ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #27 : ม่านหมอกของความวุ่นวาย

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 50


               
           
    หลังคาสีน้ำตาลหม่นนับร้อยถูกทับถมด้วยเกล็ดสีขาวจนแลไปคล้ายขนมเค้กช๊อคโกแล๊ตที่ถูกโรยหน้าด้วยไอซิ่งมากมาย  ม่านควันจากปล่องไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้าสูงอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับลมหายใจแห่งฤดูหนาวอันเย็นเยือก  เด็กหนุ่มถูมือที่เป็นสีแดงทั้งสองข้างเข้าด้วยกันพลางเป่าลมหายใจรดให้อบอุ่นขึ้น 

                   
          เกล็ดบางติดอยู่ตามเรือนผมสีดำตัดกันดูคล้ายถูกประดับด้วยดอกไม้ดอกน้อย  ขณะที่เจ้าของยังคงยืนมองทัศนียภาพเบื้องล่างอย่างไม่รู้เบื่อ  ในเวลาที่ทุกสิ่งถูกปกคลุมด้วยความขาวโพลนเช่นนี้  รู้สึกว่าช่างงดงามเหมือนกับสถานที่แห่งหนึ่งในความทรงจำอันลางเลือนซึ่งคอยผุดขึ้นมาซ้อนทับบนม่านตาแล้วก็หายวับไปแทบจะทันทีที่เพ่งมองให้ชัดเจน

                   
         ในความเลือนรางไหววับ  หลังคาสีสดสวยและสถาปัตยกรรมลวดลายดอกไม้ใบไม้งดงามแปลกตาเปล่งประกายระยับตัดกับหิมะสะท้อนแสงแดด

                   
          หมู่นี้ดาดฟ้าของที่พักดูจะกลายเป็นสถานที่ประจำสำหรับเด็กหนุ่มไปเสียแล้ว  เขาชอบขึ้นมาใช้เวลาส่วนใหญ่เหม่อมองบ้านเรือนเบื้องล่าง  อาจเพราะความเงียบด้วยไม่ใคร่มีคนนิยมขึ้นมาท้าลมหนาวบ่อยนัก  และความสูงที่ทำให้สามารถมองเห็นตัวเมืองรวมไปถึงผู้คนที่สัญจรไปมาเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน  ทั้งบรรยากาศเหล่านี้ยังพาให้หัวใจของเด็กหนุ่มรู้สึกสงบขึ้นอย่างน่าประหลาด

                   
          บนที่ที่สูง.......ยิ่งกว่าใครๆถึงได้มองเห็นอะไรมากมายซึ่งผู้อยู่เบื้องล่างไม่เคยได้เห็น    ความมืดทั้งหลายทั้งมวลที่ซุกตัวอยู่ในซอกหลืบของตึก  ความน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง  ขุมทรัพย์ และหนทางซึ่งจะนำไปสู่จุดมุ่งหมายอย่างไม่มีผู้ใดคาดฝันถึง

                   
          กระนั้น......เพราะว่าสูง ถึงได้เหงา เปล่าเปลี่ยว  เหน็บหนาวอ้างว้างนัก   ไม่มีใครอยู่ข้างกายเลยแม้แต่สักคนเดียว  หลายครั้งเคยคิดอิจฉาคนข้างล่างที่ล้อมรอบไปด้วยความสุข  รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ  สิ่งเหล่านั้น.....ที่เขาไม่เคยมี  

                   
          เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาขณะที่เกล็ดหิมะหล่นโปรยลงมาไม่ขาดสายคล้ายจะช่วยฝังกลบความเศร้าในหัวใจให้ลบเลือนไป  ไดแอซจ้องมองทัศนียภาพเบื้องล่างอยู่เป็นนาน  ครั้นแล้วจึงตลบผ้าพันคอที่เลื่อนหลุดลงมาจากบ่าขึ้นก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไป

                   
          นัยน์ตาสีฟ้าหม่นเหลือบมองไปยังปฏิทินซึ่งถูกปะติดอยู่ข้างฝาตรงริมทางเดินของแต่ละชั้นเพื่อให้ผู้ที่พักอยู่ทั้งหลายมองเห็นกันได้อย่างสะดวก  เด็กหนุ่มไล่สายตากวาดไปตามหน้ากระดาษที่มีตัวเลขสีดำเข้มเรียงรายอยู่เต็มไปหมด  วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปเรื่อยๆคล้ายสายน้ำที่ไม่หวนคืน  นับจากวันที่เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเรือละอองแห่งมหาสมุทรก็ล่วงเลยมาจนจวนจะครบครึ่งปีแล้ว 

                   
          ไดแอซก้าวลงบันไดไม้ช้าๆจนมาถึงยังชั้นที่พักของตน  เมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไปความอบอุ่นที่หลงเหลือจากลูกไฟเสกซึ่งถูกกักขังอยู่ในห้องไหลทะลักออกมาภายนอก  เขาจัดการพาดผ้าพันคอและเสื้อคลุมหนาตรงตะขอข้างฝาก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงอุ่นพลางเสยผมสีดำให้พ้นหน้า 

                   
          "รู้สึกเหมือนว่าหมู่นี้จะนอนหลับไม่ค่อยสนิทเอาเสียเลย"  เจ้าตัวนึกในใจก่อนจะหาวหวอดออกมา  บางครั้งในความเลือนรางครึ่งหลับครึ่งตื่น  เหมือนมีภาพแผ่นของชายร่างสูงในชุดลากยาวคุ้นตาบ้างก็เป็นภาพของห้องหับอันทึมเทากลางแสงจันทร์ในคฤหาสน์กว้างใหญ่ชวนเหงา  ภาพเหล่านั้นไหวรางราวกับเงากลางม่านน้ำ  อดีตอันว่างเปล่าในหัวใจคล้ายได้ถูกเติมเต็มขึ้นมาทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว 

                   
          ดวงตาสีฟ้าหม่นทั้งคู่ปรือปิดลงช้าๆด้วยความง่วงงุนที่ถาโถมเข้ามาจากการนอนำไม่เต็มอิ่มหลายต่อหลายคืน   และแล้วเด็กหนุ่มก็จมจ่อมลงสู่ภวังค์แห่งนิทราที่เต็มไปด้วยความมืดอันหนาวเย็นที่คุ้นเคยอีกครั้ง


    ******************

                   
         
    เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ  เขาใช้มือสางผมที่ยุ่งฟูจากการนอนดิ้นให้เป็นทรงแล้วจัดแจงคว้าเสื้อคลุมเพื่อจะเดินออกไปหาอะไรกินที่ตลาด 

                   
         
    ครั้นออกมาภายนอกตัวอาคารที่พักเด็กหนุ่มหยุดยืนข้างทางสูดเอากลิ่นอายความหนาวเย็นจากหิมะเข้าเต็มปอด  มือสองข้างยื่นออกมารับเกล็ดน้ำแข็งบางเบาที่กำลังร่วงหล่นลงมา  ฤดูหนาว........ที่เขาหลงใหล  คงเพราะให้ความรู้สึกเดียวดายเหมือนกับตัวเขากระมัง

                   
          เจ้าตัวกวาดสายตามองไปรอบด้าน  ช่วงหลายวันมานี้เขาสัมผัสได้ว่าบรรยากาศในเมืองเปลี่ยนแปลงไป  ภายใต้เงาแห่งความครึกครื้นนั้นมีบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นกำลังเผยโฉมออกมาอย่างช้าๆ  แต่ครั้นจะไปถามเอากับพวกมาร์คัสทางฝ่ายนั้นก็เริ่มตั้นทำงานกันหามรุ่งหามค่ำกันอีกหน  ตาลีตาเหลือกไปตั้งแต่ไก่โห่ กลับมาก็ค่ำมืด  วันหนึ่งๆพูดกันแทบจะนับคำได้  ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็แอบทำหน้าเบื่อๆอย่างจะเหนื่อยแทน 
    "ครั้งก่อนก็หิมะละลาย  ครั้งนี้ก็หิมะหนา  ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรพอดีเอาเสียเลย"

                   
          ว่าแล้วเขาก็เริ่มออกเดินบ้าง  ไดแอซกวาดสายตามองสองข้างทางพลางอดคิดถึงความผิดปกติทั้งหลายที่วนเวียนเข้ามารบกวนจิตใจไม่ได้  อาหารของทางที่พักเริ่มลดปริมาณลงวันละน้อยจนเขารู้สึกว่ามันไม่พอจะถมที่ว่างหนึ่งในสี่ของกระเพาะตัวเองเสียด้วยซ้ำ  พอออกมาหาอะไรกินข้างนอกบรรดาแผงลอยหลายร้านก็พากันปิดตัวเงียบไปหมด  ผู้คนต่างก็จับกลุ่มกันซุบซิบใต้กันสาด บ้างก็มองหิมะที่ทับถมหนาขึ้นทุกวันด้วยสายตาวิตกกังวล

                   
           
    "เฮ้อ"  เจ้าตัวพ่นลมออกมาเป็นไอสีขาว  "ป่านนี้พวกนั้นคงกำลังนั่งหน้าเหมือนแพนด้าอยู่ที่ศูนย์วิจัยเป็นแน่แท้"  แล้วก็คิดเรื่อยเปื่อยไปออกเรื่องโน่นชนเรื่องนี้จนสองเท้าพาตัวให้เดินมาจนถึงจุดหมายในที่สุด  ไดแอซเลิกคิ้วน้อยๆเมื่อพบแต่ความเงียบงันรอบตัว  เมื่อสาวเท้าเข้าไปในตัวตลาดก็ต้องสวนกับหลายคนที่สองมือหอบข้าวของเต็มเดินก้มหน้าก้มตาจ้ำอ้าวไม่มองใครด้วยท่าทางน่าสงสัย

                   
          เด็กหนุ่มเลยรีบตรงเข้าไปในร้านขายขนมปังเจ้าประจำซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือ  ไดแอซหยุดยืนหมุนคว้างมองสภาพร้านอย่างงงงัน  ชั้นที่เคยเต็มแน่นไปด้วยขนมปังนานาชนิดมีเพียงความว่างเปล่าจนพาให้ใจหาย  มองเข้าไปตรงเคาท์เตอร์ที่เคยเป็นที่ตั้งของขนมปังอันโปรดก็ไม่พบอะไร  เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปมองหาเจ้าของร้านแทน 

                   
          เสียงรองเท้าดังพร้อมกับร่างของชายวัยกลางหนวดเฟิ้มคนเดินออกมาจากร้านด้านใน 
    "มีอะไรหรืเปล่าเจ้าหนู  ข้าจะปิดร้านแล้ว"  คำบอกนี้ทำเอาไดแอซถึงกับหน้าเหวอไปพักใหญ่   "ขนมปังข้าอ่ะ"  เจ้าตัวอ้าปากพะงาบๆถาม  "เสียใจด้วย  ข้าเพิ่งขายขนมปังชิ้นสุดท้ายไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้เอง"  ชายผู้นั้นตอบ  "บางทีถ้าเจ้าลองไปร้านอื่นอาจพอมีอะไรเหลือให้หาซื้อได้บ้าง"  ทิ้งท้ายแล้วเขาก็รีบหันหลังเดินกลับเข้าหลังร้านไป

                   
         ไดแอซจึงออกมายืนเอ๋ออยู่หน้าร้าน  สักพักหนึ่งก็ตัดสินใจลองเดินลึกเข้าไปในตลาดที่เริ่มมีบรรยากาศมืดๆตามคำบอกเมื่อครู่  ระหว่างทางหูแว่วๆเสียงเหมือนตะโกนกึ่งตะคอกโต้ตอบกันจากซอกเล็กๆ  ครั้นเด็กหนุ่มชะลอฝีเท้าแอบชำเลืองดูก็พบชายสองคนกำลังทุ่มเถียงกันแย่งส้มลีบๆผลหนึ่งที่กลิ้งโคโร่กับพื้นอยู่   เมื่อเบือนสายตาไปมองยังหน้าแผงลอยเล็กๆที่คนรุมล้อมเต็มก็พบว่ามีหญิงวัยกลางคนกำลังเสนอขายหัวมันเล็กๆในราคาถึงหัวละ  60 เหรียญเงินเลยทีเดียว 

                   
          ทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับอ้าปากค้างตาโต  แต่เขาก็ต้องเบิกตากว้างกว่าเดิมเมื่อมีคนยอมควักกระเป๋านับเหรียญเงินและเหรียญทองขึ้นมาจ่าย  ด้วยไม่นึกว่าจะได้มีโอกาสมาเห็นมันหัวละ 60 เหรียญเงินกับตาตัวเองแบบนี้ 

                   
          ระหว่างที่กำลังมองการซื้อขายอยู่นั้นก็รู้สึกได้ว่ามีร่างของใครบางคนมาหยุดยืนอยู่ข้างตัว  ครั้นหันไปก็เห็นเด็กหนุ่มผมสีออกน้ำตาลปนแดงที่ดูจะอ่อนกว่าเขาสักสองถึงสามปีกำลังมองผู้คนเหล่านั้นอยู่เช่นเดียวกัน 
    "เฮ้อ"  อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาแล้วหันมาเริ่มบทสนทนากับเขา

                   
          "หัวมันนั่นแพงชะมัดเลย"   ไดแอซพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วเปรยๆต่อ  "เสบียงของทางการที่สะสมไว้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยรึไงนะ"

                   
          ดวงตาสีเขียวสดใสของอีกฝ่ายหันมองซ้ายมองขวา  เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในรัศมีที่จะได้ยินคำสนทนาของทั้งสองจึงพูดด้วยเสียงกึ่งกระซิบ 
    "เสบียงที่สะสมน่ะแทบจะไม่มีแล้ว"  เล่นเอาไดแอซหูผึ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน  "อาหารสะสมของแต่ละบ้านน่ะหมดไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว  ส่วนมากที่พวกเรามีกินกันอยู่ทุกวันนี่มาจากการปันส่วนของทางการทั้งหมด" 

                   
          "แล้ว...."  ไดแอซตั้งท่าจะถามต่อแต่ถูกอีกฝ่ายขัดขึ้นเสียก่อน   "พ่อข้าที่ทำงานอยู่ "ข้างใน"บอกว่าอาหารที่อยู่ในคลังของทางการเองก็เริ่มหมด เพราะตอนเกิดอุทกภัยเทไปทางใต้เสียเยอะ  แล้วผลผลิตของทางโน้นเองก็เสียหายไปกว่าครึ่งเลยไม่ได้ส่งเข้ามาเก็บไว้ส่วนกลาง"  เขาหยุดหายใจก่อนจะเริ่มพูดต่อ "ยิ่งฤดูหนาวยืดเยื้อยังงี้แล้วข้าว่าอีกไม่เกินสองสัปดาห์คงได้เกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ"

               
          "ข้าว่าช่วงนี้เจ้าพยายามอย่าออกไปไหนจะดีกว่า"  อีกฝ่ายเตือนด้วยความหวังดีเมื่อเห็นท่าทางเหมือนไม่ค่อยจะรู้อะไรกับเขาของไดแอซ   

                   
          เสียงแว่วดังมาจากตรอกด้านหลัง  เด็กหนุ่มผู้นั้นหันไปขานรับ 
    "แม่เรียกแล้ว ข้าไปก่อนนะ" ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะออกวิ่ง  "เดี๋ยว"  ไดแอซรีบตะโกนเรียกไว้ 

               
          "เจ้าชื่ออะไรหรือ"

               
          "ซีริล" เด็กหนุ่มหันกลับมาตอบแล้วเริ่มออกวิ่ง  "ข้าไดแอซ คราวหน้าคงได้เจอกันอีก"

                   
          "แล้วเจอกัน" เสียงลอยลมตอบกลับมา         

                    
           พอหันกลับไปดูพบว่ากลุ่มคนตรงหน้าแยกยายสลายวงกันไปเรียบร้อยแล้ว  เจ้าตัวเองก็ได้ข้อสรุปจากการประเมินสถานการณ์ด้านการซื้อขายคร่าวๆโดยที่แทบไม่ต้องคิดอะไรให้มาก  เขาจึงตัดสินใจโบกมือลาราคาของที่พุ่งขึ้นพรวดๆยิ่งกว่าต้นถั่วงอกกลับไปนอนซดน้ำชายังที่พัก   


    *****************

               
         
    "อ้าว"  เด็กหนุ่มอุทานอย่างแปลกใจเมื่อพบมาร์คัสและเพื่อนทั้งหลายนั่งล้อมวงคุยกันอยู่ในห้อง  "ไม่ทำงานกันแล้วเหรอ"  คนเพิ่งมาถามขึ้นพลางเอื้อมมือไปปิดประตู  "เขาให้มาเก็บของเตรียมตัว"  เวสเป็นฝ่ายบอก  "คราวนี้จะไปบุกป่าฝ่าดงที่ไหนอีกล่ะนี่"  ไดแอซถามต่อพลางทรุดตัวนั่งบนเตียงของตน  คนฟังไหวไหล่เล็กน้อย   "ไปทัวร์เส้นทางพระจันทร์ที่แถบเมืองเหนือโน่น" 

                   
           
    "เห"  หัวสมองของคนฟังกำลังทำการประมวลข้อมูลที่ได้รับทราบมา เห็นอาการดังนั้นเมอร์สจึงตั้งต้นขยายความให้ฟัง  "เมื่อเช้าสภาขุนนางเพิ่งมีมติว่าจะส่งผู้ใช้เวทที่มีพื้นเพแถบทางเหนือให้ไปคุ้มกันเส้นทางพระจันทร์   เพราะทางนั้นแจ้งมาว่ามีพายุเวทไล่ตามถล่มกองคาราวานจากคาเรลล่าจะที่ผ่านเข้าแพนเทีย" 

                   
          "พวกนั้นคงได้ข่าวเรื่องการปันส่วนอาหารละมั้งเลยแห่กันเข้ามา  จมูกไวชะมัด"  เวสว่าบ้าง  "อีกอย่างนะทางเมืองเหนือนั่นอากาศก็เริ่มอุ่นขึ้นกว่าที่นี้แล้วด้วย  ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเจอภาคกลางหนาวกว่าเมืองเหนือก็คราวนี้ล่ะ" 

               
          "เอ้อ  ส่วนกองคาราวานนั่นรู้สึกว่าชุดแรกเจอพายุเวทเข้าเต็มประตูรอดมาถึงหุบเขาหมอกแค่สองในสิบกอง ไม่รู้จะมีคนกล้าเสี่ยงมาอีกรึเปล่า?" 

                   
           
    "ให้เดาข้าว่ามีอีกเยอะ  ก็คุ้มออกอย่างนั้น"  โชวี่ประเมินสถานการณ์  "ยิ่งจำพวกอาหารทั้งหลายนี่เผลอๆจะได้ราคาสูงกว่าปกติซักสี่หรือห้าเท่าด้วยซ้ำไป  ยังงี้คนธรรมดาได้จนกันหมดแหงๆ"

                   
          "แต่ถ้าลองอาหารที่มีอยู่หมดลงก่อนถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วละก็  ข้าว่าพวกเราคงเลี่ยงการก่อจลาจลเพื่อแย่งชิงอาหารไม่ได้  ถึงนี่จะไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาก็เถอะนะ  อย่างน้อยก็ยังพอประวิงเวลาให้พวกเราได้จัดการสะสางเรื่องราวทั้งหลายให้จบสิ้นลงโดยเร็วที่สุด"  หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของมาร์คัส     

                   
            
    ปุ๊ง

                   
          สัตว์เสกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง  มาคราวนี้คาบเอาจดหมายในซองสีขาวมาส่งให้แล้วรีบหายวับไปราวกลัวถูกใครจับกินเป็นมื้อค่ำ  ครั้นดีอัสที่รับมาอ่านจบก็หันไปสะกิดเพื่อนอีกสองสามคนก่อนจะส่งกระดาษนั้นต่อให้มาร์คัส  แล้วก็หยิบสัมภาระทั้งหลายที่เตรียมไว้พร้อมพลางลุกขึ้นยืน

                      
          ไดแอซชะโงกเข้ามาดูเนื้อความในจดหมายซึ่งเป็นการเรียกตัวให้เดินทางขึ้นไปเมืองเหนือภายในคืนวันนี้ 
    "แล้วจะไปกันยังไงล่ะ" เวสถามพลางมุ่นคิ้ว ก็ระยะทางจากนี่ไปก็ไม่ใช่ใกล้ๆ  ไหนจะต้องผ่านป่าแสงดาวแล้วไปอ้อมบึงดำอีก  "เอาเถอะพวกข้าคงไม่ได้นั่งเกวียนเทียมโคไปหรอก" 

               
          เป็นคำตอบที่เรียกเสียงหัวเราะจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว   เพื่อนๆทั้งหลายพร้อมใจกันเดินออกไปส่งคนทั้งสามยังหน้าที่พักแล้วร้องบอกเป็นเสียงเดียวกัน 

               
          "โชคดีล่ะ"

                เงาจางของชายหนุ่มทั้งสามทอดยาวบนหิมะหนาภายใต้แสงหม่นของอาทิตย์ยามพลบค่ำ  เพื่อนๆที่เหลืออีกสี่ห้าคนโบกไม้โบกมือให้จนลับหายไปจากสายตา คนที่ยืนส่งพากันกลับเข้าไปหาอากาศอุ่นภายใน  มีเพียงไดแอซที่ยังยืนอยู่ที่เดิมดวงตาทั้งคู่มองเลยขึ้นไปยังฟ้ากว้างเบื้องบนซึ่งมีเงาดำของมังกรตัวใหญ่โฉบผ่านพร้อมส่งเสียงคำรามก้องแล้วทะยานหายขึ้นไปในหมู่เมฆด้านทิศเหนือ


    ******************

                   
          ตอนสายวันรุ่งขึ้นผู้ดูแลที่พักได้มาขอแรงผู้ใช้เวทให้ช่วยจัดการกับหิมะที่ทับถมกันหนาเตอะบนหลังคาด้วยกลัวว่าคานจะรับน้ำหนักไม่ไหวและพังลงมา  หลังจากนั้นก็มีอีกหลายบ้านที่มาขอช่วยไดแอซจึงเห็นว่าถ้ายืนอยู่จะเกะกะคนอื่นเขาเปล่าๆจึงสะกิดบอกมาร์คัสแล้วหลบเข้ามานั่งในห้อง  เจ้าตัวเลิกม่านชะโงกออกไปดูบรรดาผู้ใช้เวทที่กำลังจัดการกับงานใหม่อย่างขะมักเขม้น   เมื่อหันกลับมาก็พบว่ามีร่างโปร่งใสมายืนนิ่งอยู่กลางห้อง

                   
          "ท่านเวนตุส"  ไดแอซเรียกชายหนุ่มเบาๆอย่างแปลกใจด้วยเห็นว่าร่างนั้นดูเหมือนจะโปร่งใสกว่าเก่าซ้ำยังมีรัศมีสีดำจางๆแผ่ออกมา  "มีอะไรหรือ"  อีกฝ่ายหันมาถามพลางนั่งลงบนเก้าอี้ เมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าทำท่าแปลกๆสะบัดศีรษะสองสามทีแล้วขยี้ตาแรงๆ  "ก็.....ข้าว่าท่านดูแปลกไป"  เจ้าตัวพูดออกมา

                   
           
    "ข้ารึ"  ชายหนุ่มทวนคำ  "ไม่มีอะไรสักหน่อย"  ว่าแล้วก็มองคนตรงหน้าด้วยแววตาสงสัยอีกรอบ  "แล้วหมู่นี้ท่านเป็นยังไงบ้าง"   ไดแอซเปลี่ยนเรื่องมาถามสารทุกข์สุขดิบชายหนุ่มแทน  "ก็เหมือนเดิม แค่รู้สึกเหมือนมีใครกำลังเรียกอยู่"  คิ้วเรียวของคนฟังเริ่มขมวดปมบนหน้าผาก  "คงเพราะเวลาของข้าคงใกล้หมดแล้วละมั้ง….." 

                   
          "เดี๋ยวนะ"  ไดแอซขัดพร้อมกันนั้นมีลมแรงพัดวนไปรอบๆห้อง  "ได้ยินอีกแล้ว.....เสียงเรียกนั่น"  ดวงตาของพ่อมดเหม่อลอย  เส้นสีเหลือบรุ้งปรากฎขึ้นบนพื้นห้องแล้วขดตัวเป็นวงกลมล้อมรอบร่างของชายหนุ่มไว้อย่างรวดเร็วกำแพงใสพวยพุ่งขึ้นมาสกัดกั้นรัศมีสีดำที่เข้มข้นขึ้นไม่ให้แผ่ออกมายังภายนอกได้อย่างทันท่วงที

                   
          สภาพของคนข้างในเริ่มแปรเปลี่ยนจากการถูกเงาดำของปีศาจเมื่ออดีตกาลเข้าซ้อนทับ 
    "เพราะมีพลังปีศาจค้ำจุนนี่เอง  ดวงวิญญาณถึงได้คงอยู่มานานจนถึงขนาดนี้"  เด็กหนุ่มนึกพลางร่ายมนตร์กักขับทับเข้าไป  เวนตุสทรุดลงคุกเข่ากับพื้น  สองมือกุมหน้าอกบริเวณหัวใจเอาไว้แน่นพร้อมบิดตัวไปมาอย่างทรมานด้วยถูกเงาสีดำกลุ้มรุมไปทั่วทั้งร่าง  ไดแอซเบือนหน้ากลับมายังพลังที่ล่วงล้ำเข้ามาในห้อง ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็น  "มาลองกันสักตั้ง.....เจ้าหรือข้าใครจะแน่กว่ากัน"

                   
          ว่าแล้วก็วาดมือผ่านอากาศส่งพลังของตนเข้าปะทะกับลมหมุนนั้น  พลังที่ส่งเข้าไปถูกสายโซ่สีฟ้าที่ผุดขึ้นมาจากลมบีบอัดจนไม่อาจก่อตัวให้เป็นรูปเป็นร่างอะไรได้  เขาได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วดังออกมาจากเจ้าของพลังซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่ง

                   
          "มีปัญญาแค่นี้เองรึ"

                   
          ตูม

                   
          สายโซ่เหล่านั้นระเบิดออกอย่างแรงจนไม่อาจรวมตัวกันได้อีก  ไดแอซคลี่ยิ้มน้อยๆมองดูผลงานของตน  ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มส่งเวทบทใหม่เข้าจู่โจมอีกครั้งแต่คราวนี้เปลี่ยนเป้าหมายไปทำลายมนตร์ที่กักขังพ่อมดหนุ่มแทน  เด็กหนุ่มเพียงยืนมองเฉยๆอย่างไม่นึกเดือดเนื้อร้อนใจเมื่อเห็นลมเหล่านั้นเบียดตัวหาทางเจาะทะลุกำแพงมนตร์ของเขา  ซ้ำเจ้าตัวยังเลื่อนเก้าอี้แล้วทรุดตัวลงนั่งจิบน้ำชาเสียอีก

                   
          ลมหมุนลูกที่สองและสามผุดขึ้นจากด้านซ้ายแล้วพัดผ่านไปรอบห้องทำเอาข้าวของต่างๆพากันปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว  เสียงแหวกอากาศเบาๆพร้อมมีดสั้นอันเล็กที่อาเรสเคยมอบให้เขาสลัดตัวหลุดจากปลอกแล้วพุ่งตรงเข้ามาจากด้านหลัง

                   
          เด็กหนุ่มหันขวับกลับไปจับใบมีดสีฟ้าและเพียงออกแรงดึงเล็กน้อยมีดเล่มนั้นก็ตกลงอย่างง่ายดาย  ผิวเนื้อของฝ่ามือที่ควรอาบเลือดจากการบาดลึกมีเพียงร่องรอยกดสีแดงจางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไดแอซก้มลงหยิบมีดดังกล่าวขึ้นมาเก็บกลับในปลอกหนังอย่างเดิมโดยไม่ใส่ใจพายุขนาดย่อมที่กำลังเริ่มต้นถล่มห้องเขาอีกรอบ 

                   
         ฉับพลันเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงตรึงบริเวณข้อเท้าทั้งสองข้างจนขยับไม่ได้  เถาไม้สีดำอันเขี่องโผล่พ้นจากพื้นห้องบิดตัวรัดรอบข้อเท้าแล้วค่อยๆงอกยอดไล่ลามพันรอบตัว  หนามแหลมคมทิ่มแทงทะลุเนื้อหนังและเสื้อผ้าจนเลือดหยดรินเจิ่งนองพื้นห้อง  ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงกับพื้นตามแรงกระชากพร้อมกันนั้นกำแพงมนตร์ก็เกิดจุดปริร้าวขึ้นรอยนั้นลุกลามไปจนรอบอย่างรวดเร็ว  แล้วกำแพงใสก็แตกออกจากกันในที่สุด  คราวนี้เสียงของอีกฝ่ายหัวเราะลั่นอย่างได้ใจ  ก่อนส่งพลังเพิ่มเข้ามาเพื่อหวังจะคว้าเอาวิญญาณของพ่อมดหนุ่มที่บัดนี้แน่นิ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันสีดำสนิท

                   
           
    เปรี๊ย

                   
          ฝ่ายนั้นชะงักงันอย่างตื่นตระหนก ด้วยกำแพงมนตร์ที่คิดว่าได้แตกสลายไปแล้วยังคงอยู่ที่เดิม  ร่างของไดแอซที่ลมอยู่กับพื้นบังเกิดแสงขาวสว่างแล้วเถาไม้ที่รัดรอบตัวก็ค่อยแปรเป็นสีเทาและผุพังสลายไปในพริบตา  ร่องรอยบาดเจ็บทั้งหลายหายไปจากร่างเด็กหนุ่มจนราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง  เขาลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มน่าหวาดหวั่นที่แต่งแต้มบนใบหน้าซึ่งเย็นชาปานรูปสลักน้ำแข็ง   

               
          "คิดหรือว่าจะทำอะไรข้าได้......เอาเถอะตอนนี้ชักจะเบื่อเล่นอะไรปัญญาอ่อนแล้ว"

               
          มีดสั้นสีฟ้าใสลอยหมุนคว้างอยู่กลางอากาศแล้วพุ่งตรงเข้าปักยังใจกลางของลมพายุ  ครั้นถอนออกมาก็ปรากฏของเหลวสีแดงอาบเต็มใบมีดนั้น 

                   
          บรรยากาศในห้องเริ่มมืดลงเรื่อยๆทั้งๆที่เวลานี้ยังไม่ถึงตอนเที่ยงเสียด้วยซ้ำ  ความมืดเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างกลายสภาพเป็นของเหลวอันบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติคืบคลานออกมาจากซอกมุมต่างๆทั้งบนพื้นและบนเพดาน  พวกมันเคลื่อนกายมาหลอมรวมกันแล้วมุ่งตรงเข้าหาเด็กหนุ่มที่ยืนดูอยู่

                   
          นัยน์ตาสีฟ้าหม่นฉายแววถูกใจกับเวทที่อีกฝ่ายส่งมา 
    "แต่ว่า.....แค่นี้มันก็ยังไม่พอหรอกนะ" เขาเอ่ยคล้ายจะฝากบอกไปยังเจ้าของความมืดนั้น  เด็กหนุ่มยกเท้าขึ้นบดขยี้ของเหลวสีดำช้าๆพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่เรียว  ก่อนแสงสีเหลือบรุ้งผลักดันแผดเผาให้พวกมันกลับไปสู่ความมืดซึ่งจากมา 

                   
           เขาเหลือบสายตาไปยังทิศทางอันเป็นที่มาของพลังเวทนั้นแล้วแย้มรอยยิ้มเหยียดส่งไปให้ก่อนสะบัดข้อมือเบาๆให้ลมพายุเหล่านั้นย้อมกลับไปหาผู้เป็นเจ้าของ  แม้ว่าฝ่ายนั้นจะพยายามดึงดันเพิ่มจำนวนเวทของตนและผลักมันเข้าใส่เด็กหนุ่มก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด  พายุลูกสุดท้ายซึ่งถูกเร่งเวลาจนหมุนเร็วแรงอย่างน่ากลัวแล้วค่อยจางหายกลับไปยังต้นตอของมัน

                   
          ทุกอย่างสงบลงได้ในที่สุด  เด็กหนุ่มก้าวเท้าข้ามข้าวของที่ย้ายที่ลงมากองระเกะระกะบนพื้นเข้าไปหาพ่อมดซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่

                   
          
    วูบ

                   
          ไดแอซเอี้ยวศีรษะหลบ ปรากฏร่องรอยสีแดงบางๆพาดผ่านใบหน้าบริเวณแก้มซ้ายของเขาเป็นการทิ้งท้าย  รอยดูที่เหมือนจะถากๆแต่ก็ลึกพอสมควรจนเลือดไหลอาบลงมา 
    "เก่งนี่  รู้จักเล่นทีเผลอซะด้วย"  คำชมที่ดูเหมือนจะเยาะเย้ยเสียมากกว่าอะไรอื่น  เขายกแขนเสื้อขาวขึ้นปาดเลือดออก  ปากเรียวเบ้น้อยๆเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการปวดตุ้บๆบริเวณปากแผลบนแก้มตน 

                   
          เจ้าของพลังแปลกนั้นยอมรามือจากดวงวิญญาณของพ่อมดไปในครั้งนี้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่แน่ใจนักว่าครั้งต่อๆไปเวสตุสจะต้านทานความมืดและเสียงเรียกนี้เอาไว้ได้แค่ไหน  ทั้งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไร  เหตุใดจึงมุ่งหมายจะดึงเอาความมืดของปีศาจในกายพ่อมดไป  เด็กหนุ่มคลายมนตร์แล้วคุกเข่าลงข้างร่างโปร่งบางที่แทบจะกลืนหายไปกับธาตุอากาศของพ่อมด 

                   
         ไอสีดำที่ห่อหุ้มร่างกายของอีกฝ่ายพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มแต่ยังไม่ทันถึงตัวก็ถูกพลังที่แผ่ออกมาทำลายจนหมดสิ้น   

                   
          "ท่านเวนตุส" 

                   
          เขาเรียกชายหนุ่มซ้ำไปซ้ำมาแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้สติเสียที  ไดแอซจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปสัมผัสร่างอีกฝ่าย  พร้อมกันนั้นกระแสธารของความรู้สึกหลั่งไหลสู่ตัวเด็กหนุ่มอีกครา  เจ้าตัวกัดฟันฝืนความรู้สึกหมุนวนจนแทบไม่อาจทรงตัวอยู่ไว้ เขาตั้งต้นผลักดันพลังของตนเข้าสู่ร่างพ่อมดหนุ่ม

                   
          เส้นสายสีขาวสว่างไหลเวียนแทรกซึมเข้าไปในดวงวิญญาณโปร่งบางจนทั่ว  เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มขยับตัวน้อยๆเป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายรู้สึกตัวแล้วเขาจึงละมือออก 

                   
          ปัง

                   
          เสียงผลักประตูอย่างแรงพร้อมร่างของมาร์คัสถลาเข้ามาเป็นรายแรกตามด้วยเวสและเพื่อนๆทั้งหลาย  ร่างพ่อมดหนุ่มจางหายกลืนไปกับอากาศอย่างรวดเร็ว 

                   
          "ไดแอซ  เกิดอะไรขึ้น"   เวสถามออกมาหลังจากยืนอึ้งไปกับสภาพเละตุ้มเปะของห้อง  "ก็.....อ้าว"  เมื่อเด็กหนุ่มหันกลับไปมองร่างที่เมื่อครู่นอนอยู่บนพื้นก็พบว่าหายไปไหนไม่รู้เสียอีกแล้ว เจ้าตัวจึงลุกขึ้นช้าๆ กระนั้นภาพต่างๆก็ยังคงหมุนวนไม่ได้หยุดจนเดินเซไปเซมา  "ข้า...ไม่เป็นไร"  เขารีบบอกเมื่อเห็นท่าทีเป็นห่วงของผู้ใช้เวททั้งหลาย    ไดแอซยกมือขึ้นลูบหน้า แขนเสื้อยาวกว้างตกลงไปกองกันบริเวณศอกเผยให้เห็นรอยสีแดงช้ำเลือดเป็นจ้ำๆบนแขน   

                   
          ฮวบ

                   
          เด็กหนุ่มทรุดลงกองกับพื้น ภาพที่หมุนวนเรียงตัวกันเป็นเรื่องราวฉายซ้ำไปซ้ำมาท่ามกลางความมืดหลังเปลือกตาที่ปิดสนิท

                   
           กระท่อมเล็กกลางป่าโปร่ง
      ดาบยาวสีเงินวาบวับในราตรีอันไร้แสงดาว  และหยาดโลหิตมากมายสะท้อนแสงจันทร์


    ****************

                   
          "อาซาเลีย  ความรักคืออะไรหรือ"  เฟลิเซียถามขึ้นขณะที่ดวงตาทั้งคู่ทอดมองออกไปยังสวนฤดูหนาวภายนอกหน้าต่าง  หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายคลี่ยิ้มอ่อนโยนแล้วเอ่ยตอบ  "สำหรับหม่อมฉันแล้วคิดว่า ความรักก็คือ ความรู้สึกอันงดงามที่ส่งผ่านจากหัวใจดวงหนึ่งสู่อีกดวง  เป็นความรู้สึกที่ทำให้หัวใจทั้งอบอุ่นนุ่มนวล  และมีความสุขเหมือนกับมีดอกไม้นับพันๆมาเบ่งบานอยู่ภายใน"

                   
          "อย่างนั้นหรือ" เด็กสาวถามเบาๆ 

                   
           
    "เพคะ"

               
          แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องอันหรูหราอย่างช้าๆ คนทั้งสองต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน นอกหน้าต่างนั้นมีเพียงเสียงหวีดหวิวเบาๆราวเสียงเพลงของสายลม   


    ------------------------------------------------------
    เย้  หวัดดีค่าทุกท่าน 
    คราวนี้ก็ไม่สบาย(อีกแล้วเรอะ)  ทีแรกนึกว่าจะได้อัพเมื่อวันพฤหัส แต่เจอพิษอดนอนเข้าไปเลยหลับแบบไม่รู้ตัว  แล้วมาเจอกีฬาสีเข้าอีก(เปิดโหมดบ่นเล็กๆ) ถูกใช้แรงงานหนักเจ้าค่ะ ปวดแขนปวดขาไปหมด(คิดว่าตัวเองถึกแล้วน๊า) TT-TT  ลุกไม่ขึ้นอ่ะ เลยโดดเรียนพิเศษ(ซะงั้นนะเออ)  
    ค่ะก็ยังไงขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน(ยังมีอีกป่าวเนี่ย)+เม้นท์ด้วยเจ้าค่ะ            

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×