ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #6 : วงกตและความทรงจำ

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 49


        
         สภาพภายในวงกตไม่ได้เป็นกำแพงผุๆพังๆหรือเป็นสวนพฤษศาสตร์ย่อมๆที่เต็มไปด้วยสารพันพืชราและตะไคร่น้ำอย่างที่ได้เห็นกันภายนอก กำแพงทั้งหลายซึ่งกั้นวงกตด้านในนั้นบางใสประดุจแก้ว ทว่าก็แข็งแกร่งไม่อาจทะลุผ่านไปได้  ทั้งยังขุ่นมัวจนยากจะคาดเดาได้ว่า อีกฟากคืออะไร มีสิ่งใดกำลังรออยู่  คบไฟที่ปักบนผนังในบางตอนของเส้นทางนั้นส่องแสงวับๆแวมๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง  เบื้องบนยังคงห่มคลุมด้วยท้องฟ้าหน้าหนาวผืนเดิม
         
         หลังจากยึดหลักทางสายกลางมานาน  มาร์คัสที่ก้มหน้าก้มตาเดินโดยไร้อุปสรรคใดๆเกิดความสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ  เขาจึงติดสินใจมองหาทางอื่นดูบ้าง เมื่อเดินมาจนพบทางแยกทางหนึ่งเขาลองเดินไปตามทางนั้น  เป็นทางที่ค่อนข้างมืดเอาการ  แถมกลิ่นยังให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้ามาในถ้ำอับชื้นไม่ถูกแสงมานาน  
          
         มาร์คัสคว้าคบไฟมาถือไว้ ด้วยไม่หวังอาศัยแสงจากท้องฟ้าที่เป็นเหมือนผ้าผืนหนึ่งซึ่งในตอนนี้กลายเป็นสีดำไปแล้ว  เสียงเหมือน…..อะไรสักอย่างพังถล่มโครมๆลงมา  ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังเดินตามทางมาจนถึงหัวมุมแรก
     
         "เฮ้ย!!!"  เขาทิ้งคบเพลิงแล้วกระโดดหลบทันที  เมื่อมีผู้ใจดีส่งลูกไฟขนาดยักษ์กว่าออกมาจากมุมให้แทน และยังพุ่งเฉียดแขนเขาไปนิดเดียวเสียด้วย  เสียงเดินเตาะแตะๆ สะท้อนมาตามทางเดิน  ชายหนุ่มกลั้นใจชะโงกหน้าเข้าไปดู
     
         ร่างของมังกรเกล็ดดำมะเมื่อมตัวโตเท่าบ้านสี่ชั้นหลังย่อมๆ เยี่ยมกรายมาให้เขาชมเป็นขวัญตา  มาร์คัสส่งยิ้มแห้งๆไปให้  มันเป็นมังกรดำพันธุ์หายากของธาตุไฟชัดๆ นี่เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นตัวใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก ดูเหมือนจะโตเต็มวัยแล้วอีกต่างหาก ขนาดมังกรฟ้าแบบเบบี้ที่เป็นธาตุน้ำยังต้องอาศัยผู้ใช้เวทไฟถึงสามต่อหนึ่ง  แล้วเขาต้องมาเจอกับมังกรธาตุไฟเต็มวัยแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แถมอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิดอีกด้วยสิ  โชคดีอะไรเช่นนี้
     
         ชายหนุ่มนึกอย่างไรไม่ทราบจึงร่ายเวทละอองวารีใส่มังกร  คงหวังดีจะดับไฟ  แต่ดูแล้วเหมือนเอาน้ำหนึ่งจอกไปราดกองไฟกองใหญ่ซะมากกว่า  เจ้ามังกรดำยิ่งโมโหมากขึ้น  มันสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เป็นการส่งสัญญาณว่าจะพ่นไฟแล้วนะจ๊ะ  หลบดีๆล่ะ

          เมื่อมาร์คัสเห็นผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนั้น เขารีบหันหลังกลับติดตีนหมาแล้วสับเท้าวิ่งไม่คิดจะเหลียวหลังไปดูว่าไฟที่มังกรพ่นฟู่ออกมานั้นสวยงามแค่ไหนหรือแปลกอย่างไร  ชายหนุ่มขมุบขมิบส่งเวทเกราะวารีไปชะลอไม่ให้ไฟซึ่งพุ่งพรวดๆไล่ติดหลังมาเป็นทางลุกลามเข้ามาถึงตัวเร็วนัก
     
         "พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกด้วย. 
     
         "ร้อนหลังยังไงชอบกล.  มาร์คัสนึกแล้วหยุดวิ่ง  เมื่อเขาหันกลับไปดูพบว่าตัวต้นเหตุไม่ได้วิ่งตามมาแล้ว แต่ส่งของแถมมาลุกไหม้ตรงชายเสื้อคลุมเขาแทน  ชายหนุ่มวางมือบนเสื้อคลุมสักพักไฟค่อยๆดับลง ชายเสื้อที่ดำปี๋ไหม้เกรียมกลับสะอาดเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง  
     
         เขายืนพิงกำแพงหอบแฮ่กๆอยู่ตรงทางเข้า  "หวังว่าคงไม่มีใครเห็นหรอกนะ"  ชายหนุ่มแอบภาวนาอย่างนั้น  แต่ที่แน่ๆ ภาพสามมิติบนวงกตช่วงนั้นเลือกเขาเป็นตัวเอกตลอด  ภาพที่ผู้ใช้เวทหนุ่มวิ่งหนีมังกรสุดฝีเท้าได้ออกสู่สายตาชาวประชาที่นั่งชมอยู่อย่างค่อนข้างจะชัดเจน  เรียกเสียงหัวเราะได้ครื้นเครงทีเดียว
     
         "ข้าจะไม่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปไหนอีกแล้ว"  ชายหนุ่มตั้งใจอย่างแน่วแน่  เขาเดินลากเท้ามาเรื่อยๆเนื่องจากพลังงานส่วนมากหมดไปกับการวิ่งหนีสุดชีวิตเมื่อครู่ 
     ท้องฟ้าสีใสเบื้องบนเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างฉับพลัน  ชายหนุ่มหันมองรอบกายด้วยความแปลกใจ กำแพงและเส้นทางที่เขาเดินเมื่อครู่อันตธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยดุจความฝัน หมอกหนาปรากฏเป็นฝ้าสีขาวขุ่นปกคลุมรอบกายเขา

          มาร์คัสงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว  เขาตัดสินใจเดินฝ่าไอหมอกหนาไปอย่างไม่รู้ทิศทาง  มืดนัก .....มืดไร้แสงอันใด  
     
         แว่วเสียงเด็กกำลังร้องไห้อยู่เบื้องหน้า  ชายหนุ่มรีบเดินตรงเข้าไปหา  หมอกหนาพลันแหวกทางให้เห็นภาพเด็กชายผมทองตัวจ้อยในชุดดำนั่งร้องไห้อยู่กับพื้น  "พ่อ….แม่  ฮือๆๆ …..ทำไมถึงทิ้งข้าไป"  ภาพตรงหน้าชวนปวดใจยิ่งนัก เด็กชายดูอายุไม่เกินแปดขวบด้วยซ้ำกลับต้องมาพบกับความสูญเสียเช่นนี้ 
     
         "ท่านอา"  เด็กชายร้องแล้วโผเข้ากอดชายหนุ่มผู้มีเค้าหน้าและผมสีคล้ายกับเขาในชุดผู้ใช้เวทที่โผล่ออกมาจากเงามืด  "นิ่งเสียเถิด  ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว"  ชายหนุ่มลูบหัวเด็กน้อยพลางปลอบใจ  "ต่อไปนี้ข้าจะอยู่กับเจ้า"  
     
         เด็กน้อยยึดเสื้อของผู้เป็นอาไว้แน่น   "ท่านอย่าทิ้งข้าไปนะ….อย่าหนีข้าไปไหน"  เด็กชายสะอื้นไห้  ชายหนุ่มปาดน้ำตาบนใบหน้าเล็กๆ  "ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าไม่หนีเจ้าไปไหนแน่นอน"  เขายิ้มให้ "สัญญา...."  ชายหนุ่มเกี่ยวก้อยแล้วโยกหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู  "ไปกันเถอะ  เราไปหาอะไรกินกัน"  ชายหนุ่มดึงร่างเล็กให้ลุกขึ้นเดินไปกับเขา  สองร่างหายลับไปในความมืดและเงาหมอก  

          "ท่าน…."  คำเรียกชื่ออีกฝ่ายติดอยู่ที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม  จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้เด็กน้อยดูเติบโตขึ้นมาก  เขา…..อยู่ในชุดดำอีกครั้ง 
     
         "ท่านอา….ไหนบอกว่าจะไม่ทิ้งข้าไป"   เด็กชายตรงหน้าอายุราว12-13 ขวบซบหน้าลงกับเตียงอันว่างเปล่า ภาพค่อยๆเลือนหายไป กลับเป็นสายหมอกว่างเปล่าดังเดิม  "ข้า…."  ชายหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้น  "ข้าผิดเองใช่ไหม  ทั้งหมดนั่นเพราะข้าไม่ดีเอง"  
     
         วันที่ร่างไร้วิญญาณถูกส่งกลับมาถึงบ้าน  คำขอโทษซึ่งไม่มีโอกาสได้เอื้อนเอ่ย  ความมืดที่ห้อมล้อมตัวเขาดูเหมือนจะบีบอัดเข้ามาเรื่อยๆ  ราวกับจะหลอมรวมให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกับมัน  สีดำ……..
     
         ภาพความทรงจำทั้งหลายค่อยๆปรากฏทับซ้อนกันรอบตัวเขามากมาย  ทั้งเต็มไปด้วยรอยยิ้มและน้ำตา   "จงจำไว้และระลึกให้ได้ว่า  อดีตจะอยู่กับเราตลอดไป"   คำพูดของผู้เป็นอาจารย์ผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง   
     
         ชายหนุ่มลุกขึ้น  มือกำสร้อยคอรูปกุญแจไว้แน่น ตอนนี้ภาพตรงหน้าเขาเป็นเด็กชายกำลังวิ่งเล่นไปรอบๆตัวของผู้เป็นอา เขาหยุดยืนมองดูภาพนั้นเป็นนาน  รอยยิ้มเศร้าปรากฏขึ้น  "ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่าน  แม้เราจะอยู่ด้วยกันเป็นเวลาไม่นาน  แต่ข้าจะขอจดจำสิ่งดีๆนี้ไว้ตลอดไป"
     
         มาร์คัสเดินผ่านภาพเหล่านั้นออกมาสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง  หมอกหนาหมุนวนเป็นวงกลมอยู่รอบกาย ชายหนุ่มหลับตาลง  เมื่อเขาลืมตาอีกครั้งพบว่าตนเองกลับมายืนอยู่ในวงกตดังเดิม  
     
         เขาระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก  ชายหนุ่มนั่งแปะลงบนพื้น มือยังคงกำสร้อยคอไว้  หลังจากนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง  "ต้องไปต่อเสียที"  มาร์คัสรีบลุกขึ้น  "แย่แล้ว!! หน้ามืด"  เขาเอามือยันกำแพงได้ทันเวลา  จ๊อกๆๆ!!!  ตามมาด้วยเสียงท้องร้องลั่น
     
         "หิวแล้วด้วย"  เขาลูบท้อง "ข้าวอยู่ไหน"  คิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ไม่มีอาหารมาวางเป็นจุดๆรอไว้แน่นอน  ตอนนี้เขามีทางเลือกทางเดียวคือต้องเดินไปให้ถึงทางออก ซึ่งดูแล้วมันไกลแสนไกลเท่านั้น 
     
         ชายหนุ่มเริ่มออกเดินพลางคิดว่าทางในวงกตมันยาวมันวกวนเสียจริง  เขาเดินจนขาลากลิ้นห้อยก็ยังไม่เจอทางออก  เอ๊ะ!  "หรือเขาจะเดินมาผิดทาง"   แต่ถ้าผิดก็คงผิดตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้คงทำได้แค่ปลงอย่างเดียว…

                                                                    ***********************
     
         ชายหนุ่มผมแดงกระโดดหลบวุ้นเหนียวๆก้อนที่ 20 จากตัวทัฟซึ่งโดยทั่วไปมีลักษณะกลมๆหยุ่นๆ สีออกโทนเขียว ปกติค่อนข้างน่ารักน่าใคร่พอดู  แต่ในที่นี้เวสขอเติมคำว่าน่าฆ่าเพิ่มไปอีกด้วย ก็เวลานี้เขาหลุดเข้ามายืนอยู่กลางวงล้อมของบรรดาตัวกลมๆพวกนี้เข้า 
     
         "คงต้องเล่นแบบนี้เสียแล้ว"  นัยน์ตาสีเทาเป็นประกาย  "อัคคีพิฆาต"  เขาเหวี่ยงเวทใส่สัตว์ตัวที่ว่า  เปลวเพลิงร้อนแรงเผาผลาญทุกอย่างจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน "หมดซักที  ยั้วเยี้ยจริงเลย"  เขาปาดเหงื่อหลังจัดการฝูงทัฟสีชมพูที่ดาหน้าเข้ามาหาราวรักเขาเป็นนักหนา  ชายหนุ่มทำหน้าปุเลี่ยนๆเมื่อนึกถึงสีหวานจ๋อยนั้น "จอมปราชญ์ช่างคิดเสียจริงๆ"  
     
         เวสรีบล่าถอยออกจากมุมนั้นทันที  ชายหนุ่มหันหลังเลือกที่จะมุ่งหน้าเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม  "คราวนี้ขออะไรก็ได้ที่มันดีกว่านี้หน่อย"  เขานึกพลางเดินพลาง ผ่านซอกมุมต่างๆที่แว่วเสียงการต่อสู้มาให้ได้ยินเป็นระยะๆ  "การทดสอบนี่สัตว์ประหลาดเต็มไปหมดเลย"  ชายหนุ่มแอบชะโงกเข้าไปมองผู้ใช้เวทดินกำลังปะทะกับออบซิเดียนอย่างเมามันส์  
     
         "เจอพวกเดียวกัน  ดวงไม่ดีเอาซะเลย"  
     
         "แล้วมาร์คัสจะเป็นอย่างไรบ้างนะ"  เขาคิดถึงผู้เป็นเพื่อนซึ่งได้รับเกียรติอย่างสูงให้ประเดิมสนามเป็นรายแรก  "เห็นมันมุ่งมั่นเดินทางสายกลาง  ไม่รู้ป่านนี้จะเจอทางออกกับเขาหรือเปล่า"
     เดินพลางคิดพลางขาเจ้ากรรมเลยพาเขาให้หักเลี้ยวตามทางที่ทอดสู่ห้องมืดโดยไม่รู้ตัว  "ห้องอะไรหว่า  มืดจริง"  เขาเสกไฟเย็นลูกกลมๆขึ้นมาให้แสงสว่าง  "อับเสียด้วย" เจ้าตัวย่นจมูกกับกลิ่นที่ไม่ค่อยโสภาเท่าใดนัก แหมะ.... เขาเขาเหยียบลงบนพื้นที่ชื้นและแฉะ 
     
         เสียงคำรามต่ำๆดังขึ้น  "ข้าว่าเสียงนี้มันคุ้นๆอยู่นะ"  ยังไม่ทันที่สมองของชายหนุ่มจะเริ่มประมวลผลค้นหาคำตอบ ห้องก็พลันสว่างขึ้นเผยโฉมตัวปริศนาที่อยู่เบื้องหน้าเขา
     
         เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายที่ผู้ใช้เวทแทบทุกรายไม่มีใครอยากพบไม่อยากเจอในการทดสอบนี้
     
         "มังกรเกล็ดดำนี่นา" เขาอุทาน  "……งั้นข้าไม่อยู่แล้วเผ่นดีกว่า"  ชายหนุ่มว่าง่ายๆก่อนจะหลับหูหลับตาโกยแนบรวดเดียวออกมายืนงงอยู่นอกทางนั้น  "ไม่ใช่ทางที่ข้าเลี้ยวเข้าไปเมื่อครู่นี่  หรือว่าข้าวิ่งสวนมังกรออกมา"

                                                                 ********************
     
         มาร์คัสเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินวนอยู่  "ข้าว่าข้าเดินผ่านกำแพงรูปร่างหน้าตาอย่างนี้มาเป็นเที่ยวที่ร้อยเอ็ดแล้วนะ"  ชายหนุ่มจ้องกำแพงส่วนที่ว่าเขม็ง  เจ้าตัวพยายามหาร่องรอยมาสนับสนุนข้อสรุปที่ตนเองตั้งขึ้น  แต่กำแพงใสๆนั้นจะมองมุมไหนมันก็แววๆเหมือนกันเสียหมด  "..แต่เขารู้สึกคุ้น…จริงๆนะ" 
     
         ชายหนุ่มตัดสินใจนั่งมันลงตรงนั้น  "ต้องมีใครสักคนผ่านมาแน่ๆ"  ใช่แล้ว เขากำลังคิดจะเกาะติดผู้ใช้เวทคนไหนก็ได้ที่เดินผ่านมาทางนี้   "หลงแล้วเรา ทางมันวกวนอย่างแรงเลยอ่ะ"   เสียงบ่นแว่วๆมา ชายหนุ่มเริ่มชะโงกมองหาต้นเสียง
     
         ร่างคุ้นตาของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่หัวโค้ง ร่างนั้นกำลังเดินตรงมายังจุดที่เขานั่งอยู่  
     
         "มาร์คัส….."
     
         อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแกมสงสัย  ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าซึ่งผมเผ้ายุ่งเหยิงมีสภาพราววิ่งมาราธอนผ่าทะเลทรายอายัน แล้วต่อด้วยการไปวิ่งสู้ฟัดกับหมาทั้งฝูงมาก็ไม่ปาน
     
         "เวส………."
     
         มาร์คัสเองก็ไม่ค่อยอยากเชื่อสายตาสักเท่าใดนัก  เพื่อนผู้น่ารักของเขาเองก็มีสภาพน่าสมเพชไม่แพ้กัน  ผมที่ปกติยุ่งฟูอยู่เป็นทุนเดิม มาคราวนี้ชี้กระเซิงราวกับแผงคอสิงโตและยังติดโคลนหนาเตอะ เหมือนลงไปชุบตัวในบ่อโคลนแล้วมาโดนปิ้งต่อ 
     
         เวสไม่รอช้าทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงข้างๆเขา  "เป็นไงบ้าง"  ชายหนุ่มถามเพื่อน  "ก็ดี๊  ดีอย่างมากเลยล่ะ"  เวสประชดพลางถอดเสื้อคลุมออกแล้วเริ่มแกะโคลนซึ่งมีทีท่าว่าจะติดแข็งออกจากเสื้อเชิ้ตตัวใน  "ไม่น่าลืมลงเวทเลย"  

          "ข้านึกว่าเจ้าเจอทางออกแล้วเสียอีก"  เขาหันไปถามมาร์คัสบ้าง  "เห็นเอาแต่เดินท่าเดียว"  คนข้างตัวทำหน้าแปลกใจ  "เอ้อ  เจ้าเข้าไปคนแรกสินะเลยไม่ทันเห็น  พวกจอมปราชญ์เขาเสกภาพสามมิติให้ผู้ชมดู  ข้าเข้ามาทีหลังเลยเห็นว่าตัดมาที่เจ้าครั้งสองครั้งนี่แหละ"    
     
         "แล้วนี่ถ้าตอนที่เขาวิ่งหนีภาพเกิดตัดมาพอดีล่ะ"  ชายหนุ่มเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ  "เจ้าเป็นอะไร"  เวสเห็นเพื่อนออกอาการหน้าซีด  "ปะ…เปล่า"  อีกฝ่ายจึงหันกลับไปสนใจเสื้อของตัวเองต่อ
     
         "ว่าแต่เจ้าไปเจออะไรมาบ้างล่ะ"  มาร์คัสถาม  "หึ!!  ทีแรกเลยก็สฟิงซ์  ถามปริศนากวนบาทาชะมัด แถมลูกเล่นเยอะอีกต่างหาก ข้าตอบคำถามไปตั้งหลายข้อแล้วก็ไม่ยอมปล่อยให้ผ่านซักที เลยทำสฟิงซ์ย่างมันเสียเลย"  เล่ามาถึงตอนนี้เวสเกิดอาการอารมณ์พุ่งปรี๊ดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ว่า  เล่นเอามาร์คัสกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าเคียดแค้นสุดฤทธิ์  
     
         "แล้วข้ายังเจอไอ้พวกกลอบอีก"  
     
         "อย่าบอกนะว่าเจ้าทำเมนูกลอบย่าง"
     
         "ใช่แล้ว!!!"

          มาร์คัสทำท่าสยองเมื่อนึกถึงกลอบ หอยตัวกลมๆเปลือกหนาแข็งสีน้ำตาลของธาตุดินถูกย่าง  "จากนั้นก็เจอตัวทัฟ  สีชมพูซะด้วย ชวนแหวะเป็นบ้า ข้าเลยเผามันต่อ"  มาร์คัสมองคนเป็นเพื่อนด้วยสายตาประมาณว่า "มันเคยทำอย่างอื่นนอกจากเที่ยวไล่เผาชาวบ้านชาวช่องเขารึเปล่า"
     
         "และสุดท้ายก่อนมาเจอเจ้าข้าจ๊ะเอ๋กับมังกร" 
     
         "ที่สีมันดำๆ เกล็ดมันๆ ตัวเท่าบ้านสี่ชั้นใช่ไหม"
     
         "เจ้ารู้ได้ไง?"
     
         "ไอ้นั่นน่ะแหละที่ทำให้ข้ามีสภาพแบบนี้" 

          ก๊ากๆๆ  เวสหัวเราะไม่ยอมหยุดจนตัวงอ แถมเจ้าตัวยังทุบกำแพงรัวๆจนมาร์คัสนึกกลัวว่ามันจะร้าว "พอเหอะ เดี๋ยวหายใจไม่ทันได้ตายกันพอดี" นั่นแหละ เพื่อนสุดที่รักจึงเลิกหัวเราะ หายใจยาวๆแล้วปาดน้ำตาทิ้ง  
     
         "เจ้าล่ะ?" เวสซักบ้าง  "ข้าไม่เจออะไรเลย …..เพราะเดินทางสายกลางละมั้ง  พอลองเลี้ยวเข้าซอกกับเขาบ้างก็ดันเจอมังกรดำที่ว่านะแหละ  วิ่งหนีแทบไม่ทัน แล้วก็มานั่งแช่แป้งอยู่ตรงนี้ล่ะ"   มาร์คัสเล่าข้ามตอนไปเสียเฉยๆ  นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววเศร้า 
     
         เวสเองก็ไม่ทันสังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของอีกฝ่าย  "งั้นเราไปกันต่อดีไหม"  เขาสะบัดเสื้อคลุมแล้วสวมทับลงไป  "ป่านนี้ไดแอซรอแย่แล้ว  จะร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ที่ทางออกละมั้ง"
     
         มาร์คัสดีดตัวลุกตามอย่างรวดเร็ว  "ไม่รู้เจ้านั่นกินข้าวกินน้ำรึยัง  หรือว่ากำลังหลงทาง  หรือเกิดไม่สบาย  หรือโดนหลอกไป หรือ………."  
     
         "ไปกันได้แล้วเว้ย"  เวสตรงเข้ามาลากตัวเพื่อน ขัดจังหวะความคิดของชายหนุ่มไม่ให้มันเตลิดออกทะเลไปไกลมากกว่านี้     
     
         "เจ้าได้กลิ่นอะไรหอมๆไหม"  จู่ๆคนเป็นเพื่อนหยุดเดินเอาเฉยๆแล้วเงยหน้าทำจมูกฟุดฟิดๆ  "กลิ่นอะไรที่ไหน …….ไม่มี  หิวจนมั่วแหงๆ"  เวสตั้งต้นเดินต่อ  

          กำแพงแก้วดูเปราะบางและรางเลือน  เสียงเร่งของเวสดูเหมือนจะดังไกลออกไปทุกทีๆ  หนทางเบื้องหน้าพร่ามัวเหมือนโดนหมอกหนาเข้ามาบัง  เปลือกตาของชายหนุ่มหลุบปรือลง 

         "เฮ้ย … มาร์คัส เป็นอะไร"  เสียงของเวสอีกแล้ว  "ข้าแค่ง่วงเฉยๆ  นอนนิด……."  แล้วความมืดก็เข้าปกคลุมดวงตาของเขา

                                                       ***********************

          แสงแดดยามเย็นย่ำสาดผ่านกิ่งก้านอันไร้ใบของต้นไม้ใหญ่เข้ามากระทบหน้าเขา  "ไง  ฟื้นแล้วสิ" เสียงคุ้นเคยทักขึ้น  มาร์คัสกระพริบตาถี่ๆ แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความงุนงง  "ห้องพยาบาล"  เวสบอก  "แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  ข้าจำได้ว่ายังอยู่ในวงกตเลยนี่นา"  ชายหนุ่มมองไปรอบๆตัวอันเป็นห้องกว้างที่มีแต่เตียงและคนเจ็บเล็กๆน้อยๆกำลังทำแผลกันอยู่

           "เจ้าดันสลบไปข้าเลยต้องเหนื่อยลาก..เอ๊ย…แบกเจ้า ข้าเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า วงกตนี่มีไว้ให้พวกเราเดินเล่นหยั่งพลังเท่านั้น  ไอ้ทางออกน่ะมันไม่มีตั้งแต่ต้นแล้ว  ทำไว้ให้คนดูเฉยๆ  หลังข้าแบกเจ้าไปพักนึง พวกจอมปราชญ์ก็คลายเวทพอดี กำแพงกับอะไรต่อมิอะไรสลายไปหมด  แถมยังส่งตรงข้ากับเจ้ามาห้องพยาบาลเสียด้วย"
     
         มาร์คัสแอบถอนใจ  "นี่ถ้าเขายังนอนอยู่ตรงนั้นมีหวัง ไม่รู้ว่าจะโดนลูกหลงของตัวอะไรต่อมิอะไร หรือไม่ก็โดนสัตว์อสูรเขมือบเป็นอาหารว่างแหงเลย"  
     
         "ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น  สัตว์อสูรก็สลายไปหมด"  เวสอธิบายต่อเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าสยอง 
     กริ๊ง

            เสียงอะไรบางอย่างกระทบกัน  มาร์คัสกับเวสทำท่าคิดหนัก ด้วยว่าเสียงนั้นคล้ายกับอะไรบางอย่างที่พวกเขาลืมไปแล้ว
     
         "กำไล…ใช่แล้ว"  มาร์คัสจับข้อมือซ้ายของตนทันที  "ไดแอซ….." สองเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน  ตายล่ะ!!  เจ้านั่นต้องคอยอยู่ตรงปากทางออกแน่ๆ  "….แล้วเจ้าจะไปไหน"  เขาทักเวสที่ทำท่าพร้อมจะออกสตาร์ทไปวิ่งหาตัวเด็กหนุ่มอยู่นั่นแล้ว  
     
         "ข้าให้กำไลไดแอซไป  กำหนดจิตหาเอาสิ"  มาร์คัสคว้าแขนเพื่อนไว้ได้แล้วจัดการสั่ง  "เอ้อ…ข้าลืมสนิทเลย"  เวสเริ่มกำหนดจิตตามหากำไล  "เจอแล้ว  ยังอยู่แถวลานทดสอบ  คงเผลอนั่งหลับ  เดี๋ยวข้าจะไปตามเอง เจ้ารออยู่นี่แหละ"  เวสบอกแล้วรีบเดินแกมวิ่งสวนทางกับหมอออกไป  "ฟื้นแล้วรึ"  คนเป็นหมอทัก 

          "ครับ"  
     
         "พักสักครู่เดี๋ยวก็หายดีแล้ว"
     
         "ขอบคุณท่านมาก"  ชายหนุ่มค้อมศรีษะแสดงความขอบคุณ  

          ข้างนอกอากาศค่อยๆหนาวขึ้นทีละน้อย  พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยใบมากมายของต้นเซเรนดาที่ร่วงหล่นลงมา  สีส้มอมแดงดูราวพรมชั้นดีหนานุ่มปกคลุมไปทั่ว  
     
         "อีกไม่นานหิมะจะตกแล้ว"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×