คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : หนทางที่ใกล้บรรจบ
“ไดแอซ...”
ใคร?..... อะไร?.....
ภาพความทรงจำหลากหลายหลั่งไหลปนเปกันผ่านเข้ามาในหัวสมองอันว่างเปล่าอีกคราหนึ่ง ขณะที่เด็กหนุ่มค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นทีละน้อย
“ไดแอซ”
เสียงนั้นเรียกซ้ำอีกครั้งพร้อมมือหนาจับตรงไหล่สองข้างแล้วเขย่าปลุกแรงๆ “อื้อ....” เสียงครางเบาๆก่อนที่นัยน์ตาสีฟ้าหม่นจะเปิดลืมขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เจ้าตัวกระพริบปรับสายตาให้ชินก่อนรีบลุกขึ้นนั่งแล้วอ้าปากทำท่าจะเถียง
“ข้าไม่ได้ชื่อ.....”
“อะไรนะ?” ชายหนุ่มตรงหน้าถามกลับด้วยแววตางุนงงเมื่อเห็นไดแอซทำท่าเหมือนจะค้านแต่ก็หุบปากไปเสียเฉยๆ หากก็ไม่ได้ติดใจอะไรด้วยมีเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องถามให้ได้ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ไดแอซผินหน้ามามองมาร์คัสที่เดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาทั้งคูเลื่อนลอยราวกับจะตอบคำถามให้ชายหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อย่าบอกนะว่า......”. ยังพูดไม่ทันจบประโยคไดแอซก็พยักหน้ารับเหมือนรู้ใจทำเอามาร์คัสแทบลงไปกองกับพื้นเสียเดี๋ยวนั้น “มาอีหรอบเดิมไม่มีผิด ไม่น่าไปหวังว่ามันจะจำอะไรได้เล๊ย” ชายหนุ่มบ่นอุบอยู่ในใจแต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อเงยขึ้นสบกับดวงตาสีฟ้าหม่นที่จับจ้องมายังเขาทอประกายคล้ายเวิ้งน้ำแข็งในทุ่งหิมะทางเหนือ
เหน็บหนาว.......จนลึกถึงขั้วหัวใจ
ครั้นเจ้าของเอื้อมมือมาจับแขนจึงได้รู้สึกตัว ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไปมาเบาๆ “เจ้ายังไม่หายดีนักทายาแล้วนอนพักไปเถอะ” เขาบอกต่อกับเด็กหนุ่มที่ยังมองอาการแปลกๆของตนด้วยสายตาประหลาดใจพลางเอื้อมมือไปหยิบกระปุกกลมบนโต๊ะข้างตัวมาส่งให้ “ขอบคุณ” คนเจ็บพึมพัมเบาๆ
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูสองสามทีตามด้วยร่างของชายหนุ่มผมแดงซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีโผล่เข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าค่อนข้างจะอิดโรย ยังไม่ทันที่มาร์คัสจะอ้าปากพูดอะไรเขาก็จัดการยิงคำถามเข้าใส่เด็กหนุ่มเสียก่อน “ว่าไงไดแอซ คราวนี้จำอะไรได้บ้างไหม”
“ไม่ครับ”
เจ้าตัวตอบหน้าซื่อเสียงใสส่งให้คนถามเกิดอาการแห้งเหี่ยวเหมือนผักไม่ได้รดน้ำมา 5 วันยังไงยังงั้น “น้านไม่ยอมฟังข้าซะก่อน” มาร์คัสว่า “ช่างเหอะ” เวสโบกมือแล้วส่งห่อกระดาษบางๆสีขาวให้ “นี่ขนมปัง” จากคำบอกทำให้ไดแอซจ้องสิ่งนั้นตาแทบถลนออกจากเบ้า ขนมปังแผ่นบ๊างบางจนนึกว่าเป็นญาติกับกระดาษที่ห่อมา แถมยังมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าสมุดจดขนาดกลางด้วยซ้ำ “แล้วอย่างนี้ข้าจะไปอิ่มได้ยังไงเล่า” ไดแอซได้แต่โอดครวญอยู่ในใจด้วยรู้ว่าตอนที่เขาหลับไปเสบียงทั้งหลายคงแทบจะหมดอยู่รอมร่อแล้ว
เจ้าตัวค่อยๆประคองขนมปังเข้าปากอย่างกลัวว่ามันจะหัก หลังเคี้ยวไปได้สี่คำทุกอย่างก็เกลี้ยงกริบ “นั่นมื้อเที่ยงของเจ้า” ชายหนุ่มบอก
“หา”
“ฟังไม่ผิดหรอก มีแค่นั้นแหละ” เวสบอก “หิวนักก็ซดน้ำชาไปก่อนแล้วกัน” ว่าพลางรินชาอันเป็นเครื่องดื่มสุดแสนอมตะใส่แก้วแล้วจิบนิดหน่อยก่อนเริ่มบทสนทนาเบาๆกับเพื่อนของตนปล่อยให้เด็กหนุ่มเข้าสู่โหมดห่อเหี่ยวอยู่ตามลำพัง ครั้นคุยกันไปได้พักใหญ่ๆก็มีสัตว์เสกขนปุยตัวกลมป๊อกจากคนในกลุ่มก็โผล่มาเรียกให้ทั้งสองออกไปทำงานด้วยเสียงแหลมๆเล็กๆน่ารักน่าเอ็นดู
“พวกเจ้าอู้งานอีกแล้ว ถ้ายังไม่รีบมาภายใน 20 นาทีนี้ข้าจะแจ้ง...อุ๊บ....”
มาร์คัสจัดการปิดปากเจ้าตัวกลมอย่างติดจะรำคาญ ดวงตาโตสีเขียวสดใสที่อยู่กลางลำตัวส่งรัศมีอาฆาตเต็มที่ไปยังเจ้าของมือแต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่มีอาการสะทกสะท้านอันใดซ้ำยังจัดแจงเอาผ้าหนามาพันรอบๆปากเจ้าตัวที่ว่านั่นอีก “ไว้มีธุระแล้วข้าค่อยมาเรียกเจ้าเอง” เขาบอกกับไดแอซซึ่งกำลังป้ายๆยาบนรอยช้ำที่ดูจางลงมากแล้วเหนือท่อนแขนทั้งสองข้างพลางทำหน้าเบ้
และก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ถามถึงเรื่องราวที่ว่าคนทั้งสองก็ใส่เกียร์สุนัขออกไปนอกห้องเรียบร้อยแล้ว “เดี๋ยวน๊า.....ตกลงนี่ข้าหลับไปกี่วันอ่ะ? แล้วธุระที่ว่านั่นมันอะไรเหรอ? ข้าวเย็นข้าล่ะ?” เขาตะโกนถามเสียงหลง กระนั่นก็ได้รับเพียงความเงียบกลับมาเป็นคำตอบจึงได้แต่นั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ใส่บานประตูเพียงคนเดียว
เด็กหนุ่มโยนกระปุกยาไปบนโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนอนอีกรอบ ทุกครั้งที่หัวว่างเรื่องราวซึ่งเกี่ยวข้องกับความฝันและความทรงจำของตนมักผุดขึ้นมาในสมองอยู่ร่ำไป พอลองนึกๆไปถึงความฝันที่ผ่านมาซึ่งยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังนั้นก็พบว่ามันดูรางเลือนราวแฝงตัวอยู่ในสายหมอกแห่งแดนเหนือ
จำได้......แค่กระท่อมไม้ขนาดเล็กกลางป่าโปร่งกับแปลงผักด้านหลังซึ่งแข่งกันโบกใบอวบสีเขียวไปมาในอากาศ สายลมเย็นสบายพัดผ่านมาต้องผิวกาย มือคู่เรียวที่คอยพยุงยามหกล้ม น้ำเสียงหวานซึ่งขับขานเพลงกล่อม และร่างโปร่งบางที่แลเห็นไม่ชัดเจนส่งยิ้มสวย แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกอยากร้องไห้ออกมามากกว่าอื่น พอจ้องมองก็เปลี่ยนไปเป็นภาพของใครอีกคนหนึ่งซึ่งปรากฏเพียงพริบตาแล้วเลือนหายราวภาพลวงตาในทะเลทราย
เด็กหนุ่มพยายามสุดกำลังเพื่อจะนึกให้ออกว่าคนทั้งคู่คือใครกันแน่จากความทรงจำที่ขาดช่วงไม่ปะติดปะต่อเหล่านั้น หากก็รู้สึกได้ถึงสังหรณ์ลึกๆเตือนใจตนมาตลอดว่าเมื่อใดที่นึกออกแล้วจะต้องพบกับเจ็บปวดอย่างแน่นอน
“ทำไมนะ?.....เพราะอะไรกัน?......”
*********************
“พลังของไดแอซรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆที่ผ่านมา ซ้ำยังดูเหมือนว่าจะไร้ซึ่งขีดจำกัดในการใช้อีกด้วย” มาร์คัสพูดกับเวสเมื่อเดินออกมานอกห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ก็หมายความว่า........” ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันความคิดของคนเป็นเพื่อน “ไดแอซอาจจะมีพลังมหาศาล” ดูเหมือนว่าชายหนุ่มค่อนข้างเน้นคำว่าอาจจะมากเป็นพิเศษ และเวสเองก็เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อจึงได้แต่ตบบ่าเบาๆ “ข้าก็หวังว่าเรื่องนี้พวกเราคงจะคาดการณ์ผิด”
“ข้าเองก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกไปเล็กน้อย คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันโดยอัตโนมัติขณะที่เจ้าของกำลังใช้ความคิด หวั่นใจ.......ว่าอีกไม่นานจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ...อะไร?
“แฮ่กๆ” เสียงหอบเล็กน้อยที่หลุดออกมาจากปากของคนข้างตัวปลุกให้ชายหนุ่มหลุดจากห้วงความคิด “จะ......ถึงแล้ว” เวสว่าหลังทั้งคู่บุกหิมะหนาที่ทับถมขึ้นใหม่จนรอยทางเดินหายไปแทบจะทั้งหมดมานานสองนาน “โอ๊ยเหนื่อย” อีกฝ่ายยังคงบ่นต่อไม่เลิกรา ก็การบุกหิมะมันกินแรงใช่น้อยเสียที่ไหนล่ะ ย่ำเล่นๆสองสามก้าวน่ะสนุกแต่ให้มากรุยทางยังงี้....เฮ้อ ว่าแล้วก็หันหน้าไปมองหน้าต่างบ้านเรือนสองข้างทางที่ปิดเงียบเชียบ ด้วยต่างฝ่ายต่างพยายามใช้พลังงานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งถนนเลยมีแต่พวกเขาแค่สองคนที่ออกมาเดินต๊อกๆอยู่ พอหักเลี้ยวตรงมุมสภากลางอันเป็นสถานที่ทำงานปัจจุบันปรากฏกายขึ้น
ปี๊ดดดดดดด
จู่ๆสัตว์เสกตัวเดิมก็โผล่พรวดขึ้นข้างหูแล้วหวีดเสียงแหลมเปี๊ยบจนแก้วหูแทบทะลุใส่เป็นการแก้แค้นที่เมื่อคราวก่อนไปอุดปากมันเข้า มาร์คัสและเวสพร้อมใจกันจับมันลากถูลู่ถูกังเข้ามายังชายคาร้านขายของ ชายหนุ่มผมทองที่เตรียมกำปั้นพร้อมยัดปากหากมันยังไม่ยอมหยุดหวีดชะงักกลางอากาศเมื่อเสียงเหนื่อยๆของเมอร์สดังขึ้น “รีบมาหน่อยก็ดีนะ มีคำสั่งให้ไปขนเสบียงที่พระราชวัง แล้วก็เจ้าพวกที่ไปอยู่เมืองเหนือส่งจดหมายมาแน่ะ”
ทั้งสองหันหน้ามองกันแทบจะทันทีที่จบประโยค “เจ้าคิดเหมือนข้าไหมมาร์คัส เรื่องจดหมายนั่น ” คนถูกถามพยักหน้า “เจ้าก็คิดเหมือนข้าใช่ไหมเวส” แววตาสีเทาของเวสส่งประกายความหวังวิบวับเหมือนเด็กเจอลูกกวาด “ถ้างั้น......ลุยโลด” ว่าแล้วทั้งคู่ก็บุกบั่นฟันฝ่าหิมะต่อไปด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
*********************
ฝ่ายไดแอซที่นอนแล้วนอนอีกจนไม่รู้จะทำอะไรดีก็ตัดสินใจไม่รอบรรดาธุระที่มาร์คัสพูดถึงลุกจากเตียงมาเตรียมตัวออกไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอกแก้เบื่อ เมื่อเขาเดินลงมาถึงชั้นล่างก็พบกับบรรยากาศเงียบเหงาด้วยผู้ที่พักอยู่ทั้งหลายต่างก็พากันเก็บตัวอยู่ในห้องพักไม่มีใครลงมานั่งตั้งวงสนทนากันเหมือนเคย พอลองนับวันตรงปฏิทินข้างฝาดูก็พบว่าตัวเองหลับไปตั้งสามวันกว่าๆ “มิน่าล่ะ อะไรๆก็เปลี่ยนไปซะหมด” เขานึกในใจ
“เอ๊ะ”
เจ้าตัวชะงักกึกตรงหน้าประตูเนื่องจากสัมผัสได้ถึงม่านโปร่งใสคล้ายผิวฟองสบู่คลี่คลุมตัวอาคารอันเป็นที่พักของตน หากเด็กหนุ่มเพียงเอื้อมมือไปแตะเบาๆสิ่งนั้นก็แตกโพละแล้วจางหายไปในทันที นอกจากนั้นเขายังหันกลับไปวาดมือซ้ายวนเป็นวงกลมตรงหน้าประตู แสงสีเจิดจ้าปรากฏชั่วพริบตาแล้วจางหายเหลือไว้เพียงร่องรอยสัญลักษณ์บางเบารูปร่างคล้ายเกล็ดหิมะเหนือบานประตู เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มหยันขณะมองม่านบางๆที่เริ่มโรยตัวลงมาอีกครั้งแต่ก็ต้องแตกสลายไป เขาออกเดินช้าๆพลางดึงแผนที่พกพาซึ่งเฟลิเซียให้ไว้ออกมาดู ทิ้งไว้เพียงคำพูดซึ่งล่องลอยอยู่ในสายลม
“หึ.....ชั้นต่ำ”
พอเดินมาได้ไกลโขก็พบว่าสองเท้ากำลังพาให้เขามุ่งหน้าสู่ทิศทางอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังโดยไม่ทันรู้ตัว ระหว่างทางก็พบว่ามีบรรดานักเรียนเตรียมทหารท่าทางเร่งรีบที่มุ่งหน้าเข้าสู่ย่านตัวเมืองสวนทางกับเขานับได้หลายสิบคน เมื่อโผล่มาถึงยังสวนฤดูหนาวเล็กๆเชิงเนินแด็กหนุ่มก็ต้องรีบขยี้ตาเป็นการใหญ่ เพราะภาพที่เห็นท่ามกลางอากาศติดลบคือบรรดาผู้ใช้เวทจำนวนร่วมๆร้อยกว่าคนที่เหลืออยู่และนักเรียนเตรียมทหารร่วมแรงร่วมใจส่งกระสอบอะไรสักอย่างที่แลเห็นไม่ถนัดนักเป็นทอดๆออกมาจากประตูด้านข้างของวังอันเป็นแถบที่เขาเคยไปก่อวีรกรรมเอาไว้
และในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังลังเลว่าจะปรากฏตัวออกไปดีหรือไม่นั้นมาร์คัสซึ่งยืนอยู่ปลายแถวและกำลังก้มหน้าก้มตาบันทึกจำนวนสิ่งเหล่านั้นก็บังเอิญเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาเข้าอย่างพอดิบพอดี
“ไดแอซ”
รายนั้นตะโกนเรียกเสียดังจนผู้คนทั้งหลายพากันสะดุ้งโหยงไปตามๆกัน เจ้าของชื่อในเสื้อคลุมสีดำจึงเดินลากเท้าออกไปหาชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังหมุนดินสอในมือไปมาอย่างคล่องแคล้ว “คนอะไรตาดีชะมัด” เด็กหนุ่มแอบบ่นเล็กน้อยแต่ก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อรายนั้นมีทีท่าเหมือนกับว่าจะได้ยิน เจ้าตัวส่งยิ้มพิมพ์ใจให้พลางเดินหลบเลื่อนขนของขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยกองกระสอบที่ว่า
“อาการดีขึ้นแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มผมทองแตะหลังมือของตนกับหน้าผากเด็กหนุ่มซึ่งเจ้าตัวกำลังคิดว่ากลางอากาศติดลบอย่างนี้มันคงวัดอะไรได้อยู่หรอกนะ แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อรู้สึกเย็นวาบบริเวณที่มือของชายหนุ่มแตะอยู่จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้น
ครั้นเห็นเครื่องหมายคำถามลอยตัวอยู่บนหน้าชายหนุ่มผมทองก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย “เวทรักษานิดหน่อย กันไว้จะได้ไม่เป็นหวัดไปอีกไง” แล้วก็จัดการขยี้ผมสีดำสนิทเล่นอย่างมันมือ “เจ้ายังไม่หายดีข้าว่าขึ้นไปช่วยงานพวกข้างในโน้นจะดีกว่า” ว่าพลางก็รุนหลังเด็กหนุ่มให้เดินขึ้นเนินไปสองสามก้าวแล้วรีบหันกลับไปทำงานของตนต่อ
“ง่า....งานอะไรอ่ะ” ไดแอซที่ขึ้นมายืนอยู่ครึ่งทางมองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี จะเดินกลับไปถามมาร์คัสรายนั้นก็กำลังยุ่ง คนอื่นๆก็ทำงานของตนไม่ได้หยุดมือ เจ้าตัวจึงเกาแก้มทำท่าเก้อๆแล้วตัดสินใจออกเดินผ่านแถวนักเรียนเตรียมทหารและผู้ใช้เวทที่ส่งกระสอบสีทึบๆอย่างขมีขมัน มีหลายคนเหลือบสายตามามองเด็กหนุ่มอย่างสงสัยก่อนหันกลับไปทำงานต่อ ไดแอซที่ไม่ค่อยชอบตกเป็นเป้าสายตาเท่าใดนักจึงก้มมองปลายเท้าของตนพลางรีบเดินจนมาหยุดยังส่วนที่เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นหัวแถว
ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเข้าไปดีไม่เข้าไปดีนั้นก็มีเสียงใสดังขึ้นข้างตัวเสียก่อน “เจ้าก็มาด้วยหรือ” เฟลิเซียในชุดคลุมกันหนาวสีเทาอ่อนประดับขนสัตว์ยาวซึ่งเกือบจรดพื้นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสดใสดุจดวงตะวัน “ข้าได้ยินจากมาร์คัสว่าเจ้ายังไม่หายดีนี่ มายืนตากลมหนาวอย่างนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายไปอีกหรอก” เด็กสาวว่าอย่างเป็นห่วงแล้วตั้งต้นลากแขนไดแอซเข้าไปด้านใน
“โอ๊ย”
เด็กหนุ่มรีบสะบัดแขนอย่างแรงในแทบจะทันทีที่มือเรียวสัมผัสโดน ครั้นเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววกึ่งตกใจกึ่งตัดพ้อจึงกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงอ่อน “ขอโทษนะ พอดีข้าเป็นแผลตรงนี้นิดหน่อย” มือในถุงมือค่อนข้างหนาสีน้ำตาลแตะลงบริเวณท่อนแขนล่างเบาๆแล้วทำหน้าเบ้เล็กน้อยให้เห็นว่าเจ็บจริงๆ เฟลิเซียจึงเพียงนำเด็กหนุ่มให้ผ่านประตูขนาดเล็กเข้าไปด้วยกันโดยไม่ได้พูดอะไร
พวกเขาย่ำหิมะหนาอีกเพียงห้าถึงหกก้าวก็ล่วงเข้าสู่ตัวอาคารซึ่งถูกปลูกสร้างแยกออกจากตัวของพระราชวังเยื้องมาทางด้านขวามือ อาคารแห่งนี้มีสีขาวเช่นเดียวกับหิมะซึ่งทับถมกันเสียจนไม่อาจมองเห็นได้ว่ามีหลังคาสีอะไรกันแน่
เมื่อก้าวผ่านประตูบานใหญ่เข้ามาไดแอซมองซ้ายมองขวากับอีกด้านหนึ่งของพระราชวังอันใหญ่โตที่เขาเพิ่งเคยได้เห็น ข้างในนี้เป็นเพดานสูงสลักลวดลายเถาดอกไม้นานาพรรณ ประตูไม้บานหนาเปิดอ้ากว้างซึ่งเมื่อเด็กหนุ่มมองเลยเข้าไปก็พบกับกองกระสอบทั้งหลายที่ดูร่อยหรอลงจากเดิมอย่างไรก็ไม่รู้
นักเรียนเตรียมทหารกับผู้ใช้เวทก็ยังคงเข็นรถขนาดเล็กสลับกันไปมาออกจากมุมหนึ่งอย่างไม่ขาดสายจนดูคล้ายมดงานที่กำลังขนย้ายอาหารภายในรังอย่างขยันขันแข็ง เด็กสาวนำให้เขาเดินสวนไปหลบผู้ที่กำลังวุ่นวายก่อนเลี้ยวขวาไปยังทางเดินขนาดเล็กที่ทอดเชื่อมเข้าไปยังตัวพระราชวัง ทั้งสองเดินมาได้พักหนึ่งเฟลิเซียก็วางมือเรียวของตนบนผนังคล้ายกำลังคลำหาบางสิ่งบางอย่างบนผนังเรียบอยู่
ผึง
เสียงดีดเบาๆของสปริงดังขึ้นพร้อมบานประตูไม้ซึ่งแฝงตัวอย่างแนบเนียนกับผนังเปิดออกเผยให้เห็นทางเดินแคบที่ทอดยาวอยู่รางๆในความมืด ระหว่างที่ไดแอซกำลังยืนอ้าปากค้างแปลกใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่นั้นเด็กสาวก็รีบดึงให้เขาก้าวเข้าสู่ทางลับนั้นตามด้วยเสียงเลื่อนเบาๆของแผ่นไม้อันเป็นสัญญาณว่ามันได้กลับมาอยู่ในที่เดิมของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็พบว่าตนกำลังสาวเท้าตามแรงดึงเบาๆของเด็กสาวตรงหน้าฝ่าความมืดมิด ทางเดินอันค่อนข้างวกวนเล็กน้อยพาทั้งสองมาจนถึงยังบริเวณที่เขาแอบสงสัยว่าจะเป็นด้านหลังของกรอบรูปที่ไหนสักแห่งเป็นแน่แท้ เมื่อลองหันกลับไปมองข้างหลังก็พบว่าด้านขวานั้นมีทางเดินรูปแบบคล้ายๆกันซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่าจะนำไปสิ้นสุดยังที่ใด เขาจ้องมองมันด้วยความรู้สึกติดใจอย่างน่าประหลาดจนมารู้ตัวอีกทีก็เห็นเด็กสาวกำลังยืนรออยู่ข้างนอกเสียแล้วจึงตามออกไปแต่โดยดี
ขณะนี้ไดแอซกำลังยืนอยู่ในห้องขนาดกลางห้องหนึ่งที่ดูไม่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเอาเสียเลย ก็แน่ล่ะเขาเพิ่งเข้าวังได้แค่สองครั้ง คงจะคุ้นกับห้องหับที่มีร่วมร้อยได้อยู่หรอก
ห้องที่เฟลิเซียพาเขามานี้เป็นห้องโล่งที่มีเพียงโต๊ะเก้าอี้หนึ่งชุดและตู้ไม้สีทึบดูน่าเกรงขามตั้งชิดฝาอยู่สองสามตู้ เด็กสาวผละจากเขาตรงเข้าไปทำท่าก้มๆเงยๆค้นหาอะไรสักอย่างหนึ่งจากตู้เหล่านั้น ไดแอซที่ถูกทิ้งให้ยืนหมุนซ้ายหมุนขวาอย่างงงงวยอยู่กลางห้องจึงตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มข้างตัว
สักพักดูเหมือนว่าเฟลิเซียจะพบสิ่งที่ต้องการในที่สุด เธอประคองขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กมาวางบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง แล้วจัดแจงลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งใกล้เขา
“ยื่นแขนมาสิ” เด็กสาวบอกกึ่งออกคำสั่ง ไดแอซจึงยื่นแขนข้างหนึ่งไปให้พลางเอียงคอน้อยๆจ้องมองเธออย่างสงสัยกับการกระทำนี้ เฟลิเซียบรรจงพับแขนเสื้อสีขาวตัวยาวของเด็กหนุ่มขึ้นให้พ้นทางแล้วจึงเทผงสีเหลืองนวลเหมือนไข่ไก่ส่วนหนึ่งบนฝ่ามือของตน “อันที่จริง.....เอ่อ.......ไม่ต้องก็ได้ ข้าทายาตอนเช้ามาแล้ว” เขาตะกุกตะกักปฏิเสธเธอเป็นการใหญ่ด้วยความเกรงใจ
“เรื่องเมื่อครู่ข้าขอโทษนะ” เด็กสาวเอ่ยเบาๆขณะก้มหน้าก้มตาทายาบางๆเหนือรอยช้ำบนแขนขวา ไดแอซมีสีหน้าพิศวงเล็กน้อยแต่ก็คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนราวใบไม้ในหน้าร้อน ดวงตาที่ปกติมักจะดูว่างเปล่าเย็นชากลับฉายประกายอบอุ่นคล้ายสายลมที่พัดผ่านจากแดนไกล เจ็บมากหรือเปล่า เธอถามต่อทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา
“ไม่หรอกข้าออกจะแข็งแรงปานนี้” เจ้าตัวว่าอย่างนั้นพลางยกแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมาทำท่าเบ่งกล้ามที่ไม่ว่าจ้องเท่าไหร่ก็ไม่เห็นให้เด็กสาวดูเป็นการประกอบ
“โอ๊ย”
เด็กหนุ่มดึงมือหลบโดยอัตโนมัติแล้วนิ่วหน้าน้อยๆ เมื่อเฟลิเซียเผลอตัวกดมือลงตรงกลางรอยช้ำอย่างพอดิบพอดี อ๊ะ... เสียงหวานอุทานเบาๆเมื่อรู้ตัว ดวงตากลมโตสีน้ำตาลมองเขาอย่างเป็นห่วงด้วยกลัวว่าจะเจ็บ ไม่เป็นไรหรอกไกลหัวใจตั้งเยอะ ไดแอซตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เด็กสาวจึงลงมือทายาต่อจนเสร็จทั้งสองข้าง “ยานี่ดีมากเลยรู้ไหม ตอนเด็กๆข้าชอบเล่นซนจนช้ำบ่อยๆทาแป๊ปเดียวก็หายแล้ว” เธอเล่าอย่างร่างเริงขณะจัดการเก็บยาเข้าตู้ “รวมไปถึงการสำรวจทางลับนั่นด้วยรึเปล่า?” เด็กหนุ่มถามบ้าง
“อื้อ เป็นอะไรที่สนุกมากเลยล่ะ ข้าเคยไปโผล่ในห้องประหลาดๆที่มีแต่ลายกุหลาบแถมยังหลงหาทางกลับไม่เจอจนเขาตามหากันแทบแย่แน่ะ” พอได้เล่าถึงวีรกรรมสมัยเด็กแล้วเฟลิเซียก็อดหัวเราะกับความซนของตนไม่ได้
“แล้วกระสอบพวกนั้นมันอะไรอ่ะ? แล้วขนไปไหนตั้งมากมาย?” ไดแอซได้ฤกษ์ถามขึ้นมนที่สุดหลังจากต้องเก็บความสงสัยเอาไว้เป็นนาน “นั่นเสบียงส่วนของวังหลวงน่ะ ท่านพ่อมีคำสั่งให้นำออกแจกจ่ายประชาชนทั่วแพนโทเนียแล้วก็เริ่มมีการปันส่วนในวังให้เหมือนกับชาวเมืองด้วย ทีนี้ก็จะได้มีอะไรกินกันทุกคนยังไงล่ะ” เด็กสาวอธิบาย
“เฟลิเซีย อยู่นี้เองหรือ”
จู่ๆองค์ราชาพร้อมราชินีก็ผลักประตูเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “เพคะ” เจ้าของชื่อขานรับเสียงใสแล้วยอบตัวลงเล็กน้อยส่วนไดแอซก็เด้งพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ราวโดนของร้อนลวก เขายืนค้างอยู่พักหนึ่งจึงได้สติค้อมกายลงคำนับอย่างทื่อๆจนอดนึกไม่ได้ว่าช่างเป็นท่าที่เหมือนหุ่นไม้ทื่อๆยังไงยังงั้น
เฟลิเซียเดินเข้าไปพูดคุยบางอย่างกับผู้เป็นพระบิดาซึ่งอยู่ในชุดคลุมกันหนาวสีน้ำตาลเข้มเข้ากันดีกับพระเกศา ฝ่ายองค์ราชินีที่ยืนอยู่เคียงข้างทรงเหลือบพระเนตรสีเหลือบดำมามองไดแอซซึ่งมีท่าทางเหมือนไม่รู้จะทำอะไรดี ครั้นแล้วจึงคลี่ยิ้มให้เขาอย่างดงามเป็นรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาด “เจ้า.....ไดแอซสินะ” กระแสเสียงเรียบเรื่อยเฉกธาราถาม
“ขอรับ”
“เฟลิเซียเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังบ่อยๆ” พระนางว่าอย่างนั้นทำเอาไดแอซก้มหน้างุดๆด้วยความประหม่าปนเขิน เห็นอาการของเด็กหนุ่มเป็นดังนั้นเจ้าของชื่อซึ่งถอยกลับมายืนอยู่ข้างกายก็หัวเราะขึ้นเบาๆ องค์ราชาเอี้ยวพระวรกายไปกระซิบรับสั่งกับผู้เป็นราชินีเบาๆ “ท่านพ่อจะออกไปดูพวกเขาเหรอคะ” เด็กสาวหมายถึงการลำเลียงบรรดาเสบียงทั้งหลาย “จะไปช่วยเขาน่ะ” องค์ราชาตอบง่ายๆ คนถามกระพริบตาสองสามทีอย่างงงงวยก่อนเอ่ยปากค้าน “เดี๋ยวท่านพ่อก็ไม่.....”
“พ่อออกจะแข็งแรงอยู่นะเฟลิเซีย” ว่าพลางเดินเข้ามาลูบเรือนผมสีน้ำตาลเบาๆ “ก็....ห่วงนี่เพคะ” เด็กสาวก้มหน้าน้อยๆ เอาเถอะ พ่อไปที่คลังเก็บเสบียงก่อนนะ องค์ราชาเอ่ยปากบอก “อย่าทรงงานหนักมากๆนะเพคะ” เฟลิเซียบอกด้วยความเป็นห่วงแล้วยอบกายส่ง “จ๊ะ” สองพระองค์หันมารับคำแล้วเดินจากไป
เราก็ไปช่วยเขากันไหมล่ะ ไดแอซเอ่ยขึ้นด้วยไม่รู้จะทำอะไรดี แขนเจ้ายังไม่หายนี่นา เด็กสาวค้านขึ้น อ๊ะ ข้านึกอะไรออกแล้ว เธอพูดขึ้นพลางดึงมือให้เด็กหนุ่มเดินตามออกมาด้วยกัน “ง่า” คนที่วันนี้ถูกลากมาหลายรอบแล้วแอบพองแก้ม “คราวนี้จะไปไหนอีกละนี่”
วูบ
เดินนึกอะไรเพลินๆอยู่ดีๆลมหนาวจัดก็พัดเข้าใส่หน้าและตัวเขาเต็มๆ เบื้องหน้าคนทั้งคู่คือสวนหิมะขนาดเล็กหนึ่งในจำนวนหลายสิบที่ตั้งอยู่รายรอบพระราชวัง เฟลิเซียปล่อยมือเขาแล้วล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมหยิบห่อเล็กๆที่ซุกไว้ออกมา “เนี้อย่าง?” เอามาทำอะไรตรงนี้อ่ะ เขามองท่าทางของคนตรงหน้าอย่างสงสัยสุดๆแต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาก็ได้คำตอบ
ลูกหมาป่าหิมะขนขาวสะอาดตัวขนาดย่อมวิ่งออกมาจากพุ่มสนเตี้ยๆซึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนกลืนไปกับพื้นดินจนหาใบไม่เจอ มันเลียมือเด็กสาวด้วยอาการออดอ้อนสุดๆแล้วจัดการกับเนื้อย่างก้อนนั้นอย่างเอร็ดอร่อย
“เพิ่งรู้ว่าในวังก็เลี้ยงตัวแบบนี้ด้วยแฮะ” ไดแอซนึกในใจ มันเงยดวงตาสีเงินสดสวยขึ้นมาจ้องเขาเสียเขม็งเล่นเอาเด็กหนุ่มตัวแข็งด้วยกลัวว่าจะถูกงาบเข้า แต่ท่ามกลางความแปลกใจนั้นลูกหมาป่าหิมะก็เข้ามาคลอเคลียตามชายเสื้อคลุมบริเวณขาของเด็กหนุ่ม มันใช้สองขาหน้าตะกุยเบาๆจนเมื่อเด็กหนุ่มโน้มตัวลงไปหาก็โดนจมูกเย็นๆสีขาวประทับเข้าเต็มข้างแก้ม แถมลูกหมาป่ายังมีท่าทีขอให้เขาอุ้มอีกต่างหาก ไดแอซจึงช้อนตัวมันขึ้นมาซึ่งก็พบว่าไม่ได้หนักสักเท่าใดนัก
“อย่าดิ้นล่ะ ข้าเจ็บแขนอยู่” ลูกหมาป่ามีท่าทีเหมือนเข้าใจในคำพูดนั้นด้วยมันอยู่นิ่งไม่ได้กระดุกกระดิกตัวเลยมีเพียงหางฟูนุ่มสะบัดไปมา
“อะไรกัน ข้าอุตส่าห์เอาเนื้อย่างของโปรดมาให้แท้ๆแต่เจ้าไปตีสนิทกับคนอื่นอย่างงั้นเหรอ” คำพูดออกจะงอนๆของเด็กสาวทำให้ลูกหมาป่าทำหน้าเหมือนสำนึกผิดมันขยับตัวเบาๆยื่นจมูกไปสะกิดแขนเด็กสาว “ล้อเล่นหรอกน่า” เธอลูบใบหูขนปุยนั้นแล้วเกาเบาๆ “เล่นพอแล้วกลับเข้าไปข้างในกันเถอะนะ” มันไม่ได้แสดงท่าทางคัดค้านใดๆราวรู้ความ ทั้งสองจึงบ่ายหน้าไปยังตำหนักของตน
“เจ้าตัวนี้.....?” เด็กหนุ่มถามขึ้นขณะที่อุ้มลูกหมาป่าซึ่งซุกตัวหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของเขา “ตอนข้าออกไปตรงประตูเมืองก็เห็นมันหมอบอยู่ตัวเดียวเลยพาเข้ามาอยู่ด้วยน่ะ คงจะหลงกับฝูงกระมัง” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ไดแอซก็ยังไม่ได้คลายความสงสัยไปด้วยปกติแล้วหมาป่าหิมะมักจะรวมกลุ่มกันอยู่ในป่าลึกไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาให้เห็นง่ายๆ หรือว่ามีอะไรไปรบกวนมันเข้า......เหมือนบาร๊อกงั้นหรือ? คิดเช่นนั้นแล้วก็หมายหมาดในใจว่ากลับไปถึงที่พักเมื่อใดจะลองถามราดีสดูให้จงได้
“ไดแอซรีบเดินหน่อยสิ” เด็กสาวที่ล่วงหน้าไปโขหันมาเรียก “ข้าไม่หลงหรอกน่า” เขาตอบกลับโดยไม่ยอมเร่งฝีเท้าขึ้น “แน่ใจนะ” ว่าแล้วเฟลิเซียก็หายวับไปหลังบานประตูลับบริเวณทางแยกที่แอบเปิดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ทันที “ง่า อย่าแกล้งข้าสิ” เด็กหนุ่มร้องบอกซึ่งเขาก็มั่นใจว่าเธอต้องได้ยินอย่างแน่นอน คิกๆ เสียงหัวเราะดังขึ้นข้างกายทำเอาไดแอซสะดุ้งโหยงด้วยไม่รู้ว่าเฟลิเซียมายืนอยู่ข้างตนตั้งแต่ไม่เมื่อใด
“ไปกันเถอะ”
ร่างบางเดินเคียงกับเด็กหนุ่มที่หน้าบูดเล็กน้อย เสียงใสพยายามชวนคุยโน่นคุยนี่กับเด็กหนุ่มจนเจ้าตัวยอมปิดโหมดงอนในที่สุด ตามทางเดินอันทอดยาวมีสองร่างเดินเคียงกันพร้อมเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
***************
บ่ายกว่าๆของวันรุ่งขึ้นหลังจากการแจกจ่ายเสบียงของพระราชวังไปจนทั่วแพนโทเนียโดยมีองค์ราชาและราชินีมาร่วมด้วยช่วยกันประกอบกับข่าวการมาถึงของกองคาราวานสองกองแรกจากคาเรลล่าและอีกหลายๆกองซึ่งอยู่ระหว่างทางตามที่พวกของดีอัสซึ่งถูกส่งไปคุ้มกันเส้นทางพระจันทร์บอก ส่วนพายุเวททั้งหลายแหล่ก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยแต่เพื่อความไม่ประมาททางการยังคงสั่งให้ผู้ใช้เวทที่ส่งไปตรึงกำลังไว้ก่อน เรื่องราวพวกนี้จึงประชาชนมีกำลังใจเพิ่มขึ้นบรรยากาศของเมืองเองก็พลอยดูสดใสขึ้นจากเดิมนิดหน่อยด้วย
วันนี้ชั้นล่างของที่พักกลับมาเต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้งหนึ่ง พวกผู้ใช้เวทเองก็ลงมานั่งร่วมวงสนทนาไปกับเขาด้วย อาหารกลางวันก็ดูเยอะขึ้นมามากโขในสายตาของเด็กหนุ่มที่เมื่อวานได้กินเพียงขนมปังกระดาษเท่านั้น
“กองคาราววานเข้าเมืองมาแล้ว” ใครคนหนึ่งประกาศขึ้นด้วยเสียงอันดังเรียกความสนใจจากผู้คนได้เต็มๆ ฝ่ายผู้ใช้เวทที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของร้านกลับไม่มีท่าทีแปลกใจกับข่าวการมาถึงนี้ “เขาแจ้งมาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนโน่นแล้ว” มาร์คัสบอกกับไดแอซ
“แล้วทำไมข้าถึงไม่รู้อ่ะ?”
“ก็เจ้าไม่ถามนี่นา”
“พอเถอะ” เวสรีบขวางกลาง “ดูเหมือนจะมีผู้มีพลังมากับกองคาราวานนั่นด้วยล่ะ” เมอร์สเอียงคอน้อยๆ “เป็นผู้ใช้พลังจากต่างแดน.....พ่อมดหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยในจดหมายที่แจ้งมานั้นก็ไม่ได้พูดรายละเอียดอะไรชัดเจนนัก เพียงบอกแต่ว่าที่ฟันฝ่าพายุเวทมาอย่างรอดปลอดภัยครบสามสิบสองก็ได้พลังของพวกนั้นนั่นล่ะ
“ไดแอซ”
คนทั้งโต๊ะเรียกเด็กหนุ่มพร้อมๆกันเมื่อจู่ๆเจ้าตัวก็ลุกพรวดขึ้นมาแล้วคว้าเสื้อคลุมมาคลุมอย่างเร่งรีบจากนั้นก็วิ่งออกจากที่พักไปโดยไม่ได้อธิบายอะไรกับใครสักคน ทิ้งไว้แต่ความสงสัยที่กองทับคนทั้งโต๊ะเท่านั้น
*****************
รู้สึกว่า..............มีอะไรบางอย่างที่สำคัญกำลังอยู่ในเมืองนี้
ที่ไหนสักแห่ง
เด็กหนุ่มวิ่งฝ่าอากาศหนาวไปตามถนนสายหลักจนเกือบสุดแล้วย้อนกลับไปตามตรอกซอกซอยซึ่งทะลุไปเชื่อมต่อกันราวใยแมงมุมอย่างไม่กลัวหลง นัยน์ตาสีฟ้าหม่นทั้งคู่กวาดซ้ายขวาอย่างเร่งร้อนด้วยเจ้าตัวกำลังมองหาคนอยู่
ถึงจะจำไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าต้องใช่แน่ เขาหอบน้อยๆหัวใจเต้นรัวเร็วด้วยความหวังปนเปไปกับความตื่นเต้นซึ่งแฝงเร้นไปด้วยริ้วรอยแห่งความเจ็บปวดที่พาดผ่านกลางหัวใจ กระนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ยังคงอยากจะพบเหลือเกิน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม้จะเปลี่ยนแปลงไปสักเพียงใดก็ต้องตามหาให้เจอ
เพราะว่า.............
คือสิ่งสำคัญยิ่งของเขา
“ราซาริน”
------------------------------------------------
หวัดดีค่าทุกท่าน
เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย วิลสบายดีค่ะ(มีใครถามเรอะ?) ตอนที่จะอัพเรื่องแล้วเข้ามายไดไม่ได้นี่ใจหายแทบแย่นึกว่าเรื่องจะเจ๊งไปแล้วซะอีก เฮ้อออออออ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงสอบกลางภาคล่ะ คงมีหลายๆท่านที่กำลังเจอการสอบนรกแบบเดียวกันอยู่แน่ๆเลย เมื่อวานเจอเคมีเข้าไปเต็มๆเปา TT_TT อ้า.........ลาก่อนเกรดสี่
ตอนนี้ก็นั่งฟังเพลงของ sprited away พลางอ่านโมโมะเล่ม 6 พลาง รู้สึกว่าเข้ากันดีจังเลย โมโมะเล่มนี้อ่านแล้วเหงาๆยังไงก็ไม่รู้เนอะ
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่าน+เม้นท์ด้วยนะเจ้าค่ะ
ขอบคุณค่า
ความคิดเห็น