คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : วงกตและความทรงจำ
สภาพภายในวงกตไม่ได้เป็นกำแพงผุๆพังๆหรือเป็นสวนพฤษศาสตร์ย่อมๆที่เต็มไปด้วยสารพันพืชราและตะไคร่น้ำอย่างที่ได้เห็นกันภายนอก กำแพงทั้งหลายซึ่งกั้นวงกตด้านในนั้นบางใสประดุจแก้ว ทว่าก็แข็งแกร่งไม่อาจทะลุผ่านไปได้ ทั้งยังขุ่นมัวจนยากจะคาดเดาได้ว่า อีกฟากคืออะไร มีสิ่งใดกำลังรออยู่ คบไฟที่ปักบนผนังในบางตอนของเส้นทางนั้นส่องแสงวับๆแวมๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เบื้องบนยังคงห่มคลุมด้วยท้องฟ้าหน้าหนาวผืนเดิม
หลังจากยึดหลักทางสายกลางมานาน มาร์คัสที่ก้มหน้าก้มตาเดินโดยไร้อุปสรรคใดๆเกิดความสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ เขาจึงติดสินใจมองหาทางอื่นดูบ้าง เมื่อเดินมาจนพบทางแยกทางหนึ่งเขาลองเดินไปตามทางนั้น เป็นทางที่ค่อนข้างมืดเอาการ แถมกลิ่นยังให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้ามาในถ้ำอับชื้นไม่ถูกแสงมานาน
มาร์คัสคว้าคบไฟมาถือไว้ ด้วยไม่หวังอาศัยแสงจากท้องฟ้าที่เป็นเหมือนผ้าผืนหนึ่งซึ่งในตอนนี้กลายเป็นสีดำไปแล้ว เสียงเหมือน
..อะไรสักอย่างพังถล่มโครมๆลงมา ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังเดินตามทางมาจนถึงหัวมุมแรก
"เฮ้ย!!!" เขาทิ้งคบเพลิงแล้วกระโดดหลบทันที เมื่อมีผู้ใจดีส่งลูกไฟขนาดยักษ์กว่าออกมาจากมุมให้แทน และยังพุ่งเฉียดแขนเขาไปนิดเดียวเสียด้วย เสียงเดินเตาะแตะๆ สะท้อนมาตามทางเดิน ชายหนุ่มกลั้นใจชะโงกหน้าเข้าไปดู
ร่างของมังกรเกล็ดดำมะเมื่อมตัวโตเท่าบ้านสี่ชั้นหลังย่อมๆ เยี่ยมกรายมาให้เขาชมเป็นขวัญตา มาร์คัสส่งยิ้มแห้งๆไปให้ มันเป็นมังกรดำพันธุ์หายากของธาตุไฟชัดๆ นี่เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นตัวใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก ดูเหมือนจะโตเต็มวัยแล้วอีกต่างหาก ขนาดมังกรฟ้าแบบเบบี้ที่เป็นธาตุน้ำยังต้องอาศัยผู้ใช้เวทไฟถึงสามต่อหนึ่ง แล้วเขาต้องมาเจอกับมังกรธาตุไฟเต็มวัยแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แถมอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิดอีกด้วยสิ โชคดีอะไรเช่นนี้
ชายหนุ่มนึกอย่างไรไม่ทราบจึงร่ายเวทละอองวารีใส่มังกร คงหวังดีจะดับไฟ แต่ดูแล้วเหมือนเอาน้ำหนึ่งจอกไปราดกองไฟกองใหญ่ซะมากกว่า เจ้ามังกรดำยิ่งโมโหมากขึ้น มันสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เป็นการส่งสัญญาณว่าจะพ่นไฟแล้วนะจ๊ะ หลบดีๆล่ะ
เมื่อมาร์คัสเห็นผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนั้น เขารีบหันหลังกลับติดตีนหมาแล้วสับเท้าวิ่งไม่คิดจะเหลียวหลังไปดูว่าไฟที่มังกรพ่นฟู่ออกมานั้นสวยงามแค่ไหนหรือแปลกอย่างไร ชายหนุ่มขมุบขมิบส่งเวทเกราะวารีไปชะลอไม่ให้ไฟซึ่งพุ่งพรวดๆไล่ติดหลังมาเป็นทางลุกลามเข้ามาถึงตัวเร็วนัก
"พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกด้วย.
"ร้อนหลังยังไงชอบกล. มาร์คัสนึกแล้วหยุดวิ่ง เมื่อเขาหันกลับไปดูพบว่าตัวต้นเหตุไม่ได้วิ่งตามมาแล้ว แต่ส่งของแถมมาลุกไหม้ตรงชายเสื้อคลุมเขาแทน ชายหนุ่มวางมือบนเสื้อคลุมสักพักไฟค่อยๆดับลง ชายเสื้อที่ดำปี๋ไหม้เกรียมกลับสะอาดเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
เขายืนพิงกำแพงหอบแฮ่กๆอยู่ตรงทางเข้า "หวังว่าคงไม่มีใครเห็นหรอกนะ" ชายหนุ่มแอบภาวนาอย่างนั้น แต่ที่แน่ๆ ภาพสามมิติบนวงกตช่วงนั้นเลือกเขาเป็นตัวเอกตลอด ภาพที่ผู้ใช้เวทหนุ่มวิ่งหนีมังกรสุดฝีเท้าได้ออกสู่สายตาชาวประชาที่นั่งชมอยู่อย่างค่อนข้างจะชัดเจน เรียกเสียงหัวเราะได้ครื้นเครงทีเดียว
"ข้าจะไม่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปไหนอีกแล้ว" ชายหนุ่มตั้งใจอย่างแน่วแน่ เขาเดินลากเท้ามาเรื่อยๆเนื่องจากพลังงานส่วนมากหมดไปกับการวิ่งหนีสุดชีวิตเมื่อครู่
ท้องฟ้าสีใสเบื้องบนเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างฉับพลัน ชายหนุ่มหันมองรอบกายด้วยความแปลกใจ กำแพงและเส้นทางที่เขาเดินเมื่อครู่อันตธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยดุจความฝัน หมอกหนาปรากฏเป็นฝ้าสีขาวขุ่นปกคลุมรอบกายเขา
มาร์คัสงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว เขาตัดสินใจเดินฝ่าไอหมอกหนาไปอย่างไม่รู้ทิศทาง มืดนัก .....มืดไร้แสงอันใด
แว่วเสียงเด็กกำลังร้องไห้อยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มรีบเดินตรงเข้าไปหา หมอกหนาพลันแหวกทางให้เห็นภาพเด็กชายผมทองตัวจ้อยในชุดดำนั่งร้องไห้อยู่กับพื้น "พ่อ
.แม่ ฮือๆๆ
..ทำไมถึงทิ้งข้าไป" ภาพตรงหน้าชวนปวดใจยิ่งนัก เด็กชายดูอายุไม่เกินแปดขวบด้วยซ้ำกลับต้องมาพบกับความสูญเสียเช่นนี้
"ท่านอา" เด็กชายร้องแล้วโผเข้ากอดชายหนุ่มผู้มีเค้าหน้าและผมสีคล้ายกับเขาในชุดผู้ใช้เวทที่โผล่ออกมาจากเงามืด "นิ่งเสียเถิด ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว" ชายหนุ่มลูบหัวเด็กน้อยพลางปลอบใจ "ต่อไปนี้ข้าจะอยู่กับเจ้า"
เด็กน้อยยึดเสื้อของผู้เป็นอาไว้แน่น "ท่านอย่าทิ้งข้าไปนะ
.อย่าหนีข้าไปไหน" เด็กชายสะอื้นไห้ ชายหนุ่มปาดน้ำตาบนใบหน้าเล็กๆ "ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าไม่หนีเจ้าไปไหนแน่นอน" เขายิ้มให้ "สัญญา...." ชายหนุ่มเกี่ยวก้อยแล้วโยกหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู "ไปกันเถอะ เราไปหาอะไรกินกัน" ชายหนุ่มดึงร่างเล็กให้ลุกขึ้นเดินไปกับเขา สองร่างหายลับไปในความมืดและเงาหมอก
"ท่าน
." คำเรียกชื่ออีกฝ่ายติดอยู่ที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เด็กน้อยดูเติบโตขึ้นมาก เขา
..อยู่ในชุดดำอีกครั้ง
"ท่านอา
.ไหนบอกว่าจะไม่ทิ้งข้าไป" เด็กชายตรงหน้าอายุราว12-13 ขวบซบหน้าลงกับเตียงอันว่างเปล่า ภาพค่อยๆเลือนหายไป กลับเป็นสายหมอกว่างเปล่าดังเดิม "ข้า
." ชายหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้น "ข้าผิดเองใช่ไหม ทั้งหมดนั่นเพราะข้าไม่ดีเอง"
วันที่ร่างไร้วิญญาณถูกส่งกลับมาถึงบ้าน คำขอโทษซึ่งไม่มีโอกาสได้เอื้อนเอ่ย ความมืดที่ห้อมล้อมตัวเขาดูเหมือนจะบีบอัดเข้ามาเรื่อยๆ ราวกับจะหลอมรวมให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกับมัน สีดำ
..
ภาพความทรงจำทั้งหลายค่อยๆปรากฏทับซ้อนกันรอบตัวเขามากมาย ทั้งเต็มไปด้วยรอยยิ้มและน้ำตา "จงจำไว้และระลึกให้ได้ว่า อดีตจะอยู่กับเราตลอดไป" คำพูดของผู้เป็นอาจารย์ผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง
ชายหนุ่มลุกขึ้น มือกำสร้อยคอรูปกุญแจไว้แน่น ตอนนี้ภาพตรงหน้าเขาเป็นเด็กชายกำลังวิ่งเล่นไปรอบๆตัวของผู้เป็นอา เขาหยุดยืนมองดูภาพนั้นเป็นนาน รอยยิ้มเศร้าปรากฏขึ้น "ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่าน แม้เราจะอยู่ด้วยกันเป็นเวลาไม่นาน แต่ข้าจะขอจดจำสิ่งดีๆนี้ไว้ตลอดไป"
มาร์คัสเดินผ่านภาพเหล่านั้นออกมาสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง หมอกหนาหมุนวนเป็นวงกลมอยู่รอบกาย ชายหนุ่มหลับตาลง เมื่อเขาลืมตาอีกครั้งพบว่าตนเองกลับมายืนอยู่ในวงกตดังเดิม
เขาระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มนั่งแปะลงบนพื้น มือยังคงกำสร้อยคอไว้ หลังจากนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง "ต้องไปต่อเสียที" มาร์คัสรีบลุกขึ้น "แย่แล้ว!! หน้ามืด" เขาเอามือยันกำแพงได้ทันเวลา จ๊อกๆๆ!!! ตามมาด้วยเสียงท้องร้องลั่น
"หิวแล้วด้วย" เขาลูบท้อง "ข้าวอยู่ไหน" คิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ไม่มีอาหารมาวางเป็นจุดๆรอไว้แน่นอน ตอนนี้เขามีทางเลือกทางเดียวคือต้องเดินไปให้ถึงทางออก ซึ่งดูแล้วมันไกลแสนไกลเท่านั้น
ชายหนุ่มเริ่มออกเดินพลางคิดว่าทางในวงกตมันยาวมันวกวนเสียจริง เขาเดินจนขาลากลิ้นห้อยก็ยังไม่เจอทางออก เอ๊ะ! "หรือเขาจะเดินมาผิดทาง" แต่ถ้าผิดก็คงผิดตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้คงทำได้แค่ปลงอย่างเดียว
***********************
ชายหนุ่มผมแดงกระโดดหลบวุ้นเหนียวๆก้อนที่ 20 จากตัวทัฟซึ่งโดยทั่วไปมีลักษณะกลมๆหยุ่นๆ สีออกโทนเขียว ปกติค่อนข้างน่ารักน่าใคร่พอดู แต่ในที่นี้เวสขอเติมคำว่าน่าฆ่าเพิ่มไปอีกด้วย ก็เวลานี้เขาหลุดเข้ามายืนอยู่กลางวงล้อมของบรรดาตัวกลมๆพวกนี้เข้า
"คงต้องเล่นแบบนี้เสียแล้ว" นัยน์ตาสีเทาเป็นประกาย "อัคคีพิฆาต" เขาเหวี่ยงเวทใส่สัตว์ตัวที่ว่า เปลวเพลิงร้อนแรงเผาผลาญทุกอย่างจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน "หมดซักที ยั้วเยี้ยจริงเลย" เขาปาดเหงื่อหลังจัดการฝูงทัฟสีชมพูที่ดาหน้าเข้ามาหาราวรักเขาเป็นนักหนา ชายหนุ่มทำหน้าปุเลี่ยนๆเมื่อนึกถึงสีหวานจ๋อยนั้น "จอมปราชญ์ช่างคิดเสียจริงๆ"
เวสรีบล่าถอยออกจากมุมนั้นทันที ชายหนุ่มหันหลังเลือกที่จะมุ่งหน้าเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม "คราวนี้ขออะไรก็ได้ที่มันดีกว่านี้หน่อย" เขานึกพลางเดินพลาง ผ่านซอกมุมต่างๆที่แว่วเสียงการต่อสู้มาให้ได้ยินเป็นระยะๆ "การทดสอบนี่สัตว์ประหลาดเต็มไปหมดเลย" ชายหนุ่มแอบชะโงกเข้าไปมองผู้ใช้เวทดินกำลังปะทะกับออบซิเดียนอย่างเมามันส์
"เจอพวกเดียวกัน ดวงไม่ดีเอาซะเลย"
"แล้วมาร์คัสจะเป็นอย่างไรบ้างนะ" เขาคิดถึงผู้เป็นเพื่อนซึ่งได้รับเกียรติอย่างสูงให้ประเดิมสนามเป็นรายแรก "เห็นมันมุ่งมั่นเดินทางสายกลาง ไม่รู้ป่านนี้จะเจอทางออกกับเขาหรือเปล่า"
เดินพลางคิดพลางขาเจ้ากรรมเลยพาเขาให้หักเลี้ยวตามทางที่ทอดสู่ห้องมืดโดยไม่รู้ตัว "ห้องอะไรหว่า มืดจริง" เขาเสกไฟเย็นลูกกลมๆขึ้นมาให้แสงสว่าง "อับเสียด้วย" เจ้าตัวย่นจมูกกับกลิ่นที่ไม่ค่อยโสภาเท่าใดนัก แหมะ.... เขาเขาเหยียบลงบนพื้นที่ชื้นและแฉะ
เสียงคำรามต่ำๆดังขึ้น "ข้าว่าเสียงนี้มันคุ้นๆอยู่นะ" ยังไม่ทันที่สมองของชายหนุ่มจะเริ่มประมวลผลค้นหาคำตอบ ห้องก็พลันสว่างขึ้นเผยโฉมตัวปริศนาที่อยู่เบื้องหน้าเขา
เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายที่ผู้ใช้เวทแทบทุกรายไม่มีใครอยากพบไม่อยากเจอในการทดสอบนี้
"มังกรเกล็ดดำนี่นา" เขาอุทาน "
งั้นข้าไม่อยู่แล้วเผ่นดีกว่า" ชายหนุ่มว่าง่ายๆก่อนจะหลับหูหลับตาโกยแนบรวดเดียวออกมายืนงงอยู่นอกทางนั้น "ไม่ใช่ทางที่ข้าเลี้ยวเข้าไปเมื่อครู่นี่ หรือว่าข้าวิ่งสวนมังกรออกมา"
********************
มาร์คัสเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินวนอยู่ "ข้าว่าข้าเดินผ่านกำแพงรูปร่างหน้าตาอย่างนี้มาเป็นเที่ยวที่ร้อยเอ็ดแล้วนะ" ชายหนุ่มจ้องกำแพงส่วนที่ว่าเขม็ง เจ้าตัวพยายามหาร่องรอยมาสนับสนุนข้อสรุปที่ตนเองตั้งขึ้น แต่กำแพงใสๆนั้นจะมองมุมไหนมันก็แววๆเหมือนกันเสียหมด "..แต่เขารู้สึกคุ้น
จริงๆนะ"
ชายหนุ่มตัดสินใจนั่งมันลงตรงนั้น "ต้องมีใครสักคนผ่านมาแน่ๆ" ใช่แล้ว เขากำลังคิดจะเกาะติดผู้ใช้เวทคนไหนก็ได้ที่เดินผ่านมาทางนี้ "หลงแล้วเรา ทางมันวกวนอย่างแรงเลยอ่ะ" เสียงบ่นแว่วๆมา ชายหนุ่มเริ่มชะโงกมองหาต้นเสียง
ร่างคุ้นตาของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่หัวโค้ง ร่างนั้นกำลังเดินตรงมายังจุดที่เขานั่งอยู่
"มาร์คัส
.."
อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแกมสงสัย ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าซึ่งผมเผ้ายุ่งเหยิงมีสภาพราววิ่งมาราธอนผ่าทะเลทรายอายัน แล้วต่อด้วยการไปวิ่งสู้ฟัดกับหมาทั้งฝูงมาก็ไม่ปาน
"เวส
."
มาร์คัสเองก็ไม่ค่อยอยากเชื่อสายตาสักเท่าใดนัก เพื่อนผู้น่ารักของเขาเองก็มีสภาพน่าสมเพชไม่แพ้กัน ผมที่ปกติยุ่งฟูอยู่เป็นทุนเดิม มาคราวนี้ชี้กระเซิงราวกับแผงคอสิงโตและยังติดโคลนหนาเตอะ เหมือนลงไปชุบตัวในบ่อโคลนแล้วมาโดนปิ้งต่อ
เวสไม่รอช้าทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงข้างๆเขา "เป็นไงบ้าง" ชายหนุ่มถามเพื่อน "ก็ดี๊ ดีอย่างมากเลยล่ะ" เวสประชดพลางถอดเสื้อคลุมออกแล้วเริ่มแกะโคลนซึ่งมีทีท่าว่าจะติดแข็งออกจากเสื้อเชิ้ตตัวใน "ไม่น่าลืมลงเวทเลย"
"ข้านึกว่าเจ้าเจอทางออกแล้วเสียอีก" เขาหันไปถามมาร์คัสบ้าง "เห็นเอาแต่เดินท่าเดียว" คนข้างตัวทำหน้าแปลกใจ "เอ้อ เจ้าเข้าไปคนแรกสินะเลยไม่ทันเห็น พวกจอมปราชญ์เขาเสกภาพสามมิติให้ผู้ชมดู ข้าเข้ามาทีหลังเลยเห็นว่าตัดมาที่เจ้าครั้งสองครั้งนี่แหละ"
"แล้วนี่ถ้าตอนที่เขาวิ่งหนีภาพเกิดตัดมาพอดีล่ะ" ชายหนุ่มเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ "เจ้าเป็นอะไร" เวสเห็นเพื่อนออกอาการหน้าซีด "ปะ
เปล่า" อีกฝ่ายจึงหันกลับไปสนใจเสื้อของตัวเองต่อ
"ว่าแต่เจ้าไปเจออะไรมาบ้างล่ะ" มาร์คัสถาม "หึ!! ทีแรกเลยก็สฟิงซ์ ถามปริศนากวนบาทาชะมัด แถมลูกเล่นเยอะอีกต่างหาก ข้าตอบคำถามไปตั้งหลายข้อแล้วก็ไม่ยอมปล่อยให้ผ่านซักที เลยทำสฟิงซ์ย่างมันเสียเลย" เล่ามาถึงตอนนี้เวสเกิดอาการอารมณ์พุ่งปรี๊ดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ว่า เล่นเอามาร์คัสกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าเคียดแค้นสุดฤทธิ์
"แล้วข้ายังเจอไอ้พวกกลอบอีก"
"อย่าบอกนะว่าเจ้าทำเมนูกลอบย่าง"
"ใช่แล้ว!!!"
มาร์คัสทำท่าสยองเมื่อนึกถึงกลอบ หอยตัวกลมๆเปลือกหนาแข็งสีน้ำตาลของธาตุดินถูกย่าง "จากนั้นก็เจอตัวทัฟ สีชมพูซะด้วย ชวนแหวะเป็นบ้า ข้าเลยเผามันต่อ" มาร์คัสมองคนเป็นเพื่อนด้วยสายตาประมาณว่า "มันเคยทำอย่างอื่นนอกจากเที่ยวไล่เผาชาวบ้านชาวช่องเขารึเปล่า"
"และสุดท้ายก่อนมาเจอเจ้าข้าจ๊ะเอ๋กับมังกร"
"ที่สีมันดำๆ เกล็ดมันๆ ตัวเท่าบ้านสี่ชั้นใช่ไหม"
"เจ้ารู้ได้ไง?"
"ไอ้นั่นน่ะแหละที่ทำให้ข้ามีสภาพแบบนี้"
ก๊ากๆๆ เวสหัวเราะไม่ยอมหยุดจนตัวงอ แถมเจ้าตัวยังทุบกำแพงรัวๆจนมาร์คัสนึกกลัวว่ามันจะร้าว "พอเหอะ เดี๋ยวหายใจไม่ทันได้ตายกันพอดี" นั่นแหละ เพื่อนสุดที่รักจึงเลิกหัวเราะ หายใจยาวๆแล้วปาดน้ำตาทิ้ง
"เจ้าล่ะ?" เวสซักบ้าง "ข้าไม่เจออะไรเลย
..เพราะเดินทางสายกลางละมั้ง พอลองเลี้ยวเข้าซอกกับเขาบ้างก็ดันเจอมังกรดำที่ว่านะแหละ วิ่งหนีแทบไม่ทัน แล้วก็มานั่งแช่แป้งอยู่ตรงนี้ล่ะ" มาร์คัสเล่าข้ามตอนไปเสียเฉยๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววเศร้า
เวสเองก็ไม่ทันสังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของอีกฝ่าย "งั้นเราไปกันต่อดีไหม" เขาสะบัดเสื้อคลุมแล้วสวมทับลงไป "ป่านนี้ไดแอซรอแย่แล้ว จะร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ที่ทางออกละมั้ง"
มาร์คัสดีดตัวลุกตามอย่างรวดเร็ว "ไม่รู้เจ้านั่นกินข้าวกินน้ำรึยัง หรือว่ากำลังหลงทาง หรือเกิดไม่สบาย หรือโดนหลอกไป หรือ
."
"ไปกันได้แล้วเว้ย" เวสตรงเข้ามาลากตัวเพื่อน ขัดจังหวะความคิดของชายหนุ่มไม่ให้มันเตลิดออกทะเลไปไกลมากกว่านี้
"เจ้าได้กลิ่นอะไรหอมๆไหม" จู่ๆคนเป็นเพื่อนหยุดเดินเอาเฉยๆแล้วเงยหน้าทำจมูกฟุดฟิดๆ "กลิ่นอะไรที่ไหน
.ไม่มี หิวจนมั่วแหงๆ" เวสตั้งต้นเดินต่อ
กำแพงแก้วดูเปราะบางและรางเลือน เสียงเร่งของเวสดูเหมือนจะดังไกลออกไปทุกทีๆ หนทางเบื้องหน้าพร่ามัวเหมือนโดนหมอกหนาเข้ามาบัง เปลือกตาของชายหนุ่มหลุบปรือลง
"เฮ้ย
มาร์คัส เป็นอะไร" เสียงของเวสอีกแล้ว "ข้าแค่ง่วงเฉยๆ นอนนิด
." แล้วความมืดก็เข้าปกคลุมดวงตาของเขา
***********************
แสงแดดยามเย็นย่ำสาดผ่านกิ่งก้านอันไร้ใบของต้นไม้ใหญ่เข้ามากระทบหน้าเขา "ไง ฟื้นแล้วสิ" เสียงคุ้นเคยทักขึ้น มาร์คัสกระพริบตาถี่ๆ แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความงุนงง "ห้องพยาบาล" เวสบอก "แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าจำได้ว่ายังอยู่ในวงกตเลยนี่นา" ชายหนุ่มมองไปรอบๆตัวอันเป็นห้องกว้างที่มีแต่เตียงและคนเจ็บเล็กๆน้อยๆกำลังทำแผลกันอยู่
"เจ้าดันสลบไปข้าเลยต้องเหนื่อยลาก..เอ๊ย
แบกเจ้า ข้าเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า วงกตนี่มีไว้ให้พวกเราเดินเล่นหยั่งพลังเท่านั้น ไอ้ทางออกน่ะมันไม่มีตั้งแต่ต้นแล้ว ทำไว้ให้คนดูเฉยๆ หลังข้าแบกเจ้าไปพักนึง พวกจอมปราชญ์ก็คลายเวทพอดี กำแพงกับอะไรต่อมิอะไรสลายไปหมด แถมยังส่งตรงข้ากับเจ้ามาห้องพยาบาลเสียด้วย"
มาร์คัสแอบถอนใจ "นี่ถ้าเขายังนอนอยู่ตรงนั้นมีหวัง ไม่รู้ว่าจะโดนลูกหลงของตัวอะไรต่อมิอะไร หรือไม่ก็โดนสัตว์อสูรเขมือบเป็นอาหารว่างแหงเลย"
"ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น สัตว์อสูรก็สลายไปหมด" เวสอธิบายต่อเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าสยอง
กริ๊ง
เสียงอะไรบางอย่างกระทบกัน มาร์คัสกับเวสทำท่าคิดหนัก ด้วยว่าเสียงนั้นคล้ายกับอะไรบางอย่างที่พวกเขาลืมไปแล้ว
"กำไล
ใช่แล้ว" มาร์คัสจับข้อมือซ้ายของตนทันที "ไดแอซ
.." สองเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน ตายล่ะ!! เจ้านั่นต้องคอยอยู่ตรงปากทางออกแน่ๆ "
.แล้วเจ้าจะไปไหน" เขาทักเวสที่ทำท่าพร้อมจะออกสตาร์ทไปวิ่งหาตัวเด็กหนุ่มอยู่นั่นแล้ว
"ข้าให้กำไลไดแอซไป กำหนดจิตหาเอาสิ" มาร์คัสคว้าแขนเพื่อนไว้ได้แล้วจัดการสั่ง "เอ้อ
ข้าลืมสนิทเลย" เวสเริ่มกำหนดจิตตามหากำไล "เจอแล้ว ยังอยู่แถวลานทดสอบ คงเผลอนั่งหลับ เดี๋ยวข้าจะไปตามเอง เจ้ารออยู่นี่แหละ" เวสบอกแล้วรีบเดินแกมวิ่งสวนทางกับหมอออกไป "ฟื้นแล้วรึ" คนเป็นหมอทัก
"ครับ"
"พักสักครู่เดี๋ยวก็หายดีแล้ว"
"ขอบคุณท่านมาก" ชายหนุ่มค้อมศรีษะแสดงความขอบคุณ
ข้างนอกอากาศค่อยๆหนาวขึ้นทีละน้อย พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยใบมากมายของต้นเซเรนดาที่ร่วงหล่นลงมา สีส้มอมแดงดูราวพรมชั้นดีหนานุ่มปกคลุมไปทั่ว
"อีกไม่นานหิมะจะตกแล้ว"
ความคิดเห็น