ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #28 : หนทางที่ใกล้บรรจบ

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ค. 50


      
         “
    ไดแอซ...

           
    ใคร?..... อะไร?.....
     
         
    ภาพความทรงจำหลากหลายหลั่งไหลปนเปกันผ่านเข้ามาในหัวสมองอันว่างเปล่าอีกคราหนึ่ง  ขณะที่เด็กหนุ่มค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นทีละน้อย  
     
          “
    ไดแอซ
     
         
    เสียงนั้นเรียกซ้ำอีกครั้งพร้อมมือหนาจับตรงไหล่สองข้างแล้วเขย่าปลุกแรงๆ  “อื้อ....”  เสียงครางเบาๆก่อนที่นัยน์ตาสีฟ้าหม่นจะเปิดลืมขึ้นอย่างเสียไม่ได้  เจ้าตัวกระพริบปรับสายตาให้ชินก่อนรีบลุกขึ้นนั่งแล้วอ้าปากทำท่าจะเถียง
     
          “
    ข้าไม่ได้ชื่อ.....
     
          “
    อะไรนะ?”   ชายหนุ่มตรงหน้าถามกลับด้วยแววตางุนงงเมื่อเห็นไดแอซทำท่าเหมือนจะค้านแต่ก็หุบปากไปเสียเฉยๆ  หากก็ไม่ได้ติดใจอะไรด้วยมีเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องถามให้ได้  “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”  ไดแอซผินหน้ามามองมาร์คัสที่เดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง  ดวงตาทั้งคูเลื่อนลอยราวกับจะตอบคำถามให้ชายหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
     
          “
    อย่าบอกนะว่า......”. ยังพูดไม่ทันจบประโยคไดแอซก็พยักหน้ารับเหมือนรู้ใจทำเอามาร์คัสแทบลงไปกองกับพื้นเสียเดี๋ยวนั้น  “มาอีหรอบเดิมไม่มีผิด  ไม่น่าไปหวังว่ามันจะจำอะไรได้เล๊ย”  ชายหนุ่มบ่นอุบอยู่ในใจแต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อเงยขึ้นสบกับดวงตาสีฟ้าหม่นที่จับจ้องมายังเขาทอประกายคล้ายเวิ้งน้ำแข็งในทุ่งหิมะทางเหนือ
     
        
    เหน็บหนาว.......จนลึกถึงขั้วหัวใจ  
     
        
    ครั้นเจ้าของเอื้อมมือมาจับแขนจึงได้รู้สึกตัว  ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไปมาเบาๆ  “เจ้ายังไม่หายดีนักทายาแล้วนอนพักไปเถอะ”  เขาบอกต่อกับเด็กหนุ่มที่ยังมองอาการแปลกๆของตนด้วยสายตาประหลาดใจพลางเอื้อมมือไปหยิบกระปุกกลมบนโต๊ะข้างตัวมาส่งให้  “ขอบคุณ”  คนเจ็บพึมพัมเบาๆ 
     
         
    ก๊อกๆ
     
         
    เสียงเคาะประตูสองสามทีตามด้วยร่างของชายหนุ่มผมแดงซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีโผล่เข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าค่อนข้างจะอิดโรย  ยังไม่ทันที่มาร์คัสจะอ้าปากพูดอะไรเขาก็จัดการยิงคำถามเข้าใส่เด็กหนุ่มเสียก่อน  “ว่าไงไดแอซ  คราวนี้จำอะไรได้บ้างไหม”   
     
         “
    ไม่ครับ”  
     
         
    เจ้าตัวตอบหน้าซื่อเสียงใสส่งให้คนถามเกิดอาการแห้งเหี่ยวเหมือนผักไม่ได้รดน้ำมา 5 วันยังไงยังงั้น น้านไม่ยอมฟังข้าซะก่อน”  มาร์คัสว่า  “ช่างเหอะ”  เวสโบกมือแล้วส่งห่อกระดาษบางๆสีขาวให้  “นี่ขนมปัง”  จากคำบอกทำให้ไดแอซจ้องสิ่งนั้นตาแทบถลนออกจากเบ้า   ขนมปังแผ่นบ๊างบางจนนึกว่าเป็นญาติกับกระดาษที่ห่อมา แถมยังมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าสมุดจดขนาดกลางด้วยซ้ำ  “แล้วอย่างนี้ข้าจะไปอิ่มได้ยังไงเล่า”  ไดแอซได้แต่โอดครวญอยู่ในใจด้วยรู้ว่าตอนที่เขาหลับไปเสบียงทั้งหลายคงแทบจะหมดอยู่รอมร่อแล้ว
     
         
    เจ้าตัวค่อยๆประคองขนมปังเข้าปากอย่างกลัวว่ามันจะหัก  หลังเคี้ยวไปได้สี่คำทุกอย่างก็เกลี้ยงกริบ  “นั่นมื้อเที่ยงของเจ้า”   ชายหนุ่มบอก  
     
         “
    หา
     
         “
    ฟังไม่ผิดหรอก  มีแค่นั้นแหละเวสบอก หิวนักก็ซดน้ำชาไปก่อนแล้วกัน”  ว่าพลางรินชาอันเป็นเครื่องดื่มสุดแสนอมตะใส่แก้วแล้วจิบนิดหน่อยก่อนเริ่มบทสนทนาเบาๆกับเพื่อนของตนปล่อยให้เด็กหนุ่มเข้าสู่โหมดห่อเหี่ยวอยู่ตามลำพัง  ครั้นคุยกันไปได้พักใหญ่ๆก็มีสัตว์เสกขนปุยตัวกลมป๊อกจากคนในกลุ่มก็โผล่มาเรียกให้ทั้งสองออกไปทำงานด้วยเสียงแหลมๆเล็กๆน่ารักน่าเอ็นดู
     
        “
    พวกเจ้าอู้งานอีกแล้ว  ถ้ายังไม่รีบมาภายใน 20 นาทีนี้ข้าจะแจ้ง...อุ๊บ....”  
     
        
    มาร์คัสจัดการปิดปากเจ้าตัวกลมอย่างติดจะรำคาญ  ดวงตาโตสีเขียวสดใสที่อยู่กลางลำตัวส่งรัศมีอาฆาตเต็มที่ไปยังเจ้าของมือแต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่มีอาการสะทกสะท้านอันใดซ้ำยังจัดแจงเอาผ้าหนามาพันรอบๆปากเจ้าตัวที่ว่านั่นอีก  “ไว้มีธุระแล้วข้าค่อยมาเรียกเจ้าเอง”  เขาบอกกับไดแอซซึ่งกำลังป้ายๆยาบนรอยช้ำที่ดูจางลงมากแล้วเหนือท่อนแขนทั้งสองข้างพลางทำหน้าเบ้
     
         
    และก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ถามถึงเรื่องราวที่ว่าคนทั้งสองก็ใส่เกียร์สุนัขออกไปนอกห้องเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวน๊า.....ตกลงนี่ข้าหลับไปกี่วันอ่ะ?   แล้วธุระที่ว่านั่นมันอะไรเหรอข้าวเย็นข้าล่ะ?” เขาตะโกนถามเสียงหลง  กระนั่นก็ได้รับเพียงความเงียบกลับมาเป็นคำตอบจึงได้แต่นั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ใส่บานประตูเพียงคนเดียว
     
         
    เด็กหนุ่มโยนกระปุกยาไปบนโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนอนอีกรอบ  ทุกครั้งที่หัวว่างเรื่องราวซึ่งเกี่ยวข้องกับความฝันและความทรงจำของตนมักผุดขึ้นมาในสมองอยู่ร่ำไป  พอลองนึกๆไปถึงความฝันที่ผ่านมาซึ่งยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังนั้นก็พบว่ามันดูรางเลือนราวแฝงตัวอยู่ในสายหมอกแห่งแดนเหนือ 
     
         
    จำได้......แค่กระท่อมไม้ขนาดเล็กกลางป่าโปร่งกับแปลงผักด้านหลังซึ่งแข่งกันโบกใบอวบสีเขียวไปมาในอากาศ  สายลมเย็นสบายพัดผ่านมาต้องผิวกาย  มือคู่เรียวที่คอยพยุงยามหกล้ม น้ำเสียงหวานซึ่งขับขานเพลงกล่อม และร่างโปร่งบางที่แลเห็นไม่ชัดเจนส่งยิ้มสวย แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกอยากร้องไห้ออกมามากกว่าอื่น  พอจ้องมองก็เปลี่ยนไปเป็นภาพของใครอีกคนหนึ่งซึ่งปรากฏเพียงพริบตาแล้วเลือนหายราวภาพลวงตาในทะเลทราย
     
         
    เด็กหนุ่มพยายามสุดกำลังเพื่อจะนึกให้ออกว่าคนทั้งคู่คือใครกันแน่จากความทรงจำที่ขาดช่วงไม่ปะติดปะต่อเหล่านั้น  หากก็รู้สึกได้ถึงสังหรณ์ลึกๆเตือนใจตนมาตลอดว่าเมื่อใดที่นึกออกแล้วจะต้องพบกับเจ็บปวดอย่างแน่นอน 
     
         “
    ทำไมนะ?.....เพราะอะไรกัน?......”

                                                                                           *********************
     
          “
    พลังของไดแอซรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆที่ผ่านมา  ซ้ำยังดูเหมือนว่าจะไร้ซึ่งขีดจำกัดในการใช้อีกด้วย”   มาร์คัสพูดกับเวสเมื่อเดินออกมานอกห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  “ก็หมายความว่า........”  ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันความคิดของคนเป็นเพื่อน  “ไดแอซอาจจะมีพลังมหาศาล”  ดูเหมือนว่าชายหนุ่มค่อนข้างเน้นคำว่าอาจจะมากเป็นพิเศษ  และเวสเองก็เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อจึงได้แต่ตบบ่าเบาๆ  “ข้าก็หวังว่าเรื่องนี้พวกเราคงจะคาดการณ์ผิด
     
          “
    ข้าเองก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”  ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกไปเล็กน้อย คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันโดยอัตโนมัติขณะที่เจ้าของกำลังใช้ความคิด หวั่นใจ.......ว่าอีกไม่นานจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  ...อะไร?
     
          “
    แฮ่กๆ”  เสียงหอบเล็กน้อยที่หลุดออกมาจากปากของคนข้างตัวปลุกให้ชายหนุ่มหลุดจากห้วงความคิด  “จะ......ถึงแล้ว”   เวสว่าหลังทั้งคู่บุกหิมะหนาที่ทับถมขึ้นใหม่จนรอยทางเดินหายไปแทบจะทั้งหมดมานานสองนาน  “โอ๊ยเหนื่อย”   อีกฝ่ายยังคงบ่นต่อไม่เลิกรา ก็การบุกหิมะมันกินแรงใช่น้อยเสียที่ไหนล่ะ  ย่ำเล่นๆสองสามก้าวน่ะสนุกแต่ให้มากรุยทางยังงี้....เฮ้อ  ว่าแล้วก็หันหน้าไปมองหน้าต่างบ้านเรือนสองข้างทางที่ปิดเงียบเชียบ  ด้วยต่างฝ่ายต่างพยายามใช้พลังงานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  ทั้งถนนเลยมีแต่พวกเขาแค่สองคนที่ออกมาเดินต๊อกๆอยู่  พอหักเลี้ยวตรงมุมสภากลางอันเป็นสถานที่ทำงานปัจจุบันปรากฏกายขึ้น
     
         
    ปี๊ดดดดดดด
     
         
    จู่ๆสัตว์เสกตัวเดิมก็โผล่พรวดขึ้นข้างหูแล้วหวีดเสียงแหลมเปี๊ยบจนแก้วหูแทบทะลุใส่เป็นการแก้แค้นที่เมื่อคราวก่อนไปอุดปากมันเข้า  มาร์คัสและเวสพร้อมใจกันจับมันลากถูลู่ถูกังเข้ามายังชายคาร้านขายของ  ชายหนุ่มผมทองที่เตรียมกำปั้นพร้อมยัดปากหากมันยังไม่ยอมหยุดหวีดชะงักกลางอากาศเมื่อเสียงเหนื่อยๆของเมอร์สดังขึ้น  “รีบมาหน่อยก็ดีนะ  มีคำสั่งให้ไปขนเสบียงที่พระราชวัง แล้วก็เจ้าพวกที่ไปอยู่เมืองเหนือส่งจดหมายมาแน่ะ” 
     
         
    ทั้งสองหันหน้ามองกันแทบจะทันทีที่จบประโยค  “เจ้าคิดเหมือนข้าไหมมาร์คัส เรื่องจดหมายนั่น ”   คนถูกถามพยักหน้า เจ้าก็คิดเหมือนข้าใช่ไหมเวส”   แววตาสีเทาของเวสส่งประกายความหวังวิบวับเหมือนเด็กเจอลูกกวาด  “ถ้างั้น......ลุยโลด”  ว่าแล้วทั้งคู่ก็บุกบั่นฟันฝ่าหิมะต่อไปด้วยความหวังเต็มเปี่ยม  
     
                                                                                         *********************
     
         
    ฝ่ายไดแอซที่นอนแล้วนอนอีกจนไม่รู้จะทำอะไรดีก็ตัดสินใจไม่รอบรรดาธุระที่มาร์คัสพูดถึงลุกจากเตียงมาเตรียมตัวออกไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอกแก้เบื่อ  เมื่อเขาเดินลงมาถึงชั้นล่างก็พบกับบรรยากาศเงียบเหงาด้วยผู้ที่พักอยู่ทั้งหลายต่างก็พากันเก็บตัวอยู่ในห้องพักไม่มีใครลงมานั่งตั้งวงสนทนากันเหมือนเคย  พอลองนับวันตรงปฏิทินข้างฝาดูก็พบว่าตัวเองหลับไปตั้งสามวันกว่าๆ  “มิน่าล่ะ อะไรๆก็เปลี่ยนไปซะหมดเขานึกในใจ
     
          “
    เอ๊ะ
     
         
    เจ้าตัวชะงักกึกตรงหน้าประตูเนื่องจากสัมผัสได้ถึงม่านโปร่งใสคล้ายผิวฟองสบู่คลี่คลุมตัวอาคารอันเป็นที่พักของตน  หากเด็กหนุ่มเพียงเอื้อมมือไปแตะเบาๆสิ่งนั้นก็แตกโพละแล้วจางหายไปในทันที  นอกจากนั้นเขายังหันกลับไปวาดมือซ้ายวนเป็นวงกลมตรงหน้าประตู  แสงสีเจิดจ้าปรากฏชั่วพริบตาแล้วจางหายเหลือไว้เพียงร่องรอยสัญลักษณ์บางเบารูปร่างคล้ายเกล็ดหิมะเหนือบานประตู  เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มหยันขณะมองม่านบางๆที่เริ่มโรยตัวลงมาอีกครั้งแต่ก็ต้องแตกสลายไป  เขาออกเดินช้าๆพลางดึงแผนที่พกพาซึ่งเฟลิเซียให้ไว้ออกมาดู ทิ้งไว้เพียงคำพูดซึ่งล่องลอยอยู่ในสายลม
     
          “
    หึ.....ชั้นต่ำ
     
         
    พอเดินมาได้ไกลโขก็พบว่าสองเท้ากำลังพาให้เขามุ่งหน้าสู่ทิศทางอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังโดยไม่ทันรู้ตัว  ระหว่างทางก็พบว่ามีบรรดานักเรียนเตรียมทหารท่าทางเร่งรีบที่มุ่งหน้าเข้าสู่ย่านตัวเมืองสวนทางกับเขานับได้หลายสิบคน  เมื่อโผล่มาถึงยังสวนฤดูหนาวเล็กๆเชิงเนินแด็กหนุ่มก็ต้องรีบขยี้ตาเป็นการใหญ่ เพราะภาพที่เห็นท่ามกลางอากาศติดลบคือบรรดาผู้ใช้เวทจำนวนร่วมๆร้อยกว่าคนที่เหลืออยู่และนักเรียนเตรียมทหารร่วมแรงร่วมใจส่งกระสอบอะไรสักอย่างที่แลเห็นไม่ถนัดนักเป็นทอดๆออกมาจากประตูด้านข้างของวังอันเป็นแถบที่เขาเคยไปก่อวีรกรรมเอาไว้  
     
         
    และในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังลังเลว่าจะปรากฏตัวออกไปดีหรือไม่นั้นมาร์คัสซึ่งยืนอยู่ปลายแถวและกำลังก้มหน้าก้มตาบันทึกจำนวนสิ่งเหล่านั้นก็บังเอิญเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาเข้าอย่างพอดิบพอดี  
     
          “
    ไดแอซ
     
         
    รายนั้นตะโกนเรียกเสียดังจนผู้คนทั้งหลายพากันสะดุ้งโหยงไปตามๆกัน  เจ้าของชื่อในเสื้อคลุมสีดำจึงเดินลากเท้าออกไปหาชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังหมุนดินสอในมือไปมาอย่างคล่องแคล้ว  “คนอะไรตาดีชะมัด”  เด็กหนุ่มแอบบ่นเล็กน้อยแต่ก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อรายนั้นมีทีท่าเหมือนกับว่าจะได้ยิน  เจ้าตัวส่งยิ้มพิมพ์ใจให้พลางเดินหลบเลื่อนขนของขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยกองกระสอบที่ว่า
     
          “
    อาการดีขึ้นแล้วเหรอ?”  ชายหนุ่มผมทองแตะหลังมือของตนกับหน้าผากเด็กหนุ่มซึ่งเจ้าตัวกำลังคิดว่ากลางอากาศติดลบอย่างนี้มันคงวัดอะไรได้อยู่หรอกนะ  แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อรู้สึกเย็นวาบบริเวณที่มือของชายหนุ่มแตะอยู่จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้น  
     
        
    ครั้นเห็นเครื่องหมายคำถามลอยตัวอยู่บนหน้าชายหนุ่มผมทองก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย  “เวทรักษานิดหน่อย  กันไว้จะได้ไม่เป็นหวัดไปอีกไง”  แล้วก็จัดการขยี้ผมสีดำสนิทเล่นอย่างมันมือ  “เจ้ายังไม่หายดีข้าว่าขึ้นไปช่วยงานพวกข้างในโน้นจะดีกว่า”  ว่าพลางก็รุนหลังเด็กหนุ่มให้เดินขึ้นเนินไปสองสามก้าวแล้วรีบหันกลับไปทำงานของตนต่อ  
     
          “
    ง่า....งานอะไรอ่ะ”  ไดแอซที่ขึ้นมายืนอยู่ครึ่งทางมองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี   จะเดินกลับไปถามมาร์คัสรายนั้นก็กำลังยุ่ง  คนอื่นๆก็ทำงานของตนไม่ได้หยุดมือ เจ้าตัวจึงเกาแก้มทำท่าเก้อๆแล้วตัดสินใจออกเดินผ่านแถวนักเรียนเตรียมทหารและผู้ใช้เวทที่ส่งกระสอบสีทึบๆอย่างขมีขมัน  มีหลายคนเหลือบสายตามามองเด็กหนุ่มอย่างสงสัยก่อนหันกลับไปทำงานต่อ  ไดแอซที่ไม่ค่อยชอบตกเป็นเป้าสายตาเท่าใดนักจึงก้มมองปลายเท้าของตนพลางรีบเดินจนมาหยุดยังส่วนที่เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นหัวแถว
     
         
    ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเข้าไปดีไม่เข้าไปดีนั้นก็มีเสียงใสดังขึ้นข้างตัวเสียก่อน  “เจ้าก็มาด้วยหรือ”   เฟลิเซียในชุดคลุมกันหนาวสีเทาอ่อนประดับขนสัตว์ยาวซึ่งเกือบจรดพื้นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสดใสดุจดวงตะวัน  “ข้าได้ยินจากมาร์คัสว่าเจ้ายังไม่หายดีนี่ มายืนตากลมหนาวอย่างนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายไปอีกหรอกเด็กสาวว่าอย่างเป็นห่วงแล้วตั้งต้นลากแขนไดแอซเข้าไปด้านใน

           “โอ๊ย

          
    เด็กหนุ่มรีบสะบัดแขนอย่างแรงในแทบจะทันทีที่มือเรียวสัมผัสโดน  ครั้นเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววกึ่งตกใจกึ่งตัดพ้อจึงกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงอ่อน  “ขอโทษนะ พอดีข้าเป็นแผลตรงนี้นิดหน่อยมือในถุงมือค่อนข้างหนาสีน้ำตาลแตะลงบริเวณท่อนแขนล่างเบาๆแล้วทำหน้าเบ้เล็กน้อยให้เห็นว่าเจ็บจริงๆ  เฟลิเซียจึงเพียงนำเด็กหนุ่มให้ผ่านประตูขนาดเล็กเข้าไปด้วยกันโดยไม่ได้พูดอะไร
     
         
    พวกเขาย่ำหิมะหนาอีกเพียงห้าถึงหกก้าวก็ล่วงเข้าสู่ตัวอาคารซึ่งถูกปลูกสร้างแยกออกจากตัวของพระราชวังเยื้องมาทางด้านขวามือ  อาคารแห่งนี้มีสีขาวเช่นเดียวกับหิมะซึ่งทับถมกันเสียจนไม่อาจมองเห็นได้ว่ามีหลังคาสีอะไรกันแน่        
     
         
    เมื่อก้าวผ่านประตูบานใหญ่เข้ามาไดแอซมองซ้ายมองขวากับอีกด้านหนึ่งของพระราชวังอันใหญ่โตที่เขาเพิ่งเคยได้เห็น  ข้างในนี้เป็นเพดานสูงสลักลวดลายเถาดอกไม้นานาพรรณ  ประตูไม้บานหนาเปิดอ้ากว้างซึ่งเมื่อเด็กหนุ่มมองเลยเข้าไปก็พบกับกองกระสอบทั้งหลายที่ดูร่อยหรอลงจากเดิมอย่างไรก็ไม่รู้
     
        
    นักเรียนเตรียมทหารกับผู้ใช้เวทก็ยังคงเข็นรถขนาดเล็กสลับกันไปมาออกจากมุมหนึ่งอย่างไม่ขาดสายจนดูคล้ายมดงานที่กำลังขนย้ายอาหารภายในรังอย่างขยันขันแข็ง  เด็กสาวนำให้เขาเดินสวนไปหลบผู้ที่กำลังวุ่นวายก่อนเลี้ยวขวาไปยังทางเดินขนาดเล็กที่ทอดเชื่อมเข้าไปยังตัวพระราชวัง  ทั้งสองเดินมาได้พักหนึ่งเฟลิเซียก็วางมือเรียวของตนบนผนังคล้ายกำลังคลำหาบางสิ่งบางอย่างบนผนังเรียบอยู่
     
         
    ผึง
     
         
    เสียงดีดเบาๆของสปริงดังขึ้นพร้อมบานประตูไม้ซึ่งแฝงตัวอย่างแนบเนียนกับผนังเปิดออกเผยให้เห็นทางเดินแคบที่ทอดยาวอยู่รางๆในความมืด  ระหว่างที่ไดแอซกำลังยืนอ้าปากค้างแปลกใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่นั้นเด็กสาวก็รีบดึงให้เขาก้าวเข้าสู่ทางลับนั้นตามด้วยเสียงเลื่อนเบาๆของแผ่นไม้อันเป็นสัญญาณว่ามันได้กลับมาอยู่ในที่เดิมของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
     
         
    หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็พบว่าตนกำลังสาวเท้าตามแรงดึงเบาๆของเด็กสาวตรงหน้าฝ่าความมืดมิด  ทางเดินอันค่อนข้างวกวนเล็กน้อยพาทั้งสองมาจนถึงยังบริเวณที่เขาแอบสงสัยว่าจะเป็นด้านหลังของกรอบรูปที่ไหนสักแห่งเป็นแน่แท้  เมื่อลองหันกลับไปมองข้างหลังก็พบว่าด้านขวานั้นมีทางเดินรูปแบบคล้ายๆกันซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่าจะนำไปสิ้นสุดยังที่ใด  เขาจ้องมองมันด้วยความรู้สึกติดใจอย่างน่าประหลาดจนมารู้ตัวอีกทีก็เห็นเด็กสาวกำลังยืนรออยู่ข้างนอกเสียแล้วจึงตามออกไปแต่โดยดี
     
         
    ขณะนี้ไดแอซกำลังยืนอยู่ในห้องขนาดกลางห้องหนึ่งที่ดูไม่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเอาเสียเลย  ก็แน่ล่ะเขาเพิ่งเข้าวังได้แค่สองครั้ง คงจะคุ้นกับห้องหับที่มีร่วมร้อยได้อยู่หรอก  
     
         
    ห้องที่เฟลิเซียพาเขามานี้เป็นห้องโล่งที่มีเพียงโต๊ะเก้าอี้หนึ่งชุดและตู้ไม้สีทึบดูน่าเกรงขามตั้งชิดฝาอยู่สองสามตู้  เด็กสาวผละจากเขาตรงเข้าไปทำท่าก้มๆเงยๆค้นหาอะไรสักอย่างหนึ่งจากตู้เหล่านั้น ไดแอซที่ถูกทิ้งให้ยืนหมุนซ้ายหมุนขวาอย่างงงงวยอยู่กลางห้องจึงตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มข้างตัว
     
         
    สักพักดูเหมือนว่าเฟลิเซียจะพบสิ่งที่ต้องการในที่สุด  เธอประคองขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กมาวางบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง แล้วจัดแจงลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งใกล้เขา 
     
          “
    ยื่นแขนมาสิเด็กสาวบอกกึ่งออกคำสั่ง  ไดแอซจึงยื่นแขนข้างหนึ่งไปให้พลางเอียงคอน้อยๆจ้องมองเธออย่างสงสัยกับการกระทำนี้   เฟลิเซียบรรจงพับแขนเสื้อสีขาวตัวยาวของเด็กหนุ่มขึ้นให้พ้นทางแล้วจึงเทผงสีเหลืองนวลเหมือนไข่ไก่ส่วนหนึ่งบนฝ่ามือของตน   “อันที่จริง.....เอ่อ.......ไม่ต้องก็ได้ ข้าทายาตอนเช้ามาแล้ว”  เขาตะกุกตะกักปฏิเสธเธอเป็นการใหญ่ด้วยความเกรงใจ   
     
          “
    เรื่องเมื่อครู่ข้าขอโทษนะ”  เด็กสาวเอ่ยเบาๆขณะก้มหน้าก้มตาทายาบางๆเหนือรอยช้ำบนแขนขวา  ไดแอซมีสีหน้าพิศวงเล็กน้อยแต่ก็คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนราวใบไม้ในหน้าร้อน ดวงตาที่ปกติมักจะดูว่างเปล่าเย็นชากลับฉายประกายอบอุ่นคล้ายสายลมที่พัดผ่านจากแดนไกล  เจ็บมากหรือเปล่า เธอถามต่อทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา
     
          “
    ไม่หรอกข้าออกจะแข็งแรงปานนี้”  เจ้าตัวว่าอย่างนั้นพลางยกแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมาทำท่าเบ่งกล้ามที่ไม่ว่าจ้องเท่าไหร่ก็ไม่เห็นให้เด็กสาวดูเป็นการประกอบ  
     
          “
    โอ๊ย
     
         
    เด็กหนุ่มดึงมือหลบโดยอัตโนมัติแล้วนิ่วหน้าน้อยๆ เมื่อเฟลิเซียเผลอตัวกดมือลงตรงกลางรอยช้ำอย่างพอดิบพอดี   อ๊ะ... เสียงหวานอุทานเบาๆเมื่อรู้ตัว  ดวงตากลมโตสีน้ำตาลมองเขาอย่างเป็นห่วงด้วยกลัวว่าจะเจ็บ  ไม่เป็นไรหรอกไกลหัวใจตั้งเยอะ  ไดแอซตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เด็กสาวจึงลงมือทายาต่อจนเสร็จทั้งสองข้าง  “ยานี่ดีมากเลยรู้ไหม  ตอนเด็กๆข้าชอบเล่นซนจนช้ำบ่อยๆทาแป๊ปเดียวก็หายแล้ว”  เธอเล่าอย่างร่างเริงขณะจัดการเก็บยาเข้าตู้   “รวมไปถึงการสำรวจทางลับนั่นด้วยรึเปล่า?”  เด็กหนุ่มถามบ้าง
     
          “
    อื้อ  เป็นอะไรที่สนุกมากเลยล่ะ  ข้าเคยไปโผล่ในห้องประหลาดๆที่มีแต่ลายกุหลาบแถมยังหลงหาทางกลับไม่เจอจนเขาตามหากันแทบแย่แน่ะ”   พอได้เล่าถึงวีรกรรมสมัยเด็กแล้วเฟลิเซียก็อดหัวเราะกับความซนของตนไม่ได้  
     
          “
    แล้วกระสอบพวกนั้นมันอะไรอ่ะแล้วขนไปไหนตั้งมากมาย?”  ไดแอซได้ฤกษ์ถามขึ้นมนที่สุดหลังจากต้องเก็บความสงสัยเอาไว้เป็นนาน  “นั่นเสบียงส่วนของวังหลวงน่ะ  ท่านพ่อมีคำสั่งให้นำออกแจกจ่ายประชาชนทั่วแพนโทเนียแล้วก็เริ่มมีการปันส่วนในวังให้เหมือนกับชาวเมืองด้วย  ทีนี้ก็จะได้มีอะไรกินกันทุกคนยังไงล่ะ”  เด็กสาวอธิบาย
     
         “
    เฟลิเซีย  อยู่นี้เองหรือ
     
         
    จู่ๆองค์ราชาพร้อมราชินีก็ผลักประตูเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  “เพคะ”   เจ้าของชื่อขานรับเสียงใสแล้วยอบตัวลงเล็กน้อยส่วนไดแอซก็เด้งพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ราวโดนของร้อนลวก  เขายืนค้างอยู่พักหนึ่งจึงได้สติค้อมกายลงคำนับอย่างทื่อๆจนอดนึกไม่ได้ว่าช่างเป็นท่าที่เหมือนหุ่นไม้ทื่อๆยังไงยังงั้น
     
        
    เฟลิเซียเดินเข้าไปพูดคุยบางอย่างกับผู้เป็นพระบิดาซึ่งอยู่ในชุดคลุมกันหนาวสีน้ำตาลเข้มเข้ากันดีกับพระเกศา ฝ่ายองค์ราชินีที่ยืนอยู่เคียงข้างทรงเหลือบพระเนตรสีเหลือบดำมามองไดแอซซึ่งมีท่าทางเหมือนไม่รู้จะทำอะไรดี ครั้นแล้วจึงคลี่ยิ้มให้เขาอย่างดงามเป็นรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาดเจ้า.....ไดแอซสินะ”  กระแสเสียงเรียบเรื่อยเฉกธาราถาม  
     
         “
    ขอรับ
     
          “
    เฟลิเซียเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังบ่อยๆ”  พระนางว่าอย่างนั้นทำเอาไดแอซก้มหน้างุดๆด้วยความประหม่าปนเขิน  เห็นอาการของเด็กหนุ่มเป็นดังนั้นเจ้าของชื่อซึ่งถอยกลับมายืนอยู่ข้างกายก็หัวเราะขึ้นเบาๆ  องค์ราชาเอี้ยวพระวรกายไปกระซิบรับสั่งกับผู้เป็นราชินีเบาๆ  “ท่านพ่อจะออกไปดูพวกเขาเหรอคะ”  เด็กสาวหมายถึงการลำเลียงบรรดาเสบียงทั้งหลาย  “จะไปช่วยเขาน่ะ”   องค์ราชาตอบง่ายๆ  คนถามกระพริบตาสองสามทีอย่างงงงวยก่อนเอ่ยปากค้าน  “เดี๋ยวท่านพ่อก็ไม่.....” 
     
         “
    พ่อออกจะแข็งแรงอยู่นะเฟลิเซีย”  ว่าพลางเดินเข้ามาลูบเรือนผมสีน้ำตาลเบาๆ  “ก็....ห่วงนี่เพคะ”  เด็กสาวก้มหน้าน้อยๆ  เอาเถอะ  พ่อไปที่คลังเก็บเสบียงก่อนนะ  องค์ราชาเอ่ยปากบอก  “อย่าทรงงานหนักมากๆนะเพคะ”  เฟลิเซียบอกด้วยความเป็นห่วงแล้วยอบกายส่ง  “จ๊ะ”  สองพระองค์หันมารับคำแล้วเดินจากไป
     
        
    เราก็ไปช่วยเขากันไหมล่ะ  ไดแอซเอ่ยขึ้นด้วยไม่รู้จะทำอะไรดี  แขนเจ้ายังไม่หายนี่นา  เด็กสาวค้านขึ้น อ๊ะ ข้านึกอะไรออกแล้ว   เธอพูดขึ้นพลางดึงมือให้เด็กหนุ่มเดินตามออกมาด้วยกัน  “ง่า”   คนที่วันนี้ถูกลากมาหลายรอบแล้วแอบพองแก้ม  “คราวนี้จะไปไหนอีกละนี่
     
        
    วูบ
     
         
    เดินนึกอะไรเพลินๆอยู่ดีๆลมหนาวจัดก็พัดเข้าใส่หน้าและตัวเขาเต็มๆ  เบื้องหน้าคนทั้งคู่คือสวนหิมะขนาดเล็กหนึ่งในจำนวนหลายสิบที่ตั้งอยู่รายรอบพระราชวัง  เฟลิเซียปล่อยมือเขาแล้วล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมหยิบห่อเล็กๆที่ซุกไว้ออกมา  “เนี้อย่าง?” เอามาทำอะไรตรงนี้อ่ะ  เขามองท่าทางของคนตรงหน้าอย่างสงสัยสุดๆแต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาก็ได้คำตอบ 
     
         
    ลูกหมาป่าหิมะขนขาวสะอาดตัวขนาดย่อมวิ่งออกมาจากพุ่มสนเตี้ยๆซึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนกลืนไปกับพื้นดินจนหาใบไม่เจอ  มันเลียมือเด็กสาวด้วยอาการออดอ้อนสุดๆแล้วจัดการกับเนื้อย่างก้อนนั้นอย่างเอร็ดอร่อย  
     
          “
    เพิ่งรู้ว่าในวังก็เลี้ยงตัวแบบนี้ด้วยแฮะ”  ไดแอซนึกในใจ  มันเงยดวงตาสีเงินสดสวยขึ้นมาจ้องเขาเสียเขม็งเล่นเอาเด็กหนุ่มตัวแข็งด้วยกลัวว่าจะถูกงาบเข้า  แต่ท่ามกลางความแปลกใจนั้นลูกหมาป่าหิมะก็เข้ามาคลอเคลียตามชายเสื้อคลุมบริเวณขาของเด็กหนุ่ม  มันใช้สองขาหน้าตะกุยเบาๆจนเมื่อเด็กหนุ่มโน้มตัวลงไปหาก็โดนจมูกเย็นๆสีขาวประทับเข้าเต็มข้างแก้ม  แถมลูกหมาป่ายังมีท่าทีขอให้เขาอุ้มอีกต่างหาก ไดแอซจึงช้อนตัวมันขึ้นมาซึ่งก็พบว่าไม่ได้หนักสักเท่าใดนัก  
     
         “
    อย่าดิ้นล่ะ ข้าเจ็บแขนอยู่”  ลูกหมาป่ามีท่าทีเหมือนเข้าใจในคำพูดนั้นด้วยมันอยู่นิ่งไม่ได้กระดุกกระดิกตัวเลยมีเพียงหางฟูนุ่มสะบัดไปมา   
     
         “
    อะไรกัน  ข้าอุตส่าห์เอาเนื้อย่างของโปรดมาให้แท้ๆแต่เจ้าไปตีสนิทกับคนอื่นอย่างงั้นเหรอ”  คำพูดออกจะงอนๆของเด็กสาวทำให้ลูกหมาป่าทำหน้าเหมือนสำนึกผิดมันขยับตัวเบาๆยื่นจมูกไปสะกิดแขนเด็กสาว  “ล้อเล่นหรอกน่าเธอลูบใบหูขนปุยนั้นแล้วเกาเบาๆ  “เล่นพอแล้วกลับเข้าไปข้างในกันเถอะนะ”  มันไม่ได้แสดงท่าทางคัดค้านใดๆราวรู้ความ  ทั้งสองจึงบ่ายหน้าไปยังตำหนักของตน
     
         “
    เจ้าตัวนี้.....?” เด็กหนุ่มถามขึ้นขณะที่อุ้มลูกหมาป่าซึ่งซุกตัวหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของเขา  “ตอนข้าออกไปตรงประตูเมืองก็เห็นมันหมอบอยู่ตัวเดียวเลยพาเข้ามาอยู่ด้วยน่ะ คงจะหลงกับฝูงกระมังถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ไดแอซก็ยังไม่ได้คลายความสงสัยไปด้วยปกติแล้วหมาป่าหิมะมักจะรวมกลุ่มกันอยู่ในป่าลึกไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาให้เห็นง่ายๆ  หรือว่ามีอะไรไปรบกวนมันเข้า......เหมือนบาร๊อกงั้นหรือคิดเช่นนั้นแล้วก็หมายหมาดในใจว่ากลับไปถึงที่พักเมื่อใดจะลองถามราดีสดูให้จงได้
     
         “
    ไดแอซรีบเดินหน่อยสิ”   เด็กสาวที่ล่วงหน้าไปโขหันมาเรียก  “ข้าไม่หลงหรอกน่า”  เขาตอบกลับโดยไม่ยอมเร่งฝีเท้าขึ้น  “แน่ใจนะ”  ว่าแล้วเฟลิเซียก็หายวับไปหลังบานประตูลับบริเวณทางแยกที่แอบเปิดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ทันที  “ง่า อย่าแกล้งข้าสิ”  เด็กหนุ่มร้องบอกซึ่งเขาก็มั่นใจว่าเธอต้องได้ยินอย่างแน่นอน  คิกๆ  เสียงหัวเราะดังขึ้นข้างกายทำเอาไดแอซสะดุ้งโหยงด้วยไม่รู้ว่าเฟลิเซียมายืนอยู่ข้างตนตั้งแต่ไม่เมื่อใด  
     
         “
    ไปกันเถอะ
     
         
    ร่างบางเดินเคียงกับเด็กหนุ่มที่หน้าบูดเล็กน้อย   เสียงใสพยายามชวนคุยโน่นคุยนี่กับเด็กหนุ่มจนเจ้าตัวยอมปิดโหมดงอนในที่สุด  ตามทางเดินอันทอดยาวมีสองร่างเดินเคียงกันพร้อมเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข

                                                                                                ***************
     
         
    บ่ายกว่าๆของวันรุ่งขึ้นหลังจากการแจกจ่ายเสบียงของพระราชวังไปจนทั่วแพนโทเนียโดยมีองค์ราชาและราชินีมาร่วมด้วยช่วยกันประกอบกับข่าวการมาถึงของกองคาราวานสองกองแรกจากคาเรลล่าและอีกหลายๆกองซึ่งอยู่ระหว่างทางตามที่พวกของดีอัสซึ่งถูกส่งไปคุ้มกันเส้นทางพระจันทร์บอก  ส่วนพายุเวททั้งหลายแหล่ก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยแต่เพื่อความไม่ประมาททางการยังคงสั่งให้ผู้ใช้เวทที่ส่งไปตรึงกำลังไว้ก่อน   เรื่องราวพวกนี้จึงประชาชนมีกำลังใจเพิ่มขึ้นบรรยากาศของเมืองเองก็พลอยดูสดใสขึ้นจากเดิมนิดหน่อยด้วย
     
        
    วันนี้ชั้นล่างของที่พักกลับมาเต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้งหนึ่ง  พวกผู้ใช้เวทเองก็ลงมานั่งร่วมวงสนทนาไปกับเขาด้วย  อาหารกลางวันก็ดูเยอะขึ้นมามากโขในสายตาของเด็กหนุ่มที่เมื่อวานได้กินเพียงขนมปังกระดาษเท่านั้น
     
         “
    กองคาราววานเข้าเมืองมาแล้ว”   ใครคนหนึ่งประกาศขึ้นด้วยเสียงอันดังเรียกความสนใจจากผู้คนได้เต็มๆ  ฝ่ายผู้ใช้เวทที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของร้านกลับไม่มีท่าทีแปลกใจกับข่าวการมาถึงนี้  “เขาแจ้งมาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนโน่นแล้ว”   มาร์คัสบอกกับไดแอซ   
     
         “
    แล้วทำไมข้าถึงไม่รู้อ่ะ?”    
     
         “
    ก็เจ้าไม่ถามนี่นา
     
         “
    พอเถอะ”  เวสรีบขวางกลาง  “ดูเหมือนจะมีผู้มีพลังมากับกองคาราวานนั่นด้วยล่ะ”  เมอร์สเอียงคอน้อยๆ   “เป็นผู้ใช้พลังจากต่างแดน.....พ่อมดหรือ”  ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยในจดหมายที่แจ้งมานั้นก็ไม่ได้พูดรายละเอียดอะไรชัดเจนนัก  เพียงบอกแต่ว่าที่ฟันฝ่าพายุเวทมาอย่างรอดปลอดภัยครบสามสิบสองก็ได้พลังของพวกนั้นนั่นล่ะ
     
         “
    ไดแอซ
     
        
    คนทั้งโต๊ะเรียกเด็กหนุ่มพร้อมๆกันเมื่อจู่ๆเจ้าตัวก็ลุกพรวดขึ้นมาแล้วคว้าเสื้อคลุมมาคลุมอย่างเร่งรีบจากนั้นก็วิ่งออกจากที่พักไปโดยไม่ได้อธิบายอะไรกับใครสักคน  ทิ้งไว้แต่ความสงสัยที่กองทับคนทั้งโต๊ะเท่านั้น  

                                                                                             *****************

          
    รู้สึกว่า..............มีอะไรบางอย่างที่สำคัญกำลังอยู่ในเมืองนี้   

          
    ที่ไหนสักแห่ง
     
        
    เด็กหนุ่มวิ่งฝ่าอากาศหนาวไปตามถนนสายหลักจนเกือบสุดแล้วย้อนกลับไปตามตรอกซอกซอยซึ่งทะลุไปเชื่อมต่อกันราวใยแมงมุมอย่างไม่กลัวหลง  นัยน์ตาสีฟ้าหม่นทั้งคู่กวาดซ้ายขวาอย่างเร่งร้อนด้วยเจ้าตัวกำลังมองหาคนอยู่
     
        
    ถึงจะจำไม่ได้  แต่ก็รู้ว่าต้องใช่แน่  เขาหอบน้อยๆหัวใจเต้นรัวเร็วด้วยความหวังปนเปไปกับความตื่นเต้นซึ่งแฝงเร้นไปด้วยริ้วรอยแห่งความเจ็บปวดที่พาดผ่านกลางหัวใจ  กระนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ยังคงอยากจะพบเหลือเกิน  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม้จะเปลี่ยนแปลงไปสักเพียงใดก็ต้องตามหาให้เจอ  

         
    เพราะว่า.............
     
         คือสิ่งสำคัญยิ่งของเขา

     
         “
    ราซาริน

    ------------------------------------------------
    หวัดดีค่าทุกท่าน  
    เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย  วิลสบายดีค่ะ(มีใครถามเรอะ?)  ตอนที่จะอัพเรื่องแล้วเข้ามายไดไม่ได้นี่ใจหายแทบแย่นึกว่าเรื่องจะเจ๊งไปแล้วซะอีก เฮ้อออออออ  ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงสอบกลางภาคล่ะ คงมีหลายๆท่านที่กำลังเจอการสอบนรกแบบเดียวกันอยู่แน่ๆเลย เมื่อวานเจอเคมีเข้าไปเต็มๆเปา TT_TT อ้า.........ลาก่อนเกรดสี่  
    ตอนนี้ก็นั่งฟังเพลงของ sprited away พลางอ่านโมโมะเล่ม 6 พลาง รู้สึกว่าเข้ากันดีจังเลย  โมโมะเล่มนี้อ่านแล้วเหงาๆยังไงก็ไม่รู้เนอะ  
    ยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่าน+เม้นท์ด้วยนะเจ้าค่ะ
    ขอบคุณค่า
         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×