คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : เหมันต์........นิรันดร
กลุ่มแสงสีส้มอันเจิดจรัสนั้นได้แผ่รัศมีเข้าครอบคลุมเหนือร่างของผู้ใช้เวททั้งหมดก่อนจะค่อยๆรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนกลมลอยตัวนิ่งอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะของเวสซึ่งยืนอยู่ใจกลางของวงเวท
"เปลวไฟอันร้อนแรงเอย จงมอบพลังอันไพศาลและนำมาซึ่งการควบคุม" ก้อนสีส้มที่เรืองแสงน้อยในความมืดนั้นสั่นไหว "ภายใต้อาณัติแห่งตัวข้า......." แสงสีขาวเรียวเล็กดังเส้นไหมที่พุ่งออกมาจากร่างของผู้ใช้เวทมากมายค่อยๆชำแรกไปตามพื้นดินดุจสายน้ำโดยหมายมุ่งเข้าสู่วงกลมเล็กซึ่งอยู่ใจกลาง สายกระแสซึ่งเปล่งรัศมีอ่อนโยนเหล่านั้นหลอมรวมปะปนกันและพลิกพลิ้วไปมาอยู่ภายใต้เท้าของชายหนุ่ม รวมไปกับเกล็ดหิมะบางเบาสีขาวที่เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งโดยไม่มีใครสังเกต
อักขระโบราณที่เรียงตัวกันเป็นวงค่อยเปล่งแสงขึ้นทีละน้อย "ปลดปล่อย" สิ้นคำพลังเหล่านั้นก็พุ่งผ่านตัวของชายหนุ่มขึ้นสู่ก้อนสีส้มเบื้องบนพาให้เสื้อผ้าและเส้นผมปลิวสะบัดคล้ายต้องลมแรง ร่างทั้งร่างราวกับจะกลืนหายไปกับความสว่างไสวขณะที่เส้นแสงสีขาวสว่างพาดผ่านขึ้นไปตามใบหน้าและลำตัวอย่างไม่ขาดสายแล้วเข้าถักทอห่อหุ้มก้อนพลังสีส้มไว้ราวกับรังไหมอ่อนนุ่ม
ยิ่งนานแสงขาวยิ่งเจิดจ้าตัดกับทัศนียภาพของรัตติกาลรอบด้าน ลูกพลังกลมนั้นขยายขนาดใหญ่ขึ้นทีละน้อย ช่องว่างเล็กๆของเส้นขาวเผยให้เห็นว่าภายในนั้นเต็มไปด้วยประจุหลากสีวิ่งวนส่งเสียงเปรี๊ยะประอยู่มากมาย
ฮวบ
ร่างของเวสซึ่งเป็นผู้เชื่อมถ่ายพลังทรุดลงกับพื้น เลือดสีแดงฉานที่หยดรินราวฝนพรำนั้นสวนทางกับกระแสธารขาวซึ่งยังคงพุ่งผ่านตัวเขาขึ้นไปอย่างไม่ขาดสายและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดชะงักลงแม้แต่น้อย เพื่อนทั้งสี่ที่ยืนล้อมชายหนุ่มนั้นทำได้เพียงมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงนัก เนื่องจากหากมีใครสักคนขยับตัวออกนอกที่ของตนขณะร่ายเวทนั้น วงเวทจะแตกออกและพลังทั้งหมดจะสะท้อนกลับสู่ทุกผู้
ชายหนุ่มผู้อยู่กลางวงพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นห่วง เขากัดริมฝีปากฝืนใจพยุงกายลุกขึ้นอย่างลำบากยากเย็นอีกครั้งแต่เหมือนว่าเรี่ยวแรงทั้งร่างจะถูกดูดกลืนไปจนหมดแล้วจึงทรุดกายลงดังเดิม
วาบ
เส้นสีขาวทั้งหลายถูกปลดปล่อยผ่านตัวของชายหนุ่มไปจนหมดในที่สุด พื้นใต้ร่างซึ่งถูกวาดเป็นวงเวทเปลี่ยนกลับเป็นสีน้ำตาลแตกระแหงดังเดิม ผู้ใช้เวทที่ยืนอยู่บริเวณด้านนอกทั้งหมดถอนตัวออกไปช้าๆ หลายคนตลบฮู้ดของเสื้อคลุมขึ้นบังหิมะที่เริ่มตกหนักพลางสนทนากันเบาๆเกี่ยวกับสภาพอากาศที่กลับมาเป็นฤดูหนาวดุจเดิม ขณะที่ชายหนุ่มทั้งห้ายังคงยืนอยู่ที่เดิม
ตูม
ลูกพลังลอยตัวขึ้นไปจนสูงแล้วระเบิดออกในฉับพลัน ประกายหลากสีกระจายตัวปะปนไปกับหิมะครอบคลุมอาณาเขตของแพนโทเนียทั้งหมด ละอองเหล่านั้นดูสวยงามคล้ายดอกไม้ไฟในคืนฤดูร้อน ผู้ใช้เวททั้งหมดกลั้นหายใจรอดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างตื่นเต้น เขตเวทคุ้มครองปรากฏไหววับสะท้อนแสงเพียงเล็กน้อยก่อนจะเลือนหายไปภายใต้ผืนกำมะหยี่สีดำสนิท คนทั้งหลายถอนหายใจแทบจะพร้อมๆกัน แต่ว่า..................
จู่ๆวงเวทใต้เท้าของเวสกลับเปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้กลับจัดจ้ารุนแรงชวนให้รู้สึกหวาดผวา แสงส้มพุ่งลงมาห้อมล้อมชายหนุ่มเอาไว้ราวกับกำแพงแก้วบางใสซึ่งประดับประดาด้วยเปลวไฟอันลุกโชติช่วง ในเวลาเดียวกับที่ประกายสีอมเขียวอมฟ้าจากคนทั้งสี่พุ่งสวนเข้าไป
ทิวทัศน์รอบด้านพร่ามัวลงอย่างกะทันหัน แม้ว่าเวสจะพยายามเพ่งมองสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้ชัดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ราวกับภาพวาดที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำทำให้หลายสีเข้าผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกว่าคือสิ่งใด เปลือกตาค่อยปรือปิดลงอย่างช้าๆอย่างง่วงงุนโดยไม่แยแสอุณหภูมิรอบกายที่เพิ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ
"เกิดอะไรขึ้น" หัวหน้าคณาจารย์เปล่งเสียงออกมา ขณะที่ผู้ใช้เวทหลายคนถึงกับนิ่งอึ้งอย่างตระหนกไปกับสิ่งเหนือความคาดหมาย หากอีกหลายคนเริ่มขยับตัวจัดกลุ่มเตรียมพร้อมร่ายเวทชะลอพลัง เหล่าคณาจารย์เองก็รวมตัวกันในลักษณะเตรียมพร้อมเช่นกัน
"มัน...........กับดัก" แรนดัลเปล่งเสียงอย่างเคร่งเครียด "ฉลาดนัก" ในเวลาแบบนี้เขายังอดชม
ผู้ก่อเรื่องไม่ได้ "คงคาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกเขาจะต้องใช้เวทที่ค่อนข้างทรงพลังในการแก้ จึงได้วางเวทซ้อนกันสองชั้น หนึ่งก่อกวน อีกหนึ่งกักสะท้อน" คิ้วเข้มขมวดมุ่นบนหน้าผาก "ถ้าเอาพลังส่วนนี้ไว้ไม่อยู่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอันตรายเอาตรงส่วนไหนของแพนโทเนียเข้า"
"ตอนนี้ต้องขังให้อยู่ในบริเวณนี้ให้ได้ก่อน" ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นในที่สุด ผู้เป็นหัวหน้าคณาจารย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนหันไปสั่งความกับผู้ใช้เวทข้างตัว
รอยยิ้มประหลาดพาดผ่านใบหน้าของเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่ยืนพิงต้นไม้ไร้ใบอยู่เพียงลำพัง นัยน์ตาสีฟ้าหม่นเย็นชาเองก็เปล่งประกายกล้าตัดกับใบหน้าอ่อนเยาว์ ไดแอซยกมือขึ้นปัดเกล็ดบางนั้นออกจากใบหน้าแล้วก้าวออกมาจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่ให้ร่างตนหลบเข้าไปอยู่ในเงามืดมากขึ้น ดวงตาทั้งคู่มองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วยแววไม่ทุกข์ไม่ร้อน เจ้าตัวสะบัดแขนซ้ายออกด้านข้างให้กางขนานกับพื้นแล้วพลิกฝ่ามือให้หันออกไปด้านหน้า
"แทรกแซง"
น้ำเสียงแฝงแววตกใจปนดังขึ้นจากกลุ่มผู้ใช้เวทซึ่งรวมตัวกันด้วยรับรู้ว่าเวทที่ส่งออกไปหายวับในพริบตาราวกับหยดน้ำต้องไอแดดโดยที่พวกเขามองไม่เห็นตัวพลังแม้แต่น้อย แรนดัลหันขวับไปยังทิศทางที่มาของพลังนั้น และเขาต้องตกใจซ้ำสองเมื่อสบเข้ากับดวงตาอันคมกล้าจนน่ากลัวในเงามืดของเด็กหนุ่มนามไดแอซ
กำแพงสีส้มที่กำลังโรมรันกับประกายเวทสีอมเขียวอมฟ้าก็ถูกพลังนั้นเข้ากลืนกินอย่างง่ายดาย เพียงไม่นานก็จางหายหลงเหลือไว้แค่เกล็ดบางเบาหมุนคว้างอยู่กลางอากาศราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อน
"เวส" ชายหนุ่มทั้งสี่พุ่งเข้าไปหาเพื่อนของตนซึ่งแน่นิ่งอยู่กลางวงในทันที แรนดัลหันไปทันได้เห็นอากาศรอบตัวเด็กหนุ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย ครั้นรู้สึกตัวว่าถูกจ้องอีกครั้งหนึ่งไดแอซจึงหันไป มุมปากยกยิ้มประหลาด ทั้งยะเยือกเย็น ทั้งหยิ่งยโสถือดี แต่เพียงชั่วพริบตาก็กลับเป็นซื่อใสดุจเดิม
พลังประหลาดนั่น........ยังท่าทางแปลกๆของไดแอซ ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองเบาๆ "สงสัยคงจะตาฝาดเพราะเหนื่อยกระมัง" แต่ถึงอย่างนั้นภาพรอยยิ้มนั้นยังติดตาอยู่ไม่คลาย กระนั้นเขาก็ไม่มีเวลาให้ได้คิดมากเนื่องจากต้องมาเป็นธุระจัดการนำเวสไปส่งยังสถานพยาบาลของแพนโทเนียพร้อมส่งม้าเร็วแจ้งข่าวให้กับสภาขุนนางรวมถึงการให้คนไปป่าวประกาศอธิบายเรื่องราวอันเป็นต้นเหตุของเสียงให้ชาวแพนโทเนียทั้งหลายที่บัดนี้พากันลุกจากที่นอนของตนมายืนออกันอยู่หน้าบ้านให้ได้รับรู้เรียบร้อยแล้ว ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าสถานพยาบาลก็อดคิดเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้งไม่ได้ "แปลกจริงๆ ลองถามมาร์คัสดูจะดีกว่า" แรนดัลคิด และจะด้วยความบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบร่างสูงของเจ้าของชื่อนั้นเดินตรงมาทางเขาพอดิบพอดี
"มาร์คัส"
ชายหนุ่มอดทำสีหน้าสงสัยกับท่าทีแปลกๆของชายวัยกลางคนที่ดูจะแผ่รัศมีความเคร่งเครียดออกมารอบตัว "อะไรหรือครับ" เขาถามอย่างสุภาพ "เอ่อ.....เวส....เวสเป็นยังไงบ้าง" คนถูกถามทำหน้างงเล็กน้อยก็เพิ่งยืนฟังนายแพทย์ใหญ่อธิบายอาการของเวสด้วยกันอยู่แหมบๆ สงสัยเหนื่อยจนเบลอแล้วละมั้ง ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ชายหนุ่มก็ตอบไปตามธรรมดา "ไม่ได้อันตรายอะไรแล้ว ตอนนี้ให้ยาเรียบร้อย คาดว่าร่างกายล้าต้องการการพักผ่อนนานหน่อย คงอีกประมาณสามถึงสี่วันคงจะฟื้น" แรนดัลพยักหน้าแล้วรีบถามต่อ
"เจ้า.......รู้สึกแปลกๆไหม"
"หา.."
"คือเกี่ยวกับพลังที่มาช่วยพวกเราน่ะ" ชายวัยกลางคนอธิบาย "ไม่นี่ครับ อาจเพราะข้ามัวแต่จดจ่ออยู่กับการช่วยเวสเลยไม่ได้สังเกตอะไร ต้องขออภัยด้วย" ชายหนุ่มค้อมศีรษะแล้วกล่าวต่อ "หรือท่านสงสัยอะไรเกี่ยวกับไดแอซ" แรนดัลส่ายหน้าช้าๆ "อย่าใส่ใจเลย ข้าคงคิดมากไปเอง" เขาบอกแล้วเดินจากไป ทิ้งคำถามกับท่าทางแปลกๆให้ชายหนุ่มเก็บไปคิดต่อ
"พวกเจ้ากลับไปก่อนก็ได้ คืนนี้ข้าจะอยู่เฝ้าเอง" เมอร์สออกมาบอกเพื่อนๆที่แต่ละคนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย คงเพราะเหนื่อยกับการต้องใช้พลังมาก
"ไปกันเถอะไดแอซ" มาร์คัสหันไปเรียกเด็กหนุ่มที่ยังยืนมองเวสซึ่งกำลังหลับลึก เจ้าของชื่อละสายตาจากคนบนเตียงแล้วเดินออกมาสมทบกับชายหนุ่มตรงประตู เด็กหนุ่มมองไปยังร่างบนเตียงอีกครั้งและก่อนที่สายลมจะพัดพาให้บานประตูปิดสนิทลง ริมฝีปากเรียวขยับเอ่ยถ้อยคำ
"ขอพรแห่งราชินีหิมะทรงคุ้มครองท่าน"
****************
คนทั้งหมดเดินอย่างเงียบๆท่ามกลางหิมะที่เริ่มแผ่ตัวคลุมพื้นดินอย่างบางเบาในความมืด คำถามแปลกๆของท่านแรนดัลผุดขึ้นมารบกวนชายหนุ่มอีกครั้ง ทำให้เขาอดเหลือบไปมองเด็กหนุ่มที่เดินอยู่ข้างกันไม่ได้ พลันมาร์คัสก็เกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่างขึ้น
ชายหนุ่มจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างนั้นอย่างพินิจพิจารณา ใบหน้าอ่อนเยาว์ติดจะหล่อนั้นดูสงบกว่าที่เคยเป็น แววตาสีฟ้าหม่นก็เรียบนิ่ง ฉายแววครุ่นคิด ล้ำลึก แลคล้ายเกล็ดหิมะกลางฤดูหนาวที่เยือกเย็น อ้างว้าง เดียวดาย หากก็งดงามยิ่ง
รู้สึกว่า.......จะไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มคนก่อนอีกต่อไปแล้ว "มีอะไรรึเปล่า" เด็กหนุ่มรู้สึกตัวจึงหันมาถามเขา "เปล่านี่ แค่รู้สึกว่าเจ้าไม่เหมือนเดิม ........ก็แค่นั้น" คำตอบทำเอาคนถามเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจอย่างที่สุด "ไม่เหมือนเดิมตรงไหนกัน" ไดแอซชี้มือที่หน้าของตัวเอง "ข้า.....ก็คือข้า ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ" เด็กหนุ่มถามหน้าซื่อตาใสเล่นเอามาร์คัสพูดอะไรไม่ออกไปเลยทีเดียว
"ช่างเถอะ" ชายหนุ่มบอก หากยังไม่คลายสงสัยเรื่องราวแปลกประหลาดที่เพิ่งได้พบเจอมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมง แต่อย่างน้อย.....บัดนี้ทุกอย่างก็คลี่คลายไปในทางที่ดี ถึงจะมีหิมะตกลงมาเพิ่มก็เถอะนะ คาดว่าไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าคงได้มีงานฉลองใบไม้ผลิเป็นแน่
ว่าแล้วก็เบนสายตาขึ้นมองฟ้าด้านบนที่เริ่มเป็นสีเทาจางๆด้วยว่ายามอรุโณทัยได้มาเยี่ยมเยือนอีกครั้งหนึ่งพร้อมสุริยเทพชักรถทรงซึ่งห้อมล้อมไปด้วยแสงสว่างสีส้มเหลืองอันร้อนแรงมาหยุดรอที่ขอบฟ้า
หลายคนเริ่มอ้าปากหาวหวอดๆต่อกันเป็นชุด เด็กหนุ่มข้างตัวเองก็เดินโซซัดโซเซด้วยความสะลึมสะลือเต็มแก่ เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น "รีบเดินกันหน่อยเถอะ จะได้พักกันซะที" ทุกคนพรอ้มใจกันพยักหน้าแล้วสาวเท้าก้าวให้เร็วขึ้น
เสียงรองเท้ากระทบพื้นซึ่งมีเกล็ดหิมะเคลือบอยู่จางๆดังสะท้อนก้องไปทั่วถนนที่ยังไม่ฟื้นตื่นจากราตรีอันยาวนานและเหน็บหนาว เสียงสดใสจากบรรดาไก่ทั้งหลายซึ่งเริ่มโก่งคอขันเจื้อยแจ้วรับอรุณอันสวยงาม
*********************
ในความพร่าเลือนที่ไหววับดุจกระแสน้ำในสระต้องแสงตะวัน เวสรู้สึกคล้ายร่างของตนจมจ่อมลงไปในห้วงน้ำอันลึกล้ำและเยียบเย็น กระนั้นเขากลับไม่รู้สึกทรมานเลยแม้แต่น้อย เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ เหนื่อย ความรู้สึกล้าผุดวาบขึ้นในหัวสมองพร้อมดวงตาสีน้ำตาลอ่อนปรือลงอีกครา หากจู่ๆก็มีมือของใครคนหนึ่งยื่นมาฉุดให้กระชากด้วยแรงมหาศาลให้ร่างของชายหนุ่มทะลึ่งพราดพ้นผิวน้ำ
"อะไร" ความง่วงงุนและเหนื่อยล้าทั้งหมดจางหายราวเป็นแค่ความฝัน ตอนนี้เขารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าราวกับได้พักผ่อนมาอย่างเต็มอิ่ม
ครั้นลองกวาดสายดูก็พบว่าสิ่งที่ตนสวมอยู่เสื้อเชิ้ตสีขาวปล่อยชายและกางเกงขายาวสีดำ เบื้องหน้าคือทางเดินซึ่งทำด้วยดินแดงทอดยาวออกไปไกลจนเรียกได้ว่าจรดกับขอบฟ้าที่เห็นอยู่ลิบๆ สองข้างคือทุ่งหญ้าสีเขียวขจีและเนินเขาสลับกันไป สายลมเย็นพัดโชยมาไม่ขาดสายพาให้ยอดหญ้าพลิ้วไหวเป็นละรอกคลื่น เมฆก้อนกลมสีขาวกระจายกันเต็มฟ้าช่วยบดบังไม่ให้แสงแดดแรงกล้าจนเกินไป
บรรยากาศชวนให้นึกถึงท้องทุ่งแถวบ้านในสมัยเด็กและอากาศกำลังสบายเช่นนี้ก็เหมาะแก่การเดินเล่นเป็นที่สุด เมื่อคิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็ตัดสินใจก้าวตรงไปตามทางเดินข้างหน้าอย่างมั่นคง เขาพบว่าแม้จะค่อนข้างแล้งแต่บนถนนกลับไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเวสก้าวข้ามเนินเขาลูกที่สอง ภาพของสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา ครั้นเดินเข้าไปอีกจึงพบว่าเป็นปราสาทที่ตระการตานั่นเอง หลังคาสีน้ำเงินวาวสะท้อนแดดรับกับตัวปราสาทซึ่งก็คือกำแพงสีขาวสะอาดและริ้วธงที่เรียงรายหลากหลายสีโบกสะบัดในสายลม
"ข้าจะลองไปที่นั่นดู" ชายหนุ่มนึกเช่นนั้นแล้วจึงเริ่มต้นออกเดินอีกครา สองเท้าพาเขามุ่งไปตามทางเดินตัดผ่านทุ่งหญ้า ขึ้นลงเนินเขานับสิบๆแห่งจนใกล้ตัวปราสาทเข้าไปทุกขณะ เมื่อทอดสายตามองอีกครั้งก็เห็นตัวปราสาทตั้งตระหง่านน่าเกรงขาม ประตูใหญ่สองบานเปิดอ้ากว้าง กระนั้นกลับมีบรรยากาศอันเงียบสงัดคล้ายไม่มีผู้คนอยู่อาศัยแม้แต่ผู้เดียว ชายหนุ่มมุ่นคิ้วอย่างสงสัยขึ้นมาตงิดๆ อันที่จริงตั้งแต่เดินมาเขาเองก็ยังไม่ได้พบใครสักคนเช่นกัน
จากจุดที่เขายืนอยู่ถึงตัวปราสาทยังมีสะพานไม้ทอดยาวผ่านหุบเหวลึกขวางกันอยู่ ชายหนุ่มเดินข้ามสะพานนั้นอย่างช้าๆ คิ้วเรียวเริ่มขมวดปมอีกครั้งเนื่องจากเดินเท่าไหร่เขาก็ไปไม่ถึงอีกฟากของสะพานนี้เสียที ทั้งๆที่ตัวสะพานเองก็ไม่ได้ยาวอะไรหนักหนา เหมือนว่าเขากำลังย่ำอยู่กับที่เสียมากกว่า
"เฮ้ย"
เวสอุทานอย่างตกใจเมื่อพื้นไม้แทบเท้าแตกออกจากกันพร้อมร่างของเขาร่วงลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง ไม่มีสายน้ำ ป่าไม้ หรือต้นหญ้า หากเป็นความมืดอันลึกล้ำดังเช่นครั้งแรก พวกมันคลี่กายห่อหุ้มตัวของชายหนุ่มไว้อย่างอ่อนโยน ความสงบและง่วงหาวที่คุ้นเคยเคลื่อนเข้ามาสู่ตัวชายหนุ่มอีกครั้ง คราวนี้ความรู้สึกเหล่านั้นแผ่กระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็วราวกับฝังตัวแน่นอยู่ในเส้นเลือด โดยไม่รีรอให้เขาได้มีโอกาสคิดถึงเรื่องใดๆ
"เวส ..............เวส" เสียงคุ้นเคยเรียกเบาๆ
"แต่ว่าข้าเหนื่อย.......ขอนอนสักหน่อยเถอะ" เวสนึกต่อรองในใจ
"ไม่ได้นะ......ตื่นสิ" คราวนี้เสียงนั้นปนตวาดนิดๆพร้อมสัมผัสเย็นเฉียบเหมือนใครเอาน้ำแข็งทั้งก้อนมาแตะหน้าชายหนุ่มเป็นผลให้เจ้าตัวเปิดเปลือกตาขึ้นในที่สุด แสงสีขาวอมเหลืองนวลสว่างไสวตัดกับความมืดอยู่บริเวณใบหน้าเขาค่อยๆลามไล่มาจนทั่วร่าง กระแสความห่วงใยจากละอองแสงนั้นถ่ายเทเข้ามาเติมเต็มหัวใจที่อ่อนล้า เสียงกระซิบเบาๆดังก้องอยู่ในหูทั้งสองข้าง
"มีชีวิตอยู่และมีความสุข..........เผื่อข้าด้วยล่ะ"
***************
"รีบตื่นเร็วดีนี่" คำทักทายคำแรกจากปากของเมอร์สถูกส่งมาหาชายหนุ่ม อื้อ คนบนเตียงรับคำก่อนหยัดกายขึ้นในท่านั่ง "หนังเหนียวดีแท้นะเจ้า" โชวี่ว่าบ้าง "สงสัยจะได้กลิ่นนี่ละมั้ง" มาร์คัสเอ่ยพลางยกขนมปังเนยสดสอดไส้แอปเปิ้ลแห้งอันลือชื่อขึ้นมาส่งให้กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอฟุ้งกระจายไปทั่วห้องเรียกเสียงหัวเราะได้พอตัว เวสยิ้มน้อยๆแล้วร่วมวงหัวเราะไปด้วย
"ข้าจะมีความสุขเผื่อเจ้า"
"เอ้า ของโปรด(อีกอย่าง)ไม่ใช่เรอะ" มาร์คัสโยนห่อขนมหนึ่งในนั้นให้เวสที่รับได้อย่างแม่นยำ "ว่าแต่เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?" ชายหนุ่มถามขณะเคี้ยวขนมตุ้ยๆ "ซะที่ไหนเล่า" เมอร์สว่าพลางบุ้ยใบ้ให้ชายหนุ่มมองออกไปด้านนอกหน้าต่างแล้วเจ้าตัวก็ต้องเบิกตาโต เนื่องด้วยบัดนี้ทัศนียภาพภายนอกเต็มไปด้วยหิมะจนขาวโพลนไปเสียหมด แทบจะไม่แผกไปจากหลายวันก่อนเลยแม้แต่น้อย จนเหมือนว่าที่หิมะละลายนั้นเป็นแค่ฝันเล็กๆในห้วงนิทราเท่านั้น
"ง่า...." แล้วชายหนุ่มก็อดบ่นต่ออย่างเสียไม่ได้ "หนาวจะตายชักอยู่แล้ว ยังกับย้อนไปตอนกลางฤดูหนาวยังงั้นแหละ" ไดแอซส่ายหน้าเล็กน้อย "เหมือนเวลาจะหยุดอยู่กับที่........ซึ่งมีแค่ฤดูหนาวเท่านั้น"
"คิดมากไปหรือเปล่าไดแอซ" โชวี่ว่าด้วยน้ำเสียงเหมือนร่าเริงแต่ก็แฝงแวววิตกไม่น้อย "อีกไม่นานคงละลายแล้วน่า" แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ "ไม่.....ข้ารู้สึกได้ ตอนนี้..........อีกไม่นานแล้ว"
ทั้งหมดพากันจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาครุ่นคิดแตกต่างกัน "จริงหรือ" มาร์คัสหันไปถามเด็กหนุ่มข้างตัว นัยน์ตาสีฟ้าหม่นนั้นก็ฉายแววกังวลออกมาไม่แพ้กัน เขาเอียงคอเล็กน้อยด้วยท่าทางครุ่นคิด ทำให้ชายหนุ่มอดนึกไม่ได้ว่าแววของความสงบเย็นที่สัมผัสได้เมื่อวานนั้นจางหายไปจนสิ้นราวกับว่านั่นเป็นตัวตนอีกด้านหนึ่งที่จะปรากฏออกมาเวลาเจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น
"อีกไม่นานแล้วล่ะ..................แพนโทเนียแห่งนี้จะตกอยู่ในห้วงแห่งความหนาวเย็นของเหมันต์อันเป็นนิรันดร"
นัยน์ตาคู่นั้นที่มองออกไปนอกหน้าต่างกลับแฝงแววเหงาเศร้าอีกครั้งหนึ่งโดยที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัว หิมะซึ่งโปรยลงมาไม่หยุดตั้งแต่หลายวันก่อนจับตัวบนกระจกของบานหน้าต่างใส
ทำไมนะ ถึงได้รู้สึกหนาว.......ไปถึงหัวใจแบบนี้
เพราะอะไรกัน..........................
ความรู้สึกอ้างว้าง.................โดดเดี่ยวพวกนี้
เพราะอะไรกัน..........................
------------------------------------------------
หวัดดีค่าทุกท่าน
รู้สึกว่าตอนนี้จะสั้นไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรค่ะ วิลมีของแถมมาแจกทุกท่าน
แท่น แท่น แท๊น............. หวัดนั่นเองค่ะ แจกฟรีไม่คิดตังค์ด้วยน๊า55+ ส่วนสมาทร์วันที่ไปสอบก็ประกาศคะแนนแล้วละค่ะ วิลผ่านมาได้อย่างเฉียดฉิวชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดเลยล่ะ (แอบเจ็บใจเล็กน้อยที่พยายามไม่พอ) คิดว่าครั้งหน้าจะลองตั้งใจใหม่ สู้ตายเจ้าค่า
ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน+เม้นท์ด้วยน๊า
ความคิดเห็น