คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 :: ไม่อยากจะต้องชื่อตอนว่า "ออกเดินทาง!"
ทุกอย่างไม่มีเวลามากไปกว่านี้
ฉันต้องรีบ.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
- - - - - วันที่ 10 ตุลาคม ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ - - - - -
"เซ่าหยีหายยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!"
"ไม่หายเว้ยยยยย มันเช็คอินไปก่อนแล้ว"
เฟิร์นพูดตอบฉันมาหลังจากฉันได้โวยวายขึ้น
เซ่าหยี เพื่อนร่วมชะตากรรมชาวไต้หวันของพวกเรามาถึงสนามบินเป็นคนแรกหลังจากที่ฉันได้บอกให้มาเจอกันตีห้าครึ่ง
แต่ฉันมาหกโมง - - นี่เป็นนิสัยที่เลวร้าย
อย่างไรก็ตาม เครื่องบินออก 6.55 !!
และจุดหมายแรกของพวกเราคือ "สนามบินสุวรรณภูมิ"
เอาล่ะ ฉันมองไปรอบๆ เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเช็คอินเพื่อนขึ้นเครื่องบินลำเดียวกับฉัน และพ่อแม่พี่น้องของพวกฉันทั้งหกคนที่มาส่งกัน
หกคน
แต่ตอนนี้ (ถ้านับเซ่าหยี) ก็มีแค่ห้า
...
"แบงค์หายยยยยยยยยยยยยยย!!!!!"
"เออว่ะ โทรหาดิ๊"
"ไม่ต้องๆ มันกำลังมา"
จูนเอ่ยขึ้นมาบ้าง เพราะได้ทำการโทรตามไปแล้ว ในขณะที่เอิร์ดเช็คอินเสร็จพอดี และเฟิร์นก็ไปเช็คต่อ
อย่างที่ฉันบอกไป การเดินทางครั้งนี้มีแค่พวกเราหกคนเท่านั้น
ดูน่าตื่นเต้นดีใช่ไหมล่า?
"แล้วตกลงมีใครไปรับที่สุวรรณภูมิมั๊ย??"
ผู้ปกครองของพวกเราถามคำถามนี้เป็นรอบที่ร้อย ฉันก็อยากจะตอบซะเหลือเกินว่า
'เออ ไม่มีซักคน'
แต่ลองตอบแบบนี้สิ เผลอๆจะไม่ได้ไป - -
"อ้ออออ มีคนจากสถาบันเกอเธ่ไปรับไง" ว่าแล้วฉันก็แถไปนั่น - -
อย่างไรก็เถอะ เป็นช่วงเวลาที่น่าเวียนหัวเสียจริง ถ้ามันผ่านพ้นไปเร็วๆได้จะดีมากเลยล่ะ..
"น้องคะ น้องต้องไปเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกรอบนะคะ เพราะชื่อในตั๋วกับพาสปอร์ตของน้องไม่ตรงกัน"
"อ้าว ทำไมล่ะ?"
งานเข้าฉันจนได้ - -
พ่อของฉันไม่น่าไปได้ยินเลย ดูเหมือนเรื่องราวจะใหญ่โตขึ้นไปอีก
แต่ทันใดนั้นเอง...
จู่ๆก็มีมหาชนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในสนามบิน
อะไรกัน? กลุ่มคนพวกนี้เป็นใครน่ะ? มาทำอะไรกันเยอะแยะ?
...
แล้วทุกอย่างก็กระจ่าง.. เมื่อกลางวงล้อมของกลุ่มคนนั้น ปรากฏร่างของใครคนหนึ่งขึ้นมา..
"สวัสดี"
"ไอ้แบงค์ - - แกจะขนญาติมาทำไมเยอะแยะวะ"
"ก็พวกเขาอยากมาส่ง.. เลยต้องรอพวกเขาอาบน้ำกัน"
ในที่สุด ผู้ร่วมชะตากรรมคนสุดท้ายก็มาถึงพร้อมกับญาติหลายคนราวกับจะมาส่งดาราขึ้นสนามบิน
"รีบๆเช็คอินเร็วลูก"
ผู้ปกครองของพวกเราดูเหมือนจะตื่นเต้นมากกว่าเสียอีก และรีบให้แบงค์ไปเช็คอิน อย่างไรก็ตามความวุ่นวายทุกอย่างจะจบลง
เมื่อพวกฉันก้าวเข้าไปในห้องผู้โดยสาร
นั่นหมายความว่าช่วงเวลาอันโดดเดี่ยวของพวกเราก็จะได้เริ่มขึ้น แต่ฉันกลับสงบสุขอย่างบอกไม่ถูกล่ะ
ฉันมองดูคนภายนอกจากกระจกใสที่มองพวกฉันด้วยหลากอารมณ์ความรู้สึก
"น้องคะ กรอกใบผู้โดยสารขาออกด้วย"
- -
"มันต้องกรอกด้วยหรอวะ?"
"ไม่รู้ กุก็ไม่เคยไปเมืองนอก - -"
"ปากกาอยู่หนายยยยยย"
ฉันเริ่มวิ่งพล่านอยู่ในห้องนั้นกับเพื่อนอีกสี่คน (เซ่าหยีเข้าไปแล้วเมื่อหลายนาทีก่อน..)
เบื้องหลังเป็นบุคคลมากมายที่ฉันจะไม่ได้เจอพวกเขาอีกหลายเดือน..
แต่.. สีท่าจะได้ออกจากเชียงใหม่มั๊ยเนี่ยห๊ะ!!!!!!!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
- - - - - ณ สนามบินสุวรรณภูมิ - - - - -
พวกฉันถึงสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัยด้วยเครื่องบินจากสายการบินบางกอกแอร์เวย์
"เฮ้ย ลงจากเครื่องบินไปอย่าลืมกราบแผ่นดินไทยด้วย"
"บ้าดิ ต้องรอกลับมาจากเยอรมันก่อนค่อยกราบ 555555"
"เชิญทางนี้ค่ะ"
?
พวกเราถูกพี่แอร์โฮสเตสผายมือให้ออกไปอีกทาง แทนที่จะให้เดินลงท่อ (เค้าเรียกว่าอะไรฟระ - -) เหมือนคนอื่นๆ
หรือว่า... เราต้องตรวจแรงงานต่างด้าวก่อน.. บ้า.. ฉันคนไทยนะว้อย
แต่ในความคิดของเฟิร์นนั้น..
"โห วีไอพีว่ะ"
ถ้าเกิดพวกฉันจะถูกจับเข้าห้องอบแก๊สตาย ก็คงจะโง่เข้าไปง่ายๆทีเดียว
บนทางเดินของพวกเรานั้น.. ไม่ได้สะดวกสบาย
บันไดเหล็ก.. (ไม่สบายตรงไหนวะ) ทอดยาวลงไปเบื้องล่าง ก่อนจะขึ้นรถเมย์ที่จอดรอพวกเราอยู่
ดูไปดูมาก็วีไอพีนะ - - 555
เป็นระยะทางที่ไกลมากทีเดียวกว่าจะถึงประตูทางเข้าที่พวกเราต้องเข้า แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะพวกเราทำการนั่งกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างที่ทางด้านหลังอย่างสะดวกสบาย
สิ่งที่พวกเราต้องค้นหากันคือ เคาน์เตอร์ของสายการบินแอร์เบอร์ลีน เพราะฉันกับเซ่าหยีจะต้องเช็คอินอีกรอบ
ทุกคนดูมีความสุขดี จูนกับกล้องแคนอนอลังการ เฟิร์นกับโทรศัพท์มือถือ เอิร์ดและแบงค์กับการถ่ายรูป และเซ่าหยีที่ไม่ค่อยพูดเช่นเดิม และตอนนี้ดูเหมือนฉันค้นพบข้อเสียของสนามบินสุดอลังการนี้แล้วล่ะ...
เดินไกลชะมัด 5555
พวกเราสอบถามประชาสัมพันธ์นิดหน่อยว่าแอร์เบอร์ลินไปทางไหน จากนั้นก็ตรวจกระเป๋าก่อนขึ้นไปในส่วนของผู้โดยสารขาออกสุดอลังการ แต่ทำไมพนักงานถึงพูดภาษาอังกฤษกับพวกฉัน????
ฉันมองพี่พนักงานงงๆ เค้าจึงถามฉันว่า..
"คนไทยรึเปล่าครับ?"
5555555
เพราะเซ่าหยีแน่แท้เลย พวกฉันเลยถูกเหมาว่าเป็นคนจีนกันหมด ฮ่าๆๆ อันที่จริง ทุกคนยกเว้นเอิร์ด ก็ลูกครึ่งจีนกันหมด เอาล่ะ พวกฉันตรวจเสร็จแล้ว และตอนนี้ก็มาหยุดอยู่ที่.. ที่ ที่ ที่ไหนซักที่ที่อธิบายไม่ได้ (อ้าว - -) รู้แค่ว่ามันมีต้นมะพร้าวเฟคๆอยู่ และพวกฉันก็เริ่มตามหาเคาน์เตอร์แอร์เบอร์ลิน แต่เท่าที่เห็นมีเพียงแค่สายการบินอาหรับอามิเรตส์สุดไฮโซ - -
เมื่อเพื่อนๆของฉันไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก ฉันจึงเดินพุ่งเข้าไปถามพี่พนักงานในชุดแขกอลังการสีขาวครีมพร้อมด้วยผ้าพวกหัวนั้น..
"พี่คะ เคาน์เตอร์แอร์เบอร์ลินไปทางไหนคะ"
"แอร์เบอร์ลินหรอคะ? มา เดี๋ยวพี่พาไป"
: D ?
แทบจะในทันทีที่พี่เขาลุกขึ้นออกจากเคาน์เตอร์มาหาพวกเรา รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่มีคนให้ความช่วยเหลือ T w T
"มากันเองหรอคะ?"
"ครับ"
"ทำไมถึงปล่อยให้เด็กมากันเองเนี่ย แล้วนี่จะไปเมืองไหนกัน"
"มิวนิคครับ แต่ต้องลงเบอร์ลินก่อน"
อย่างที่เอิร์ดได้บอกไป นี่คือเรื่องที่ยากลำบากของพวกเรา พวกฉันต้องไปลงที่มหานครเบอร์ลินก่อน แล้วถึงจะต่อเครื่องไปยังมิวนิค
"ขอโทษนะคะ แอร์เบอร์ลินยังไม่เปิดหรอคะ"
พี่สาวจากสายการบินอาหรับอามิเรตส์เข้าไปสอบถามพนักงานในเคาน์เตอร์การบินไทยอย่างเป็นมิตร แต่ที่ฉันสังเกตได้นะ..
พนักงานของการบินไทยและสายการบินอะไรซักอย่างกำลังแต่งหน้าทาปาก และเมาท์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย.
"เก้าโมงครึ่ง"
ตอบแบบตัดสัมพันธ์สุดๆ
"พอดีน้องๆเค้าจะไปเยอรมันกันเอง ไม่มีคนไปด้วย"
"ให้น้องๆเค้ารอกันไปก่อน เก้าโมงครึ่งค่อยมา"
แล้วพวกเธอก็กลับไปเมาท์กันต่อ ฉันเห็นแล้วแอบอารมณ์เสียชอบกลนะ - -
"งั้นจนกว่าจะเก้าโมงครึ่งก็นั่งรอแถวๆนี้กันก่อนนะคะ หรือจะขึ้นไปชั้นบนก็ได้ มีร้้านอาหารกับดิวตี้ฟรั"
"ค่ะ"
"งั้นพี่ไปก่อนนะ โชคดีค่ะ"
"ขอบคุณมากๆนะครับ"
แล้วพี่สาวก็เดินกลับไป เหลือไว้ซึ่งพวกเราหกคนเหมือนเดิม
"หาไรกินเหอะ หิว"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เก้าโมงครึ่ง พวกเรากลับลงมายังเคาน์เตอร์กด้านล่าง และพบว่าแอร์เบอร์ลินเปิดแล้ว หลังจากที่แบงค์กับเฟิร์นอิ่มจากอาหารจานละหลายร้อยที่แบลคแคนยอน ส่วนฉันก็ กาแฟแก้วละร้อยเหมือนกันละว่ะ = = แพงได้อีก
การเช็คอินเป็นไปอย่างง่ายดาย ขอบคุณสวรรค์ที่ไม่มีอะไรยากลำบากอย่างที่คิด เขาโคกันได้อย่างสุดยอดมาก เพราะนี่คือการเชื่อมสายการบินบางกอกแอร์เวย์เข้ากับแอร์เบอร์ลิน ดูเหมือนทุกอย่างจะช่างง่ายดายไปหมด
และในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นเครื่อง ก็เป็นวินาทีของการคุยโทรศัพท์ 555
ก็จะไม่ได้เจอกันคุยกันอีก 1 เดือน.. อันที่จริงมันก็เร็วจะตาย แค่สามสิบวันเอง..
บางที... เครื่องบินสีแดงขาวนั้นคือเครื่องบินที่พวกเราต้องนั่งนะ!
.
.
.
.
.
.
ไปกันเถอะ เจอกันใหม่นะประเทศไทย !!!!!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
..
.
..
.
.
.
.
.
.
..
.
เป็นสิบเอ็ดชั่วโมงที่ยาวนานจริงๆ ......
..........................................
...............................
..................
อาหารมื้อแรกผ่านไป.. และแอร์โฮสเตสก็คอยเสิร์ฟน้ำให้ตลอด
สังเกตว่า ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจากไทย : )
ทีวีฉายหนังสลับกับระยะทางของเครื่องบิน..
การเดินทางครั้งนี้ไม่มีมืด เพราะเรากำลังย้อนกลับไปในอดีต
พวกเราจะมีเวลาชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 5 ชั่วโมง !!!
แต่นั่นก็น่าเบื่อมากที่ต้องอยู่บนนี้ถึง 11 ชั่วโมง
จูนกับเซ่าหยีถูกแยกให้นั่งตรงแถวริมหน้าต่าง ขั้นด้วยทางเดิน แล้วถึงเป็นแถวกลางสี่ที่นั่ง อันได้แก่เฟิร์น ฉัน เอิร์ด แบงค์
และมันก็น่าเบื่อมากจนฉันต้องเปิดการแข่งขันวาดรูปกับแบงค์และให้เอิร์ดเป็นกรรมการ
และทุกคนดูเหมือนจะตั้งหน้าตั้งตารออาหารมื้อต่อไป โดยเฉพาะ เฟิร์นกับแบงค์
และอาหารมื้อที่สองก็มา..
เสต๊กเนื้อ...
...
...
ฮา.....
"เวร"
"จบ"
"ทำไมต้องเป็นเนื้อด้วยวะ!!!!!!!!!!!! T [] T !!!!!!!"
หลายคนไม่สามารถกินเนื้อได้เพราะนับถือเจ้าแม่กวนอิม = v = และแพ้เนื้อ
ฉันก็กินไม่ได้นะ แต่ก็ลองกินซะหน่อย ไหนๆมันก็มาละ 555
ด้วยเหตุนี้ เฟิร์นกับแบงต้องทนหิว ในขณะที่เอิร์ดก็ละเลงเสต๊กของคนรอบข้างไปทั้งหมด 7 ชิ้น
"เฮ้ออ อิ่ม ^ ^"
"กุ ไม่ อิ่ม"
แล้วมื้อที่สองก็ผ่านไปอย่างน่าอนาถ..
และไม่นานนัก เอิร์ดก็กลายเป็นสถานที่ทิ้งขยะ เมื่อบริเวณที่นั่งนั้นเต็มไปด้วยเศษกระดาษจากแบงค์ที่วาดรูปไม่ได้ดั่งใจแล้วฉีกขยำทิ้ง แต่ฉันก็เห็นเอิร์ดแอบเอาขยะพวกนั้น ยัดใส่กระเป๋าแบงค์คืน ยังไงซะก็ให้มันไปเคลียร์กันเอง -.-
"ไอ้เอิร์ดดด!!"
"เฮ้ยย เสียงดังทำไมห๊ะ!"
"555555555555555555555555555555 เค้ากลายเป็นสีทองง เค้าทองงงงง"
มันเป็นเสียงหัวเราะที่อลังการของฉันเอง เมื่อความผิดพลาดของกล้องและแสงไฟสีทองบนหัวทำให้ฉันดูเหมือนว่าเปล่งประกายได้
จากนั้น งานอดิเรกต่อมาคือการถ่ายรูป 5555
แต่ถึงจะทำอย่างไรก็นะ..
เมื่อไรจะถึงซักทีเนี่ยห๊ะเบอร์ลินนนนนนนนนนนนน!!!!!!
.............................................................................................
ความคิดเห็น