดยสาร




    นั่นหมายความว่าช่วงเวลาอันโดดเดี่ยวของพวกเราก็จะได้เริ่มขึ้น  แต่ฉันกลับสงบสุขอย่างบอกไม่ถูกล่ะ
    ฉันมองดูคนภายนอกจากกระจกใสที่มองพวกฉันด้วยหลากอารมณ์ความรู้สึก

    "น้องคะ กรอกใบผู้โดยสารขาออกด้วย"

    - -

    "มันต้องกรอกด้วยหรอวะ?"
    "ไม่รู้ กุก็ไม่เคยไปเมืองนอก - -"
    "ปากกาอยู่หนายยยยยย"



    ฉันเริ่มวิ่งพล่านอยู่ในห้องนั้นกับเพื่อนอีกสี่คน (เซ่าหยีเข้าไปแล้วเมื่อหลายนาทีก่อน..) 
    เบื้องหลังเป็นบุคคลมากมายที่ฉันจะไม่ได้เจอพวกเขาอีกหลายเดือน..



    แต่..  สีท่าจะได้ออกจากเชียงใหม่มั๊ยเนี่ยห๊ะ!!!!!!!


    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    .

    .
    .

    .

    .

    .

    .


    .



    .




    .



    - - - - -  ณ สนามบินสุวรรณภูมิ - - - - -




    พวกฉันถึงสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัยด้วยเครื่องบินจากสายการบินบางกอกแอร์เวย์


    "เฮ้ย  ลงจากเครื่องบินไปอย่าลืมกราบแผ่นดินไทยด้วย"
    "บ้าดิ  ต้องรอกลับมาจากเยอรมันก่อนค่อยกราบ 555555"
    "เชิญทางนี้ค่ะ"



    ?





    พวกเราถูกพี่แอร์โฮสเตสผายมือให้ออกไปอีกทาง  แทนที่จะให้เดินลงท่อ (เค้าเรียกว่าอะไรฟระ - -) เหมือนคนอื่นๆ

    หรือว่า...  เราต้องตรวจแรงงานต่างด้าวก่อน..  บ้า..  ฉันคนไทยนะว้อย


    แต่ในความคิดของเฟิร์นนั้น..

    "โห  วีไอพีว่ะ"

    ถ้าเกิดพวกฉันจะถูกจับเข้าห้องอบแก๊สตาย ก็คงจะโง่เข้าไปง่ายๆทีเดียว


    บนทางเดินของพวกเรานั้น.. ไม่ได้สะดวกสบาย
    บันไดเหล็ก..  (ไม่สบายตรงไหนวะ)  ทอดยาวลงไปเบื้องล่าง  ก่อนจะขึ้นรถเมย์ที่จอดรอพวกเราอยู่


    ดูไปดูมาก็วีไอพีนะ - - 555





    เป็นระยะทางที่ไกลมากทีเดียวกว่าจะถึงประตูทางเข้าที่พวกเราต้องเข้า แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะพวกเราทำการนั่งกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างที่ทางด้านหลังอย่างสะดวกสบาย


    สิ่งที่พวกเราต้องค้นหากันคือ เคาน์เตอร์ของสายการบินแอร์เบอร์ลีน เพราะฉันกับเซ่าหยีจะต้องเช็คอินอีกรอบ

    ทุกคนดูมีความสุขดี จูนกับกล้องแคนอนอลังการ เฟิร์นกับโทรศัพท์มือถือ เอิร์ดและแบงค์กับการถ่ายรูป และเซ่าหยีที่ไม่ค่อยพูดเช่นเดิม  และตอนนี้ดูเหมือนฉันค้นพบข้อเสียของสนามบินสุดอลังการนี้แล้วล่ะ...



    เดินไกลชะมัด  5555




    พวกเราสอบถามประชาสัมพันธ์นิดหน่อยว่าแอร์เบอร์ลินไปทางไหน จากนั้นก็ตรวจกระเป๋าก่อนขึ้นไปในส่วนของผู้โดยสารขาออกสุดอลังการ  แต่ทำไมพนักงานถึงพูดภาษาอังกฤษกับพวกฉัน????


    ฉันมองพี่พนักงานงงๆ  เค้าจึงถามฉันว่า..

    "คนไทยรึเปล่าครับ?"


    5555555


    เพราะเซ่าหยีแน่แท้เลย พวกฉันเลยถูกเหมาว่าเป็นคนจีนกันหมด ฮ่าๆๆ  อันที่จริง ทุกคนยกเว้นเอิร์ด ก็ลูกครึ่งจีนกันหมด  เอาล่ะ  พวกฉันตรวจเสร็จแล้ว และตอนนี้ก็มาหยุดอยู่ที่..  ที่    ที่    ที่ไหนซักที่ที่อธิบายไม่ได้ (อ้าว - -)  รู้แค่ว่ามันมีต้นมะพร้าวเฟคๆอยู่ และพวกฉันก็เริ่มตามหาเคาน์เตอร์แอร์เบอร์ลิน  แต่เท่าที่เห็นมีเพียงแค่สายการบินอาหรับอามิเรตส์สุดไฮโซ - -

    เมื่อเพื่อนๆของฉันไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก ฉันจึงเดินพุ่งเข้าไปถามพี่พนักงานในชุดแขกอลังการสีขาวครีมพร้อมด้วยผ้าพวกหัวนั้น..

    "พี่คะ เคาน์เตอร์แอร์เบอร์ลินไปทางไหนคะ"

    "แอร์เบอร์ลินหรอคะ?  มา เดี๋ยวพี่พาไป"

    : D ?


    แทบจะในทันทีที่พี่เขาลุกขึ้นออกจากเคาน์เตอร์มาหาพวกเรา รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่มีคนให้ความช่วยเหลือ T w T



    "มากันเองหรอคะ?"
    "ครับ"
    "ทำไมถึงปล่อยให้เด็กมากันเองเนี่ย แล้วนี่จะไปเมืองไหนกัน"
    "มิวนิคครับ แต่ต้องลงเบอร์ลินก่อน"


    อย่างที่เอิร์ดได้บอกไป นี่คือเรื่องที่ยากลำบากของพวกเรา พวกฉันต้องไปลงที่มหานครเบอร์ลินก่อน แล้วถึงจะต่อเครื่องไปยังมิวนิค


    "ขอโทษนะคะ  แอร์เบอร์ลินยังไม่เปิดหรอคะ"

    พี่สาวจากสายการบินอาหรับอามิเรตส์เข้าไปสอบถามพนักงานในเคาน์เตอร์การบินไทยอย่างเป็นมิตร แต่ที่ฉันสังเกตได้นะ..
    พนักงานของการบินไทยและสายการบินอะไรซักอย่างกำลังแต่งหน้าทาปาก และเมาท์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย.

    "เก้าโมงครึ่ง"

    ตอบแบบตัดสัมพันธ์สุดๆ

    "พอดีน้องๆเค้าจะไปเยอรมันกันเอง ไม่มีคนไปด้วย"
    "ให้น้องๆเค้ารอกันไปก่อน เก้าโมงครึ่งค่อยมา"
    แล้วพวกเธอก็กลับไปเมาท์กันต่อ  ฉันเห็นแล้วแอบอารมณ์เสียชอบกลนะ - -

    "งั้นจนกว่าจะเก้าโมงครึ่งก็นั่งรอแถวๆนี้กันก่อนนะคะ หรือจะขึ้นไปชั้นบนก็ได้ มีร้้านอาหารกับดิวตี้ฟรั"
    "ค่ะ"
    "งั้นพี่ไปก่อนนะ โชคดีค่ะ"
    "ขอบคุณมากๆนะครับ"

    แล้วพี่สาวก็เดินกลับไป เหลือไว้ซึ่งพวกเราหกคนเหมือนเดิม



    "หาไรกินเหอะ หิว"



    .
    .
    .

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .








    เก้าโมงครึ่ง พวกเรากลับลงมายังเคาน์เตอร์กด้านล่าง และพบว่าแอร์เบอร์ลินเปิดแล้ว  หลังจากที่แบงค์กับเฟิร์นอิ่มจากอาหารจานละหลายร้อยที่แบลคแคนยอน ส่วนฉันก็ กาแฟแก้วละร้อยเหมือนกันละว่ะ = =  แพงได้อีก


    การเช็คอินเป็นไปอย่างง่ายดาย  ขอบคุณสวรรค์ที่ไม่มีอะไรยากลำบากอย่างที่คิด  เขาโคกันได้อย่างสุดยอดมาก เพราะนี่คือการเชื่อมสายการบินบางกอกแอร์เวย์เข้ากับแอร์เบอร์ลิน ดูเหมือนทุกอย่างจะช่างง่ายดายไปหมด


    และในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นเครื่อง ก็เป็นวินาทีของการคุยโทรศัพท์ 555

    ก็จะไม่ได้เจอกันคุยกันอีก 1 เดือน..  อันที่จริงมันก็เร็วจะตาย  แค่สามสิบวันเอง..







    บางที...  เครื่องบินสีแดงขาวนั้นคือเครื่องบินที่พวกเราต้องนั่งนะ!





    .
    .
    .
    .
    .
    .


    ไปกันเถอะ  เจอกันใหม่นะประเทศไทย !!!!!




    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ..

    .

    ..

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ..

    .





    เป็นสิบเอ็ดชั่วโมงที่ยาวนานจริงๆ ......

    ..........................................
    ...............................
    ..................




    อาหารมื้อแรกผ่านไป..  และแอร์โฮสเตสก็คอยเสิร์ฟน้ำให้ตลอด

    สังเกตว่า ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจากไทย : )



    ทีวีฉายหนังสลับกับระยะทางของเครื่องบิน..



    การเดินทางครั้งนี้ไม่มีมืด  เพราะเรากำลังย้อนกลับไปในอดีต

    พวกเราจะมีเวลาชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 5  ชั่วโมง !!!



    แต่นั่นก็น่าเบื่อมากที่ต้องอยู่บนนี้ถึง 11 ชั่วโมง
    จูนกับเซ่าหยีถูกแยกให้นั่งตรงแถวริมหน้าต่าง ขั้นด้วยทางเดิน แล้วถึงเป็นแถวกลางสี่ที่นั่ง อันได้แก่เฟิร์น ฉัน เอิร์ด แบงค์

    และมันก็น่าเบื่อมากจนฉันต้องเปิดการแข่งขันวาดรูปกับแบงค์และให้เอิร์ดเป็นกรรมการ
    และทุกคนดูเหมือนจะตั้งหน้าตั้งตารออาหารมื้อต่อไป โดยเฉพาะ เฟิร์นกับแบงค์


    และอาหารมื้อที่สองก็มา..


    เสต๊กเนื้อ...

    ...

    ...


    ฮา.....


    "เวร"
    "จบ"
    "ทำไมต้องเป็นเนื้อด้วยวะ!!!!!!!!!!!! T [] T !!!!!!!"


    หลายคนไม่สามารถกินเนื้อได้เพราะนับถือเจ้าแม่กวนอิม = v =  และแพ้เนื้อ

    ฉันก็กินไม่ได้นะ  แต่ก็ลองกินซะหน่อย ไหนๆมันก็มาละ 555


    ด้วยเหตุนี้ เฟิร์นกับแบงต้องทนหิว ในขณะที่เอิร์ดก็ละเลงเสต๊กของคนรอบข้างไปทั้งหมด 7 ชิ้น

    "เฮ้ออ  อิ่ม ^ ^"
    "กุ   ไม่   อิ่ม"


    แล้วมื้อที่สองก็ผ่านไปอย่างน่าอนาถ..



    และไม่นานนัก  เอิร์ดก็กลายเป็นสถานที่ทิ้งขยะ เมื่อบริเวณที่นั่งนั้นเต็มไปด้วยเศษกระดาษจากแบงค์ที่วาดรูปไม่ได้ดั่งใจแล้วฉีกขยำทิ้ง  แต่ฉันก็เห็นเอิร์ดแอบเอาขยะพวกนั้น ยัดใส่กระเป๋าแบงค์คืน  ยังไงซะก็ให้มันไปเคลียร์กันเอง -.-


    "ไอ้เอิร์ดดด!!"
    "เฮ้ยย  เสียงดังทำไมห๊ะ!"

    "555555555555555555555555555555 เค้ากลายเป็นสีทองง  เค้าทองงงงง"

    มันเป็นเสียงหัวเราะที่อลังการของฉันเอง เมื่อความผิดพลาดของกล้องและแสงไฟสีทองบนหัวทำให้ฉันดูเหมือนว่าเปล่งประกายได้


    จากนั้น งานอดิเรกต่อมาคือการถ่ายรูป 5555


    แต่ถึงจะทำอย่างไรก็นะ..

    เมื่อไรจะถึงซักทีเนี่ยห๊ะเบอร์ลินนนนนนนนนนนนน!!!!!!


















    .............................................................................................







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×