คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : ม่านหมอกของความวุ่นวาย
หลังคาสีน้ำตาลหม่นนับร้อยถูกทับถมด้วยเกล็ดสีขาวจนแลไปคล้ายขนมเค้กช๊อคโกแล๊ตที่ถูกโรยหน้าด้วยไอซิ่งมากมาย ม่านควันจากปล่องไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้าสูงอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับลมหายใจแห่งฤดูหนาวอันเย็นเยือก เด็กหนุ่มถูมือที่เป็นสีแดงทั้งสองข้างเข้าด้วยกันพลางเป่าลมหายใจรดให้อบอุ่นขึ้น
เกล็ดบางติดอยู่ตามเรือนผมสีดำตัดกันดูคล้ายถูกประดับด้วยดอกไม้ดอกน้อย ขณะที่เจ้าของยังคงยืนมองทัศนียภาพเบื้องล่างอย่างไม่รู้เบื่อ ในเวลาที่ทุกสิ่งถูกปกคลุมด้วยความขาวโพลนเช่นนี้ รู้สึกว่าช่างงดงามเหมือนกับสถานที่แห่งหนึ่งในความทรงจำอันลางเลือนซึ่งคอยผุดขึ้นมาซ้อนทับบนม่านตาแล้วก็หายวับไปแทบจะทันทีที่เพ่งมองให้ชัดเจน
ในความเลือนรางไหววับ หลังคาสีสดสวยและสถาปัตยกรรมลวดลายดอกไม้ใบไม้งดงามแปลกตาเปล่งประกายระยับตัดกับหิมะสะท้อนแสงแดด
หมู่นี้ดาดฟ้าของที่พักดูจะกลายเป็นสถานที่ประจำสำหรับเด็กหนุ่มไปเสียแล้ว เขาชอบขึ้นมาใช้เวลาส่วนใหญ่เหม่อมองบ้านเรือนเบื้องล่าง อาจเพราะความเงียบด้วยไม่ใคร่มีคนนิยมขึ้นมาท้าลมหนาวบ่อยนัก และความสูงที่ทำให้สามารถมองเห็นตัวเมืองรวมไปถึงผู้คนที่สัญจรไปมาเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน ทั้งบรรยากาศเหล่านี้ยังพาให้หัวใจของเด็กหนุ่มรู้สึกสงบขึ้นอย่างน่าประหลาด
บนที่ที่สูง.......ยิ่งกว่าใครๆถึงได้มองเห็นอะไรมากมายซึ่งผู้อยู่เบื้องล่างไม่เคยได้เห็น ความมืดทั้งหลายทั้งมวลที่ซุกตัวอยู่ในซอกหลืบของตึก ความน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ขุมทรัพย์ และหนทางซึ่งจะนำไปสู่จุดมุ่งหมายอย่างไม่มีผู้ใดคาดฝันถึง
กระนั้น......เพราะว่าสูง ถึงได้เหงา เปล่าเปลี่ยว เหน็บหนาวอ้างว้างนัก ไม่มีใครอยู่ข้างกายเลยแม้แต่สักคนเดียว หลายครั้งเคยคิดอิจฉาคนข้างล่างที่ล้อมรอบไปด้วยความสุข รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ สิ่งเหล่านั้น.....ที่เขาไม่เคยมี
เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาขณะที่เกล็ดหิมะหล่นโปรยลงมาไม่ขาดสายคล้ายจะช่วยฝังกลบความเศร้าในหัวใจให้ลบเลือนไป ไดแอซจ้องมองทัศนียภาพเบื้องล่างอยู่เป็นนาน ครั้นแล้วจึงตลบผ้าพันคอที่เลื่อนหลุดลงมาจากบ่าขึ้นก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไป
นัยน์ตาสีฟ้าหม่นเหลือบมองไปยังปฏิทินซึ่งถูกปะติดอยู่ข้างฝาตรงริมทางเดินของแต่ละชั้นเพื่อให้ผู้ที่พักอยู่ทั้งหลายมองเห็นกันได้อย่างสะดวก เด็กหนุ่มไล่สายตากวาดไปตามหน้ากระดาษที่มีตัวเลขสีดำเข้มเรียงรายอยู่เต็มไปหมด วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปเรื่อยๆคล้ายสายน้ำที่ไม่หวนคืน นับจากวันที่เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเรือละอองแห่งมหาสมุทรก็ล่วงเลยมาจนจวนจะครบครึ่งปีแล้ว
ไดแอซก้าวลงบันไดไม้ช้าๆจนมาถึงยังชั้นที่พักของตน เมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไปความอบอุ่นที่หลงเหลือจากลูกไฟเสกซึ่งถูกกักขังอยู่ในห้องไหลทะลักออกมาภายนอก เขาจัดการพาดผ้าพันคอและเสื้อคลุมหนาตรงตะขอข้างฝาก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงอุ่นพลางเสยผมสีดำให้พ้นหน้า
"รู้สึกเหมือนว่าหมู่นี้จะนอนหลับไม่ค่อยสนิทเอาเสียเลย" เจ้าตัวนึกในใจก่อนจะหาวหวอดออกมา บางครั้งในความเลือนรางครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนมีภาพแผ่นของชายร่างสูงในชุดลากยาวคุ้นตาบ้างก็เป็นภาพของห้องหับอันทึมเทากลางแสงจันทร์ในคฤหาสน์กว้างใหญ่ชวนเหงา ภาพเหล่านั้นไหวรางราวกับเงากลางม่านน้ำ อดีตอันว่างเปล่าในหัวใจคล้ายได้ถูกเติมเต็มขึ้นมาทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาสีฟ้าหม่นทั้งคู่ปรือปิดลงช้าๆด้วยความง่วงงุนที่ถาโถมเข้ามาจากการนอนำไม่เต็มอิ่มหลายต่อหลายคืน และแล้วเด็กหนุ่มก็จมจ่อมลงสู่ภวังค์แห่งนิทราที่เต็มไปด้วยความมืดอันหนาวเย็นที่คุ้นเคยอีกครั้ง
******************
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ เขาใช้มือสางผมที่ยุ่งฟูจากการนอนดิ้นให้เป็นทรงแล้วจัดแจงคว้าเสื้อคลุมเพื่อจะเดินออกไปหาอะไรกินที่ตลาด
ครั้นออกมาภายนอกตัวอาคารที่พักเด็กหนุ่มหยุดยืนข้างทางสูดเอากลิ่นอายความหนาวเย็นจากหิมะเข้าเต็มปอด มือสองข้างยื่นออกมารับเกล็ดน้ำแข็งบางเบาที่กำลังร่วงหล่นลงมา ฤดูหนาว........ที่เขาหลงใหล คงเพราะให้ความรู้สึกเดียวดายเหมือนกับตัวเขากระมัง
เจ้าตัวกวาดสายตามองไปรอบด้าน ช่วงหลายวันมานี้เขาสัมผัสได้ว่าบรรยากาศในเมืองเปลี่ยนแปลงไป ภายใต้เงาแห่งความครึกครื้นนั้นมีบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นกำลังเผยโฉมออกมาอย่างช้าๆ แต่ครั้นจะไปถามเอากับพวกมาร์คัสทางฝ่ายนั้นก็เริ่มตั้นทำงานกันหามรุ่งหามค่ำกันอีกหน ตาลีตาเหลือกไปตั้งแต่ไก่โห่ กลับมาก็ค่ำมืด วันหนึ่งๆพูดกันแทบจะนับคำได้ ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็แอบทำหน้าเบื่อๆอย่างจะเหนื่อยแทน "ครั้งก่อนก็หิมะละลาย ครั้งนี้ก็หิมะหนา ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรพอดีเอาเสียเลย"
ว่าแล้วเขาก็เริ่มออกเดินบ้าง ไดแอซกวาดสายตามองสองข้างทางพลางอดคิดถึงความผิดปกติทั้งหลายที่วนเวียนเข้ามารบกวนจิตใจไม่ได้ อาหารของทางที่พักเริ่มลดปริมาณลงวันละน้อยจนเขารู้สึกว่ามันไม่พอจะถมที่ว่างหนึ่งในสี่ของกระเพาะตัวเองเสียด้วยซ้ำ พอออกมาหาอะไรกินข้างนอกบรรดาแผงลอยหลายร้านก็พากันปิดตัวเงียบไปหมด ผู้คนต่างก็จับกลุ่มกันซุบซิบใต้กันสาด บ้างก็มองหิมะที่ทับถมหนาขึ้นทุกวันด้วยสายตาวิตกกังวล
"เฮ้อ" เจ้าตัวพ่นลมออกมาเป็นไอสีขาว "ป่านนี้พวกนั้นคงกำลังนั่งหน้าเหมือนแพนด้าอยู่ที่ศูนย์วิจัยเป็นแน่แท้" แล้วก็คิดเรื่อยเปื่อยไปออกเรื่องโน่นชนเรื่องนี้จนสองเท้าพาตัวให้เดินมาจนถึงจุดหมายในที่สุด ไดแอซเลิกคิ้วน้อยๆเมื่อพบแต่ความเงียบงันรอบตัว เมื่อสาวเท้าเข้าไปในตัวตลาดก็ต้องสวนกับหลายคนที่สองมือหอบข้าวของเต็มเดินก้มหน้าก้มตาจ้ำอ้าวไม่มองใครด้วยท่าทางน่าสงสัย
เด็กหนุ่มเลยรีบตรงเข้าไปในร้านขายขนมปังเจ้าประจำซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือ ไดแอซหยุดยืนหมุนคว้างมองสภาพร้านอย่างงงงัน ชั้นที่เคยเต็มแน่นไปด้วยขนมปังนานาชนิดมีเพียงความว่างเปล่าจนพาให้ใจหาย มองเข้าไปตรงเคาท์เตอร์ที่เคยเป็นที่ตั้งของขนมปังอันโปรดก็ไม่พบอะไร เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปมองหาเจ้าของร้านแทน
เสียงรองเท้าดังพร้อมกับร่างของชายวัยกลางหนวดเฟิ้มคนเดินออกมาจากร้านด้านใน "มีอะไรหรืเปล่าเจ้าหนู ข้าจะปิดร้านแล้ว" คำบอกนี้ทำเอาไดแอซถึงกับหน้าเหวอไปพักใหญ่ "ขนมปังข้าอ่ะ" เจ้าตัวอ้าปากพะงาบๆถาม "เสียใจด้วย ข้าเพิ่งขายขนมปังชิ้นสุดท้ายไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้เอง" ชายผู้นั้นตอบ "บางทีถ้าเจ้าลองไปร้านอื่นอาจพอมีอะไรเหลือให้หาซื้อได้บ้าง" ทิ้งท้ายแล้วเขาก็รีบหันหลังเดินกลับเข้าหลังร้านไป
ไดแอซจึงออกมายืนเอ๋ออยู่หน้าร้าน สักพักหนึ่งก็ตัดสินใจลองเดินลึกเข้าไปในตลาดที่เริ่มมีบรรยากาศมืดๆตามคำบอกเมื่อครู่ ระหว่างทางหูแว่วๆเสียงเหมือนตะโกนกึ่งตะคอกโต้ตอบกันจากซอกเล็กๆ ครั้นเด็กหนุ่มชะลอฝีเท้าแอบชำเลืองดูก็พบชายสองคนกำลังทุ่มเถียงกันแย่งส้มลีบๆผลหนึ่งที่กลิ้งโคโร่กับพื้นอยู่ เมื่อเบือนสายตาไปมองยังหน้าแผงลอยเล็กๆที่คนรุมล้อมเต็มก็พบว่ามีหญิงวัยกลางคนกำลังเสนอขายหัวมันเล็กๆในราคาถึงหัวละ 60 เหรียญเงินเลยทีเดียว
ทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับอ้าปากค้างตาโต แต่เขาก็ต้องเบิกตากว้างกว่าเดิมเมื่อมีคนยอมควักกระเป๋านับเหรียญเงินและเหรียญทองขึ้นมาจ่าย ด้วยไม่นึกว่าจะได้มีโอกาสมาเห็นมันหัวละ 60 เหรียญเงินกับตาตัวเองแบบนี้
ระหว่างที่กำลังมองการซื้อขายอยู่นั้นก็รู้สึกได้ว่ามีร่างของใครบางคนมาหยุดยืนอยู่ข้างตัว ครั้นหันไปก็เห็นเด็กหนุ่มผมสีออกน้ำตาลปนแดงที่ดูจะอ่อนกว่าเขาสักสองถึงสามปีกำลังมองผู้คนเหล่านั้นอยู่เช่นเดียวกัน "เฮ้อ" อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาแล้วหันมาเริ่มบทสนทนากับเขา
"หัวมันนั่นแพงชะมัดเลย" ไดแอซพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วเปรยๆต่อ "เสบียงของทางการที่สะสมไว้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยรึไงนะ"
ดวงตาสีเขียวสดใสของอีกฝ่ายหันมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในรัศมีที่จะได้ยินคำสนทนาของทั้งสองจึงพูดด้วยเสียงกึ่งกระซิบ "เสบียงที่สะสมน่ะแทบจะไม่มีแล้ว" เล่นเอาไดแอซหูผึ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน "อาหารสะสมของแต่ละบ้านน่ะหมดไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ส่วนมากที่พวกเรามีกินกันอยู่ทุกวันนี่มาจากการปันส่วนของทางการทั้งหมด"
"แล้ว...." ไดแอซตั้งท่าจะถามต่อแต่ถูกอีกฝ่ายขัดขึ้นเสียก่อน "พ่อข้าที่ทำงานอยู่ "ข้างใน"บอกว่าอาหารที่อยู่ในคลังของทางการเองก็เริ่มหมด เพราะตอนเกิดอุทกภัยเทไปทางใต้เสียเยอะ แล้วผลผลิตของทางโน้นเองก็เสียหายไปกว่าครึ่งเลยไม่ได้ส่งเข้ามาเก็บไว้ส่วนกลาง" เขาหยุดหายใจก่อนจะเริ่มพูดต่อ "ยิ่งฤดูหนาวยืดเยื้อยังงี้แล้วข้าว่าอีกไม่เกินสองสัปดาห์คงได้เกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ"
"ข้าว่าช่วงนี้เจ้าพยายามอย่าออกไปไหนจะดีกว่า" อีกฝ่ายเตือนด้วยความหวังดีเมื่อเห็นท่าทางเหมือนไม่ค่อยจะรู้อะไรกับเขาของไดแอซ
เสียงแว่วดังมาจากตรอกด้านหลัง เด็กหนุ่มผู้นั้นหันไปขานรับ "แม่เรียกแล้ว ข้าไปก่อนนะ" ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะออกวิ่ง "เดี๋ยว" ไดแอซรีบตะโกนเรียกไว้
"เจ้าชื่ออะไรหรือ"
"ซีริล" เด็กหนุ่มหันกลับมาตอบแล้วเริ่มออกวิ่ง "ข้าไดแอซ คราวหน้าคงได้เจอกันอีก"
"แล้วเจอกัน" เสียงลอยลมตอบกลับมา
พอหันกลับไปดูพบว่ากลุ่มคนตรงหน้าแยกยายสลายวงกันไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวเองก็ได้ข้อสรุปจากการประเมินสถานการณ์ด้านการซื้อขายคร่าวๆโดยที่แทบไม่ต้องคิดอะไรให้มาก เขาจึงตัดสินใจโบกมือลาราคาของที่พุ่งขึ้นพรวดๆยิ่งกว่าต้นถั่วงอกกลับไปนอนซดน้ำชายังที่พัก
*****************
"อ้าว" เด็กหนุ่มอุทานอย่างแปลกใจเมื่อพบมาร์คัสและเพื่อนทั้งหลายนั่งล้อมวงคุยกันอยู่ในห้อง "ไม่ทำงานกันแล้วเหรอ" คนเพิ่งมาถามขึ้นพลางเอื้อมมือไปปิดประตู "เขาให้มาเก็บของเตรียมตัว" เวสเป็นฝ่ายบอก "คราวนี้จะไปบุกป่าฝ่าดงที่ไหนอีกล่ะนี่" ไดแอซถามต่อพลางทรุดตัวนั่งบนเตียงของตน คนฟังไหวไหล่เล็กน้อย "ไปทัวร์เส้นทางพระจันทร์ที่แถบเมืองเหนือโน่น"
"เห" หัวสมองของคนฟังกำลังทำการประมวลข้อมูลที่ได้รับทราบมา เห็นอาการดังนั้นเมอร์สจึงตั้งต้นขยายความให้ฟัง "เมื่อเช้าสภาขุนนางเพิ่งมีมติว่าจะส่งผู้ใช้เวทที่มีพื้นเพแถบทางเหนือให้ไปคุ้มกันเส้นทางพระจันทร์ เพราะทางนั้นแจ้งมาว่ามีพายุเวทไล่ตามถล่มกองคาราวานจากคาเรลล่าจะที่ผ่านเข้าแพนเทีย"
"พวกนั้นคงได้ข่าวเรื่องการปันส่วนอาหารละมั้งเลยแห่กันเข้ามา จมูกไวชะมัด" เวสว่าบ้าง "อีกอย่างนะทางเมืองเหนือนั่นอากาศก็เริ่มอุ่นขึ้นกว่าที่นี้แล้วด้วย ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเจอภาคกลางหนาวกว่าเมืองเหนือก็คราวนี้ล่ะ"
"เอ้อ ส่วนกองคาราวานนั่นรู้สึกว่าชุดแรกเจอพายุเวทเข้าเต็มประตูรอดมาถึงหุบเขาหมอกแค่สองในสิบกอง ไม่รู้จะมีคนกล้าเสี่ยงมาอีกรึเปล่า?"
"ให้เดาข้าว่ามีอีกเยอะ ก็คุ้มออกอย่างนั้น" โชวี่ประเมินสถานการณ์ "ยิ่งจำพวกอาหารทั้งหลายนี่เผลอๆจะได้ราคาสูงกว่าปกติซักสี่หรือห้าเท่าด้วยซ้ำไป ยังงี้คนธรรมดาได้จนกันหมดแหงๆ"
"แต่ถ้าลองอาหารที่มีอยู่หมดลงก่อนถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วละก็ ข้าว่าพวกเราคงเลี่ยงการก่อจลาจลเพื่อแย่งชิงอาหารไม่ได้ ถึงนี่จะไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาก็เถอะนะ อย่างน้อยก็ยังพอประวิงเวลาให้พวกเราได้จัดการสะสางเรื่องราวทั้งหลายให้จบสิ้นลงโดยเร็วที่สุด" หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของมาร์คัส
ปุ๊ง
สัตว์เสกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มาคราวนี้คาบเอาจดหมายในซองสีขาวมาส่งให้แล้วรีบหายวับไปราวกลัวถูกใครจับกินเป็นมื้อค่ำ ครั้นดีอัสที่รับมาอ่านจบก็หันไปสะกิดเพื่อนอีกสองสามคนก่อนจะส่งกระดาษนั้นต่อให้มาร์คัส แล้วก็หยิบสัมภาระทั้งหลายที่เตรียมไว้พร้อมพลางลุกขึ้นยืน
ไดแอซชะโงกเข้ามาดูเนื้อความในจดหมายซึ่งเป็นการเรียกตัวให้เดินทางขึ้นไปเมืองเหนือภายในคืนวันนี้ "แล้วจะไปกันยังไงล่ะ" เวสถามพลางมุ่นคิ้ว ก็ระยะทางจากนี่ไปก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ไหนจะต้องผ่านป่าแสงดาวแล้วไปอ้อมบึงดำอีก "เอาเถอะพวกข้าคงไม่ได้นั่งเกวียนเทียมโคไปหรอก"
เป็นคำตอบที่เรียกเสียงหัวเราะจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพื่อนๆทั้งหลายพร้อมใจกันเดินออกไปส่งคนทั้งสามยังหน้าที่พักแล้วร้องบอกเป็นเสียงเดียวกัน
"โชคดีล่ะ"
เงาจางของชายหนุ่มทั้งสามทอดยาวบนหิมะหนาภายใต้แสงหม่นของอาทิตย์ยามพลบค่ำ เพื่อนๆที่เหลืออีกสี่ห้าคนโบกไม้โบกมือให้จนลับหายไปจากสายตา คนที่ยืนส่งพากันกลับเข้าไปหาอากาศอุ่นภายใน มีเพียงไดแอซที่ยังยืนอยู่ที่เดิมดวงตาทั้งคู่มองเลยขึ้นไปยังฟ้ากว้างเบื้องบนซึ่งมีเงาดำของมังกรตัวใหญ่โฉบผ่านพร้อมส่งเสียงคำรามก้องแล้วทะยานหายขึ้นไปในหมู่เมฆด้านทิศเหนือ
******************
ตอนสายวันรุ่งขึ้นผู้ดูแลที่พักได้มาขอแรงผู้ใช้เวทให้ช่วยจัดการกับหิมะที่ทับถมกันหนาเตอะบนหลังคาด้วยกลัวว่าคานจะรับน้ำหนักไม่ไหวและพังลงมา หลังจากนั้นก็มีอีกหลายบ้านที่มาขอช่วยไดแอซจึงเห็นว่าถ้ายืนอยู่จะเกะกะคนอื่นเขาเปล่าๆจึงสะกิดบอกมาร์คัสแล้วหลบเข้ามานั่งในห้อง เจ้าตัวเลิกม่านชะโงกออกไปดูบรรดาผู้ใช้เวทที่กำลังจัดการกับงานใหม่อย่างขะมักเขม้น เมื่อหันกลับมาก็พบว่ามีร่างโปร่งใสมายืนนิ่งอยู่กลางห้อง
"ท่านเวนตุส" ไดแอซเรียกชายหนุ่มเบาๆอย่างแปลกใจด้วยเห็นว่าร่างนั้นดูเหมือนจะโปร่งใสกว่าเก่าซ้ำยังมีรัศมีสีดำจางๆแผ่ออกมา "มีอะไรหรือ" อีกฝ่ายหันมาถามพลางนั่งลงบนเก้าอี้ เมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าทำท่าแปลกๆสะบัดศีรษะสองสามทีแล้วขยี้ตาแรงๆ "ก็.....ข้าว่าท่านดูแปลกไป" เจ้าตัวพูดออกมา
"ข้ารึ" ชายหนุ่มทวนคำ "ไม่มีอะไรสักหน่อย" ว่าแล้วก็มองคนตรงหน้าด้วยแววตาสงสัยอีกรอบ "แล้วหมู่นี้ท่านเป็นยังไงบ้าง" ไดแอซเปลี่ยนเรื่องมาถามสารทุกข์สุขดิบชายหนุ่มแทน "ก็เหมือนเดิม แค่รู้สึกเหมือนมีใครกำลังเรียกอยู่" คิ้วเรียวของคนฟังเริ่มขมวดปมบนหน้าผาก "คงเพราะเวลาของข้าคงใกล้หมดแล้วละมั้ง
.."
"เดี๋ยวนะ" ไดแอซขัดพร้อมกันนั้นมีลมแรงพัดวนไปรอบๆห้อง "ได้ยินอีกแล้ว.....เสียงเรียกนั่น" ดวงตาของพ่อมดเหม่อลอย เส้นสีเหลือบรุ้งปรากฎขึ้นบนพื้นห้องแล้วขดตัวเป็นวงกลมล้อมรอบร่างของชายหนุ่มไว้อย่างรวดเร็วกำแพงใสพวยพุ่งขึ้นมาสกัดกั้นรัศมีสีดำที่เข้มข้นขึ้นไม่ให้แผ่ออกมายังภายนอกได้อย่างทันท่วงที
สภาพของคนข้างในเริ่มแปรเปลี่ยนจากการถูกเงาดำของปีศาจเมื่ออดีตกาลเข้าซ้อนทับ "เพราะมีพลังปีศาจค้ำจุนนี่เอง ดวงวิญญาณถึงได้คงอยู่มานานจนถึงขนาดนี้" เด็กหนุ่มนึกพลางร่ายมนตร์กักขับทับเข้าไป เวนตุสทรุดลงคุกเข่ากับพื้น สองมือกุมหน้าอกบริเวณหัวใจเอาไว้แน่นพร้อมบิดตัวไปมาอย่างทรมานด้วยถูกเงาสีดำกลุ้มรุมไปทั่วทั้งร่าง ไดแอซเบือนหน้ากลับมายังพลังที่ล่วงล้ำเข้ามาในห้อง ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็น "มาลองกันสักตั้ง.....เจ้าหรือข้าใครจะแน่กว่ากัน"
ว่าแล้วก็วาดมือผ่านอากาศส่งพลังของตนเข้าปะทะกับลมหมุนนั้น พลังที่ส่งเข้าไปถูกสายโซ่สีฟ้าที่ผุดขึ้นมาจากลมบีบอัดจนไม่อาจก่อตัวให้เป็นรูปเป็นร่างอะไรได้ เขาได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วดังออกมาจากเจ้าของพลังซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่ง
"มีปัญญาแค่นี้เองรึ"
ตูม
สายโซ่เหล่านั้นระเบิดออกอย่างแรงจนไม่อาจรวมตัวกันได้อีก ไดแอซคลี่ยิ้มน้อยๆมองดูผลงานของตน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มส่งเวทบทใหม่เข้าจู่โจมอีกครั้งแต่คราวนี้เปลี่ยนเป้าหมายไปทำลายมนตร์ที่กักขังพ่อมดหนุ่มแทน เด็กหนุ่มเพียงยืนมองเฉยๆอย่างไม่นึกเดือดเนื้อร้อนใจเมื่อเห็นลมเหล่านั้นเบียดตัวหาทางเจาะทะลุกำแพงมนตร์ของเขา ซ้ำเจ้าตัวยังเลื่อนเก้าอี้แล้วทรุดตัวลงนั่งจิบน้ำชาเสียอีก
ลมหมุนลูกที่สองและสามผุดขึ้นจากด้านซ้ายแล้วพัดผ่านไปรอบห้องทำเอาข้าวของต่างๆพากันปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว เสียงแหวกอากาศเบาๆพร้อมมีดสั้นอันเล็กที่อาเรสเคยมอบให้เขาสลัดตัวหลุดจากปลอกแล้วพุ่งตรงเข้ามาจากด้านหลัง
เด็กหนุ่มหันขวับกลับไปจับใบมีดสีฟ้าและเพียงออกแรงดึงเล็กน้อยมีดเล่มนั้นก็ตกลงอย่างง่ายดาย ผิวเนื้อของฝ่ามือที่ควรอาบเลือดจากการบาดลึกมีเพียงร่องรอยกดสีแดงจางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไดแอซก้มลงหยิบมีดดังกล่าวขึ้นมาเก็บกลับในปลอกหนังอย่างเดิมโดยไม่ใส่ใจพายุขนาดย่อมที่กำลังเริ่มต้นถล่มห้องเขาอีกรอบ
ฉับพลันเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงตรึงบริเวณข้อเท้าทั้งสองข้างจนขยับไม่ได้ เถาไม้สีดำอันเขี่องโผล่พ้นจากพื้นห้องบิดตัวรัดรอบข้อเท้าแล้วค่อยๆงอกยอดไล่ลามพันรอบตัว หนามแหลมคมทิ่มแทงทะลุเนื้อหนังและเสื้อผ้าจนเลือดหยดรินเจิ่งนองพื้นห้อง ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงกับพื้นตามแรงกระชากพร้อมกันนั้นกำแพงมนตร์ก็เกิดจุดปริร้าวขึ้นรอยนั้นลุกลามไปจนรอบอย่างรวดเร็ว แล้วกำแพงใสก็แตกออกจากกันในที่สุด คราวนี้เสียงของอีกฝ่ายหัวเราะลั่นอย่างได้ใจ ก่อนส่งพลังเพิ่มเข้ามาเพื่อหวังจะคว้าเอาวิญญาณของพ่อมดหนุ่มที่บัดนี้แน่นิ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันสีดำสนิท
เปรี๊ย
ฝ่ายนั้นชะงักงันอย่างตื่นตระหนก ด้วยกำแพงมนตร์ที่คิดว่าได้แตกสลายไปแล้วยังคงอยู่ที่เดิม ร่างของไดแอซที่ลมอยู่กับพื้นบังเกิดแสงขาวสว่างแล้วเถาไม้ที่รัดรอบตัวก็ค่อยแปรเป็นสีเทาและผุพังสลายไปในพริบตา ร่องรอยบาดเจ็บทั้งหลายหายไปจากร่างเด็กหนุ่มจนราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง เขาลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มน่าหวาดหวั่นที่แต่งแต้มบนใบหน้าซึ่งเย็นชาปานรูปสลักน้ำแข็ง
"คิดหรือว่าจะทำอะไรข้าได้......เอาเถอะตอนนี้ชักจะเบื่อเล่นอะไรปัญญาอ่อนแล้ว"
มีดสั้นสีฟ้าใสลอยหมุนคว้างอยู่กลางอากาศแล้วพุ่งตรงเข้าปักยังใจกลางของลมพายุ ครั้นถอนออกมาก็ปรากฏของเหลวสีแดงอาบเต็มใบมีดนั้น
บรรยากาศในห้องเริ่มมืดลงเรื่อยๆทั้งๆที่เวลานี้ยังไม่ถึงตอนเที่ยงเสียด้วยซ้ำ ความมืดเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างกลายสภาพเป็นของเหลวอันบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติคืบคลานออกมาจากซอกมุมต่างๆทั้งบนพื้นและบนเพดาน พวกมันเคลื่อนกายมาหลอมรวมกันแล้วมุ่งตรงเข้าหาเด็กหนุ่มที่ยืนดูอยู่
นัยน์ตาสีฟ้าหม่นฉายแววถูกใจกับเวทที่อีกฝ่ายส่งมา "แต่ว่า.....แค่นี้มันก็ยังไม่พอหรอกนะ" เขาเอ่ยคล้ายจะฝากบอกไปยังเจ้าของความมืดนั้น เด็กหนุ่มยกเท้าขึ้นบดขยี้ของเหลวสีดำช้าๆพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่เรียว ก่อนแสงสีเหลือบรุ้งผลักดันแผดเผาให้พวกมันกลับไปสู่ความมืดซึ่งจากมา
เขาเหลือบสายตาไปยังทิศทางอันเป็นที่มาของพลังเวทนั้นแล้วแย้มรอยยิ้มเหยียดส่งไปให้ก่อนสะบัดข้อมือเบาๆให้ลมพายุเหล่านั้นย้อมกลับไปหาผู้เป็นเจ้าของ แม้ว่าฝ่ายนั้นจะพยายามดึงดันเพิ่มจำนวนเวทของตนและผลักมันเข้าใส่เด็กหนุ่มก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด พายุลูกสุดท้ายซึ่งถูกเร่งเวลาจนหมุนเร็วแรงอย่างน่ากลัวแล้วค่อยจางหายกลับไปยังต้นตอของมัน
ทุกอย่างสงบลงได้ในที่สุด เด็กหนุ่มก้าวเท้าข้ามข้าวของที่ย้ายที่ลงมากองระเกะระกะบนพื้นเข้าไปหาพ่อมดซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่
วูบ
ไดแอซเอี้ยวศีรษะหลบ ปรากฏร่องรอยสีแดงบางๆพาดผ่านใบหน้าบริเวณแก้มซ้ายของเขาเป็นการทิ้งท้าย รอยดูที่เหมือนจะถากๆแต่ก็ลึกพอสมควรจนเลือดไหลอาบลงมา "เก่งนี่ รู้จักเล่นทีเผลอซะด้วย" คำชมที่ดูเหมือนจะเยาะเย้ยเสียมากกว่าอะไรอื่น เขายกแขนเสื้อขาวขึ้นปาดเลือดออก ปากเรียวเบ้น้อยๆเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการปวดตุ้บๆบริเวณปากแผลบนแก้มตน
เจ้าของพลังแปลกนั้นยอมรามือจากดวงวิญญาณของพ่อมดไปในครั้งนี้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่แน่ใจนักว่าครั้งต่อๆไปเวสตุสจะต้านทานความมืดและเสียงเรียกนี้เอาไว้ได้แค่ไหน ทั้งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไร เหตุใดจึงมุ่งหมายจะดึงเอาความมืดของปีศาจในกายพ่อมดไป เด็กหนุ่มคลายมนตร์แล้วคุกเข่าลงข้างร่างโปร่งบางที่แทบจะกลืนหายไปกับธาตุอากาศของพ่อมด
ไอสีดำที่ห่อหุ้มร่างกายของอีกฝ่ายพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มแต่ยังไม่ทันถึงตัวก็ถูกพลังที่แผ่ออกมาทำลายจนหมดสิ้น
"ท่านเวนตุส"
เขาเรียกชายหนุ่มซ้ำไปซ้ำมาแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้สติเสียที ไดแอซจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปสัมผัสร่างอีกฝ่าย พร้อมกันนั้นกระแสธารของความรู้สึกหลั่งไหลสู่ตัวเด็กหนุ่มอีกครา เจ้าตัวกัดฟันฝืนความรู้สึกหมุนวนจนแทบไม่อาจทรงตัวอยู่ไว้ เขาตั้งต้นผลักดันพลังของตนเข้าสู่ร่างพ่อมดหนุ่ม
เส้นสายสีขาวสว่างไหลเวียนแทรกซึมเข้าไปในดวงวิญญาณโปร่งบางจนทั่ว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มขยับตัวน้อยๆเป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายรู้สึกตัวแล้วเขาจึงละมือออก
ปัง
เสียงผลักประตูอย่างแรงพร้อมร่างของมาร์คัสถลาเข้ามาเป็นรายแรกตามด้วยเวสและเพื่อนๆทั้งหลาย ร่างพ่อมดหนุ่มจางหายกลืนไปกับอากาศอย่างรวดเร็ว
"ไดแอซ เกิดอะไรขึ้น" เวสถามออกมาหลังจากยืนอึ้งไปกับสภาพเละตุ้มเปะของห้อง "ก็.....อ้าว" เมื่อเด็กหนุ่มหันกลับไปมองร่างที่เมื่อครู่นอนอยู่บนพื้นก็พบว่าหายไปไหนไม่รู้เสียอีกแล้ว เจ้าตัวจึงลุกขึ้นช้าๆ กระนั้นภาพต่างๆก็ยังคงหมุนวนไม่ได้หยุดจนเดินเซไปเซมา "ข้า...ไม่เป็นไร" เขารีบบอกเมื่อเห็นท่าทีเป็นห่วงของผู้ใช้เวททั้งหลาย ไดแอซยกมือขึ้นลูบหน้า แขนเสื้อยาวกว้างตกลงไปกองกันบริเวณศอกเผยให้เห็นรอยสีแดงช้ำเลือดเป็นจ้ำๆบนแขน
ฮวบ
เด็กหนุ่มทรุดลงกองกับพื้น ภาพที่หมุนวนเรียงตัวกันเป็นเรื่องราวฉายซ้ำไปซ้ำมาท่ามกลางความมืดหลังเปลือกตาที่ปิดสนิท
กระท่อมเล็กกลางป่าโปร่ง ดาบยาวสีเงินวาบวับในราตรีอันไร้แสงดาว และหยาดโลหิตมากมายสะท้อนแสงจันทร์
****************
"อาซาเลีย ความรักคืออะไรหรือ" เฟลิเซียถามขึ้นขณะที่ดวงตาทั้งคู่ทอดมองออกไปยังสวนฤดูหนาวภายนอกหน้าต่าง หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายคลี่ยิ้มอ่อนโยนแล้วเอ่ยตอบ "สำหรับหม่อมฉันแล้วคิดว่า ความรักก็คือ ความรู้สึกอันงดงามที่ส่งผ่านจากหัวใจดวงหนึ่งสู่อีกดวง เป็นความรู้สึกที่ทำให้หัวใจทั้งอบอุ่นนุ่มนวล และมีความสุขเหมือนกับมีดอกไม้นับพันๆมาเบ่งบานอยู่ภายใน"
"อย่างนั้นหรือ" เด็กสาวถามเบาๆ
"เพคะ"
แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องอันหรูหราอย่างช้าๆ คนทั้งสองต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน นอกหน้าต่างนั้นมีเพียงเสียงหวีดหวิวเบาๆราวเสียงเพลงของสายลม
------------------------------------------------------
เย้ หวัดดีค่าทุกท่าน
คราวนี้ก็ไม่สบาย(อีกแล้วเรอะ) ทีแรกนึกว่าจะได้อัพเมื่อวันพฤหัส แต่เจอพิษอดนอนเข้าไปเลยหลับแบบไม่รู้ตัว แล้วมาเจอกีฬาสีเข้าอีก(เปิดโหมดบ่นเล็กๆ) ถูกใช้แรงงานหนักเจ้าค่ะ ปวดแขนปวดขาไปหมด(คิดว่าตัวเองถึกแล้วน๊า) TT-TT ลุกไม่ขึ้นอ่ะ เลยโดดเรียนพิเศษ(ซะงั้นนะเออ)
ค่ะก็ยังไงขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน(ยังมีอีกป่าวเนี่ย)+เม้นท์ด้วยเจ้าค่ะ
ความคิดเห็น