ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #4 : ซามานน่านครแห่งปัญญา

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 49


         “เสร็จแล้ว “ ไดแอซยิ้มร่าพร้อมสะพายยามบรรจุข้าวของเดินออกมานั่งคอย  “จะไปไหนหรือไดแอซ”  ท่านลุงที่เพิ่งกลับถึงบ้านถาม  “พอดีทางโน้นเขาเรียกตัวครับ”  มาร์คัสเดินลงมาพอดี  “พวกจอมปราชญ์เรียกไปทำไมหรือ”  ผู้สูงวัยซักต่อ  “แจ้งมาว่าเป็นการทดสอบความสามารถครับ” 
     
        อีกฝ่ายพยักหน้าเชิงรับรู้  “ทำไมหัวเจ้าปูดแบบนั้นล่ะ”  ท่านลุงหันไปเห็นเข้าเลยถามด้วยความเป็นห่วง “โดนหนังสือทับ แล้วก็ยังโดนคนใจร้ายใจดำ  ไม่มีเมตตาไร้มนุษยธรรมเขกหัวต่ออีก”  คำตอบพร้อมแอบจิกคนข้างๆ  สายตาของผู้เป็นลุงเบนกลับไปจ้องมาร์คัสอย่างเอาเรื่อง  อ่า..  รายนั้นเกาหัวแกร๊กๆ  “ข้าไม่ได้ตั้งใจนี่นา”  คำแก้ตัวที่ฟังยังไงก็ไม่ขึ้น   “เอ้าไดแอซอย่างอนนักเลย”  ผู้สูงวัยจัดการไกล่เกลี่ย “ยังไงซะรายนั้นเขาก็หวังดีกับเจ้านะ”  
         “ดีก็ได้”
     
        คำพูดแบบเด็กๆ  พร้อมยกนิ้วก้อยให้เหมือนทุกครั้งที่ทะเลาะกัน  มาร์คัสจัดการเกี่ยวก้อยทำสัญญาประนีประนอมเรียบร้อยพร้อมกับการมาถึงของเวส  “พวกข้าไปนะครับ”  มาร์คัสกล่าวลา  “เดินทางดีๆล่ะ  ฝากบอกมอเดรสว่าข้าคิดถึง”  ผู้สูงวัยอวยพรพร้อมลูบผมไดแอซ  “แล้วข้าจะหาของอร่อยๆมาฝากท่าน”

              
                           ***************************

         “ตรานั่นมันอะไรเหรอ”  ไดแอซถามระหว่างทั้งสามเดินออกจากเมือง  “เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”  เวสเลิกคิ้วแสดงความประหลาดใจ  ก็ตรานั่นแม้แต่เด็กสามขวบมองยังรู้เลยว่าตราอะไร  
     
        “ตราประจำสภาแห่งซามานน่า  มีอำนาจสั่งการผู้ใช้เวททุกคนที่อยู่บนแผ่นดินนี้” มาร์คัสแย่งมาอธิบายเสียเอง  “แล้วซามานน่านี่อยู่ไกลไหม”  เด็กหนุ่มถามต่อ  “ก็ไกลพอสมควรล่ะ  แต่รับรองว่าเราไปถึงทันแน่”
     
        “พวกคนแก่นี่ก็แปลกนะ”  มาร์คัสเอ่ยกับคนข้างตัว จะไม่แปลกได้ยังไง  สั่งให้ไปถึงก่อนสิ้นเดือน แล้ววันนี้มันวันที่ 29  แถมเดือนนี้ยังมี 30 วันอีกต่างหาก คิดแล้ววัย(เลย)รุ่นเครียด
     
        ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าก้มตาเดินขณะที่ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา  “พวกเจ้าจะไปไหนกัน”  ทหารที่ยืนยามประจำประตูด้านทิศเหนือเอ่ยถามหลังตรวจตราพวกเขาเสร็จ  “จะไปซามานน่าพี่ชาย” มาร์คัสตอบ “หนทางยังอีกไกล  ขอให้โชคดี”  พวกเขายิ้มรับแล้วก้าวออกมายืนอยู่หน้าประตูเมือง 
     
        ไดแอซหันมองคนโน้นทีคนนี้ทีสลับกับจ้องทางที่หายลับเข้าไปในป่าด้านหน้าด้วยความแปลกใจ
         “ไม่ใช้มังกรหรือครับ”  
         “นั่นมันสัตว์ของทางราชการ”  
         “กราไฟต์ล่ะ”  เด็กหนุ่มเอ่ยถึงนกยักษ์ 
         “ก็สัตว์ของทางราชการอีกนั่นแหละ” 
         “แล้ว…..”
      
        หวีด เวสผิวปาก ซักพักมีเสียงวิ่งกุบกับๆเหมือนม้าดังจากป่า  เด็กหนุ่มเปลี่ยนจากยืนข้างๆเป็นยืนหลบหลังคนทั้งสองแทน  สิ่งที่ปรากฏเป็นสัตว์รูปร่างเหมือนม้าผิดกันก็แต่กีบเท้าที่ใหญ่เป็นมันปลาบและดูท่าทางจะคม  รวมถึงตาแดงๆ ตัดกับตัวสีดำสนิทจนชวนขนลุกอีกต่างหาก   
     
        “ว่าไง บัคกี้  จิล”  เวสเดินเข้าไปลูบหัวทักทายเหมือนคุ้นเคยกันมานาน  “พวกนางไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”  เขาหันมาบอกไดแอซที่ยังหลบอยู่หลังมาร์คัส  เด็กหนุ่มเลยจัดการผลักมาร์คัสกระเด็นออกไปประจันหน้ากับสัตว์ประหลาดเพื่อพิสูจน์คำพูดทันที       
          
         แผล๊บๆๆ
     
        เจ้าสองตัวนั้นเข้ามารุมล้อมมาร์คัส แล้วใช้ลิ้นสากๆเลียหน้าเลียตาชายหนุ่มอย่างรักใคร่   “ง่า..” เขาครางพลางเอาแขนเสื้อเช็ดน้ำลายที่เหนอะอยู่แถวๆแก้ม  
     
        “เจ้าพวกนี้เรียกว่าออบซิเดียน  เป็นสัตว์อสูรธาตุดิน  เห็นน่ากลัวอย่างนี้จริงๆใจดีมากเลยรู้ไหม” เวส บอกไดแอซ “น่ารักจะตายแถมว่าง่ายด้วยนะ”  
     
        “อย่ากลัวไปนักเลย” มาร์คัสทำท่าไม่น่าไว้วางใจก่อนจะเดินเข้ามาลากคอไดแอซแล้วโยนเข้าไปกลางกลุ่มออบซิเดียน  พวกนั้นถอยห่างจากตัวเด็กหนุ่มย่อขาหน้าก้มหัวลงเป็นเชิงคำนับ  คนที่อยู่กลางวงเลยทำตาแป๋วแล้วหันไปหาเวสกับมาร์คัส เมื่อไม่มีใครพูดอะไรเด็กหนุ่มจึงยื่นมือไปลูบหัวตัวที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างแผ่วเบา  มันใช้จมูกโตๆดุนมือเขาอย่างอ้อนๆ เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี  
     
        “รีบเข้าเถอะ  มัวเล่นกันอยู่นั่นเดี๋ยวไปถึงไม่ทันหรอก”  เวสบอกพลางจัดการบังเหียนบนหลังบรรดา  ออบซิเดียน  เขาขึ้นไปนั่งบนหลังของจิลแล้วให้มาร์คัสช่วยส่งตัวไดแอซตามขึ้นมาเรียบร้อยแล้วจึงจัดการส่งตัวเองขึ้นไปบ้าง  กีบเท้าของเหล่าออกซิเดียนกระทบพื้นเป็นจังหวะทิ้งฝุ่นฟุ้งเป็นทางไว้เบื้องหลัง
     
        พวกเขาผ่านเข้าไปในป่าค่อนข้างลึกซึ่งเปรียบเสมือนอาณาเขตกั้นระหว่างเมือง  ไดแอซมีท่าทีตื่นเต้นกับความเร็วและการเดินทางบนหลังออบซิเดียนเป็นครั้งแรก เด็กหนุ่มหันมองทิวทัศน์ของป่าสลับทุ่งหญ้ากลางแสงจันทร์อย่างสนอกสนใจ มาร์คัสก้มลงดูเข็มทิศเป็นระยะๆตามที่เวสสั่งเพื่อกันไม่ให้หลงออกนอกเส้นทาง 
     
        “ดาน่าจ๊า  ซามานน่ามันไปทางไหนเหรอ” มาร์คัสเปิดฝาถามเข็มทิศเวทเมื่อพวกเขามาถึงสี่แยก ปลาโลมาตัวจิ๋วกระโดดขึ้นจากหน้าปัดเข็มทิศซึ่งเป็นเหมือนน้ำไปทางด้านซ้าย  ขอบใจ ชายหนุ่มบอกแล้วปิดฝายัดเข็มทิศใส่ย่าม เหล่าออบซิเดียนออกวิ่งอีกครั้ง 
     
        “เข็มทิศนั่นมันอะไรอ่ะ”   ไดแอซสวมวิญญาณเด็กน้อยขี้สงสัยเริ่มตั้งคำถาม  “เข็มทิศเวท พวกเราจะอัญเชิญภูตตามแต่สายธาตุมาสถิตอยู่ในนั้น  เป็นทั้งผู้ช่วยบอกทาง เพื่อนคุย สารพัดล่ะ” เวสอธิบาย  “ท่านไม่มี เหรอ”  เด็กหนุ่มยังคงถามคนข้างหลังต่อ  “มีเหมือนกัน แต่ของข้าภูตมันขี้อาย” เวสทำท่าปลงตก  
     
        “แล้วเราจะไม่หยุดพักกันหน่อยเหรอ”  เด็กหนุ่มถามเมื่อพวกเขาเลี่ยงจุดพักจุดที่ 20 ไป  “พักอะไร  ใครบอกว่าจะพัก”   มาร์คัสอุตส่าห์หูดีได้ยินเข้า  “ขืนพักก็ไม่ทัน  ง่วงก็นั่งหลับไปได้เลย  ถ้าตกข้าค่อยไปตามเก็บเอา”เด็กหนุ่มทำหน้าจ๋อยไปเล็กน้อย  ก็เขาอยากเดินดูนี่นาว่าจุดพักมันเป็นยังไงมั่ง  แต่ก็ทำได้แค่แอบบ่นอยู่ในใจ 
     
        “เราจะถึงเมื่อไรละ”  คราวนี้เป็นเวสที่หันไปถามมาร์คัส  “ข้าว่าคงหัวรุ่ง”  มาร์คัสคาดการณ์  ไดแอซเงยมองพระจันทร์บนฟ้าที่บัดนี้เริ่มค่อนไปทางทิศตะวันตก  “อีกไม่นานแล้ว”  เวสกระซิบข้างหูเขา  “เบิกตาเข้าหน่อยเดี๋ยวร่วงไปจริงข้าคว้าไม่อยู่จะซวยเอานา  ขี้เกียจไปตามเก็บซาก”

                                  **********************
     
         หลังการเดินทางสุดทรหดบนหลังออบซิเดียนเป็นเวลาหนึ่งคืนเต็มๆ ไม่มีพักไม่มีหยุดที่ไหนพวกเขาก็เข้าเขตชานเมืองในที่สุด  ตัวเมืองปรากฏขึ้นแก่สายตาของพวกเขาพร้อมๆกับพระอาทิตย์ที่เพิ่งโคจรขึ้นเหนือฟากฟ้าฉายแสงสีทอง   เสียงไก่ขันรับอรุณดังแว่วมาเป็นระยะ  ซามานน่านครแห่งภูมิปัญญากำลังตื่นจากการหลับใหล  
     
         “ถึงซะที”  มาร์คัสยิ้มด้วยท่าทางโล่งใจ  ขณะที่เวสเองต้องคอยจับเด็กหนุ่มที่ตอนนี้โงนเงนๆ เอียงซ้ายเอียงขวาไม่ให้ร่วงลงไปจากหลังออบซิเดียนเสียให้ได้  เมื่อล่วงเข้าสู่ตัวเมือง โคมไฟตามถนนค่อยๆดับลงทีละดวง ระฆังจากหอคอยสูงในวิทยาลัยดังเหง่งหง่างสะท้อนก้องด้วยอำนาจเวท  ร้านค้าต่างๆเริ่มเปิดทำการ  สัญญาณแห่งชีวิตของซามานน่าเริ่มขึ้นแล้ว
     
         หน้าวิทยาลัยมีสวนสาธารณะกว้าง แล้วไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีคนเต็มไปหมดส่วนมากเป็นพวกจอมเวทจากสารพัดถิ่นที่ถูกเรียกตัวเข้ามาแบบเร่งด่วน  พวกเขาลงจากพาหนะ เวสกระซิบสั่งสองสามคำก่อนที่พวกออบซิเดียนจะวิ่งตรงไปคอกสัตว์อย่างรู้งาน  มาร์คัสสอบถามรายละเอียดและสถานที่จากคนรู้จักแล้วพาเวสและไดแอซเดินไปยังตึกใหญ่ซึ่งอยู่ด้านหน้าทันที
     
         อันที่จริงไม่ต้องถามใครก็เดาได้อยู่แล้วเพราะตึกที่มีคนอย่างกับมดในยามเช้าตรู่แบบนี้มีไม่มากนักหรอก ภาพแถวยาวเหยียดล้นออกมานอกอาคารของผู้ใช้เวทที่แห่กันมาลงทะเบียนทำให้มาร์คัสอยากจะเป็นลมสักสามสี่ตลบ  ทั้งเขาทั้งเวสจึงรีบเดินไปต่อท้ายแถวเพื่อไม่ให้มันยาวไปมากกว่านี้ 
     
         “ง่วงอ่ะ”
        “อย่าหลับแถวนี้นะเว้ย” 
       
         “หนังตาข้าจะปิดอยู่ร่อมร่อแล้ว”  เด็กหนุ่มอุทธรณ์  ตอนนี้เขาไม่สนอะไรทั้งนั้นเพราะเพลียเสียจนแทบจะหลับทั้งยืนได้อยู่แล้ว  “เอาน่า ทนหน่อยแล้วกัน ลงทะเบียนเสร็จข้าจะรีบหาที่พักอย่างด่วนเลย”  เวสหันมาบอก
     
         มาร์คัสกับเวสใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะได้ลงทะเบียน เมื่อกลับออกมาก็ได้พบไดแอซที่มีสภาพเครื่องดับ ภาระจึงตกเป็นของมาร์คัสที่ต้องกึ่งลากกึ่งพยุงเด็กหนุ่มตามเวสไปหาที่พัก 
     
         พวกเขาได้โรงแรมค่อนข้างสบายแถมยังอยู่ติดกับวิทยาลัย หลังแบ่งห้องซึ่งมาร์คัสกับเวสจับไม้สั้นไม้ยาวกันว่าใครจะอยู่ห้องเดียวกับไดแอซ  ผลปรากฏว่ามาร์คัสจับได้ไม้สั้นชายหนุ่มจึงต้องอยู่ห้องเดียวกับคนที่ตอนนี้ไร้สติสุดๆ  “ไปนอนซะไป”  เขาหันไปบอก เจ้าตัวเดินโซเซชนเก้าอี้ทีชนโต๊ะที มาร์คัสกับเวสแอบลุ้นว่ามันจะเดินไปถูกทางรึเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไปถึงเตียงจนได้ 
     
         มาร์คัสดึงผ้าห่มมาคลุมให้เด็กหนุ่มที่หลับเป็นตายแล้วเดินไปนั่งจิบชากับเวสที่ห้องข้างๆ  “ข้าว่ามันแปลกๆอยู่นา การทดสอบความสามารถครั้งนี้”  เวสอดสงสัยไม่ได้  “เรียกคนมาตั้งมากมาย จะกลายเป็นงานรวมญาติละไม่ว่า”  ชายหนุ่มหันไปมองหอคอยสีขาวสะอาดอันเป็นที่อยู่ของเหล่าคณาจารย์ตั้งตระหง่านอยู่นอกหน้าต่างห้อง  “มานี่แล้วก็คิดถึงสมัยยังเป็นนักเรียน”  
     
         “ข้ายังจำได้สมัยที่พวกเราอยู่ปีสุดท้ายน่ะ  รู้สึกว่าเจ้ากับจาห์มีจะแกล้งป่วยการเมืองนอนตีพุงอยู่ในหอ  พวกผู้เฒ่ารู้ทันเลยบุกมาลากตัวพวกเจ้าไปเรียนแถมยังสั่งให้คัดลายมืออีกคนละพันหน้า  กวาดคอกสัตว์อีกหนึ่งอาทิตย์”   มาร์คัสรำลึกความหลังด้วยการขุดวีรกรรมของเพื่อนออกมายำ  
     
         “ช่าย  สยองชะมัดเลยล่ะ ข้ากับจาห์มีกำลังนอนกินขนมที่จิ๊กมาอยู่ดีๆ  ท่านรารัสโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เสกเวทตู้มใส่  เจ้าจาห์มีเกรียมไปเลย ส่วนข้าหลบทัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะยังซวยจ๊ะเอ๋ท่านวาริด  เกือบโดนถีบออกนอกหน้าต่างหอแน่ะ” เวสพูดถึงวีรกรรมของตนกับเพื่อนที่ตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อยอย่างน่าตาเฉย “ใครมาได้ยินเข้าคงไม่เชื่อแหงเลย  จาห์มีเนี่ยล่ะตัวแสบนัก”  มาร์คัสหัวเราะ  เวสรับคำอย่างเห็นด้วย 
      
        กว่าไดแอซจะตื่นอีกที พระอาทิตย์ก็เริ่มเอียงไปทางตะวันตกแล้ว เขาพบมาร์คัสกับเวสนั่งคุยกันอย่างสบายอกสบายใจ  “อ้าว ตื่นพอดีเลย ข้ากับเวสกำลังจะออกไปเดินเล่น เจ้าจะไปด้วยไหมล่ะ”  มาร์คัสหันไปถาม เด็กหนุ่มรีบล้างหน้าล้างตาแล้วตามออกมาสมทบ
     พวกเขาแวะเวียนเข้าไปในตรอกแคบๆซึ่งจัดเป็นแหล่งขายอุปกรณ์เวท มีทั้งร้านขายตำราแบบเดียวกับที่มาร์คัสเอามาให้เขาอ่านเป๊ะ ซึ่งเป็นร้านเดียวที่ไดแอซไม่คิดจะก้าวเท้าเข้าไป  ร้านขายของพวกเข็มทิศเวท อุปกรณ์ชั่ง ตวง วัด  รวมไปถึงหนังสัตว์ และยังมีร้านที่ขายวัตถุดิบแปลกๆส่งกลิ่นฉุนเตะจมูก หน้าร้านห้อยเขี้ยวตัวอะไรไม่รู้แต่ใหญ่พอๆกับโคนไอศกรีมเต็มไปหมด
     
        พวกเขาใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการเดินดูข้าวของตามร้านต่างๆ สำหรับคนที่ออกอาการประหลาดใจอย่างโอเว่อร์ก็หนีไม่พ้นไดแอซ เด็กหนุ่มมองดูอุปกรณ์เวทหลายๆด้วยความสนใจชนิดจ้องตาแทบไม่กระพริบจนมาร์คัสต้องลากตัวออกจากร้านให้เดินต่อ 
     
        “เฮ้ย”  ไดแอซร้องอย่างตกใจเมื่อมาร์คัสลากตัวเขาจากแผงลอยไปหาเวสซึ่งหยุดยืนพิจารณาผลไม้รูปร่างกลมดิกใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย สีแดงสดอยู่  
     
        “แกลเบอรี่  สองเซล 30 เหรียญเงิน”  คนขายบอกกับชายหนุ่ม  “แน่ใจว่าหวาน”  คนขายต่ออีก “ป้าข้าเอาสามเซล 60 เหรียญเงินได้ไหม” คำพูดทำเอาทั้งป้าคนขาย ทั้งมาคัสและเวสอดหันไปมองคนพูดไม่ได้  มันต่อราคาหรืออะไรวะเนี่ย  
     
         มาร์คัสรู้สึกคุ้นๆกับคำพูดและท่าทางของชายหนุ่มที่มีความสามารถต่อราคาได้กินใจคนฟังมากๆ     “มอเดรส”  เขาเรียกเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น  “อ้าวมาร์คัส เจ้าเองหรือ”  มอเดรสจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา  “อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิ” ชายหนุ่มว่า
     
         “ข้ามาซามานน่าตามหมายเรียกตัว” มาร์คัสบอกหลังช่วยอีกฝ่ายซื้อของด้วยราคาและปริมาณที่ถูกต้อง  “เจ้านี่ก็เซ่อซะจริง  นั่นเรียกว่าต่อราคารึไง“  ชายหนุ่มบ่น 
     
         “เอ้อ….ก็ข้า”
        “ไม่ต้องมาแก้ตัวไปหน่อยเลย  ตอนอยู่ฟอนเทนเบิร์กข้าสอนแล้วสอนอีกเจ้าก็ไม่ระวัง”
     
         มาร์คัสเริ่มทับถมอีกฝ่าย ก็มอเดรสชอบซื้อของแบบไม่ดูราคา พอจะต่อราคาก็ไพล่ไปเพิ่มให้ราคาสูงเกินจริง แบบนี้มันน่าปวดหัวอยู่ใช่น้อยซะเมื่อไหร่  ภาวะการเงินของชายหนุ่มเลยตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ต้องพึ่งพิงชาวบ้านเขาจนถึงปัจจุบัน  
     
         “นั่นใครหรือ”  มอเดรสถามหลังทักทายเวสเสร็จ  “ข้าชื่อไดแอซ”  เด็กหนุ่มแนะนำตัว “ท่านมอเดรสใช่ไหม ข้าได้ยินมาร์คัสพูดถึงบ่อยๆ” มอเดรสพยักหน้าแทนคำตอบ เขาเป็นชายหนุ่มที่จัดว่าสูง ผมค่อนข้างยาวถูกรวบลวกๆไม่ให้เข้าหน้าเข้าตา ชุดที่ใส่ก็ดูเหมือนจะเป็นเครื่องแบบอะไรสักอย่าง  “กัปตันอาเรสฝากไว้ ดูเหมือนว่าจะมาจากทวีปอื่น  แถมยังเสียความทรงจำอีก” มาร์คัสกระซิบ มอเดรสไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรกับเด็กหนุ่มที่กำลังเริ่มกินแกลเบอรี่แต่อย่างใด  ชายหนุ่มจึงหันไปคุยกับเวสต่ออย่างออกรส
      
         พวกเขาเดินแทะแกลเบอรี่ไปคุยไปผ่านจตุรัสกลางเมือง ผ่านลานน้ำพุ  ผ่านตลาด ผ่านสารพัดจะผ่านจนเย็นย่ำ  จึงพากันเดินขาลากกลับมาวิทยาลัย  “ข้าไปล่ะ”  มอเดรสรีบบอกเมื่อเหลือบไปเห็นคนในชุดคลุมเหมือนเขาสองถึงสามคนเดินปรี่เข้ามาหา  ชายหนุ่มเผ่นหายไปในสวนข้างๆด้วยความรวดเร็ว พวกเขาได้ยินเสียงบ่นแว่วๆจากคนที่พึ่งเดินมาถึง  
     
          “จริงๆเชียว เจ้ามอเดรสมันโดดงานอีกแล้ว  ถ้าเจอตัวมันเมื่อไหร่ข้าจะเอาให้ตายเลยคอยดู” 
     
        “ไม่ทราบว่าชายเมื่อซักครู่ไปทางไหนหรือ”  หนึ่งในนั้นถามเวส  “ทางนั้น”  เขาชี้ไปที่ทางเดินสู่สวนกว้าง ชายคนดังกล่าวค้อมศรีษะเป็นเชิงขอบคุณ  แล้วรีบยกพวกวิ่งตามไปทันที  “ญาติเจ้านี่ไม่ไหวเลย”  เวสหันไปหามาร์คัส  “ทำใจเถอะ  มันชอบอู้ยังงี้ประจำ”  
     
                              ***********************
     
         รุ่งเช้ามาร์คัสนึกขึ้นได้ว่าต้องพาไดแอซไปพบจอมปราชญ์คนใดคนหนึ่งให้ได้ จึงรีบลากไดแอซขึ้นมาจากเตียงโยนเข้าห้องน้ำแล้วพาเข้าวิทยาลัย  เด็กหนุ่มมองดูตึกต่างๆประกอบคำอธิบายของมาร์คัส
     
        วิทยาลัยแห่งซามานน่ามีอาณาเขตครอบคลุมเนินเขาเล็กๆทางด้านใต้ของเมืองเกือบหมด  ทั้งยังมีกำแพงค่อนข้างสูงเอาการล้อมรอบ  ภายในเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพรรณให้ความร่มรื่นปลูกเคียงไปกับตึกรูปทรงเก่าแก่สร้างด้วยอิฐสีแดงหลายสิบตึก  ทางเดินหลายสายตัดไปมาค่อนข้างวกวนเล็กน้อย  ตึกก็มีรูปลักษณะคล้ายกันด้วยถูกสร้างขึ้นในสมัยเดียวกัน  หากไม่รู้จักทางดีพออาจหลงเอาง่ายๆ  ใจกลางของวิทยาลัยเป็นที่ตั้งของหอคอยสีขาวล้อมรอบด้วยสระบัว  หอคอยแห่งนี้เป็นที่พักของบรรดาจอมปราชญ์ทั้งหลาย 
     
         “ไดแอซ รีบเดินข้ามมาสิ”  มาร์คัสหันไปเร่งเด็กหนุ่มซึ่งยืนแหลงคอตั้งบ่ากลางสะพานไม้  ดูเหมือนเขาพยายามจะนับว่าหอคอยนี้มีทั้งหมดกี่ชั้น  ประตูบานใหญ่ของหอคอยสร้างขึ้นด้วยไม้ลงเวทพิเศษให้ปิด-เปิดตามเวลาและตามต้องการ 
     
        ภายในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่เพดานที่ถูกยกขึ้นสูงประดับกระจกเล่นมุมให้สะท้อนแสงวิบวับ  เราจะขึ้นไปชั้นไหน เด็กหนุ่มถาม  
     
        “ยอด”
        “หา!! เดินขึ้นไป”
     
         เด็กหนุ่มว่าแล้วเบนสายตาไปมองไปมองบันไดอย่างช้าๆ “แบบนี้ไม่เอานะ”  มาร์คัสเขกหัวไดแอซเข้าโป๊กหนึ่ง  “ใช้เวทช่วยสิฟะ”  ชายหนุ่มบอกพร้อมกับที่บริเวณกลางห้องอักขระที่เรียงตัวกันเป็นวงกลมค่อยๆสว่างขึ้นมาทีละน้อยจนเต็มวง  แสงสีขาวเจิดจ้าจนพวกเขาต้องหลับตานาทีต่อมาปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดดำกลาง วงแสงนั้น  
     
         เขาตั้งท่าจะเดินออกไปแต่มาร์คัสเรียกเอาไว้เสียก่อน  “เดี๋ยวท่าน  ข้างบนมีจอมปราชญ์คนไหนอยู่บ้าง”  ผู้ใช้เวทส่ายศรีษะ “ออกไปเตรียมงานพรุ่งนี้ทั้งหมดเลย  เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เอง” เขาบอก แต่ในหัวของมาร์คัสตอนนี้มีแต่คำว่า  “จอมปราชญ์เป็นคนเตรียมงาน” ดังอยู่
     
         “ตายหยังเขียดแน่เรา” 

    ------------------------------------------
    ช่วยแนะนำมาด้วยนะคะ  หมู่นี้ไม่ค่อยมีเวลาว่างเอาซะเลย ยังไงก็ฝากด้วยค่ะ
         
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×