ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #9 : ปริศนาของกษัตริย์

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 49



         ในเดือนนี้ ที่ซามานน่านั้นงานยุ่งเพราะจัดให้มีการทดสอบความสามารถของบรรดาผู้ใช้เวทจำนวนมหาศาลจากทั่วทุกสารทิศเท่าที่จะตามตัวกันมาได้ ส่วนที่แพนโทเนียนครหลวงนั้นก็มีงานยุ่งด้วยเช่นกัน บรรดานักเรียนเตรียมทหารและเจ้าพนักงานด้านต่างๆถูกใช้งานจากสภากลางชนิดหัวไม่วางหางไม่เว้น เพราะอีกไม่กี่วันก็จะมีการประชุมผู้ใช้เวทที่เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าใหญ่ที่สุดในรอบหลายร้อยปี


         แน่นอนว่าการประชุมที่จัดขึ้นแบบปุ๊บปับและออกจะใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ย่อมเป็นจุดสนใจของประชาชนตาดำๆทั่วอาณาจักร แต่นั่นยังไม่น่าสนใจเท่ากับหัวข้อการประชุมที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ และยังมีข้อถกเถียงกันตามสภากาแฟทั่วๆไปตั้งแต่เรื่องที่ว่า น่าจะเป็นการคัดสรรผู้ใช้เวทที่อำนาจสูงเข้าไปทำงานเพิ่ม บ้างก็ว่าจะเป็นการสะสางปัญหาเรื่องความเสียหายที่เกิดกับเขตกสิกรรมเมื่อหลายเดือนที่แล้ว จนเลยเถิดไปถึงข่าวลือน่าหัวเราะจำพวกจะส่งผู้ใช้เวทไปฝึกในโรงเรียนเตรียมทหาร หรือการเฟ้นหาตัวราชบุตรเขย แต่อย่างไรก็ตามหัวข้อที่แท้จริงจะเป็นอะไรกันแน่นั้น ผู้รู้จริงเพียงคนเดียวในอาณาจักรซึ่งก็คือองค์ราชายังคงปิดเงียบอยู่นั่นเอง

    *********************


         หลังจากลากเวสกลับจากหอคอยและจัดเตรียมข้าวของต่างๆรวมไปถึงเสบียงที่ทำให้ไดแอซต้องวิ่งวุ่นไปมาระหว่างแผงขายของกับที่พักหลายรอบจนลิ้นห้อยกว่าจะเรียบร้อย พอรุ่งเช้าฟ้ายังไม่สางดีนักมอเดรสก็จูง


         ออบซิเดียนทั้งสองตัวมายืนรอหน้าที่พักตามที่นัดแนะกันไว้ ชายหนุ่มเดินออกมาส่งพวกเขายังประตูเมืองด้านเหนือ ชายหนุ่มยัดอะไรบางอย่างใส่กระเป๋าไดแอซอย่างรวดเร็ว “ไว้ค่อยเปิดอ่านทีหลังนะ” มอเดรสบอกแล้วช่วยส่งตัวเด็กหนุ่มขึ้นไปบนหลังออบซิเดียนซึ่งดูเหมือนจะตัวโตขึ้นเพราะอาหารการกินอันอุดมสมบูรณ์ของวิทยาลัย “แล้วข้าจะตามไปสมทบ” เขาว่าอย่างนั้นพร้อมโบกมือลา


           ออบซิเดียนเร่งฝีเท้าขึ้นเนินเขาเขียวขจี ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังวิ่งแข่งกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางอากาศสดชื่นของยามเช้า เมื่อไดแอซล้วงกระเป๋าออกดูพบว่าสิ่งที่มอเดรสให้นั้นเป็นจดหมายซองหนึ่ง ซองสีจางกรุ่นกลิ่นหอมหวานอย่างประหลาด เด็กหนุ่มพลิกไปพลิกมาหาชื่อเจ้าของแต่ไม่พบ เสียงเตือนของเวสดังขึ้นเมื่อเจ้าตัวตั้งท่าจะแกะออกอ่าน “ข้าว่าเจ้าอย่าเพิ่งอ่านตอนนี้เลย เดี๋ยวเมาออบซิเดียนแล้วจะแย่” เด็กหนุ่มทำตัวเชื่อฟังรีบเก็บซองสีอ่อนลงกระเป๋าเสื้อนอกตัวหนาทันที


         และตอนนี้ไดแอซกำลังนั่งอยู่กับเวสบนหลังออบซิเดียนที่ควบตะบึงผ่านป่าสนขนาดใหญ่ของภาคกลางเพื่อมุ่งสู่จุดหมายคือแพนโทเนียเมืองหลวงซึ่งตั้งอยู่ภาคเหนือนั่นเอง ระยะทางจากซามานน่าถึงแพนโทเนียนั้นจะว่าไปก็ค่อนข้างไกลพอดูทีเดียว ถึงจะใช้ออบซิเดียนก็เถอะนะ เด็กหนุ่มเลยแอบหาวเป็นระยะๆด้วยความเบื่อ ในการเดินทางคราวนี้ไดแอซได้สำรวจจุดพักสมใจหมาย และด้วยความใจดีของมาร์คัสชนิดที่ร้อยวันพันปีจะเห็นสักที ทำให้เด็กหนุ่มได้แวะน้ำตกที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในอาณาจักรซึ่งตั้งอยู่รายทางพอดี


         น้ำตกสายใหญ่ทิ้งตัวลงมาจากเบื้องบนตามแนวหน้าผาสูงลิบกระแทกเข้ากับโขดหินเบื้องลางเป็นกระเซ็นเป็นฟองฝอยกลางอากาศหนาว เมื่อละอองไอของน้ำเหล่านั้นกระทบเข้ากับแสงแดดยามบ่ายก่อเกิดสายรุ้งทอดโค้งงดงามเหนือสายน้ำ


         จนล่วงเข้ารุ่งเช้าวันที่ห้าของการเดินทาง พวกเขาโผล่พ้นแนวป่าออกมายืนอยู่บนเนินเขาเหนือนครแพนโทเนีย นครอันเป็นตำนานของดินแดนแห่งฟินน์เดน


          แสงสีส้มอ่อนทอขึ้นพร้อมๆกับที่ดวงตะวันกลมโตสีส้มอมแดงวาดฟ้า แสงนั้นจับยอดสีเงินของพระราชวังซึ่งสูงตระหง่านอยู่เหนืออาคารบ้านเรือนทั้งหลาย ตัวเมืองค่อยๆสว่างขึ้นทีละน้อย ตามมาด้วยเสียงระฆังบอกเวลายามเช้า


         “เจ้ารู้ไหม” มาร์คัสพูดขึ้น “ราชาซาร์เรสกษัตริย์พระองค์แรกทรงประทานพรประการหนึ่งไว้ให้แก่ดินแดนนี้ พรแห่งความสงบสุขซึ่งจะปรากฏอยู่ทั่วทุกที่สอดแทรกไปในทุกอณูของอากาศ”


    ********************


         พวกเขาเดินจูงออบซิเดียนเข้าเมืองอย่างสบายๆ อากาศยามเช้าหนาวยะเยือกยิ่งกว่าที่ซามานน่าเสียอีก ชนิดที่ว่าหายใจทีมีไอสีขาวตามออกมาด้วย เล่นเอามาร์คัสกับเวสซึ่งไปอยู่แถบเมืองท่าเสียนานไม่ค่อยเจอความหนาวจัดแบบทางเหนือบ่อยนัก สั่นขึ้นมาได้เหมือนกัน ส่วนไดแอซฝ่ายนั้นไม่มีท่าทางว่าหนาวอะไรเลย ทั้งๆที่เจ้าตัวสวมเพียงเสื้อนอกที่ค่อนข้างบางเท่านั้น


         “ทำไมมันหนาวยังงี้นะ” เวสอุบอิบพลางกระชับเสื้อตัวหนาเข้าอีก “ก็ไม่ได้มาทางเหนือเสียนานนี่ ฟอนเทนเบิร์กเองยังไม่หนาวเท่านี้เลย” มาร์คัสบ่นบ้าง “หิมะแรกก็กำลังจะตกแล้วด้วย”


         ทางเดินที่ปูอิฐก้อนโตพาพวกเขาลัดเลาะผ่านเมืองไปยังจุดหมาย บ้านเรือนของที่นี่ส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ท่อนหนา มีบางส่วนเป็นบ้านซึ่งก่ออิฐฉาบปูนเขียนลวดลายสีสันสดใสตามอย่างสถาปัตยกรรมพื้นเมืองที่ดูแผกตาไปกว่าบ้านเมืองทางใต้ และแน่นอนว่าหน้าบ้านทุกหลังต่างก็มีต้นสนประดับไว้เหมือนที่ซามานน่า


         ทั้งสามจัดการเรื่องที่พักและต่อรองราคาได้ในเวลาอันสั้น ที่พักคราวนี้เป็นอาคารไม้หลังไม่ใหญ่นักที่สร้างใหม่ในสไตล์ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมที่เน้นความเป็นเมืองทางเหนือแท้ๆ ซึ่งผู้คนนิยมเขียนลวดลายลงบนบานประตู หน้าต่างและผนัง ตามระเบียงประดับด้วยสนขนาดเล็กพร้อมเครื่องห้องแขวนเข้ากับฤดูกาล ดูแล้วเป็นที่พักที่ค่อนข้างน่าอยู่ทีเดียว แถมที่สำคัญเจ้าของซึ่งเป็นคุณลุงแก่ๆยังใจดีลดให้พวกเขาอีกด้วย


         เมื่อเช่าคอกสัตว์รวมถึงขนข้าวของเข้าห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาที่มาร์คัสกับเวสจะต้องไปรายงานตัวต่อสภากลางตามหมายส่งที่จอมปราชญ์มอบให้


         “ไดแอซ!! เจ้าจะไปกับพวกเราหรือเปล่า” มาร์คัสโผล่หน้าเข้ามาถาม “แน่นอน!!
    เด็กหนุ่มตอบแล้วรีบหยิบเสื้อคลุมวิ่งตามออกมา ในเมื่อมีโอกาสมาเมืองหลวงทั้งทีแล้วใครมันจะยอมอุดอู้อยู่ในห้องเล่า สู้ออกไปเปิดหูเปิดตาชมเมืองเสียยังจะดีกว่า


    ***************************


         พวกเขามุ่งหน้า ไม่สิ… ก้มหน้างุดๆตรงไปยังตัวเมืองด้านตะวันออกซึ่งเป็นศูนย์รวมของสถานที่ราชการต่างๆ ซึ่งกว่าจะถึงก็ขาลากไปตามๆกันทีเดียว เพราะเหตุที่มาร์คัสเกิดคิดอะไรได้ก็ไม่รู้ต้องการจะประหยัดเงินอันมีค่าเอาไว้นั่น เลยบังคับให้เดินๆออกกำลังกายเอาดื้อๆโดยไม่ฟังเสียงพวกเขาที่แหกปากโอดครวญกันดังลั่น


         กำแพงอิฐสีขาวสูงท่วมหัวสลับกับรั้วโปร่งลวดลายดอกไม้อ่อนช้อยรายรอบเขตที่ทำการสภากลาง ถนนสายใหญ่ที่ทอดตัวพาดผ่านนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่กำลังเร่งรีบเดินสวนพวกเขาไป บ้างก็เป็นนักเรียนเตรียมทหาร บ้างก็เป็นพนักงานสังกัดหน่วยงานต่างๆ


         “ทำไมทหารพวกนี้ถึงแต่งตัวแปลกจัง”


         ไดแอซทักขึ้นเมื่อทั้งสามสวนกับทหารในชุดเต็มยศกลุ่มหนึ่ง ทหารเหล่านั้นสวมเสื้อแขนยาวคอตั้งสีทึบคาดผ้าเคียนเอวสีหม่น กับกางเกงขายาวสีเดียวกันทิ้งตัวลงคลุมรองเท้า ดาบยาวเรียวที่สะพายไว้ข้างลำตัวนั้นถูกซ่อนอยู่ภายในเสื้อคลุมสีเข้มเดินดิ้นเช่นผู้ใช้เวท


         “พาลาดิน ทหารเวท”


         มาร์คัสให้ความกระจ่างแก่เด็กหนุ่ม “พวกนั้นจะสอบคัดเลือกเอาจากผู้ใช้เวทฝึกหัดชั้นต้นปี3 มาเรียนร่วมกับพวกนักเรียนเตรียมทหาร พอจบปุ๊ปก็ประดับยศปั๊บแล้วก็ออกมาเดินเท่อย่างที่เห็นนั่นแหละ” เขาว่าอย่างนั้น “แล้วท่านเคยสอบหรือเปล่า?” ไดแอซถามต่อ “เคยสิ” เป็นเวสหันมาบอกบ้าง


         “ผ่านแต่ไม่เรียนใช่ไหม?”


         “ใครว่าล่ะ ไม่ผ่านตั้งแต่ภาคปฏิบัติแล้ว รู้สึกคราวนั้นจะมีคำสั่งให้วิ่งรอบไอ้ลานทดสอบนั่น 10 รอบ ข้ากับมาร์คัสดับเครื่องจอดไปตั้งแต่รอบที่ 3 แล้ว มีสักสามสี่คนที่มีปัญญาวิ่งครบ 10 รอบ ข้างี้แทบอยากลงไปกราบงามๆแล้วถามพวกมันว่ากินอะไรเป็นอาหารถึงได้อึด และถึกปานนี้ พอเข้าเรียนได้พวกมันกลับมาเล่าให้ฟังว่า โหดหินยิ่งกว่าอะไรดี เคี่ยวแล้วเคี่ยวอีกจนน้ำต้มกระดูกยังยอมแพ้ กว่าจะจบออกมาได้น้ำตาแทบไหลพรากๆเป็นสายเลือด พวกพาลาดินเลยมีน้อย ส่วนใหญ่ก็ประจำการอยู่ในเขตแพนโทเนียนี่ล่ะ”


         เด็กหนุ่มทำหน้าเข้าอกเข้าใจพอดีกับที่พวกเขาเดินมาจนถึงซุ้มประตูใหญ่ “ใช่ที่นี่ละ” มาร์คัสพยักหน้ากับเวสก่อนจะเดินนำเข้าไป


         สองข้างเป็นสวนที่จัดตกแต่งเตรียมรับฤดูหนาวที่กำลังมาเยือน โคมไฟสลับกับรูปปั้นหินของสิงห์ตัวโตนั่งนิ่งอยู่ขอบทางเดินตลอดแนว อาคารขนาดมหึมาซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยหินสลักลวดลายต่างๆอันเป็นเอกลักษณ์ตามแบบสถาปัตยกรรมเก่าแก่ตั้งตระหง่าน ยืนหยัดผ่านไฟสงครามและการเปลี่ยนแปลงมาหลากยุคหลายสมัย แลดูคล้ายผู้ชราที่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างามให้ชนรุ่นหลังได้พบเห็น บนยอดโดมสูงธงสีแดงเข้มปักรูปดาบไขว้กับรวงข้าวสาลีตราสัญลักษณ์แห่งกษัตริย์และประชาของแพนโทเนียโบกสะบัดในสายลมยามเช้า


         ภายในอาคารหลังใหญ่อันเป็นที่ทำการของสภากลางนั้นค่อนข้างจะครึกครื้นเสียแต่เช้า มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสีออกน้ำตาลมากมายเดินกันให้วุ่น ด้วยว่าอีก 1 สัปดาห์หลังจากนี้จะมีการจัดประชุมผู้ใช้เวทตามคำสั่งขององค์กษัตริย์จึงต้องมีการเตรียมงานอะไรต่อมิอะไรทั้งหลายทั้งปวงเอาไว้ก่อน เพราะจำนวนผู้ใช้เวทที่จะเข้าร่วมนั้นไม่ใช่แค่หลักร้อยแต่ทะลุเลยไปจนถึงห้าร้อยโน่น


         “ทำไมมันปุ๊ปปัปอย่างนี้นะ ให้เวลาเตรียมการแค่สัปดาห์เดียวเอง” ชายหนุ่มแว่นหนาที่หอบแฟ้มกองใหญ่บ่น “คนตั้งเป็นร้อยๆเชียว นี่แทบจะปิดโรงเรียนเตรียมแล้วยังไม่รู้จะเสร็จทันหรือเปล่าเลย” คู่สนทนาเสริม “อ้าว ท่านผู้ใช้เวท” อีกฝ่ายหันมาเห็นพวกเขาเข้า “ถ้าจะมารายงานตัวเชิญด้านในเลยครับ”


         ทั้งสามเดินไปตามทางที่ชายหนุ่มผู้นั้นบอก ผ่านโถงที่ค่อนข้างกว้างขวางพอดู ไดแอซแหงนมองเพดานที่ยกตัวสูงประดับประดากระจกสีเป็นเรื่องราวของการก่อตั้งอาณาจักร ส่วนบนพื้นหินอ่อนสีเทามีแสงวูบๆวาบๆเป็นระยะจากการใช้เวทย้ายที่ขึ้นลงของเจ้าหน้าที่ ทั้งสามเดินเลี้ยวไปทางปีกซ้ายจนพบป้ายประกาศอันเบอเร่อตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางทางซึ่งแจ้งว่าให้พวกเขาเข้าไปรายงานตัวยังห้องที่ตั้งอยู่ตรงกับป้ายอันนี้


         การรายงานตัวใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่ทำเอามาร์คัสกับเวสที่เข้าไปรายงานตัวนั้นประสบภาวะปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างสุดแสน อันเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่แว่นโตในห้องนั้นรื้อเอาม้วนกระดาษซึ่งหนาเสียยิ่งกว่าโต๊ะสักสามสี่เท่ามาวางปึงตรงหน้า หลังจากที่พวกเขายื่นหมายส่งตัวให้แล้วเริ่มคลี่ม้วนกระดาษไล่หาชื่อ ยิ่งนานไปยิ่งมีกระดาษมากองตรงหน้าเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเจอสิ่งที่หาเสียที


         เวสอดรนทนไม่ไหวเลยโดดเข้าไปร่วมวงด้วย “อ่า….เจอแล้วละค่ะ” เจ้าหน้าที่หญิงบอกกับเขาด้วยรอยยิ้ม รายชื่อทั้งคู่เป็นสองชื่อสุดท้ายคนที่ 499 กับ 500 พอดิบพอดี “เฮ้อ รู้งี้ไล่มาจากหลังก็ดีหรอก” เวสปาดเหงื่อก่อนจะเซ็นรายงานตัว


         ชายหนุ่มกับมาร์คัสออกมาพบไดแอซที่อยู่ในสภาพยืนสัปหงกหงึกๆอยู่หน้าห้องเพราะค่อนข้างเหนื่อยล้าจากการเดินทางอยู่พอตัว ทั้งสองมองเด็กหนุ่มที่หลับอยู่แล้วหันมามองหน้ากันเป็นเชิงว่า ถ้ามันไม่ยอมตื่นข้าไม่คิดจะแบกมันไปแน่ๆ แล้วจึงร่วมแรงร่วมใจช่วยกันเขย่าตัวปลุก


         “อ่า…..เสร็จแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มตื่นในเวลาอันสั้น เขาขยี้ตาพร้อมหาวหวอดๆ “เออสิ กลับที่พักกันได้แล้ว” มาร์คัสบอกก่อนจะเดินนำออกไปอย่างรวดเร็ว


    ****************************


         ตลอดหลายวันที่เด็กหนุ่มมาอยู่แพนโทเนียนั้นเจ้าตัวใช้เวลาทั้งหมดไปกับการลากสองหนุ่มเที่ยวตะลอนๆตามสถานที่ขึ้นชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิหารพาราเทีย จตุรัสดวงดาว หรือแม้กระทั่งตลาดนัด ตลาดสด เขาก็ไปตะลุยมาแทบจะทุกซอกทุกมุมแล้ว


         ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มเลยค่อนข้างงานยุ่งเป็นพิเศษ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปจนครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่พวกผู้ใช้เวทเดินกันให้เกลื่อน และดูเหมือนว่ามาร์คัสกับเวสจะพบบรรดาอดีตเพื่อนร่วมชั้นซึ่งบังเอิญยกขบวนกันมาพักที่เดียวกันกับพวกเขา


         “เฮ้อ” ไดแอซนอนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงพลางแทะขนมพลางระหว่างที่มาร์คัสกับเวสลงไปสังสรรกับเพื่อนฝูง เขาเองก็ไม่มีอะไรจะทำ นั่งฟังไปก็ไม่รู้เรื่องเด็กหนุ่มเลยขอตัวขึ้นมาก่อน “ข้าลืมอะไรไปนะ” คิดพลางแทะขนมปังแท่งที่ซื้อมากักตุนพลางจนหมดไปโขก็ยังนึกไม่ออกเสียที


         มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ค้างคาใจเขาอยู่ “อะไรนะ คราวนี้ต้องนึกให้ออกละ” แล้วเจ้าตัวก็เดินวนไปวนมารอบห้องเหมือนชะมดติดจั่นไม่มีผิด


         “อ้าว! ข้ายังไม่ได้เอามันใส่ตู้อีกเหรอ” สายตาของไดแอซเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมที่ใช้ตั้งแต่วันเดินทางพาดอยู่กับพนักเก้าอี้ “ข้านี่น๊า” ว่าพลางสะบัดเสื้อพลางจนอะไรบางอย่างร่วงหล่นลงมา


         “ซองนี้…… จดหมายที่มอเดรสให้ไว้นี่” เจ้าตัวนึกขึ้นมาได้ ทันทีที่แกะซองกลิ่นหอมหวานอ่อนๆของดอกไม้โชยออกมา “กลิ่นนี้” เด็กหนุ่มนึกถึงอะไรบางอย่างที่คุ้นเสียเหลือเกินแต่…….. เขาก็จำไม่ได้อีกนั่นล่ะ เจ้าตัวเกาหัวแกร๊กๆอย่างขัดใจปนโมโห “เอ้อ!! ให้มันได้อย่างนี้สิ ทำไมข้าเหมือนคนแก่เลยนะ ไม่ไหวๆ”


         วูบ


         ลมหนาวเยือกพัดเข้ามาพาให้ม่านสีขาวปลิวไสวขึ้น “ข้า….ไม่ได้ปิดหน้าต่างหรอกหรือ” เด็กหนุ่มรีบวางจดหมายลงบนโต๊ะเอาถ้วยชาทับไว้ลวกๆแล้ววิ่งตรงไปปิดหน้าต่าง “เห…. ก็สนิทดีแล้วนี่” ไดแอซลองขยับบานหน้าต่างไปมารวมถึงสำรวจกลอนที่ก็แน่นหนาดีเสียด้วย


         “หอม”


         ครานี้ไดแอซแน่ใจว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้หลากชนิดในฤดูใบไม้ผลิผสมกันตลบอบอวลอยู่เต็มห้อง ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังมีเพียงกลิ่นชาร้อนๆที่บริกรเพิ่งนำมาเติมให้ “เมื่อกี้ก็กลิ่นดอกไม้ นี่ก็อีก” เด็กหนุ่มมองซองสีอ่อนในมือแล้วทำท่าสงสัยเต็มแก่


         “ทำไมวันนี้ข้ารู้สึกแปลกจัง ลืมอะไรต่อมิอะไรตั้งหลายอย่าง เมื่อกี้ข้าจะกำลังจะทำอะไรแล้วอ่ะ” ไดแอซยืนหมุนไปหมุนมามองหาสิ่งที่ว่า


         “ง่วง”


         จู่ๆคำนี้ก็แทรกเข้ามาในหัวของเขา “หาว” เจ้าตัวหาวออกมา “ทำไมข้าง่วงไปได้ละเนี่ย” เด็กหนุ่มว่าพลางเดินตรงไปยังเตียงที่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันทั้งหนานุ่มและอุ่นสบายทีเดียว


          “ข้า…….ลืมอะไรไปนะ”


         สำนึกสุดท้ายก่อนที่นิทราจะครอบคลุมเขาคือภาพของทุ่งดอกไม้อันกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนสวรรค์และหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดกระโปรงสีขาวทรงเอ็มไพรด์ที่เขาไม่อาจมองเห็นหน้าของเธอ


    ************************


         โต๊ะในร้านอาหารหน้าที่พักซึ่งเพิ่งย้ายมาตั้งหลบมุมแสงแดดนั้นคึกคักไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มชายหนุ่มในชุดคลุมคล้ายๆกันห้าถึงหกคน นั่นก็คือพวกมาร์คัสกับเวสที่เพิ่งเสร็จจากการยกพลออกไปเดินเที่ยวระลึกความหลังกัน


         “เสียดายที่มากันไม่ครบ” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น “นั่นสิข้าเองก็อยากเจอจาห์มีเหมือนกันนะ หลังฝึกงานคราวนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย พวกเจ้าเล่นลงไปทำงานทางใต้กันหมดนี่” ชายหนุ่มผมดำว่า “เจ้าก็ตามไปด้วยเลยสิ ไปรับจ้างปลูกข้าวที่เวเนเซียปะไร หรือไม่ก็ไปอยู่ไร่ไวน์ซาเบอร์นพรวนดินต้นแชรี่ ใช่ไหมมาร์คัส” เจ้าตัวดีหันไปหาเสียงสนับสนุนจากชายหนุ่มข้างตัว “พูดดีไปราดีส เดี๋ยวข้าส่งเจ้าไปทำบ้างแล้วจะหนาว” มาร์คัสทำท่าข่มขู่เพื่อนพลางจิบน้ำแกลเบอรี่ เรียกเสียงหัวเราะจากปากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี


         “แล้วเด็กที่มาอยู่กับเจ้าล่ะ” ชายหนุ่มนามราดีสถาม “ไดแอซน่ะเหรอ กัปตันอาเรสคนรู้จักข้าเขาฝากไว้น่ะ” ชายหนุ่มไขข้อข้องใจ “เสียความทรงจำด้วย” เวสเสริมให้ “เอ้อ” มาร์คัสทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้ “แล้วไดแอซล่ะ” ชายหนุ่มถาม


         “มันถวายบังคมลาไปนอนตั้งนานแล้ว” เวสตอบ “เอ่อ…อ่า ลืมอ่ะ หมู่นี้ข้าชักติดโรคขี้ลืมของเจ้าไดแอซซะแล้วสิ” มาร์คัสหัวเราะ “ข้าจะไปดูมันหน่อย เดี๋ยวมา”


    **********************


         มืด………มืดอีกแล้ว ไม่มีแสงเลย อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ข้าติดอยู่ในความฝันสีดำอีกแล้วเหรอ เด็กหนุ่มนึก

    ------------------------------
    แก้ไขเรียบร้อยค่ะ ปาดเหงื่อเลยนะเนี่ย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×